5 เทรนด์มาแรงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 5 ปีหน้า
Euromonitorชี้ ปี2561-65ทัวร์จีนคุมทั่วโลก
เรื่องโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #Amazingthailand
Euromonitor International ศูนย์พยากรณ์การท่องเที่ยวระดับโลก ได้นำข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมาเผยแพร่ ในWorld Travel Mart 2017 ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560
โดยประเมินสถานการณ์อนาคต 5 ปีหน้ามีความท้าทายรออยู่ เริ่มจากปี 2560 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าเศรษฐกิจโลกจากตัวเลขนักท่องเที่ยวอินบาวนด์เพิ่มขึ้น 3.7% และรายได้เติบโตที่ 4.1% ซึ่งสูงกว่า GDP ของโลกที่ขยายตัวในระดับ 3.5% เท่านั้น
แต่นับจากปี 2561 เป็นต้นไป อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะชะลอตัวลงเหลือแค่ 3.1 % ทำให้ทั่วโลกต่างหาวิธีจัดการกับความตึงเครียดจากความไม่แน่นอนที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ได้แก่ การบริหารงานของ Trump การเผชิญกับปัญหา Brexit และความตึงเครียดในระดับภูมิภาคทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเกาหลีเหนือ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเศรษฐกิจจีนอาจจะชะลอลง
แนวโน้มการท่องเที่ยวอินบาวนด์ของโลกจะขึ้นกับ 5 เทรนด์ที่จะเป็นตัวแปรหลักของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ได้แก่
1.นักท่องเที่ยวจีนทะลักเดินทางเที่ยวต่างประเทศใน 5 ปีหน้า พุ่งปีละ 128 ล้านคน
ปี 2565 คาดจีนจะเป็นตลาดการท่องเที่ยวต่างประเทศที่มีใหญ่สุดในโลก จีนจะเดินทางออกต่างประเทศกว่า 128 ล้านคน โดยมุ่งหน้าทะลักเข้าสหรัฐฯ มากที่สุดในช่วง 2560-2565 เติบโต 8.4% รวมถึงฝรั่งเศสมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์มากจากนักท่องเที่ยวจีนด้วย
รวมไปถึงเรื่องการกระจายรายได้ จีนจะใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นระหว่าง 5 ปีข้างหน้าปี 2560-2565 แนวโน้มขยายตัว 10.9 % ส่วนใหญ่มาจาก GDP ต่อหัวและการเพิ่มขึ้นของครัวเรือนชนชั้นกลาง
ในขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ๆ ที่ได้รับอานิสงส์จากทัวร์จีนเติบโตแข็งแกร่งที่สุดช่วงปี 2556-2557 ด้วยการประกาศลดขั้นตอนการขอวีซ่าและทำเงินเยนให้อ่อนค่าลง ดึงจีนเข้าไปใช้เงินท่องเที่ยวกว่าปีละ 6 ล้านคน ส่งผลทำให้เศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น (CAGR) ขยับขึ้นไปได้ถึง 54%
ในทางกลับกันรัฐบาลจีน ประกาศห้ามเดินทางไปยังเกาหลีใต้ ส่งผลทันทีปี 2560 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง 39%
2.อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะถูกกดดันหนักเรื่องราคา
Stalwarts สะท้อนอนาคตการท่องเที่ยว 5 ปีข้างหน้า ภาพรวมทั่วโลกธุรกิจที่พักและสายการบินยังคงครองยอดขาย ซึ่งเป็นปัจจัยเดิม ๆ ที่จะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจท่องเที่ยว (CAGR) เติบโตในระดับ 3.3% ทั้งสองกลุ่มธุรกิจจะครองยอดขายแต่ละปีมูลค่ารวมกว่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทว่าตัวแปรสำคัญคือทุกบริษัทต่างกำลังมุ่งไปสู่การ “ปฎิวัติอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคใหม่” ทั้งเรื่องความต้องการ รูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายต่ำหรือเช่าระยะสั้นจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเติบโต เพื่อเป็นกลไกป้องกันหาวิธีลดความกดดันทางด้านราคาให้ได้มากที่สุด
3.การขาของยักษ์ใหญ่มุ่งใช้ออนไลน์ครองตลาดท่องเที่ยวโลก
ประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักรได้เปลี่ยนเข้าสู่การขายท่องเที่ยวผ่านออนไลน์สูงขึ้นตั้งแต่ปี 2558 ระหว่างปี 2560-2565 จะทำสถิติขายผ่านออนไลน์ทะยานขึ้นไปถึง 70% ของตลาดการท่องเที่ยวทั้งหมดส่วนที่เหลืออีก 30% จะยังคงทำการตลาดแบบดั้งเดิม ประเทศที่ก้าวได้เร็วในเรื่องนี้ก็มี เยอรมนี จีน รัสเซียและอินเดีย
4.ผู้บริโภคจะกดราคาสินค้าหรูหราคุ้มค่าให้ต่ำลง
สินค้าท่องเที่ยวซึ่งเป็นแบรนด์ระดับกลางถึงหรูหรายังคงเป็นที่นิยม แต่ผลตอบแทนอาจลดลง และต้องเผชิญกับความท้าทายจากผู้บริโภคซึ่งต้องการบริการระดับพรีเมียมมากขึ้นในมาตรฐานราคาต่ำลง . แนวโน้มการทำ premiumisation จึงอาจมีผลกระทบต่อราคาของแบรนด์หรูหราในการปรับตัวต่อเนื่องเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดตามความคาดหวังของผู้บริโภคที่แท้จริง
5.ความสำเร็จของแบรนด์ทั่วโลกกับจีนปัจจัยที่น่าจับตา
สถิติการทำยอดขายของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการเติบโตในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่ ในมหานครเซี่ยงไฮ้ของจีนคือ Chunqiu เป็นธุรกิจตัวกลางสามารถทำยอดขายเพิ่มสูงสุด 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วย Expedia 5,500 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ และสายการบินในโซนตะวันตกเฉียงใต้ของจีน 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ปี 2560 ธุรกิจออนไลน์อย่าง Ctrip โกยยอดขายทะลุ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วน Booking.com ก็กวาดรายได้ถึง 33,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
Euromonitorชี้ ปี2561-65ทัวร์จีนคุมทั่วโลก
เรื่องโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน #gurutourza #Amazingthailand
Euromonitor International ศูนย์พยากรณ์การท่องเที่ยวระดับโลก ได้นำข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมาเผยแพร่ ในWorld Travel Mart 2017 ณ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560
โดยประเมินสถานการณ์อนาคต 5 ปีหน้ามีความท้าทายรออยู่ เริ่มจากปี 2560 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าเศรษฐกิจโลกจากตัวเลขนักท่องเที่ยวอินบาวนด์เพิ่มขึ้น 3.7% และรายได้เติบโตที่ 4.1% ซึ่งสูงกว่า GDP ของโลกที่ขยายตัวในระดับ 3.5% เท่านั้น
แต่นับจากปี 2561 เป็นต้นไป อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะชะลอตัวลงเหลือแค่ 3.1 % ทำให้ทั่วโลกต่างหาวิธีจัดการกับความตึงเครียดจากความไม่แน่นอนที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ได้แก่ การบริหารงานของ Trump การเผชิญกับปัญหา Brexit และความตึงเครียดในระดับภูมิภาคทั่วโลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเกาหลีเหนือ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเศรษฐกิจจีนอาจจะชะลอลง
แนวโน้มการท่องเที่ยวอินบาวนด์ของโลกจะขึ้นกับ 5 เทรนด์ที่จะเป็นตัวแปรหลักของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ได้แก่
1.นักท่องเที่ยวจีนทะลักเดินทางเที่ยวต่างประเทศใน 5 ปีหน้า พุ่งปีละ 128 ล้านคน
ปี 2565 คาดจีนจะเป็นตลาดการท่องเที่ยวต่างประเทศที่มีใหญ่สุดในโลก จีนจะเดินทางออกต่างประเทศกว่า 128 ล้านคน โดยมุ่งหน้าทะลักเข้าสหรัฐฯ มากที่สุดในช่วง 2560-2565 เติบโต 8.4% รวมถึงฝรั่งเศสมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์มากจากนักท่องเที่ยวจีนด้วย
รวมไปถึงเรื่องการกระจายรายได้ จีนจะใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้นระหว่าง 5 ปีข้างหน้าปี 2560-2565 แนวโน้มขยายตัว 10.9 % ส่วนใหญ่มาจาก GDP ต่อหัวและการเพิ่มขึ้นของครัวเรือนชนชั้นกลาง
ในขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ๆ ที่ได้รับอานิสงส์จากทัวร์จีนเติบโตแข็งแกร่งที่สุดช่วงปี 2556-2557 ด้วยการประกาศลดขั้นตอนการขอวีซ่าและทำเงินเยนให้อ่อนค่าลง ดึงจีนเข้าไปใช้เงินท่องเที่ยวกว่าปีละ 6 ล้านคน ส่งผลทำให้เศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของญี่ปุ่น (CAGR) ขยับขึ้นไปได้ถึง 54%
ในทางกลับกันรัฐบาลจีน ประกาศห้ามเดินทางไปยังเกาหลีใต้ ส่งผลทันทีปี 2560 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลง 39%
2.อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะถูกกดดันหนักเรื่องราคา
Stalwarts สะท้อนอนาคตการท่องเที่ยว 5 ปีข้างหน้า ภาพรวมทั่วโลกธุรกิจที่พักและสายการบินยังคงครองยอดขาย ซึ่งเป็นปัจจัยเดิม ๆ ที่จะมีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจท่องเที่ยว (CAGR) เติบโตในระดับ 3.3% ทั้งสองกลุ่มธุรกิจจะครองยอดขายแต่ละปีมูลค่ารวมกว่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ทว่าตัวแปรสำคัญคือทุกบริษัทต่างกำลังมุ่งไปสู่การ “ปฎิวัติอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคใหม่” ทั้งเรื่องความต้องการ รูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายต่ำหรือเช่าระยะสั้นจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาการเติบโต เพื่อเป็นกลไกป้องกันหาวิธีลดความกดดันทางด้านราคาให้ได้มากที่สุด
3.การขาของยักษ์ใหญ่มุ่งใช้ออนไลน์ครองตลาดท่องเที่ยวโลก
ประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักรได้เปลี่ยนเข้าสู่การขายท่องเที่ยวผ่านออนไลน์สูงขึ้นตั้งแต่ปี 2558 ระหว่างปี 2560-2565 จะทำสถิติขายผ่านออนไลน์ทะยานขึ้นไปถึง 70% ของตลาดการท่องเที่ยวทั้งหมดส่วนที่เหลืออีก 30% จะยังคงทำการตลาดแบบดั้งเดิม ประเทศที่ก้าวได้เร็วในเรื่องนี้ก็มี เยอรมนี จีน รัสเซียและอินเดีย
4.ผู้บริโภคจะกดราคาสินค้าหรูหราคุ้มค่าให้ต่ำลง
สินค้าท่องเที่ยวซึ่งเป็นแบรนด์ระดับกลางถึงหรูหรายังคงเป็นที่นิยม แต่ผลตอบแทนอาจลดลง และต้องเผชิญกับความท้าทายจากผู้บริโภคซึ่งต้องการบริการระดับพรีเมียมมากขึ้นในมาตรฐานราคาต่ำลง . แนวโน้มการทำ premiumisation จึงอาจมีผลกระทบต่อราคาของแบรนด์หรูหราในการปรับตัวต่อเนื่องเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดตามความคาดหวังของผู้บริโภคที่แท้จริง
5.ความสำเร็จของแบรนด์ทั่วโลกกับจีนปัจจัยที่น่าจับตา
สถิติการทำยอดขายของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการเติบโตในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่ ในมหานครเซี่ยงไฮ้ของจีนคือ Chunqiu เป็นธุรกิจตัวกลางสามารถทำยอดขายเพิ่มสูงสุด 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามด้วย Expedia 5,500 พันล้านเหรียญสหรัฐ และ และสายการบินในโซนตะวันตกเฉียงใต้ของจีน 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ปี 2560 ธุรกิจออนไลน์อย่าง Ctrip โกยยอดขายทะลุ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วน Booking.com ก็กวาดรายได้ถึง 33,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น