ททท.ถอดรหัสเทศกาลเที่ยวเมืองไทย-ตรุษจีนแรงสุดๆ
ตามครม.ลุยสร้างแบรนด์เมืองรองอีสาน/เหนือแจ้งเกิด
“สมคิด”ปลื้มคิงเพาเวอร์ดันชุมชนฐานรากสู่ตลาดโลก
“ยุทธศักดิ์”มั่นใจต่างชาติเที่ยวไทยปีจอเกิน37ล้านคน
บางจากขยายร้านกาแฟอินทนิลบุกอาเซียน-อินเตอร์
ทัวร์หนาวๆในไร่ชุมชนบนเนินเขาค้อ4สไตล์ความสุข
“ไพรินทร์”เคลียร์ปมสุวรรณภูมิ4เรื่องถูกตามสัญญา
นกแอร์ยึดเมืองใหญ่แดนอีสานเปิดบิน“อุบล-อุดร”
นกสกู๊ตชิงเปิดบินกรุงเทพฯ-ซีอานรับคลื่นตรุษจีน
สวัสดีวันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
ช่วงที่ 1 คุณธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะมาถอดรหัสความร้อนแรงของการสื่อสารตลาดเชิงรุก จาก “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2561” ทำเอาสวนลุมพินีแทบแตกตั้งแต่วันแรกส่วนรายได้ก็ทะลุ 500 ล้านบาท แล้วในช่วงเทศกาล “ตรุษจีน” กลางเดือนกุมภาพันธ์นี้คลื่นมหาชนจีนจะหลั่งไหลเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวเมืองรองในภาคตะวันออกและ นครสวรรค์สู่จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ไฮไลต์อีกเรื่องคือถึงเวลา ททท.ต้องตามรอย ครม.สัญจรเข้าไปสร้างแบรนด์เมืองรองในกาฬสินธ์ แม่ฮ่องสอน นำท่องเที่ยวเข้าไปคลี่คลายความเหลื่อมล้ำตามชุมชนฐานรากของประเทศ
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า กลยุทธ์การเร่งขับเคลื่อนตลาดการท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปีด้วยงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 38” ระหว่างวันที่ 17-21 มกราคม 2561 ตลอด 5 วันกระแสตอบรับความสำเร็จดีเกินคาดจะสามารถทำรายได้ถึง 500 ล้านบาท ประเมินได้จากการเปิดงานวันแรกเมื่อ 17 มกราคม มีคนเข้าชมงานพร้อมใช้จ่ายเงินซื้อผ้าพื้นเมืองเหนือ อีสาน ใต้ และอาหารถิ่น ขายดี และตลอดงานจำนวนผู้เข้างานจะมากกว่า 600,000 คน
เป็นสถานการณ์ดีต่อเนื่องจากกระแสการท่องเที่ยวและใช้จ่ายเงินช่วง “Amazing Thailand Countdown” 31 ธันวาคม 2560- 1 มกราคม 2561 ผลปรากฏว่าการท่องเที่ยวเมืองรองซึ่ง ททท.ไฮไลต์เป็นสถานที่จัดงานประสบความสำเร็จทำรายได้เมืองละ 500 ล้านบาท รวม 5 จังหวัดก็นำเม็ดเงินกระจายสู่พื้นที่ราว 2,500 ล้านบาท แล้วจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ต่อมา ก็ได้จัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2561 ช่วยท้องถิ่นและเมืองท่องเที่ยวรองนำสินค้าทั่วประเทศมาขายใจกลางกรุงด้วย
ทั้งสองงานที่ผนวกสร้างรายได้ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เร่งผลักดันการเสนอขายเมืองรองอย่างชัดเจน จึงทำให้งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยที่จัดช่วงต้นปี ตัวเลขทะลุเป้าตั้งแต่วันแรกนั่นเอง ดังนั้นอัตราการเพิ่มของจำนวนและรายได้ผู้เข้างานนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 10-15 % เป็นผลมาจากการวางแผนและจัดทำผังงานได้เป็นอย่างดี สร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายเงินเต็มที่ โดยเฉพาะผ้าพื้นเมืองรุ่น Limited ต้องจองคิวแล้วไปรับภายหลัง ส่วนอาหารท้องถิ่นก็ขายดีมากเช่นกัน
ส่วนการวางแผนเพื่อจัดทำแผนสื่อสารการตลาดเพื่อให้เกิดการเดินทางต่อเนื่องหลังจากได้เข้ามาเที่ยวงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว จะทำ 3 ส่วน คือ 1.ดึงสินค้าและเส้นทางท่องเที่ยวชัด ๆ ขึ้นมาขาย รวมทั้งให้ชุมชนเตรียมความพร้อมควบคู่กันไป ทาง ททท.ฝ่ายสินค้าและตลาดในประเทศที่ดูแลสำนักงานทั่วประเทศ 40 แห่ง พร้อมใจกันพัฒนาท่องเที่ยวเมืองหลักขยายไปยังเมืองรอง 2.การนำเครื่องมือทางการสื่อสารเข้ามาใช้เต็มรูปแบบ ตามช่องทางสื่อที่มีอยู่จำนวนมาก ตัวอย่าง จะร้อยเรียงการสื่อสารจากเวทีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร 3.โปรโมตเมืองท่องเที่ยวรองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีแบรนด์โดนใจ ทั้งที่ กาฬสินธุ์ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งผมจะลงพื้นที่ไปหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อหาบุคลิกของกาฬสินธุ์ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวเป็นจุดขายไฮไลต์คือ “ไดโนเสาร์” เบื้องต้นในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ได้นำไดโนเสาร์จำลองมาอยู่ในบริเวณพบว่าได้รับสนใจจากเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องหารือกับทางกาฬสินธุ์ทำเรื่องแบรนด์ไดโนเสาร์เชื่อมโยงไปถึงขอนแก่นได้ด้วย เป็นการสร้างแบรนด์เพื่อกระตุ้นรายได้ให้เข้าไปเร็วที่สุด เพื่อการทำเดินหน้าทำแบรนดิ้งกาฬสินธุ์ให้ชัด
อีกทั้งทาง ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังให้นโยบายช่วงสงกรานต์ให้มีภาพของนักท่องเที่ยวเล่นหยอกล้อกับไดโนเสาร์ นำไปสู่การขยายผลโปรโมตเชื่อมโยงเข้าด้วยกันในหลายจังหวัดภาคอีสานต่อไป เป็นภารกิจของฝ่ายสื่อสารการตลาด ททท.ที่จะต้องรุกหนักอย่างรวดเร็ว
จากนั้นจังหวัดเป้าหมายต่อไปคือ “แม่ฮ่องสอน” ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เข้าพัฒนาทางด้านซัพลลายไซต์ ทางคมนาคมก็ได้เข้าเชิญชวนให้สายการบินเปิดเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น และด้วยทัศนียภาพของเมืองอยู่บนภูเขาสูง ททท.คาดหวังหากมีสายการบินเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้นก็จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวไหลเข้าไปมากขึ้น เพราะปัจจุบันเดินทางรถค่อนข้างจะผ่านโค้งจำนวนมาก ในมุมการโปรโมตไม่น่าหนักใจเพราะช่องทางของ ททท.ทำได้ทั้งออนและออฟไลน์ แต่ต้องไปคุยกับทางท้องถิ่นให้ชัดถึงตัวตนของพื้นที่ ซึ่งเป็นหลักการทำโปรโมตต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วมนำเสนอจุดขายและอัตลักษณ์แต่ละแห่ง
การผลิตสื่อโฆษณาแนวใหม่ ๆ ททท.ได้ตั้งโจทก์ต้องผลิตภาพยนต์โฆษณาให้โด่งดังมุ่งเข้าสู่เมืองรอง ขณะนี้กำลังเปิดแข่งขันบริษัทเอเย่นต์ซี่โฆษณาที่จะเข้ามารับผิดชอบการผลิตโปรดักชั่น ส่วนแนวคิดเนื้อหาคอนเซ็ปต์หลักทาง ททท.จะดูแลเอง โดยจะใช้ซิลิบริตี้เป็นการนำ เน้นความพอเพียง เป็นจริงจัง และต้องแน่ใจเมื่อสร้างกระแสแล้วต้องทำให้ท้องถิ่นชุมชนเกิดรายได้จริง จึงต้องบูรณาการหลายส่วนเข้าด้วยกันมีอีเวนต์เข้ามาเสริมต้องเกี่ยวโยงไปถึงเชิง CSR การโฆษณาด้วย
สำหรับช่วงเทศกาลตรุษจีนเตรียมโปรโมตเพื่อรองรับการหลั่งไหลของคลื่นนักท่องเที่ยวจีน นั้น จะขยายไปสู่ท่องเที่ยวเมืองรอง ด้วยความสัมพันธ์ชาวไทยเชื้อสายจีนจะเพิ่มฐานเมืองหลัก ๆ กรุงเทพฯ นครสวรรค์ ผนวกสู่เมืองต่อเนื่องดึงจากการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เดิมแล้วค่อยทยอยไปสู่พื้นที่ใกล้เคียง เช่น ชลบุรี ไปยังระยอง จันทบุรี หรือนครสวรรค์ไปพิษณุโลก อาจจะไม่ได้เร่งรัดถึงขนาดต้องเปิดเมืองใหม่ให้นักท่องเที่ยวจีนทะลักเข้าไป เพราะนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องกวักคนเข้าพื้นที่โดยดูความพร้อมของชุมชนด้วย
การโปรโมตเมืองรองไม่ได้เน้นการสร้างดีมานต์จนมากเกินไป แต่จะเน้นการสื่อสารตลาดให้เกิดความเข้าใจและภาพจำของทั้งฝั่งดีมานต์กับซัพพลายซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ท่องเที่ยวขอให้ภูมิใจเป็นเจ้าของบ้าน สิ่งที่ต้องใส่เป็นพิเศษคือต้องช่วยกันสอดส่องดูแลเรื่องห้ามหลอกลวงนักท่องเที่ยว เรื่องมาตรการความปลอดภัย เพราะธรรมชาติของคนไทยอัธยาศรัยไมตรีดีอยู่แล้ว หลักดังกล่าวนี้สามารถที่จะใช้ได้กับการต้อนรับดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยควบคู่กันไป เพื่อทำให้การกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นรูปธรรมจับต้องได้ หากทุกฝ่ายร่วมมือกันทำภารกิจของตนเองให้เข้มแข็ง
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “สมคิดปลื้มคิงเพาเวอร์ต้นแบบช่วยเศรษฐกิจชุมชนชาติ”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดได้ยิ่งใหญ่ในงาน Grand Opening : The New King Power Rangnam : Explore Endless Journey เปิด “คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ” เมื่อค่ำคืนวันที่ 18 มกราคม 2561 สอดคล้องกับการลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท เนรมิตใหม่ในพื้นที่กว่า 22,000 ตารางเมตร ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่แห่งกรุงเทพมหานคร ผู้นำธุรกิจค้าปลีกในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของคนไทยก้าวสู่ความภาคภูมิใจสร้างชื่อเสียงในระดับโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Expolre Endlessly Jouney -การค้นพบไม่มีวันสิ้นสุด โดยได้แต่งตั้ง “ฟ่าน ปิงปิง” ดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังเป็น Global Ambassador ตลอดปี 2561 เพื่อทำให้ทั่วโลกรู้จักประเทศไทยและการท่องเที่ยวอย่างแพร่หลายเป็นวงกว้างมากขึ้น นำรายได้เข้าประเทศเพิ่มตามเป้าหมายของรัฐบาล
กลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้ตอกย้ำถึงการดำเนินธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยวมาตลอด 28 ปี ได้สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศรวมมูลค่านับล้านล้านบาท ประการสำคัญ จุดเริ่มต้นเปิดกิจการร้านค้าปลอดอากร (duty free) มาตั้งแต่ปี 2532 ในอาคารมหาทุนพลาซ่า กระทั่งปีปี 2549 ได้ย้ายมาเปิดสำนักงานใหญ่บริเวณรางน้ำ ขยายแนวธุรกิจดิวตี้ฟรีแบบครบวงจรทั้ง ในเมือง (duty free downtown) ในท่าอากาศยานานาชาติ (duty free Airport) และบนเครื่องการบินไทย (duty free onbroad) จากนั้นในปี 2553 เริ่มเข้าไปลงทุนทางด้านกีฬาอย่างเต็มตัวด้วยการซื้อสโมสรฟุตบอลเก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ “เลสเตอร์ ซิตี้” ล่าสุดปี 2560 ซื้อสโมสรฟุตบอล OHL ในเบลเยี่ยมเพิ่มอีกแห่ง เพื่อเป็นช่องทางพัฒนาเยาวชนไทยได้ใช้เป็นศูนย์ฝึกทักษะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างโอกาสใหม่ก้าวสู่นักเตะแถวหน้าของโลกในอนาคต
ด้วยปนิธานอันแน่วแน่ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป้าหมายสำคัญคือมุ่งมั่นการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อชุมชน ร่วมกับพาณิชย์ มหาดไทย และอุตสาหกรรม นำสินค้า SMEs และสินค้าประชารัฐ มาจำหน่ายในร้านค้าดิวตี้ฟรีร่วมกับแบรนด์เนมชั้นนำให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ขณะเดียวกัน “KING POWER THAI POWER” 4 โปรเจ็กต์ของธุรกิจเพื่อตอบแทนสังคม (CSR) ร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยทั้งประเทศ เริ่มจาก SPORT POWER ให้ทุนการศึกษาไปเรียนในเลสเตอร์ ซิตี้ พัฒนาฝีเท้าเด็กไทย เพื่อกลับมาสร้างโอกาสของวงการฟุตบอล พร้อมกับให้เด็ก ๆ ก้าวไปสู่คนคุณภาพ ด้วยการสร้างสนามฟุตบอลทั่วประเทศไทยอีก 100 แห่ง ควบคู่กับแจกลูกฟุตบอล “ล้านลูก ล้านพลัง สานฝันเด็กไทย” ต่อด้วย MUSIC POWER จัดเวทีให้เยาวชนไทยร่วมแข่งขันร้องเพลง Community POWER คัดสรรแบรนด์ไทยภูมิปัญญาท้องถิ่นมาจำหน่ายในร้านสาขาคิง เพาเวอร์ ทำให้ผลิตภัณฑ์คนไทยแพร่หลายทั่วโลก โดยได้ช่วยเหลือชุมชนกว่า 154 กลุ่ม มีความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น และ Education POWER ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาและสาธารณสุข
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้นำเสนอต่อผู้เข้าร่วมฉลองความสำเร็จในงาน งาน Grand Opening : The New King Power Rangnam ในฐานะผู้ให้บริการร้านค้าปลอดอากร สนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอย่างจริงจัง ภาคภูมิใจในการมีส่วนช่วยประเทศ สร้างรายได้เข้าประเทศ สร้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมทั้งยังชำระค่าตอบแทนภาครัฐที่เกี่ยวข้องกว่า 80,000 ล้านบาท และจ่ายภาษีคืนรัฐ 25,000 ล้านบาท รวมแล้วจ่ายไปกว่า 100,000 ล้านบาท อีกทั้งยังเดินหน้าสนับสนุนสินค้าของคนไทยทางช่องทางเอสเอ็มอีและระดับชุมชนนำสินค้ามาขายก้าวสู่ตลาดสากลต่อไป
ปัจจุบันกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มีคู่ค้าผู้ผลิตสินค้าไทยที่เข้ามาวางจำหน่ายในดิวตี้ฟรีกว่า 1,100 ราย และคิง เพาเวอร์มียอดสั่งซื้อสินค้าชุมชนไทยตั้งแต่ปี 2532 มูลค่ารวมถึง 50,000 ล้านบาท
ปัจจุบันคิง เพาเวอร์ ได้รับการจัดอันดับให้มียอดขายหมุนเวียนสูงอันดับ 7 ของโลก แต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือบริษัทได้สนับสนุนสินค้าของคนไทยด้วยกัน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างงานให้ชุมชน ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย สร้างความภาคภูมิใจจนได้รับรางวัลทั้งในประเทศและทั่วโลกกว่า 100 รางวัล ความสำเร็จทั้งหมดเป็นผลมาจากได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ คู่ค้า สถาบันการเงิน ลูกค้า และนักท่องเที่ยว
ก้าวต่อไปของคิง เพาเวอร์ คือการสนับสนุนคนไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก ในฐานะบริษัทธุรกิจท่องเที่ยวของคนไทย ทำเพื่อคนไทย
“อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า เดอะ นิว คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เป็นร้านค้าปลอดอากรในเมืองและอยู่คู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมาอย่างยาวนาน และไม่ได้เป็นเฉพาะช่องทางยังทำให้สังคมโลก และเป็นการค้าระหว่างประเทศ ต่อยอดให้กับธุรกิจของไทยได้ทุกส่วน อีกทั้งยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามายังไทย ผนวกกับมีแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม อาหารที่อุดมสมบูรณ์ คนไทยจิตใจเป็นมิตร จึงทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์รวมความต้องการของคนทั่วโลกอยากแวะเวียนมาท่องเที่ยว ตามที่รัฐบาลให้ความสำคัญการสนับสนุน ทางคิง เพาเวอร์ จึงตระหนักถึงความสำคัญของร้านค้าปลีกและการท่องเที่ยวที่จะเป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ
จึงพร้อมมุ่งมั่นสร้างคุณภาพทั้งเรื่องการลงทุน บุคลากร การตลาด แม้กระทั่งการพัฒนาสินค้าและบริการ ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยให้ลงทุนปรับปรุงร้านค้าปลอดอากรในเมืองครั้งใหญ่ ที่ คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์รางน้ำ เป็นการปรับโฉมภาพลักษณ์ให้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง เน้นพัฒนาเป็นร้านค้าปลอดอากรที่ผสมผสานไปกับบริการอื่น ๆ ที่จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวทั่วโลกและชาวไทยด้วยกัน มีทั้งร้านอาหาร ห้องรับรอง บริการฟรีรถชัตเติลบัส และสินค้าไทยต่าง ๆ โดยการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย เป็นการสร้างภาพลักษณ์แก่ร้านค้าปลอดอากรในเมือง อีกทั้งภายในร้านยังเต็มไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย รวมถึงความหรูหรา ความสะดวกสบายทางบริการ ครอบคลุมทุกมิติ ภายใต้คอนเซ็ปต์แนวคิด Explore Endlessly Jouney เพื่อตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยว นักเดินทางจากทั่วโลกและชาวไทยที่ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุดเช่นกัน
นายอัยวัฒน์กล่าวว่าทางด้านการตลาด กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ยังได้แต่งตั้ง “ฟ่าน ปิง ปิง” ศิลปินฮอลิวู้ด ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลกเป็น Global Ambassador ของคิง เพาเวอร์ ตลอดปี 2561 เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์บริษัทให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยเฉพาะธุรกิจร้านค้าปลอดอากรของคนไทย อีกทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งในการทำให้ประเทศไทยและเรื่องราวอื่น ๆ เช่น สินค้าไทย ได้รับความสนใจและเป็นที่รู้จักทั่วทุกมุมโลกมากยิ่งขึ้น นอกจากบริษัทจะได้รับการจัดอันดับมียอดขายอันดับ 7 ของโลก ยังมีจุดมุ่งหมายผลักดันการเติบโตเคียงคู่ไปกับการพัฒนาประเทศไทยในทุกด้านอย่างมั่นคงและยั่งยืน
“ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานงาน Grand Opening The New King Power Rangnam กล่าวว่า กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นผู้นำการจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนม สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพของบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพระดับโลกและมีความสำคัญต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ตามสถานการณ์ปัจจุบันไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงอย่างแท้จริง สอดคล้องกับอนาคตข้างหน้า ประเมินจากความสำเร็จในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา GDP ของไทยเติบโต 4.3 % ไตรมาส 4 แนวโน้มจะเกิน 4 % รัฐบาลจึงมั่นใจจะเห็นความคึกคักและแรงส่งจากการลงทุนขนาดใหญ่ รวมทั้งการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากความเชื่อมั่น การลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะเรื่องสำคัญคือการท่องเที่ยวซึ่งสามารถทำลายสถิติทั้งจำนวนและรายได้ เพราะปัจจุบันได้รับการยอมรับให้เป็นประเทศยอดนิยมอันดับโลก ยิ่งความเจริญมาสู่เอเชีย อาเซียนก็ยิ่งเข้มแข็ง
ดร.สมคิดย้ำว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ร่วมมือกับมิตรประเทศในทุกมิติ และเร่งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ไปสู่เมืองรอง กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นมากที่สุด
“แน่นอนที่สุดการพัฒนาบริการรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ใช้จ่ายสินค้าที่มีคุณภาพ นั้นทางกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ นับเป็นผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีที่ดีสุดของภูมิภาคเอเชียและติด 1 ใน 10 ของโลก ย่อมจะต้องมีบทบาทร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวของไทย ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดในหลายปีที่ผ่านมา คิง เพาเวอร์ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ช่วยนำสินค้าท้องถิ่นก้าวไปจำหน่ายสู่ตลาดโลก เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลต้องการนำสินค้าท้องถิ่นมาจำหน่ายเพิ่ม สร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย”
ดร.สมคิดกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคิง เพาเวอร์ จะมีส่วนร่วมกับรัฐบาลพัฒนาชุมชน แหล่งท่องเที่ยว ช่วยขยายนำพาสินค้าท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ท้องถิ่นก้าวไปสู่สายตาชาวโลกและนักลงทุนได้
ข่าวที่ 2 “ผู้ว่าฯยุทธศักดิ์มั่นใจปีจอต่างชาติเกิน37ล้านคน”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ประมวลสถานการณ์ท่องเที่ยวเริ่มสดใสตั้งแต่ช่วงเคาน์ดาวน์เรื่อยมาจนถึงงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ต่อเนื่องไปถึงตรุษจีนกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2561 แนวโน้มจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาไทยมากกว่า 37 ล้านคน เป็นกลุ่มคุณภาพที่พร้อมจะใช้จ่ายเงินตลอดทั้งปีกว่า 2 ล้านล้านบาท ส่วนคนไทยก็มีสัญญาณการใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นมีโอกาสที่จะทำให้รายได้เข้าเป้า 1 ล้านล้านบาท
ดังนั้นจะเป็นโอกาสในการกระจายรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวลงสู่ชุมชนท่องเที่ยวในระดับฐานราก ตามเมืองรองทั้ง 55 จังหวัด ทาง ททท.พร้อมสร้างกิจกรรมการสร้างแรงบันดาลใจโดยจะเข้าไปช่วยเตรียมความพร้อมตามท้องถิ่นด้วย เมื่อเสร็จจากเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 38 ก็จะต่อด้วยตรุษจีนและสงกรานต์ สิ่งที่ต้องการเห็นมากที่สุดคือ ความสุขของประชาชน รวมทั้งพร้อมจะตอบสนองนโยบายรัฐบาลกระจายเม็ดเงินสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโปรเจ็กต์ที่กำลังสร้างกระแสความนิยม Go Local-การท่องเที่ยวโดยชุมชนเข้มแข็ง ยั่งยืน
ข่าวที่ 3 “บางจากโชว์แนวรุกร้านกาแฟอินทนิลสู่ตลาดอินเตอร์”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าได้เป็นประธานการลงนามสัญญาการมอบสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ (Master Franchise) ระหว่าง บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ผู้ดูแล ร้านกาแฟอินทนิล กับบริษัท อาร์ซีจี รีเทล (กัมพูชา) จำกัด เพื่อเปิดบริการแฟล็กชิพสโตร์ สาขาแรกในกรุงพนมเปญ ภายในต้นปี 2561
นายวิบูลย์ วงสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด กล่าวว่า วางกลยุทธ์ขยาย ร้านกาแฟอินทนิลสู่ตลาดต่างประเทศด้วยคอนเซ็ปต์บริการแนวใหม่ที่หลากหลายมากกว่าร้านทั่วไป เช่นเปิด อินทนิล บิสโทร ตามต้นแบบสาขาแรกท่าอากาศยานดอนเมือง มีเบเกอรี่ อาหารมากมายให้เลือกซื้อทั้งสลัด สปาเกตตี ไอศกรีม หรือ อินทนิล การ์เด้น สร้างเอกลักษณ์การขายกาแฟออแกนิค อราบิก้า 100% ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของ ผู้บริโภคและก้าวขึ้นเป็นผู้นำกาแฟ ออแกนิค เช่นเดียวกับการทำในกัมพูชาและสปป.ลาว จะอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ More than just a high quality coffee ตั้งเป้าจะขยายในสองประเทศให้ได้กว่ากว่า 100 สาขา และเปิดแนวรุกธุรกิจนี้ไปยังประเทศอื่น ๆ ด้วย
สำหรับตลาดกาแฟในกัมพูชา และสปป.ลาว มีศักยภาพขยายตัวสูงมาก เพราะชาวกัมพูชาและลาวนิยมบริโภคกาแฟ ทางบริษัทจึงได้มอบสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ให้ บริษัท อาร์ซีจี รีเทล (กัมพูชา) จำกัด ซึ่งมีสาขาอยู่ในกัมพูชาและสปป.ลาว ตามแผนเปิดสาขาแรกที่เมืองเสียมราฐ และขยายสาขาแฟล็กชิพสโตร์ไปยังกลางกรุงพนมเปญ ช่วงต้นปี 2561 ส่วนใน สปป.ลาว สาขาแรกจะเปิดภายในไตรมาส 3 ปี 2561
ช่วงที่ 2 ชวนขึ้นอำเภอเขาค้อไปสัมผัสไอหนาวแบบชีลตามไร่ในชุมชนบนเนินเขาที่อยู่อย่างพอเพียงใน 4 แบบ 4 สไตล์ ใคร ๆ ก็เที่ยวได้ ส่วนเด็กไทยทาง สสส.เพิ่มช่องทางกระตุ้นเด็กไทยให้รู้เท่าทันสื่อดิจิตอลเพื่อความสุขของทุกคนในครอบครัว ส่วนข่าวท้ายชั่วโมงต้อง “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” รัฐมนตรีช่วยคมนาคมสรุปชัด ๆ เรื่องที่เข้าไปลุยเคลียร์ความจริงในสุวรรณภูมิ 4 เรื่อง
@ตลุยเขาค้อทัวร์ไร่ชุมชน4สไตล์เกษตรเมืองหนาว
ช่วงมกราคมนี้มีสถานที่พักผ่อนในบรรยากาศเย็นสบาย ๆ ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ มาชวนไปท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ หลายแห่งทั้งชีลและชิคท่ามกลางธรรมชาติและชุมชนเกษตรวิถีเกษตร
สถานที่แรก “เขาค้อเฮอร์เบอรี่ ออแกนิกฟาร์ม แอนด์รีสอร์ท -เขาค้อทะเลภู” ที่ตำบลทุ่งสมอ ที่ได้นำที่ดินกว่า 200 ไร่ เนรมิตให้เป็นบ้านธรรมชาติและความงามแห่งชีวิต เหมาะกับคนรักสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รอบบริเวณจะมี สวน ไร่นา ผัก สมุนไพร ไม้ดอก เมืองหนาว เป็นศูนย์กลางวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาเพื่อการพึ่งพาตนเอง ที่สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์หลายต่อหลายสถาบันให้การรับรองทั้งจาก ACT. EU IFOAM จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่กวาดรางวัลอตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) ประจำปี 2556 มาการันตี
การท่องเที่ยว เขาค้อเฮอร์เบอรี่ ออแกนิกฟาร์ม แอนด์รีสอร์ท มีเรื่องราวมากมายให้ชมทั้ง แปลงสวนเกษตรอินทรีย์ ระบบนิเวศป่าที่ทะเลภูสร้างมานานกว่า 20 ปี ชาวบ้านในท้องถิ่นแห่งนี้มีความรู้ในการทำปุ๋ยอินทรีย์ แปรรูผลผลิตการเกษตร เมนูอาหาร ทำเครื่องดื่มสมุนไพร สบู่ แชมพู ยาสีฟัน
แห่งที่สอง “ไร่จ่านรินทร์” คอกาแฟพันธุ์อาราบิก้าต้องห้ามพลาด เพราะที่นี่มีกาแฟคั่วรสเข้มช้น ปลูกแบบปลอดสารแล้วทำเองทุกขั้นตอน ทั้งการเก็บ คั่ว บรรจุถุง และไปวางขาย ความหอมกรุ่นของกลิ่นกาแฟมีส่วนผสมของจิตวิญญาณภูมิปัญญาพื้นบ้านอยู่ทุกอนู
การเที่ยวไร่กาแฟของนายดาบตำรวจนรินทร์ ศรีมรกตมงคล เจ้าของ “ไร่จ่านรินทร์ กาแฟคั่ว” คือการชมกรรมวิธีปลูกพืชเมืองหนาวทั้ง กาแฟ อโวคาโด้ กล้วย เกษตรสวนผสม การแปรรูปพืชผลต่าง ๆ
แห่งที่สาม “ไร่อะเมโซน” อยู่ในตำบลสิมสีม่วง อำเภอเขาค้อ เป็นไร่เกษตรปลอดสารพิษอีกแห่ง ซึ่งมีเรื่องราวตำนานความรักในวิถีเกษตรของสามีภรรยา อาจารย์สุขกมล กับอาจารย์ อรุณ จิตรสมร ที่มาใช้ชีวิตหลังเกษตรปลูกพืชไร่บนเนินเขาเล็กมีทิวทัศน์สวยงาม เลือกปลูกแปลงผักนานาชนิด แปลงสตอร์เบอร์รี่ และผลไม้หลายอย่าง รวมถึงไฮไลต์การให้นักท่องเที่ยวได้ไปเก็บผักมาทำอาหาร ทำชาจากข้าวไร่ลืมผัว
ส่งท้ายแห่งที่สี่ “สถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ” ที่บ้านเสลียงแห้ง ตำบลสะเดาะพง เป็นแหล่งทดลองปลูกพืชไม้เมืองหนาวของสถาบันวิจัยพืชสวนกรมวิชาการเกษตร เมื่อได้ไปเยือนจะได้เห็น พลับฝาด พลับเนคตาซีน แมคคาเดเมียนัท กาแฟ มะกอกน้ำ และมีการส่งเสริมปลูกมะระหวาน ทุก ๆ อย่างในสถานีแห่งนี้ทำเพื่อช่วยสร้างเงินสร้างงานให้แก่ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย และนักท่องเที่ยวได้มีอาหารจากผักเมืองหนาวหายากไว้รับประทาน และเจ้าหน้าที่ต่างยินดีจะพานำชมพร้อมบรรยายอย่างละเอียด เพื่อการท่องเที่ยวอย่างลึกซึ้ง
เที่ยวเพชรบูรณ์มุมใหม่ปีจอ กับเกษตรวิถีไทยตามไร่ต่าง ๆ ในอำเภอเขาค้อ สวิตเซอร์แลนด์ เมืองไทย พร้อมจะเปิดไร่ในชุมชนต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มที่ 1672
@สสส.ช่วยเด็กยุคใหม่รู้เท่าทันสื่อดิจิตอล
ปัจจุบันสื่อมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นทุกขณะ ยุคกระแสของโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เด็ก ๆ ใช้เวลาอยู่กับสื่อรอบตัวมากกว่าการทำกิจกรรมอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจมากกว่า สื่อจึงกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทรงอิทธิพลและยอดนิยมต่อเด็กและเยาวชนที่สามารถถ่ายทอดสิ่งต่างๆ สู่เด็กโดยตรง และผลกระทบที่ตามมาคือ เด็กจะเสพสื่อที่มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะพฤติกรรมทางเพศ ความรุนแรง และการบริโภคนิยม สึ่งนี้จะส่งผลเสียต่อเด็ก ครอบครัว ชุมชนและสังคมต่อไปในอนาคต
ดังนั้นเพื่อให้เด็กไทยสามารถแยกแยะสื่อจากพื้นฐานความรู้ที่เข้มแข็ง โดยการรู้เท่าทันสื่อและนำสื่อไปใช้อย่างสร้างสรรค์ รวมไปถึงการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้สร้างสรรค์สื่อมากขึ้น สสส. จึงร่วมกับ สื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) และแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ภาคีเครือข่าย ร่วมรณรงค์และขับเคลื่อนความรู้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งสื่อออนไลน์ หนังสือนิทาน อินโฟกราฟฟิก ฯลฯ เพื่อช่วยให้เด็กไทยและผู้ผลิตสื่อใช้พลังของการสื่อสารสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น
การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล ถือเป็นคุณสมบัติของเยาวชนในศตวรรษที่ 21 ที่สามารถเลือกรับ วิเคราะห์ ประเมิน และนำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ในทางสร้างสรรค์ รวมทั้งความสามารถในการผลิตสื่อที่ดีเพื่อขับเคลื่อนสังคม อย่างสร้างสรรค์
โดยได้จัดทำข้อมูลให้เด็กไทยรู้เท่าทันสื่อดิจิตอลไว้ในเว็บไซต์ สถาบัน สื่อ เด็ก และ เยาวชน ของสื่อประชาสัมพันธ์แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.childmedia.net และเว็บไซต์แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน www.happyreading.in.th
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “ไพรินทร์เคลียร์4ปมในสุวรรณภูมิถูกต้องตามสัญญา”
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าได้นำทีมตรวจการบริการทุกส่วนที่เป็นข้อร้องเรียนในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยมี นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย ตำกัด (มหาชน) พร้อมผู่บริหาร พาตรวจทุกจุดใน 4 เรื่องหลัก คือ 1.ราคาอาหารและเครื่องดื่มในสนามบิน 2.ห้องน้ำ 3.รถเข็นกระเป๋า 4.ค่าธรรมเนียมผู้โดยสารสนามบินเดินทางระหว่างประเทศ
เรื่องแรก การสำรวจราคาอาหารและเครื่องดื่ม ได้ไปพูดคุยกับผู้ขายและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการ จุดแรก คือ ร้านอาหารในโซนเมจิกฟู้ด ขนาดพื้นที่ 600 ตารางเมตร จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ด้านนอกก่อนผ่านพิธีการเข้าออกเมือง ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 ประตูทางเข้าหมายเลข 8 มีร้านอยู่ประมาณ 40 แผง เป็นเมนูข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง เครื่องดื่มครบ สนนราคาจานละ 30 บาทขึ้นไป ใกล้เคียงกับร้านทั่ว ๆ ไป ขายราคาเช่นเดียวกันน้ำเปล่าขวดละ 10 บาท น้ำอัดลมกระป๋องละ 15 บาท ส่วนบริเวณชั้น 2 มีร้าน Family Mart ราคาปกติใกล้เคียงกับร้านด้านนอกสนามบิน ชั้น 3 โซนร้านอาหารแบรนด์ดังและร้านอาหารทั่วไป ราคาเริ่มต้นที่ 50 บาทขึ้นไป
ส่วนร้านอาหารภายในบริเวณด้านในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ( (landside) ร้านต่าง ๆ ก็สามารถขายในราคาตามข้อกำหนดคือไม่เกิน 20-25 % อีกทั้งภายในร้าน Booth ตรงบริเวณโซน D มีน้ำเปล่าราคาขวดละ 8 -10 บาท และมีจุดบริการตู้กดน้ำดื่มฟรี ภายในบริเวณแลนด์ไซด์กระจายอยู่ทั่วทุกโซนไม่ต่ำกว่า 40 จุด
เรื่องที่ 2 ห้องน้ำ ทอท.วางแผนใช้งบประมาณราว 300.4 ล้านบาท เพิ่มในส่วนบริการผู้โดยสาร 122 จุด กำลังทยอยสร้างระหว่าง 2560-2562 โดยมีพันธมิตรกลุ่มSCG เข้ามาสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์จากสแตนเลสเป็นเซรามิก และหลังจากนี้ไปจะใช้ผลิตภัณฑ์ของคอตโต้
เรื่องที่ 3 การจัดซื้อรถเข็นกระเป๋าผู้โดยสาร ก็เป็นไปตามมาตรฐานการจัดซื้อปกติ มีจำนวน 10,000 คัน ซึ่งถูกต้องตามสัญญาที่ ทอท.ระบุไว้
เรื่องที่ 4 การจัดเก็บค่าธรรมเนียมโดยสารสนามบินเดินทางระหว่างประเทศ ก็เก็บตามปกติคือคนละ 700 บาท ส่วนชาวไทย เก็บคนละ 100 บาท ปัจจุบันคิดราคารวมอยู่ในตั๋วโดยสารเดินทางของสายการบิน
นายไพรินทร์ย้ำว่าทั้ง 4 เรื่องที่ไปตรวจสอบนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่พึงพอใจอีกทั้ง ยังคงให้ ทอท.ยึดมั่นตามกติกาสัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับเอกสาร โดยเฉพาะพื้นที่เชิงพานิชย์ ที่ตั้งร้านอาหารและเครื่องดื่ม จนกว่าสัญญาจะหมดในอีก 2-3ปีข้างหน้า หลังจากนั้นจึงจะมาพิจารณากันใหม่ถึงแนวทางที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคตต่อไป
ข่าวที่สอง “นกแอร์ยึดหัวหาดบินเมืองรองอีสานอุบล-อุดร”
สายการบินนกแอร์ รายงานว่าได้เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์เส้นทางอุดรธานี-อุบลราชธานี อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สัปดาห์ละ 3 เที่ยว ใช้เครื่องบินแบบ Q400 ขนาด 86 ที่นั่ง ด้วยรหัสเที่ยวบิน DD9011 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานอุดรธานี เวลา 11.05 น. ถึงอุบลราชธานี เวลา 12.05 น. เป็นกลยุทธ์รองรับความต้องการเดินทางในอีสาน ระหว่าง 2 เมืองใหญ่ เพื่อเชื่อมประตูอีสานสู่เส้นทางใกล้เคียงที่สามารถเดินทางต่อไปยัง สปป.ลาว และกัมพูชา
ข่าวที่สี่ “นกสกู๊ตบินซีอานเจาะตลาดจีนบุกเที่ยวไทย”
นายยอดชาย สุทธิธนกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารรสายการบินนกสกู๊ต กล่าวว่า ได้เปิดเส้นทางบินใหม่ ไป-กลับ กรุงเทพฯ-ซีอาน” เป็นเมืองที่ 6 ในการบินเข้าจีน เริ่มเมื่อ 19 มกราคม 2561 เป็นต้นมา บริการด้วยฝูงบินโบอิ้ง B777-200 สัปดาห์ละ 4 เที่ยว ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าจีนที่แห่กันมาท่องเที่ยวเมืองไทย รวมทั้งในวันเปิดเส้นทางบินยังได้นำการแสดงมวยไทยโชว์ให้ชาวซีอานชื่นชมวัฒนธรรมไทยที่มีเอกลักษณ์ดึงดูดความสนใจเพิ่มมากขึ้นด้วย
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ทาง สวท.FM 97.0 เวลา 11.00-12.00 น.
ตามครม.ลุยสร้างแบรนด์เมืองรองอีสาน/เหนือแจ้งเกิด
“สมคิด”ปลื้มคิงเพาเวอร์ดันชุมชนฐานรากสู่ตลาดโลก
“ยุทธศักดิ์”มั่นใจต่างชาติเที่ยวไทยปีจอเกิน37ล้านคน
บางจากขยายร้านกาแฟอินทนิลบุกอาเซียน-อินเตอร์
ทัวร์หนาวๆในไร่ชุมชนบนเนินเขาค้อ4สไตล์ความสุข
“ไพรินทร์”เคลียร์ปมสุวรรณภูมิ4เรื่องถูกตามสัญญา
นกแอร์ยึดเมืองใหญ่แดนอีสานเปิดบิน“อุบล-อุดร”
นกสกู๊ตชิงเปิดบินกรุงเทพฯ-ซีอานรับคลื่นตรุษจีน
สวัสดีวันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
ช่วงที่ 1 คุณธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะมาถอดรหัสความร้อนแรงของการสื่อสารตลาดเชิงรุก จาก “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2561” ทำเอาสวนลุมพินีแทบแตกตั้งแต่วันแรกส่วนรายได้ก็ทะลุ 500 ล้านบาท แล้วในช่วงเทศกาล “ตรุษจีน” กลางเดือนกุมภาพันธ์นี้คลื่นมหาชนจีนจะหลั่งไหลเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวเมืองรองในภาคตะวันออกและ นครสวรรค์สู่จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ไฮไลต์อีกเรื่องคือถึงเวลา ททท.ต้องตามรอย ครม.สัญจรเข้าไปสร้างแบรนด์เมืองรองในกาฬสินธ์ แม่ฮ่องสอน นำท่องเที่ยวเข้าไปคลี่คลายความเหลื่อมล้ำตามชุมชนฐานรากของประเทศ
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) |
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า กลยุทธ์การเร่งขับเคลื่อนตลาดการท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นปีด้วยงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 38” ระหว่างวันที่ 17-21 มกราคม 2561 ตลอด 5 วันกระแสตอบรับความสำเร็จดีเกินคาดจะสามารถทำรายได้ถึง 500 ล้านบาท ประเมินได้จากการเปิดงานวันแรกเมื่อ 17 มกราคม มีคนเข้าชมงานพร้อมใช้จ่ายเงินซื้อผ้าพื้นเมืองเหนือ อีสาน ใต้ และอาหารถิ่น ขายดี และตลอดงานจำนวนผู้เข้างานจะมากกว่า 600,000 คน
เป็นสถานการณ์ดีต่อเนื่องจากกระแสการท่องเที่ยวและใช้จ่ายเงินช่วง “Amazing Thailand Countdown” 31 ธันวาคม 2560- 1 มกราคม 2561 ผลปรากฏว่าการท่องเที่ยวเมืองรองซึ่ง ททท.ไฮไลต์เป็นสถานที่จัดงานประสบความสำเร็จทำรายได้เมืองละ 500 ล้านบาท รวม 5 จังหวัดก็นำเม็ดเงินกระจายสู่พื้นที่ราว 2,500 ล้านบาท แล้วจากนั้นอีก 2 สัปดาห์ต่อมา ก็ได้จัดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2561 ช่วยท้องถิ่นและเมืองท่องเที่ยวรองนำสินค้าทั่วประเทศมาขายใจกลางกรุงด้วย
ทั้งสองงานที่ผนวกสร้างรายได้ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่เร่งผลักดันการเสนอขายเมืองรองอย่างชัดเจน จึงทำให้งานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยที่จัดช่วงต้นปี ตัวเลขทะลุเป้าตั้งแต่วันแรกนั่นเอง ดังนั้นอัตราการเพิ่มของจำนวนและรายได้ผู้เข้างานนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 10-15 % เป็นผลมาจากการวางแผนและจัดทำผังงานได้เป็นอย่างดี สร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายเงินเต็มที่ โดยเฉพาะผ้าพื้นเมืองรุ่น Limited ต้องจองคิวแล้วไปรับภายหลัง ส่วนอาหารท้องถิ่นก็ขายดีมากเช่นกัน
ส่วนการวางแผนเพื่อจัดทำแผนสื่อสารการตลาดเพื่อให้เกิดการเดินทางต่อเนื่องหลังจากได้เข้ามาเที่ยวงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทยเรียบร้อยแล้ว จะทำ 3 ส่วน คือ 1.ดึงสินค้าและเส้นทางท่องเที่ยวชัด ๆ ขึ้นมาขาย รวมทั้งให้ชุมชนเตรียมความพร้อมควบคู่กันไป ทาง ททท.ฝ่ายสินค้าและตลาดในประเทศที่ดูแลสำนักงานทั่วประเทศ 40 แห่ง พร้อมใจกันพัฒนาท่องเที่ยวเมืองหลักขยายไปยังเมืองรอง 2.การนำเครื่องมือทางการสื่อสารเข้ามาใช้เต็มรูปแบบ ตามช่องทางสื่อที่มีอยู่จำนวนมาก ตัวอย่าง จะร้อยเรียงการสื่อสารจากเวทีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร 3.โปรโมตเมืองท่องเที่ยวรองให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีแบรนด์โดนใจ ทั้งที่ กาฬสินธุ์ และแม่ฮ่องสอน ซึ่งผมจะลงพื้นที่ไปหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อหาบุคลิกของกาฬสินธุ์ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวเป็นจุดขายไฮไลต์คือ “ไดโนเสาร์” เบื้องต้นในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ได้นำไดโนเสาร์จำลองมาอยู่ในบริเวณพบว่าได้รับสนใจจากเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องหารือกับทางกาฬสินธุ์ทำเรื่องแบรนด์ไดโนเสาร์เชื่อมโยงไปถึงขอนแก่นได้ด้วย เป็นการสร้างแบรนด์เพื่อกระตุ้นรายได้ให้เข้าไปเร็วที่สุด เพื่อการทำเดินหน้าทำแบรนดิ้งกาฬสินธุ์ให้ชัด
อีกทั้งทาง ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังให้นโยบายช่วงสงกรานต์ให้มีภาพของนักท่องเที่ยวเล่นหยอกล้อกับไดโนเสาร์ นำไปสู่การขยายผลโปรโมตเชื่อมโยงเข้าด้วยกันในหลายจังหวัดภาคอีสานต่อไป เป็นภารกิจของฝ่ายสื่อสารการตลาด ททท.ที่จะต้องรุกหนักอย่างรวดเร็ว
จากนั้นจังหวัดเป้าหมายต่อไปคือ “แม่ฮ่องสอน” ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เข้าพัฒนาทางด้านซัพลลายไซต์ ทางคมนาคมก็ได้เข้าเชิญชวนให้สายการบินเปิดเที่ยวบินเพิ่มมากขึ้น และด้วยทัศนียภาพของเมืองอยู่บนภูเขาสูง ททท.คาดหวังหากมีสายการบินเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้นก็จะเริ่มมีนักท่องเที่ยวไหลเข้าไปมากขึ้น เพราะปัจจุบันเดินทางรถค่อนข้างจะผ่านโค้งจำนวนมาก ในมุมการโปรโมตไม่น่าหนักใจเพราะช่องทางของ ททท.ทำได้ทั้งออนและออฟไลน์ แต่ต้องไปคุยกับทางท้องถิ่นให้ชัดถึงตัวตนของพื้นที่ ซึ่งเป็นหลักการทำโปรโมตต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วมนำเสนอจุดขายและอัตลักษณ์แต่ละแห่ง
การผลิตสื่อโฆษณาแนวใหม่ ๆ ททท.ได้ตั้งโจทก์ต้องผลิตภาพยนต์โฆษณาให้โด่งดังมุ่งเข้าสู่เมืองรอง ขณะนี้กำลังเปิดแข่งขันบริษัทเอเย่นต์ซี่โฆษณาที่จะเข้ามารับผิดชอบการผลิตโปรดักชั่น ส่วนแนวคิดเนื้อหาคอนเซ็ปต์หลักทาง ททท.จะดูแลเอง โดยจะใช้ซิลิบริตี้เป็นการนำ เน้นความพอเพียง เป็นจริงจัง และต้องแน่ใจเมื่อสร้างกระแสแล้วต้องทำให้ท้องถิ่นชุมชนเกิดรายได้จริง จึงต้องบูรณาการหลายส่วนเข้าด้วยกันมีอีเวนต์เข้ามาเสริมต้องเกี่ยวโยงไปถึงเชิง CSR การโฆษณาด้วย
สำหรับช่วงเทศกาลตรุษจีนเตรียมโปรโมตเพื่อรองรับการหลั่งไหลของคลื่นนักท่องเที่ยวจีน นั้น จะขยายไปสู่ท่องเที่ยวเมืองรอง ด้วยความสัมพันธ์ชาวไทยเชื้อสายจีนจะเพิ่มฐานเมืองหลัก ๆ กรุงเทพฯ นครสวรรค์ ผนวกสู่เมืองต่อเนื่องดึงจากการกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เดิมแล้วค่อยทยอยไปสู่พื้นที่ใกล้เคียง เช่น ชลบุรี ไปยังระยอง จันทบุรี หรือนครสวรรค์ไปพิษณุโลก อาจจะไม่ได้เร่งรัดถึงขนาดต้องเปิดเมืองใหม่ให้นักท่องเที่ยวจีนทะลักเข้าไป เพราะนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องกวักคนเข้าพื้นที่โดยดูความพร้อมของชุมชนด้วย
การโปรโมตเมืองรองไม่ได้เน้นการสร้างดีมานต์จนมากเกินไป แต่จะเน้นการสื่อสารตลาดให้เกิดความเข้าใจและภาพจำของทั้งฝั่งดีมานต์กับซัพพลายซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ท่องเที่ยวขอให้ภูมิใจเป็นเจ้าของบ้าน สิ่งที่ต้องใส่เป็นพิเศษคือต้องช่วยกันสอดส่องดูแลเรื่องห้ามหลอกลวงนักท่องเที่ยว เรื่องมาตรการความปลอดภัย เพราะธรรมชาติของคนไทยอัธยาศรัยไมตรีดีอยู่แล้ว หลักดังกล่าวนี้สามารถที่จะใช้ได้กับการต้อนรับดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยควบคู่กันไป เพื่อทำให้การกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เป็นรูปธรรมจับต้องได้ หากทุกฝ่ายร่วมมือกันทำภารกิจของตนเองให้เข้มแข็ง
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “สมคิดปลื้มคิงเพาเวอร์ต้นแบบช่วยเศรษฐกิจชุมชนชาติ”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดได้ยิ่งใหญ่ในงาน Grand Opening : The New King Power Rangnam : Explore Endless Journey เปิด “คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ รางน้ำ” เมื่อค่ำคืนวันที่ 18 มกราคม 2561 สอดคล้องกับการลงทุนกว่า 2,500 ล้านบาท เนรมิตใหม่ในพื้นที่กว่า 22,000 ตารางเมตร ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่แห่งกรุงเทพมหานคร ผู้นำธุรกิจค้าปลีกในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของคนไทยก้าวสู่ความภาคภูมิใจสร้างชื่อเสียงในระดับโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์ Expolre Endlessly Jouney -การค้นพบไม่มีวันสิ้นสุด โดยได้แต่งตั้ง “ฟ่าน ปิงปิง” ดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังเป็น Global Ambassador ตลอดปี 2561 เพื่อทำให้ทั่วโลกรู้จักประเทศไทยและการท่องเที่ยวอย่างแพร่หลายเป็นวงกว้างมากขึ้น นำรายได้เข้าประเทศเพิ่มตามเป้าหมายของรัฐบาล
กลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้ตอกย้ำถึงการดำเนินธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยวมาตลอด 28 ปี ได้สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศรวมมูลค่านับล้านล้านบาท ประการสำคัญ จุดเริ่มต้นเปิดกิจการร้านค้าปลอดอากร (duty free) มาตั้งแต่ปี 2532 ในอาคารมหาทุนพลาซ่า กระทั่งปีปี 2549 ได้ย้ายมาเปิดสำนักงานใหญ่บริเวณรางน้ำ ขยายแนวธุรกิจดิวตี้ฟรีแบบครบวงจรทั้ง ในเมือง (duty free downtown) ในท่าอากาศยานานาชาติ (duty free Airport) และบนเครื่องการบินไทย (duty free onbroad) จากนั้นในปี 2553 เริ่มเข้าไปลงทุนทางด้านกีฬาอย่างเต็มตัวด้วยการซื้อสโมสรฟุตบอลเก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ “เลสเตอร์ ซิตี้” ล่าสุดปี 2560 ซื้อสโมสรฟุตบอล OHL ในเบลเยี่ยมเพิ่มอีกแห่ง เพื่อเป็นช่องทางพัฒนาเยาวชนไทยได้ใช้เป็นศูนย์ฝึกทักษะ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ สร้างโอกาสใหม่ก้าวสู่นักเตะแถวหน้าของโลกในอนาคต
ด้วยปนิธานอันแน่วแน่ของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป้าหมายสำคัญคือมุ่งมั่นการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อชุมชน ร่วมกับพาณิชย์ มหาดไทย และอุตสาหกรรม นำสินค้า SMEs และสินค้าประชารัฐ มาจำหน่ายในร้านค้าดิวตี้ฟรีร่วมกับแบรนด์เนมชั้นนำให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ขณะเดียวกัน “KING POWER THAI POWER” 4 โปรเจ็กต์ของธุรกิจเพื่อตอบแทนสังคม (CSR) ร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทยทั้งประเทศ เริ่มจาก SPORT POWER ให้ทุนการศึกษาไปเรียนในเลสเตอร์ ซิตี้ พัฒนาฝีเท้าเด็กไทย เพื่อกลับมาสร้างโอกาสของวงการฟุตบอล พร้อมกับให้เด็ก ๆ ก้าวไปสู่คนคุณภาพ ด้วยการสร้างสนามฟุตบอลทั่วประเทศไทยอีก 100 แห่ง ควบคู่กับแจกลูกฟุตบอล “ล้านลูก ล้านพลัง สานฝันเด็กไทย” ต่อด้วย MUSIC POWER จัดเวทีให้เยาวชนไทยร่วมแข่งขันร้องเพลง Community POWER คัดสรรแบรนด์ไทยภูมิปัญญาท้องถิ่นมาจำหน่ายในร้านสาขาคิง เพาเวอร์ ทำให้ผลิตภัณฑ์คนไทยแพร่หลายทั่วโลก โดยได้ช่วยเหลือชุมชนกว่า 154 กลุ่ม มีความเป็นอยู่ที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น และ Education POWER ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาและสาธารณสุข
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้นำเสนอต่อผู้เข้าร่วมฉลองความสำเร็จในงาน งาน Grand Opening : The New King Power Rangnam ในฐานะผู้ให้บริการร้านค้าปลอดอากร สนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอย่างจริงจัง ภาคภูมิใจในการมีส่วนช่วยประเทศ สร้างรายได้เข้าประเทศ สร้างงาน สร้างอาชีพ พร้อมทั้งยังชำระค่าตอบแทนภาครัฐที่เกี่ยวข้องกว่า 80,000 ล้านบาท และจ่ายภาษีคืนรัฐ 25,000 ล้านบาท รวมแล้วจ่ายไปกว่า 100,000 ล้านบาท อีกทั้งยังเดินหน้าสนับสนุนสินค้าของคนไทยทางช่องทางเอสเอ็มอีและระดับชุมชนนำสินค้ามาขายก้าวสู่ตลาดสากลต่อไป
ปัจจุบันกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มีคู่ค้าผู้ผลิตสินค้าไทยที่เข้ามาวางจำหน่ายในดิวตี้ฟรีกว่า 1,100 ราย และคิง เพาเวอร์มียอดสั่งซื้อสินค้าชุมชนไทยตั้งแต่ปี 2532 มูลค่ารวมถึง 50,000 ล้านบาท
ปัจจุบันคิง เพาเวอร์ ได้รับการจัดอันดับให้มียอดขายหมุนเวียนสูงอันดับ 7 ของโลก แต่สิ่งที่มีมากกว่านั้นคือบริษัทได้สนับสนุนสินค้าของคนไทยด้วยกัน สร้างรายได้ สร้างอาชีพ สร้างงานให้ชุมชน ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย สร้างความภาคภูมิใจจนได้รับรางวัลทั้งในประเทศและทั่วโลกกว่า 100 รางวัล ความสำเร็จทั้งหมดเป็นผลมาจากได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากหน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ คู่ค้า สถาบันการเงิน ลูกค้า และนักท่องเที่ยว
ก้าวต่อไปของคิง เพาเวอร์ คือการสนับสนุนคนไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับโลก ในฐานะบริษัทธุรกิจท่องเที่ยวของคนไทย ทำเพื่อคนไทย
“อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า เดอะ นิว คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เป็นร้านค้าปลอดอากรในเมืองและอยู่คู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมาอย่างยาวนาน และไม่ได้เป็นเฉพาะช่องทางยังทำให้สังคมโลก และเป็นการค้าระหว่างประเทศ ต่อยอดให้กับธุรกิจของไทยได้ทุกส่วน อีกทั้งยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามายังไทย ผนวกกับมีแหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม อาหารที่อุดมสมบูรณ์ คนไทยจิตใจเป็นมิตร จึงทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์รวมความต้องการของคนทั่วโลกอยากแวะเวียนมาท่องเที่ยว ตามที่รัฐบาลให้ความสำคัญการสนับสนุน ทางคิง เพาเวอร์ จึงตระหนักถึงความสำคัญของร้านค้าปลีกและการท่องเที่ยวที่จะเป็นพลังสำคัญทางเศรษฐกิจ
จึงพร้อมมุ่งมั่นสร้างคุณภาพทั้งเรื่องการลงทุน บุคลากร การตลาด แม้กระทั่งการพัฒนาสินค้าและบริการ ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยให้ลงทุนปรับปรุงร้านค้าปลอดอากรในเมืองครั้งใหญ่ ที่ คิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์รางน้ำ เป็นการปรับโฉมภาพลักษณ์ให้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง เน้นพัฒนาเป็นร้านค้าปลอดอากรที่ผสมผสานไปกับบริการอื่น ๆ ที่จะกระตุ้นนักท่องเที่ยวทั่วโลกและชาวไทยด้วยกัน มีทั้งร้านอาหาร ห้องรับรอง บริการฟรีรถชัตเติลบัส และสินค้าไทยต่าง ๆ โดยการสนับสนุนของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย เป็นการสร้างภาพลักษณ์แก่ร้านค้าปลอดอากรในเมือง อีกทั้งภายในร้านยังเต็มไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย รวมถึงความหรูหรา ความสะดวกสบายทางบริการ ครอบคลุมทุกมิติ ภายใต้คอนเซ็ปต์แนวคิด Explore Endlessly Jouney เพื่อตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยว นักเดินทางจากทั่วโลกและชาวไทยที่ปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาที่ไม่มีวันสิ้นสุดเช่นกัน
นายอัยวัฒน์กล่าวว่าทางด้านการตลาด กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ยังได้แต่งตั้ง “ฟ่าน ปิง ปิง” ศิลปินฮอลิวู้ด ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลกเป็น Global Ambassador ของคิง เพาเวอร์ ตลอดปี 2561 เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์บริษัทให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก โดยเฉพาะธุรกิจร้านค้าปลอดอากรของคนไทย อีกทั้งหวังเป็นอย่างยิ่งในการทำให้ประเทศไทยและเรื่องราวอื่น ๆ เช่น สินค้าไทย ได้รับความสนใจและเป็นที่รู้จักทั่วทุกมุมโลกมากยิ่งขึ้น นอกจากบริษัทจะได้รับการจัดอันดับมียอดขายอันดับ 7 ของโลก ยังมีจุดมุ่งหมายผลักดันการเติบโตเคียงคู่ไปกับการพัฒนาประเทศไทยในทุกด้านอย่างมั่นคงและยั่งยืน
“ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานงาน Grand Opening The New King Power Rangnam กล่าวว่า กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นผู้นำการจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนม สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพของบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพระดับโลกและมีความสำคัญต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ตามสถานการณ์ปัจจุบันไทยกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่มีความมั่นคงอย่างแท้จริง สอดคล้องกับอนาคตข้างหน้า ประเมินจากความสำเร็จในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา GDP ของไทยเติบโต 4.3 % ไตรมาส 4 แนวโน้มจะเกิน 4 % รัฐบาลจึงมั่นใจจะเห็นความคึกคักและแรงส่งจากการลงทุนขนาดใหญ่ รวมทั้งการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากความเชื่อมั่น การลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะเรื่องสำคัญคือการท่องเที่ยวซึ่งสามารถทำลายสถิติทั้งจำนวนและรายได้ เพราะปัจจุบันได้รับการยอมรับให้เป็นประเทศยอดนิยมอันดับโลก ยิ่งความเจริญมาสู่เอเชีย อาเซียนก็ยิ่งเข้มแข็ง
ดร.สมคิดย้ำว่า รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ร่วมมือกับมิตรประเทศในทุกมิติ และเร่งพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ ไปสู่เมืองรอง กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นมากที่สุด
“แน่นอนที่สุดการพัฒนาบริการรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ใช้จ่ายสินค้าที่มีคุณภาพ นั้นทางกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ นับเป็นผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีที่ดีสุดของภูมิภาคเอเชียและติด 1 ใน 10 ของโลก ย่อมจะต้องมีบทบาทร่วมในการพัฒนาการท่องเที่ยวของไทย ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดในหลายปีที่ผ่านมา คิง เพาเวอร์ ได้เข้าไปมีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ช่วยนำสินค้าท้องถิ่นก้าวไปจำหน่ายสู่ตลาดโลก เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลต้องการนำสินค้าท้องถิ่นมาจำหน่ายเพิ่ม สร้างรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย”
ดร.สมคิดกล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคิง เพาเวอร์ จะมีส่วนร่วมกับรัฐบาลพัฒนาชุมชน แหล่งท่องเที่ยว ช่วยขยายนำพาสินค้าท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์ท้องถิ่นก้าวไปสู่สายตาชาวโลกและนักลงทุนได้
ข่าวที่ 2 “ผู้ว่าฯยุทธศักดิ์มั่นใจปีจอต่างชาติเกิน37ล้านคน”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ประมวลสถานการณ์ท่องเที่ยวเริ่มสดใสตั้งแต่ช่วงเคาน์ดาวน์เรื่อยมาจนถึงงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ต่อเนื่องไปถึงตรุษจีนกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2561 แนวโน้มจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาไทยมากกว่า 37 ล้านคน เป็นกลุ่มคุณภาพที่พร้อมจะใช้จ่ายเงินตลอดทั้งปีกว่า 2 ล้านล้านบาท ส่วนคนไทยก็มีสัญญาณการใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นมีโอกาสที่จะทำให้รายได้เข้าเป้า 1 ล้านล้านบาท
ดังนั้นจะเป็นโอกาสในการกระจายรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวลงสู่ชุมชนท่องเที่ยวในระดับฐานราก ตามเมืองรองทั้ง 55 จังหวัด ทาง ททท.พร้อมสร้างกิจกรรมการสร้างแรงบันดาลใจโดยจะเข้าไปช่วยเตรียมความพร้อมตามท้องถิ่นด้วย เมื่อเสร็จจากเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 38 ก็จะต่อด้วยตรุษจีนและสงกรานต์ สิ่งที่ต้องการเห็นมากที่สุดคือ ความสุขของประชาชน รวมทั้งพร้อมจะตอบสนองนโยบายรัฐบาลกระจายเม็ดเงินสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านโปรเจ็กต์ที่กำลังสร้างกระแสความนิยม Go Local-การท่องเที่ยวโดยชุมชนเข้มแข็ง ยั่งยืน
ข่าวที่ 3 “บางจากโชว์แนวรุกร้านกาแฟอินทนิลสู่ตลาดอินเตอร์”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าได้เป็นประธานการลงนามสัญญาการมอบสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ (Master Franchise) ระหว่าง บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ผู้ดูแล ร้านกาแฟอินทนิล กับบริษัท อาร์ซีจี รีเทล (กัมพูชา) จำกัด เพื่อเปิดบริการแฟล็กชิพสโตร์ สาขาแรกในกรุงพนมเปญ ภายในต้นปี 2561
นายวิบูลย์ วงสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด กล่าวว่า วางกลยุทธ์ขยาย ร้านกาแฟอินทนิลสู่ตลาดต่างประเทศด้วยคอนเซ็ปต์บริการแนวใหม่ที่หลากหลายมากกว่าร้านทั่วไป เช่นเปิด อินทนิล บิสโทร ตามต้นแบบสาขาแรกท่าอากาศยานดอนเมือง มีเบเกอรี่ อาหารมากมายให้เลือกซื้อทั้งสลัด สปาเกตตี ไอศกรีม หรือ อินทนิล การ์เด้น สร้างเอกลักษณ์การขายกาแฟออแกนิค อราบิก้า 100% ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของ ผู้บริโภคและก้าวขึ้นเป็นผู้นำกาแฟ ออแกนิค เช่นเดียวกับการทำในกัมพูชาและสปป.ลาว จะอยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ More than just a high quality coffee ตั้งเป้าจะขยายในสองประเทศให้ได้กว่ากว่า 100 สาขา และเปิดแนวรุกธุรกิจนี้ไปยังประเทศอื่น ๆ ด้วย
สำหรับตลาดกาแฟในกัมพูชา และสปป.ลาว มีศักยภาพขยายตัวสูงมาก เพราะชาวกัมพูชาและลาวนิยมบริโภคกาแฟ ทางบริษัทจึงได้มอบสิทธิมาสเตอร์แฟรนไชส์ให้ บริษัท อาร์ซีจี รีเทล (กัมพูชา) จำกัด ซึ่งมีสาขาอยู่ในกัมพูชาและสปป.ลาว ตามแผนเปิดสาขาแรกที่เมืองเสียมราฐ และขยายสาขาแฟล็กชิพสโตร์ไปยังกลางกรุงพนมเปญ ช่วงต้นปี 2561 ส่วนใน สปป.ลาว สาขาแรกจะเปิดภายในไตรมาส 3 ปี 2561
ช่วงที่ 2 ชวนขึ้นอำเภอเขาค้อไปสัมผัสไอหนาวแบบชีลตามไร่ในชุมชนบนเนินเขาที่อยู่อย่างพอเพียงใน 4 แบบ 4 สไตล์ ใคร ๆ ก็เที่ยวได้ ส่วนเด็กไทยทาง สสส.เพิ่มช่องทางกระตุ้นเด็กไทยให้รู้เท่าทันสื่อดิจิตอลเพื่อความสุขของทุกคนในครอบครัว ส่วนข่าวท้ายชั่วโมงต้อง “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” รัฐมนตรีช่วยคมนาคมสรุปชัด ๆ เรื่องที่เข้าไปลุยเคลียร์ความจริงในสุวรรณภูมิ 4 เรื่อง
@ตลุยเขาค้อทัวร์ไร่ชุมชน4สไตล์เกษตรเมืองหนาว
ช่วงมกราคมนี้มีสถานที่พักผ่อนในบรรยากาศเย็นสบาย ๆ ในอำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ มาชวนไปท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ หลายแห่งทั้งชีลและชิคท่ามกลางธรรมชาติและชุมชนเกษตรวิถีเกษตร
สถานที่แรก “เขาค้อเฮอร์เบอรี่ ออแกนิกฟาร์ม แอนด์รีสอร์ท -เขาค้อทะเลภู” ที่ตำบลทุ่งสมอ ที่ได้นำที่ดินกว่า 200 ไร่ เนรมิตให้เป็นบ้านธรรมชาติและความงามแห่งชีวิต เหมาะกับคนรักสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รอบบริเวณจะมี สวน ไร่นา ผัก สมุนไพร ไม้ดอก เมืองหนาว เป็นศูนย์กลางวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาเพื่อการพึ่งพาตนเอง ที่สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์หลายต่อหลายสถาบันให้การรับรองทั้งจาก ACT. EU IFOAM จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่กวาดรางวัลอตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) ประจำปี 2556 มาการันตี
การท่องเที่ยว เขาค้อเฮอร์เบอรี่ ออแกนิกฟาร์ม แอนด์รีสอร์ท มีเรื่องราวมากมายให้ชมทั้ง แปลงสวนเกษตรอินทรีย์ ระบบนิเวศป่าที่ทะเลภูสร้างมานานกว่า 20 ปี ชาวบ้านในท้องถิ่นแห่งนี้มีความรู้ในการทำปุ๋ยอินทรีย์ แปรรูผลผลิตการเกษตร เมนูอาหาร ทำเครื่องดื่มสมุนไพร สบู่ แชมพู ยาสีฟัน
แห่งที่สอง “ไร่จ่านรินทร์” คอกาแฟพันธุ์อาราบิก้าต้องห้ามพลาด เพราะที่นี่มีกาแฟคั่วรสเข้มช้น ปลูกแบบปลอดสารแล้วทำเองทุกขั้นตอน ทั้งการเก็บ คั่ว บรรจุถุง และไปวางขาย ความหอมกรุ่นของกลิ่นกาแฟมีส่วนผสมของจิตวิญญาณภูมิปัญญาพื้นบ้านอยู่ทุกอนู
การเที่ยวไร่กาแฟของนายดาบตำรวจนรินทร์ ศรีมรกตมงคล เจ้าของ “ไร่จ่านรินทร์ กาแฟคั่ว” คือการชมกรรมวิธีปลูกพืชเมืองหนาวทั้ง กาแฟ อโวคาโด้ กล้วย เกษตรสวนผสม การแปรรูปพืชผลต่าง ๆ
แห่งที่สาม “ไร่อะเมโซน” อยู่ในตำบลสิมสีม่วง อำเภอเขาค้อ เป็นไร่เกษตรปลอดสารพิษอีกแห่ง ซึ่งมีเรื่องราวตำนานความรักในวิถีเกษตรของสามีภรรยา อาจารย์สุขกมล กับอาจารย์ อรุณ จิตรสมร ที่มาใช้ชีวิตหลังเกษตรปลูกพืชไร่บนเนินเขาเล็กมีทิวทัศน์สวยงาม เลือกปลูกแปลงผักนานาชนิด แปลงสตอร์เบอร์รี่ และผลไม้หลายอย่าง รวมถึงไฮไลต์การให้นักท่องเที่ยวได้ไปเก็บผักมาทำอาหาร ทำชาจากข้าวไร่ลืมผัว
ส่งท้ายแห่งที่สี่ “สถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ” ที่บ้านเสลียงแห้ง ตำบลสะเดาะพง เป็นแหล่งทดลองปลูกพืชไม้เมืองหนาวของสถาบันวิจัยพืชสวนกรมวิชาการเกษตร เมื่อได้ไปเยือนจะได้เห็น พลับฝาด พลับเนคตาซีน แมคคาเดเมียนัท กาแฟ มะกอกน้ำ และมีการส่งเสริมปลูกมะระหวาน ทุก ๆ อย่างในสถานีแห่งนี้ทำเพื่อช่วยสร้างเงินสร้างงานให้แก่ครอบครัวผู้มีรายได้น้อย และนักท่องเที่ยวได้มีอาหารจากผักเมืองหนาวหายากไว้รับประทาน และเจ้าหน้าที่ต่างยินดีจะพานำชมพร้อมบรรยายอย่างละเอียด เพื่อการท่องเที่ยวอย่างลึกซึ้ง
เที่ยวเพชรบูรณ์มุมใหม่ปีจอ กับเกษตรวิถีไทยตามไร่ต่าง ๆ ในอำเภอเขาค้อ สวิตเซอร์แลนด์ เมืองไทย พร้อมจะเปิดไร่ในชุมชนต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มที่ 1672
@สสส.ช่วยเด็กยุคใหม่รู้เท่าทันสื่อดิจิตอล
ปัจจุบันสื่อมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของเด็กเพิ่มขึ้นทุกขณะ ยุคกระแสของโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เด็ก ๆ ใช้เวลาอยู่กับสื่อรอบตัวมากกว่าการทำกิจกรรมอื่นที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจมากกว่า สื่อจึงกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทรงอิทธิพลและยอดนิยมต่อเด็กและเยาวชนที่สามารถถ่ายทอดสิ่งต่างๆ สู่เด็กโดยตรง และผลกระทบที่ตามมาคือ เด็กจะเสพสื่อที่มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะพฤติกรรมทางเพศ ความรุนแรง และการบริโภคนิยม สึ่งนี้จะส่งผลเสียต่อเด็ก ครอบครัว ชุมชนและสังคมต่อไปในอนาคต
ดังนั้นเพื่อให้เด็กไทยสามารถแยกแยะสื่อจากพื้นฐานความรู้ที่เข้มแข็ง โดยการรู้เท่าทันสื่อและนำสื่อไปใช้อย่างสร้างสรรค์ รวมไปถึงการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้สร้างสรรค์สื่อมากขึ้น สสส. จึงร่วมกับ สื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) และแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ภาคีเครือข่าย ร่วมรณรงค์และขับเคลื่อนความรู้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งสื่อออนไลน์ หนังสือนิทาน อินโฟกราฟฟิก ฯลฯ เพื่อช่วยให้เด็กไทยและผู้ผลิตสื่อใช้พลังของการสื่อสารสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น
การรู้เท่าทันสื่อ สารสนเทศ และดิจิทัล ถือเป็นคุณสมบัติของเยาวชนในศตวรรษที่ 21 ที่สามารถเลือกรับ วิเคราะห์ ประเมิน และนำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ในทางสร้างสรรค์ รวมทั้งความสามารถในการผลิตสื่อที่ดีเพื่อขับเคลื่อนสังคม อย่างสร้างสรรค์
โดยได้จัดทำข้อมูลให้เด็กไทยรู้เท่าทันสื่อดิจิตอลไว้ในเว็บไซต์ สถาบัน สื่อ เด็ก และ เยาวชน ของสื่อประชาสัมพันธ์แผนงานสื่อสร้างสุขภาวะเยาวชน (สสย.) เข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.childmedia.net และเว็บไซต์แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน www.happyreading.in.th
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “ไพรินทร์เคลียร์4ปมในสุวรรณภูมิถูกต้องตามสัญญา”
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าได้นำทีมตรวจการบริการทุกส่วนที่เป็นข้อร้องเรียนในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิโดยมี นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย ตำกัด (มหาชน) พร้อมผู่บริหาร พาตรวจทุกจุดใน 4 เรื่องหลัก คือ 1.ราคาอาหารและเครื่องดื่มในสนามบิน 2.ห้องน้ำ 3.รถเข็นกระเป๋า 4.ค่าธรรมเนียมผู้โดยสารสนามบินเดินทางระหว่างประเทศ
เรื่องแรก การสำรวจราคาอาหารและเครื่องดื่ม ได้ไปพูดคุยกับผู้ขายและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการ จุดแรก คือ ร้านอาหารในโซนเมจิกฟู้ด ขนาดพื้นที่ 600 ตารางเมตร จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ด้านนอกก่อนผ่านพิธีการเข้าออกเมือง ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 ประตูทางเข้าหมายเลข 8 มีร้านอยู่ประมาณ 40 แผง เป็นเมนูข้าวราดแกง อาหารตามสั่ง เครื่องดื่มครบ สนนราคาจานละ 30 บาทขึ้นไป ใกล้เคียงกับร้านทั่ว ๆ ไป ขายราคาเช่นเดียวกันน้ำเปล่าขวดละ 10 บาท น้ำอัดลมกระป๋องละ 15 บาท ส่วนบริเวณชั้น 2 มีร้าน Family Mart ราคาปกติใกล้เคียงกับร้านด้านนอกสนามบิน ชั้น 3 โซนร้านอาหารแบรนด์ดังและร้านอาหารทั่วไป ราคาเริ่มต้นที่ 50 บาทขึ้นไป
ส่วนร้านอาหารภายในบริเวณด้านในอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ( (landside) ร้านต่าง ๆ ก็สามารถขายในราคาตามข้อกำหนดคือไม่เกิน 20-25 % อีกทั้งภายในร้าน Booth ตรงบริเวณโซน D มีน้ำเปล่าราคาขวดละ 8 -10 บาท และมีจุดบริการตู้กดน้ำดื่มฟรี ภายในบริเวณแลนด์ไซด์กระจายอยู่ทั่วทุกโซนไม่ต่ำกว่า 40 จุด
เรื่องที่ 2 ห้องน้ำ ทอท.วางแผนใช้งบประมาณราว 300.4 ล้านบาท เพิ่มในส่วนบริการผู้โดยสาร 122 จุด กำลังทยอยสร้างระหว่าง 2560-2562 โดยมีพันธมิตรกลุ่มSCG เข้ามาสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์จากสแตนเลสเป็นเซรามิก และหลังจากนี้ไปจะใช้ผลิตภัณฑ์ของคอตโต้
เรื่องที่ 3 การจัดซื้อรถเข็นกระเป๋าผู้โดยสาร ก็เป็นไปตามมาตรฐานการจัดซื้อปกติ มีจำนวน 10,000 คัน ซึ่งถูกต้องตามสัญญาที่ ทอท.ระบุไว้
เรื่องที่ 4 การจัดเก็บค่าธรรมเนียมโดยสารสนามบินเดินทางระหว่างประเทศ ก็เก็บตามปกติคือคนละ 700 บาท ส่วนชาวไทย เก็บคนละ 100 บาท ปัจจุบันคิดราคารวมอยู่ในตั๋วโดยสารเดินทางของสายการบิน
นายไพรินทร์ย้ำว่าทั้ง 4 เรื่องที่ไปตรวจสอบนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่พึงพอใจอีกทั้ง ยังคงให้ ทอท.ยึดมั่นตามกติกาสัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับเอกสาร โดยเฉพาะพื้นที่เชิงพานิชย์ ที่ตั้งร้านอาหารและเครื่องดื่ม จนกว่าสัญญาจะหมดในอีก 2-3ปีข้างหน้า หลังจากนั้นจึงจะมาพิจารณากันใหม่ถึงแนวทางที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในอนาคตต่อไป
ข่าวที่สอง “นกแอร์ยึดหัวหาดบินเมืองรองอีสานอุบล-อุดร”
สายการบินนกแอร์ รายงานว่าได้เปิดเที่ยวบินปฐมฤกษ์เส้นทางอุดรธานี-อุบลราชธานี อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สัปดาห์ละ 3 เที่ยว ใช้เครื่องบินแบบ Q400 ขนาด 86 ที่นั่ง ด้วยรหัสเที่ยวบิน DD9011 ออกเดินทางจากท่าอากาศยานอุดรธานี เวลา 11.05 น. ถึงอุบลราชธานี เวลา 12.05 น. เป็นกลยุทธ์รองรับความต้องการเดินทางในอีสาน ระหว่าง 2 เมืองใหญ่ เพื่อเชื่อมประตูอีสานสู่เส้นทางใกล้เคียงที่สามารถเดินทางต่อไปยัง สปป.ลาว และกัมพูชา
ข่าวที่สี่ “นกสกู๊ตบินซีอานเจาะตลาดจีนบุกเที่ยวไทย”
นายยอดชาย สุทธิธนกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารรสายการบินนกสกู๊ต กล่าวว่า ได้เปิดเส้นทางบินใหม่ ไป-กลับ กรุงเทพฯ-ซีอาน” เป็นเมืองที่ 6 ในการบินเข้าจีน เริ่มเมื่อ 19 มกราคม 2561 เป็นต้นมา บริการด้วยฝูงบินโบอิ้ง B777-200 สัปดาห์ละ 4 เที่ยว ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าจีนที่แห่กันมาท่องเที่ยวเมืองไทย รวมทั้งในวันเปิดเส้นทางบินยังได้นำการแสดงมวยไทยโชว์ให้ชาวซีอานชื่นชมวัฒนธรรมไทยที่มีเอกลักษณ์ดึงดูดความสนใจเพิ่มมากขึ้นด้วย
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์และวันอาทิตย์ ทาง สวท.FM 97.0 เวลา 11.00-12.00 น.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น