เทศกาลเที่ยวเมืองไทย2561ภาคเหนือนำชุมชนพันธ์ใหม่บุกกรุง-รมช.ไพรินทร์สั่งยกเครื่องใหม่29สนามบินภูมิภาค
ภาคเหนือกระหึ่มเทศกาลเที่ยวเมืองไทยปี’61
10ชุมชนปั้นโอท็อปพันธุ์ใหม่โกยเงินคนกรุง
นำกะรัตรีวอร์ดคิงเพาเวอร์แลกลีมูซีน-มื้อค่ำหรู
ผู้นำททท.ลุย4เรื่องโหมNewShadeเวียดนาม
บางจากชู3Esงานปลอดภัย3ล้านชม.-จัดวันเด็ก
ตลุยเฉดใหม่5ภาค10โซนเที่ยวไทยในสวนลุม
ยุคนี้คนไทยต้องรีบระวัง-ป้องกันโรคอ้วนลงพุง
ทอท.เร่งแจง”อาหารแพง-เช่าซื้อ”ศึกใหญ่ปีจอ
รมว.วีระศักดิ์แจงนัดหูกวางถกอาหารแพง15มค.
รมช.ไพรินทร์สั่งยกเครื่อง29สนามบินภูมิภาค
สวัสดีวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ gurutourza
ในวันเด็กปีนี้ทางรายการงานขอให้เด็กไทย ทุกคนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์ และใความสุข เป็นเยาวชนของชาติที่มีคุณภาพทั้งปัจจุบันและอนาคต
ช่วงที่ 1 “สมฤดี จิตรจง” ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มาถอดรหัส “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย -อลังการล้านนา อยู่ดีมีสุข” นำดาวรุ่ง 10 ชุมชนมาร่วมโชว์จุดขายใหม่ ๆ ดึงความสนใจนักท่องเที่ยวคนไทยต้องเดินทางซ้ำ ๆ ตลอดทั้งปีในแหล่งเก่าและใหม่ในคลัสเตอร์ภาคเหนือตอนบน ตอนกลาง ตอนล่าง และมีเซอร์ไพรส์ในโซน “แรงบันดาลใจ” พาเหรดสินค้าโอท็อปพันธุ์ใหม่เข้าเมืองให้คนกรุงได้ช้อปจนกระเป๋าฉีก ส่วนที่ต้องห้ามพลาดคือ “มหกรรมขยะได้โชค” และ พาสปอร์ต 5 ภาค ลุ้นรับรางวัล แพกเกจเที่ยวไทยฟรีทั้งปี
สมฤดี จิตรจง ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า แผนการตลาดต้อนรับการท่องเที่ยวในประเทศ ปี 2561 ในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2561 ระหว่างวันที่ 17-21 มกราคม นี้ ที่สวนลุมพินี ได้ชูจุดขาย “แอ่วเหนือครั้งใหม่ ไม่เหมือนเดิม” มุ่งตอกย้ำนักท่องเที่ยวกลุ่มซ้ำในจังหวัดเดิมขยายการเดินทางไปสู่พื้นที่ใหม่ ๆ จึงได้จัดทำหมู่บ้านภาคเหนือ “อลังการล้านนา” สะท้อนถึงความอยู่ดีมีสุข ใช้แม่เหล็กหลักจากสถานที่ถ่ายทำละครยอดฮิต ไฮไลต์จำลองเมืองล้านนาโดยใช้สิงห์สีขาวเป็นประตูทางเข้ามาจากสัญลักษณ์เมืองน่าน ต่อด้วยศิลปวัฒนธรรมเด่น ๆ อย่างหอคำพร้อมโทนสีขาวและทอง สร้างจุดขายเป็นคลัสเตอร์เหนือตอนบน ตอนกลาง ตอนล่าง และนำผังไร่เชิญตะวันเข้ามาไว้ในงาน โดยชวนนักท่องเที่ยวร่วมเขียนคำอธิษฐานไปแขวนแล้วนำกลับสู่ไร่เชิญ
ส่วนธีมสะท้อนถึงประชาชนภาคเหนืออยู่ดีมีสุข ด้วยการนำเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือ 10 ชุมชน เช่น ชุมชนปางห้า จ.เชียงราย ได้รับการพัฒนารองรับนักท่องเที่ยวได้มีกิจกรรมทำกระดาษสา สอนนักท่องเที่ยวทำ D.I.Y.ชุมชนพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน หนึ่งเดียวในประเทศที่ทอผ้าด้วยเทคนิคการใช้เอวและร่างกาย
โซนสินค้าท้องถิ่นโอท็อปคัดเด่น ๆ มาให้ช้อปปิ้ง อาทิ ทองสุโขทัย ผ้าตีนจกจากแหล่งต่าง ๆ และมีโซนใหม่ “แรงบันดาลใจ” นำผลิตภัณฑ์งานหัตถกรรมมือต่อยอดจากโอท็อปทำให้มีความทันสมัยส่งออกต่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เหมาะกับคนกรุงเทพฯ รวมทั้งมีเวิร์คช็อปให้เรียนรู้ดีไซน์ใหม่ ๆ
โซนร้านกาแฟดัง 20 ร้านดังภาคเหนือ กาแฟผสมเมล็ดแม็คคาเดเมีย ผสมกับกาแฟโดยไม่ใส่น้ำตาล จากลำปาง หรือ Lock Expresso เชียงใหม่ดังมากและมีพรีเซนเตอร์บาเรสต้าหน้าตาดีมาก หรือกาแฟอาริบิก้า ดอยหมอก จากดอยช้าง เชียงราย มีเทคนิคการชงพิเศษกว่าที่อื่น ๆ
ส่วน “อาหารถิ่น” ออกแบบเป็นกาด (ตลาด) 55 ร้าน แต่ละวันจะสลับหมุนเวียนกันมาขาย โดยนำร้านที่ได้รับความนิยมจากโซเชียลมีเดีย ร้านข้าวเกรียบปากหม้อเป่าปาก ทำคล้ายก๋วยเตี๋ยวแห้งและน้ำผสมกัน รสเด็ดมาก หรือ“ขนมเทียนเสวย” จ.อุตรดิตถ์ เคยนำไปเผยแพร่ในต่างประเทศ
สำหรับความบันเทิงได้จัดให้ “รำวงสาวน้อยพิษณุโลก” วัยเกิน 65 ปีขึ้นไป เกือบ 200 คน ซึ่งมีสีสันตรงชุมชนรวมตัวกัน เปิด 18.00-20.00 น.ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมรำวงรอบละ 5 บาท
ผอ.สมฤดี กล่าวถึงการสร้างรายได้จากงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย เข้าสู่ภาคเหนือ โดยภาพรวมทั้ง 5 ภูมิภาค จะมุ่งนำ “สินค้าชุมชน” มาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กระตุ้นให้คนเดินทางต่อเข้าไปยัง “เมืองรอง” ไม่ต่ำกว่า 60 % สร้างแรงจูงใจให้คนต้องกลับไปเที่ยวซ้ำ ๆ โดยมีสินค้าไฮไลต์ที่จะซื้อโดนใจคนรุ่นใหม่ ผลิตภัณฑ์ดีไซน์ “ผ้าหลากหลายมิติ” ผ้าย้อมครามกับผ้าสีธรรมชาติทำเสื้อผ้ากับกระเป๋าเก๋ ร้านยาโนแฮนดี้คราฟทำผ้าใยกัญชง ขณะที่สินค้าราคาสูง ทองสุโขทัย ผ้าตีนจกภาคเหนือ ล้วนแล้วแต่จะเป็นตัวเชื่อมไปสู่ “การเพิ่มรายได้” มากขึ้น แต่เป้าหมายต้องการให้ผู้เข้าชมงานไปเยี่ยมให้ครบทั้ง 10 ชุมชน สินค้าเครื่องเงินและอื่น ๆ ราคาซื้อได้ไม่แพง
ตลอดการจัดงานได้จัดให้มี “แจกโชคลุ้นรับของที่ระลึก” เป็นภาพรวมของงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย จากทั้งหมด 10 โซน ให้นักท่องเที่ยวถือพาสปอร์ตงานไปแสตมป์ตามจุดต่าง ๆ รวมถึงการทำโครงการ “ขยะได้โชค” ลุ้นรับรางวัลแพกเกจท่องเที่ยวฟรี เพราะภายในงาน 5 วันจะมีขยะเกิดขึ้นค่อนข้างมาก จึงต้องการรณรงค์ให้นำขยะมาที่กองอำนวยการเพื่อชั่งน้ำหนักแล้วรับเป็นของไป แต่ ททท.ได้ร่วมกับ SCG นำภาชนะซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาบริการแก่ผู้ค้าขายได้นำไปบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อช่วยกันลดขยะต่าง ๆ ได้ด้วย
ประการสำคัญปีนี้เมื่อนักท่องเที่ยวเดินครบทุกหมู่บ้านทุกโซน หากต้องการท่องเที่ยวต่อเนื่อง ททท.ทั้ง 5 ภูมิภาคจะมีคู่มือแนะนำแจกเพื่อให้เลือกเส้นทางที่สนใจที่จะนำไปใช้ท่องเที่ยวได้ตลอดปีนี้ รวมไปถึงบริเวณประตูด้านอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ได้จัดทำห้องบริการของสมาคมนำเที่ยวภายในประเทศทั้งหมดมาแนะนำให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจจะเดินทางเที่ยวเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะได้ตลอดงาน
สำหรับงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ในสวนลุมพินี ทุกครั้งที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ตรงสู่ผู้ประกอบการที่นำสินค้าเข้ามาจำหน่ายปีละหลายร้อยล้านบาท ปี 2561 ททท.ตั้งเป้าจะมีรายได้เกิดขึ้นทันทีตลอดงานไม่ต่ำกว่า 420 ล้านบาท จากผู้เข้าชมงาน 600,000 แสนคน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์กะรัตแลกฟรีลีมูซีน-ดินเนอร์หรู”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยของขวัญที่พร้อมแจกให้ผู้ถือบัตรสมาชิก คิง เพาเวอร์ ที่มีอยู่กว่า 700,000 ราย ได้ใช้คะแนนสะสม “กะรัต รีวอร์ดส์” 4 รายการ คือ
รายการแรก “แลกรับฟรีบริการรถลีมูซีน” สำหรับสมาชิกผู้ถือบัตร CROWN & VEGA สามารถใช้คะแนนในบัตรเพียง 1,500 คะแนน แลกสิทธิ์ได้ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ, ศรีวารี และ พัทยา
รายการที่ 2 “อิ่มอร่อยด้วยกะรัต รีวอร์ดส์” ในดิวตี้ฟรีสาขาต่าง ๆ ที่ ร้านอาหาร ลามูน รามายาณะ มื้อกลางวัน ใช้เพียง 350 คะแนน มื้อค่ำใช้ 500 คะแนน และในในโรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ ที่ร้านอาหาร Cuisine Unplugged เลือกเป็นมื้อกลางวันหรือมื้อค่ำใช้เพียง 1,300 คะแนน แลกสิทธิ์ได้ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ, ศรีวารี และ พัทยา
รายการที่ 3 “ฟรี WRAP & FLY” บริการห่อกระเป๋าเดินทางฟรี โดยใช้ 120 คะแนน แลกรับคูปอง 1 ใบ ที่จุดบริการสมาชิก ชั้น 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
รายการที่ 4 “แชร์ความสุขด้วยพอกเก็ต WiFi” แลกรับเป็นคูปอง WiFi มูลค่า 100 บาท ได้ที่ เมมเบอร์ คลับ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และศรีวารี
สอบถามเพิ่มเติมที่ คอล เซ็นเตอร์ คิง เพาเวอร์ 1631
ข่าวที่ 2 “ผู้นำททท.สั่งลุย4เรื่องโหมNewShadesในเวียดนาม”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าวางกลยุทธ์การพัฒนารายได้ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าประเทศในปี 2561 ตามเป้า 3 ล้านล้านบาท โดยพุ่งเป้าให้สำนักงานทั้งในและต่างประเทศทั่วโลกทำเชิงรุกหนักให้สอดคล้องกับธีมขาย Amazing Thailand : Open to the New Shades 4 เรื่อง คือ 1.เพิ่มค่าใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่อคนต่อทริป ด้วยการปลุกกระแสนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางครั้งแรก (first visit) ทั้งตลาดต่างประเทศและคนไทย พุ่งเป้ารุกหนักเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เจนวาย นักเรียน/เยาวชนสามารถทำได้ทันทีคือทริปนักเรียนจากญี่ปุ่นและยุโรป ควบคู่กับเจาะกลุ่มคุณภาพ เช่น คู่แต่งงาน ฮันนีมูน ท่องเที่ยวหรูหรา เซลิบริตี้/ผู้มีชื่อเสียง กลุ่มสตรี/ผู้หญิง ซึ่งใช้จ่ายเงินสูงในทุก ๆ ด้าน ปัจจุบันไทยมีส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพต่างชาติอยู่ราว 25 % ของทั้งหมด
2.ขยายพื้นที่ทำการตลาดจากเมืองหลักต่างประเทศสู่เมืองรอบ ๆ อาทิ สหภาพยุโรป ขยายจากลอนดอน เป็นแมสเชสเตอร์ กลาสโกรว์ และยุโรปตะวันออก เพื่อนำมากระจายสู่เมืองรองของไทยอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวแต่ละพื้นที่
3.ชูการขายสินค้าท่องเที่ยวไทยที่มีความหลากหลายเชื่อมโยงเส้นทางอย่างเป็นรูปธรรมเข้าสู่ชุมชน รณรงค์ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น ช่วยอุดหนุนเศรษฐกิจฐานรากทำให้เกิดความยั่งยืนลดความเหลื่อมล้ำ
4.เลือกใช้เครื่องมือทางการตลาดเล็งยังกลุ่มเป้าหมายชัดเจนเลิกใช้วิธีหว่านในตลาดภาพรวม แต่หันไปเพิ่มความเข้มข้นในกลุ่มคุณภาพ และกลุ่มเดินทางครั้งแรกต้องแนะนำไปยังเฉดหลักเมืองยอดนิยมในปัจจุบัน ส่วนกลุ่มเดินทางเที่ยวซ้ำ ๆ (repleater/revisit ) ก็ขายแหล่งท่องเที่ยวเฉดใหม่ ๆ ตามเมืองรองที่มีให้เลือกทั่วประเทศ รองรับการเพิ่มโครงสร้างใหม่ของ ททท.ปีนี้จะเปลี่ยนเข้าสู่ Big Data ทำตลาดเชิงรุกด้วยดิจิตอล 4.0
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 5-6 มกราคม 2561 ได้ยึดโรงละคร ไซ่ง่อน โอเปร่า เฮาส์ ใจกลางนครโฮจิมินห์ เพื่อเปิดตัว “Amazing Thailand : Open to the New Shades” มีทีมผู้บริหาร ททท. ร่วมงานครบทีม ทั้งนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด นายกฤษณะ แก้วธำรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณา นางวไลลักษณ์ น้อยพยัคฆ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชีย และแปซิฟิก นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการ พร้อมด้วย นางนภสร ค้าขาย ผู้อำนวยการ และนายวิโรจน์ ผายเมืองฮุย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงาน ททท.โฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพในพื้นที่นำภาคเอกชนสื่อมวลชน เวียดนาม เข้าร่วมอย่างคับคั่ง โดยมีอาหารไทยจากร้านช้างทอง (Elephant Golden) คัดสรรเมนูไฮไลต์เสิร์ฟตลอดงานเพื่อสร้างประสบการณ์อันซึ้ง
อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากสถานีโทรทัศน์ เวียดนาม มีเดีย สัมภาษณ์พิเศษโดยเจาะลึกถึงแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของไทยพร้อมเปิดประตูต้อนรับเวียดนาม ซึ่งมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลัก กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เมืองรอง ในแถบภาคอีสานซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีของชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในชุมชนบ้านลุงโฮ นครพนมและจังหวัดใกล้เคียง เนื่องจาก ททท.มุ่งมั่นทำตามนโยบาย ASEAN Economic Cooperation Connectivity เสริมสร้างการขายท่องเที่ยวเชื่อมโยง Two Countries One Destination ในปี 2561 ตั้งเป้าจะมีชาวเวียดนามมาท่องเที่ยวเมืองไทย 1 ล้านคน และมีคนไทยไปเที่ยวเวียดนามเกือบ 300,000 คน
สำหรับสถิติระหว่างมกราคม-กันยายน 2560 (ณ ขณะนั้นจำนวนรวม 26.07 ล้านคน) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวเมืองไทยครั้งแรกหรือ first visit จำนวน 11.66 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.71 % และกลุ่มเดินทางเที่ยวเมืองไทยซ้ำ-re visit จำนวน 14.41 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.17 % รวมทั้งมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นครอบครัว (family) 5.46 ล้านคน เพิ่มขึ้น 12.21 %
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท.กล่าวว่าได้นำเสนอการท่องเที่ยวของไทยให้กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสื่อมวลชนทุกสาขาในเวียดนามที่เข้าร่วมงาน Open to the New Shades ณ กรุงโฮจิมินห์ เกือบ 400 คน ได้สัมผัสความลึกซึ้งผ่านภาพยนต์โฆษณาพร้อมบรรยายพุ่งเป้าขยายผล 3 เฉดใหม่ คือ New Destination-เส้นทางใหม่ New Product-สินค้าท่องเที่ยวมุมใหม่ และ New Segmentation-กลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายใหม่ โดยได้เชิญศิลปินเพลงแถวหน้าของเมืองไทย “โก้-แซ็กแมน” ไปบรรเลงเพลงแจ๊สในไซ่ง่อน โอเปร่า เฮาส์ โดยใส่กลิ่นอายเพลงด้วยเนื้อหาแหล่งท่องเที่ยวไทยผสมผสานลงไปสร้างความแปลกใหม่และความประทับใจให้เกิดภาพจำไทยในมิติความหลากหลายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นางนภสร ค้าขาย ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานโฮจิมินห์ กล่าวว่า การเปิดตัว Amazing Thailand : Open to the New Shades ในนครโฮจิมินห์ ตั้งแต่เริ่มเปิดศักราชใหม่ปี 2561 จะช่วยตอกย้ำนักท่องเที่ยวเวียดนามสนใจเที่ยวเมืองไทยตลอดปีนี้ได้ถึงเป้า 1 ล้านคน สร้างรายได้รวมกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ช่วงตารางบินฤดูหนาว (ตุลาคม 2560-มีนาคม 2561) มีสายการบินประจำบริการ ไป-กลับ เวียดนามสู่ประเทศไทย สัปดาห์ละ 211 เที่ยว อีกทั้งยังตื่นตัวเปิดจุดบินตรงจากเมืองรองของเวียดนามเข้าสู่เมืองรองของไทย เปิดบินตรง ไป-กลับ เช่น บางกอกแอร์เวย์ส เดือนมีนาคมนี้เตรียมเปิด ฮานอย-เชียงใหม่ ส่วนเวียดเจ็ตแอร์เวย์ส โฮจิมินห์ สู่ปลายทาง ภูเก็ต เชียงใหม่ และ ดาลัด-กรุงเทพฯ
สำหรับสถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยว "เวียดนาม" เข้าประเทศไทย ในปี 2560 ( สรุป ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2560) มีการเติบโตทางรายได้รวม 27,536.25 ล้านบาท สูงกว่าปี 2559 ทำไว้ 23,874.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.34 % มีนักท่องเที่ยว 867,712 คน เพิ่มขึ้น 12.50 % จากปี 2559 มีเพียง 771,285 คน
ตลอดปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ของนักท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มอาเซียนใหม่ CLMV จะพบว่า "เวียดนาม" สร้างรายได้ท่องเที่ยวเข้าไทยมากเป็นอันดับ 2 มีความโดดเด่นเป็นตลาดดาวรุ่งมาแรงอย่างชัดเจน
ส่วนอันดับ 1 คือ "สปป.ลาว" ทำสถิติใช้จ่ายเงินเที่ยวเมืองไทยสูงถึง 37,120.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.12% จากปี 2559 ทำได้ 32,815.09 ล้านบาท โดยปี 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 1,458,640 คน เพิ่มขึ้น 16.12 % จากปี 2559 มีเพียง 1,256,173 คน
อันดับ 3 "กัมพูชา" นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายเงินในไทย 23,690.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.22 % ปี 2559 ทำได้เพียง 19,226.68 ล้านบาท โดยปี 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 764,699 คน เพิ่มขึ้น 25.47 % จากปี 2559 มีเพียง 609,461 คน
อันดับ 4 "เมียนมา" นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายเงินในไทย 14,014.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.52 % ปี 2559 มีเพียง 12,680.26 ล้านบาท โดยปี 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 328,405 คน เพิ่มขึ้น 6.50 % ปี 2559 มีเพียง 308,354 คน
ส่วนยอดรายได้รวมจากตลาดอาเซียนใหม่ CLMV ทั้ง 4 ประเทศ ตลอดปี 2560 เข้ามาใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวในไทยยอดรวมสูงถึง 102,361.74 ล้านบาท แตกต่างจากปี 2559 ทำไว้เพียง 88,596.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,765.54 ล้านบาท
ในปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบการขยายตัวของนักท่องเที่ยวอาเซียนใหม่ 4 ประเทศ ยังพบนัยสำคัญดังนี้
ภาพรวมทางด้าน "รายได้" สร้างมูลค่ารวม 102,361.74 ล้านบาท เท่ากับมีส่วนแบ่งการใช้เงินท่องเที่ยวในไทยเกือบ 50 % ของรายได้จากนักท่องเที่ยวตลาดอาเซียนทั้งหมด 9 ประเทศ ที่เข้ามาใช้จ่ายรวม 242,357.40 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนเก่าอีก 5 ประเทศ ได้แก่ บรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ใช้เงินเที่ยวเมืองไทยรวมกันเพียง 139,996 ล้านบาทเท่านั้น
ข่าวที่ 3 “บางจากฉลองปลอดภัย3ล้านชั่วโมง3Es-จัดวันเด็ก”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้จัดกิจกรรมโครงการ "3 ล้านชั่วโมงความปลอดภัยในการทำงาน" เพื่อเป็นการขอบคุณผู้บริหารและเพื่อนพนักงานบางจากฯ ทุกคนที่ร่วมปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงาน (Lost Time Injury) ครบ 3 ล้านชั่วโมงทำงาน
มุ่งเน้นความปลอดภัยด้วยหลัก 3Es คือ Everyone goes home safely everyday ทุกคนกลับบ้านปลอดภัยทุกวัน Environment and asset are protected มุ่งมั่นปกป้องสิ่งแวดล้อม ชุมชนและทรัพย์สิน Efficient and reliable operations ผลิตด้วยเสถียรภาพและประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างจิตสำนึกให้พนักงานมุ่งมั่นทำงานอย่างปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2561 เวลา 08.00-11.30 น. บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดให้เด็กๆ และผู้ปกครอง เข้าร่วมกิจกรรมวันเด็กกับบางจาก ภายใต้แนวคิด “รู้สนุกคิด ประดิษฐ์สร้างสรรค์” ประจำปี 2561 ณ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก ถนนสุขุมวิท 64 พบกับเหล่าฮีโร่ขวัญใจเด็กๆ กิจกรรมที่หลากหลาย ให้ความสนุกสนาน เฮฮา และโชว์สุดพิเศษ อาทิ การแสดงมายากล โชว์กายกรรม มินิคอนเสิร์ต “แปม ไกอา” หน้ากากโพนี่ จาก The Mask Singer และมินิคอนเสิร์ตจากวง “สามบาทห้าสิบ” ฯลฯ พร้อมอาหารเครื่องดื่ม และของรางวัลมากมาย
ช่วงที่ 2 เกาะติดมุมใหม่ในการท่องเที่ยว “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2561” ยก 5 ภูมิภาค เนรมิต 10 โซนความสุขมาไว้ในสวนลุมพินี ระหว่างวันที่ 17-21 มกราคม นี้ ตามไปดูศาสตร์พระราชา เส้นทางท่องเที่ยวหลากมิติ มุมอร่อยของดีกทม.อาหารถิ่น 5 ภาค 75 ร้านเด็ด วัฒนธรรมความบันเทิง กิจกรรมผจญภัยไปกับ 12 หน่วยงาน และช้อปเพลินกับพาเหรดสินค้าประชารัฐ 12 องค์กรรัฐและเอกชน ครั้งเดียวในรอบปี แล้วมาเรียนรู้การระวังโรคอ้วนลงพุง ตามแกะรอยเรื่องร้อน ๆ อาหารแพงในสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ เรื่อยไปจนถึงคำสั่งของ รมช.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร สั่งกรมท่าอากาศยานไทยยกเครื่องบริหารสนามบินภูมิภาคใหม่ 3 เรื่อง
@ตลุยเทศกาลเที่ยวเมืองไทยNewShade10โซน
ตามไปดูกันให้ครบทุกซอกทุกมุมกับ “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2561” การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมเปิดสวนลุมพินี 17 - 21 มกราคม 2561 ทุกวันจะเปิดตั้งแต่เที่ยงไปจนถึง 4 ทุ่ม ให้เข้าไปตลุยเที่ยวชมมากถึง10 โซน เพื่อ ชม ช้อป ชิม แชร์ ชีล ช่วย เติมเต็มความสุขกับวิถีทั่วไทยที่ยกมาไว้กลางกรุงตลอด 5 วัน
เริ่มจาก โซน 1 เที่ยวตามรอยพระบาท ตามศาสตร์พระราชา จัดการแสดงสาธิตเห่เรือสุพรรณหงส์จำลอง ความยาว 22 เมตร นิทรรศการ “ตามรอยพระบาท ตามศาสตร์พระราชา”
โซน 2 แนะนำโปรแกรมและสินค้าท่องเที่ยวภายในประเทศ ปี 2561 เช่น โครงการ 12 เมืองต้องห้ามพลาด...พลัส, โครงการท้าเที่ยวข้ามภาค, โครงการวันธรรมดาน่าเที่ยว, กิจกรรมสำหรับกลุ่มผู้หญิง, กิจกรรมสำหรับผู้สูงวัย รวมถึงโครงการ “Go Local – เที่ยวท้องถิ่นไทย ชุมชนเติบใหญ่ เมืองไทยเติบโต”
โซน 3 หมู่บ้านท่องเที่ยว 5 ภูมิภาค (กลาง-ตะวันออก-เหนือ-ใต้-อีสาน) นำเสนอหมู่บ้านท่องเที่ยว 5 ภูมิภาค เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศจำลองเสมือนจริง สร้างการรับรู้ความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่กระตุ้นคนเข้าไปยัง 5 ภูมิภาค คือ
ภาคกลาง “สุขกลางใจใกล้แค่เอื้อม” ภายใต้แนวคิด “วิถีถิ่น แผ่นดินทอง” (วิถีชุมชนในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา)
ภาคตะวันออก “สีสันตะวันออก”ภายใต้แนวคิด “Sea-fruit” เติมเต็มประสบการณ์มหัศจรรย์กับ “สีสันตะวันออก”
ภาคเหนือ “เหนือฝันล้านแรงบันดาลใจ” ภายใต้แนวคิด “อลังการล้านนาเรืองรอง”
ภาคใต้ “ปักษ์ใต้...ปักหมุด หยุดเวลา” ภายใต้แนวคิด “เที่ยวใต้ ได้อะไรมากกว่าที่คิด”
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “อีสานแซ่บนัว” ภายใต้แนวคิด“Cool Isan (วิถีถิ่น สู่วิถีเทรนด์)
แต่ละวันจะจัดขบวนแห่วัฒนธรรม 5 ภูมิภาคทุกวัน เวลา 17.00 น. ภายในบริเวณสวนลุมพินี
โซน 4 อาหารดัง 50 เขต กทม. พบอาหารเด่น ททท. 5 ภูมิภาค โดยนำเสนอ “ปิ่นโต ภาชนะคู่บ้านวิถีไทย” วัตถุดิบความอร่อยแบบฉบับ กทม. และอาหารเด่นขึ้นชื่อจาก 5 ภูมิภาค รวม 75 ร้านค้า
โซนที่ 5 เวทีกลาง (การแสดงศิลปวัฒนธรรม และการแสดงร่วมสมัย) จัดพิธีเปิด ต้อนรับบุคคลสำคัญ จัดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 5 ภาค การแสดงร่วมสมัยและคอนเสิร์ตจากศิลปินที่ได้รับความนิยม ในทุกวันของการจัดงาน อาทิ ตู่ ภพธร, ป๊อป ปองกูล, นภ พรชำนิ, ก็อต จักรพันธ์, ฝน ธนสุนทร, ก้อง ห้วยไร่, ปู่จ๋าน ลองไมค์, ลำไย ไหทองคำ
โซน 6 TAT STUDIO นำเสนอภายใต้แนวคิด “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน: Amazing Thailand Tourism Year 2018” กิจกรรมภายในโซนนี้เป็นสถานีโทรทัศน์และวิทยุ หรือ Studio ที่มีกิจกรรมการทำรายการเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ในงานฯ มี DJ ดำเนินรายการทางวิทยุ และการถ่ายทอดสดรายการโทรทัศน์เฉพาะกิจ โดยเชื่อมสัญญาณและถ่ายทอดผ่านจอ LED ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าหลัก 3 จอ และบริเวณ TAT Studio อีก 2 จอ
โซน 7 กิจกรรมท่องเที่ยว OUTDOOR FEST เป็นโซนกิจกรรมประเภท Outdoor โดยความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตร 12 หน่วยงาน
โซน 8 TAT LAB นำเสนอกิจกรรม Workshop รูปแบบต่าง ๆ เช่น กิจกรรม Workshop เพื่อสุขภาพ ได้แก่ ทำอโรม่า ทำลูกประคบ กิจกรรม Workshop เพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น การทำเครื่องประดับจากกระดาษจัดสวนในขวดแก้ว กิจกรรม Workshop ด้านอาหาร ได้แก่ อาหารออร์แกนิคทำพิซซ่า ฯลฯ รวมถึง Special Zone อาหารและเมนูอินเทรนด์มากมายจาก Celeb ได้แก่ ส้มตำ-แม่น้อย โพธิ์งาม ไก่ปิ้ง เนื้อปิ้ง-น็อต วรฤทธิ์ แซนวิชเพื่อสุขภาพ-- โย ยศวดี และ เอ อัญชลี เบเกอรี่- นาตาลี ขนมเปี๊ยะ-ป๋าเทพ คุกกี้-น้ำฝน พัชรินทร์
โซน 9 กิจกรรม CSR “ขยะให้โชค” จัดกิจกรรม “ขยะให้โชค” สร้างจิตสำนึกใส่ใจในสิ่งแวดล้อม และลดปริมาณขยะในแหล่งท่องเที่ยว พร้อมลุ้นรับรางวัลชิงโชคและของที่ระลึก เพียงนำขยะที่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น ขวดน้ำพลาสติก, ขวดแก้วและกระป๋องต่าง ๆ มาทิ้งลงในถังขยะที่จัดไว้ บริเวณทางออก เพื่อร่วมบริจาคให้กับหน่วยงานเพื่อสิ่งแวดล้อม
โซน 10 ประชารัฐ (หน่วยงานพันธมิตรร่วมจัดกิจกรรม) ความร่วมมือทางธุรกิจท่องเที่ยวจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมออกบูธจัดแสดงนิทรรศการประชาสัมพันธ์หน่วยงาน โดยมีหน่วยงานทั้งสิ้นกว่า 12 หน่วยงาน ได้แก่
•กรมทรัพยากรธรณี •องค์การสวนสัตว์ •ตำรวจท่องเที่ยว •บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) – ประชารัฐรักสามัคคี •ขสมก.• ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) •นครชัยแอร์ •การท่องเที่ยวกองทัพเรือ •การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย • โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา • บริษัท ไปรษณีย์
@ยุคนี้ต้องระวังโรคอ้วนลงพุงมาเยือน
โรคอ้วนลงพุง (metabolysis sindome) คือกลุ่มความผิดปกติของไขมันในเลือด ความดันโลหิตระดับน้ำตาล ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่เป็นโรคอ้วนลงพุงจึงมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด ซึ่งคนไทยกว่า 29% กำลังเผชิญต่อโรคอ้วนลงพุง
จากข้อมูลความถี่ของการเกิดโรคอ้วนลงพุงในการศึกษา Interasia ในประชากรไทยทั่วประเทศ ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปี ขึ้นไป จำนวน 5,091 ราย พบว่าคนไทยเกิดโรคอ้วนลงพุงถึง 29.3%
รู้ได้อย่างไรว่าเข้าข่ายโรคอ้วนลงพุง???
นำสายวัดมาวัดรอบเอว โดยชายไทยต้องมีเส้นรอบเอวไม่เกิน 90 ซม. และหญิงไทยต้องมีเส้นรอบเอวไม่เกิน 80ซม.
หาค่าดัชนีมวลกาย โดยนำค่าน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง
หากมีค่าอยู่ระหว่าง 18.5 – 24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร ถือว่าปกติ แต่ถ้าใครมีค่ามากกว่าก็มีภาวะเสี่ยงเช่นกัน
คนที่อ้วนลงพุงจะมีไขมันสะสมในช่องท้องปริมาณมาก ยิ่งรอบพุงมากเท่าไหร่ ยิ่งสะสมในช่องท้องมากเท่านั้น ไขมันที่สะสมนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดเป็นภาวะ “อ้วนลงพุง”
ดังนั้นจึงแนะนำให้เลือกรับประทานอาหารอย่างถูกวิธี พร้อมออกกำลังกาย เป็นประจำ และดูแลก่อนจะเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนลงพุง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “ทอท.เผชิญศึกรอบด้านต้อนรับเปิดปีจอ”
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า เว็บไซต์บลูมเบิร์กได้รายงานถึง ทอท. เป็นบริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกในหุ้นกลุ่มท่าอากาศยาน มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มากกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากปี 2560 มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยาน ทอท.รวมเกือบ 100 ล้านคน ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยาน แม่ฟ้าหลวง เชียงราย
ปี 2561 ทอท.จะเร่งเดินหน้าแผนลงทุน 10 ปีในทุกสนามบินที่จะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 2.2 แสนล้านบาท เพิ่มศักยภาพโครงข่ายระบบท่าอากาศยานของประเทศไทยภายใต้กรอบแนวคิดแบบการบริหารจัดการทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานเดินหน้าทำในลักษณะกลุ่ม Cluster เพื่อดูแลน่านฟ้าให้ของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของสนามบินแต่ละแห่ง รวมทั้งช่วยส่งเสริมการตลาดแหล่งท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม Cluster เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยรวมแล้วเกิดผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ
จากนั้น ทอท.ก็ได้ชี้แจงกระแสข่าวเชิงลบที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่ต้นปีจอ เรื่องแรก คือ ราคาอาหารและเครื่องดื่มภายในสนามบินตามที่ปรากฏข่าวในสื่อญี่ปุ่นผู้ใช้เฟสบุค (Akihiro Koki TomiKawa) โดยนาย Koki Aki ระบุราคาอาหารภายในสุวรรณภูมิและดอนเมืองแพงเกินเหตุ นั้น ทอท.ยืนยันว่า 1.ได้กำหนดเงื่อนไขสัญญาให้ผู้ประกอบการต้องควบคุมราคาสินค้าและค่าบริการไม่ให้สูง
เกินกว่าราคาในท้องตลาดประมาณ 20 – 25 % ตามสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่ท่าอากาศยานแต่ละแห่งตั้งอยู่ รวมทั้งได้ขอความร่วมมือให้จำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นให้สอดคล้องกับราคาของตลาด พร้อมทั้งติดป้ายแสดงราคาด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ทอท.ได้มีการสุ่มตรวจราคาอาหารของผู้ประกอบการภายในท่าอากาศยานตลอดเวลา
2. ราคาจำหน่ายน้ำเปล่าที่บรรจุขวดขนาด 500 มล.ในราคาขวดละไม่เกิน 10 บาท ยกเว้นน้ำแร่ขายขวดละ 25 – 50 บาท รวมทั้งให้ผู้ขายเพิ่มรายการอาหารจานเดียวหรืออาหารชุดราคาประหยัดอย่างน้อย 1 รายการ พร้อมทั้งติดป้ายราคาสินค้าทุกรายการ และประชาสัมพันธ์ถึงบริการตู้น้ำดื่มกดฟรี และร้านอาหารสวัสดิการราคาประหยัด เป็นทางเลือกให้กับผู้โดยสารอีกด้วย
เรื่องที่สอง ทอท.ชี้แจงโครงการเช่าเครื่องตรวจวัตถุตามร่างกายผู้โดยสาร (Body Scanner ว่า ได้เริ่มเช่าอุปกรณ์ Body Scanner มาติดตั้งใช้งานตั้งแต่ปี 2554 โดยการพิจารณาเทคโนโลยีที่ผ่านมาตรฐานและการรับรองจาก Transportation Security Administration (TSA)
ปัจจุบันเทคโนโลยี Body Scanner ที่ได้รับการรับรองมีเพียงผลิตภัณฑ์เดียวในโลก คือ L-3 รุ่น Provision ATD และ Provision 2 โดยมีบริษัท เอ็ม ไอ ที โซลูชั่น จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศไทย
ราคาอุปกรณ์ดังกล่าวเครื่องละ 5.6 ล้านบาท เป็นราคาที่ General Services Administration Schedules (GSA) สหรัฐอเมริกาตั้งไว้เฉพาะขายให้แก่รัฐบาลและหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น มิใช่ราคาขายเชิงพาณิชย์ในตลาดที่ขายให้กับท่าอากาศยานทั่วไป โดย ทอท.ได้ดำเนินการสืบราคาของอุปกรณ์แล้วมีราคาเริ่มต้นเครื่องละ 19 ล้านบาท ไม่รวมการประกันภัย และการบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ทั้งหมด
ส่วนค่าเช่าเครื่องเมื่อรวมค่าบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ ค่าประกันภัย และค่าดอกเบี้ย ที่ ทอท.ทำสัญญา 5 ปี กับบริษัทตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยคิดค่าเช่า 3 ปีแรก เดือนละ 650,000 บาทต่อเครื่อง เมื่อต่อสัญญาในรัฐบาลปัจจุบันได้ต่อรองลดลงอีก20 % เหลือเดือนละ 510,000 บาท ตลอดสัญญา 5 ปี เป็นเงิน 35.64 ล้านบาทต่อเครื่อง
ทาง ทอท.ได้สอบถามไปยัง L-3 Communication ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ดังกล่าว และได้รับหนังสือ Subject: concerns on L3 Provision System related Projects in AOT เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ยืนยันราคาที่ตัวแทนจำหน่ายในไทยเสนอให้เช่าพร้อมบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ทั้งหมด รวมค่าประกันภัยและค่าดอกเบี้ยเป็นราคาที่เป็นมาตรฐาน
ข่าวที่สอง "วีระศักดิ์แจงความจริงเรื่องอาหารแพงในสนามบิน"
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ชี้แจงผ่านเฟซบุคเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2561 ถึงที่มาของกระแสข่าวที่ตนถูกพาดพิงในการให้ข้อมูลกับสื่อกรณีอาหารในสนามบินแพงก็ให้เลิกกินหรือกินไปจากบ้านบ้าน นั้น ตนเองไม่ได้กล่าวอย่างที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ตามลำดับเหตุการการสื่อสารคำถามคำตอบกันผ่านทางไลน์กับสื่อมวลชน มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกัน จึงทำให้กลายเป็นประเด็นขึ้นมา
อย่างไรก็ตามในสันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561 เวลา 11.00 น.ตนเองจะประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรณีเรื่องราคาอาหาร เครื่องดื่มตามร้านในสนามบิน ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 4 ตึก 2 กระทรวงคมนาคม
ข่าวที่สาม“รมช.ไพรินทร์สั่งยกเครื่อง29สนามบินภูมิภาค”
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่าให้นโยบายกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ยกเครื่องใหม่ 3 เรื่อง คือ 1.ศึกษาความเป็นไปได้เพิ่มรายได้จากพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินภูมิภาค 29 แห่ง เพิ่มขึ้นให้สมดุลจากเดิมมีอยู่เพียง 10% และพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมสนามบินมากถึง 90% 2.ต้องรักษาขีดความสามารถประเทศไทยเป็นฮับการบินของอาเซียน เพราะปัจจุบันมีผู้โดยสารที่เดินทางด้วยสายการบินต้นทุนต่ำผ่านเข้าออกสนามบินภูมิภาคของกรมปีละกว่า 60 ล้านคน 3.ต้องเร่งวางแผนปรับปรุงอาคารสถานที่สนามบินภูมิภาคให้ทันสมัย ปลอดภัย มีมาตรฐานเดียวกันทุกสนามบินเพราะขณะนี้สนามบินภูมิภาคมีความหลากหลายมากควรออกแบบตัวอาคารเพื่อให้บริการเป็นมาตรฐาน ง่ายต่อการขยายเชื่อมโยงสู่สนามบินอื่น ๆ เพื่อทำให้ผู้โดยสารจดจำผังการใช้งานอย่างสะดวก
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ภายในปี 2561 ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุนให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนสนามบินภูมิภาคในลักษณะ PPP พร้อมประกาศเชิญชวนผู้สนใจได้ภายในปี 2561 นำร่อง 4 แห่ง ได้แก่ สนามบินนครศรีธรรมราช, เพชรบูรณ์, ชุมพร และลำปาง
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz
10ชุมชนปั้นโอท็อปพันธุ์ใหม่โกยเงินคนกรุง
นำกะรัตรีวอร์ดคิงเพาเวอร์แลกลีมูซีน-มื้อค่ำหรู
ผู้นำททท.ลุย4เรื่องโหมNewShadeเวียดนาม
บางจากชู3Esงานปลอดภัย3ล้านชม.-จัดวันเด็ก
ตลุยเฉดใหม่5ภาค10โซนเที่ยวไทยในสวนลุม
ยุคนี้คนไทยต้องรีบระวัง-ป้องกันโรคอ้วนลงพุง
ทอท.เร่งแจง”อาหารแพง-เช่าซื้อ”ศึกใหญ่ปีจอ
รมว.วีระศักดิ์แจงนัดหูกวางถกอาหารแพง15มค.
รมช.ไพรินทร์สั่งยกเครื่อง29สนามบินภูมิภาค
สวัสดีวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ gurutourza
ในวันเด็กปีนี้ทางรายการงานขอให้เด็กไทย ทุกคนเข้าร่วมกิจกรรมอย่างสร้างสรรค์ และใความสุข เป็นเยาวชนของชาติที่มีคุณภาพทั้งปัจจุบันและอนาคต
ช่วงที่ 1 “สมฤดี จิตรจง” ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้มาถอดรหัส “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย -อลังการล้านนา อยู่ดีมีสุข” นำดาวรุ่ง 10 ชุมชนมาร่วมโชว์จุดขายใหม่ ๆ ดึงความสนใจนักท่องเที่ยวคนไทยต้องเดินทางซ้ำ ๆ ตลอดทั้งปีในแหล่งเก่าและใหม่ในคลัสเตอร์ภาคเหนือตอนบน ตอนกลาง ตอนล่าง และมีเซอร์ไพรส์ในโซน “แรงบันดาลใจ” พาเหรดสินค้าโอท็อปพันธุ์ใหม่เข้าเมืองให้คนกรุงได้ช้อปจนกระเป๋าฉีก ส่วนที่ต้องห้ามพลาดคือ “มหกรรมขยะได้โชค” และ พาสปอร์ต 5 ภาค ลุ้นรับรางวัล แพกเกจเที่ยวไทยฟรีทั้งปี
สมฤดี จิตรจง ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท. |
ส่วนธีมสะท้อนถึงประชาชนภาคเหนืออยู่ดีมีสุข ด้วยการนำเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวภาคเหนือ 10 ชุมชน เช่น ชุมชนปางห้า จ.เชียงราย ได้รับการพัฒนารองรับนักท่องเที่ยวได้มีกิจกรรมทำกระดาษสา สอนนักท่องเที่ยวทำ D.I.Y.ชุมชนพระบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน หนึ่งเดียวในประเทศที่ทอผ้าด้วยเทคนิคการใช้เอวและร่างกาย
โซนสินค้าท้องถิ่นโอท็อปคัดเด่น ๆ มาให้ช้อปปิ้ง อาทิ ทองสุโขทัย ผ้าตีนจกจากแหล่งต่าง ๆ และมีโซนใหม่ “แรงบันดาลใจ” นำผลิตภัณฑ์งานหัตถกรรมมือต่อยอดจากโอท็อปทำให้มีความทันสมัยส่งออกต่างประเทศผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เหมาะกับคนกรุงเทพฯ รวมทั้งมีเวิร์คช็อปให้เรียนรู้ดีไซน์ใหม่ ๆ
โซนร้านกาแฟดัง 20 ร้านดังภาคเหนือ กาแฟผสมเมล็ดแม็คคาเดเมีย ผสมกับกาแฟโดยไม่ใส่น้ำตาล จากลำปาง หรือ Lock Expresso เชียงใหม่ดังมากและมีพรีเซนเตอร์บาเรสต้าหน้าตาดีมาก หรือกาแฟอาริบิก้า ดอยหมอก จากดอยช้าง เชียงราย มีเทคนิคการชงพิเศษกว่าที่อื่น ๆ
ส่วน “อาหารถิ่น” ออกแบบเป็นกาด (ตลาด) 55 ร้าน แต่ละวันจะสลับหมุนเวียนกันมาขาย โดยนำร้านที่ได้รับความนิยมจากโซเชียลมีเดีย ร้านข้าวเกรียบปากหม้อเป่าปาก ทำคล้ายก๋วยเตี๋ยวแห้งและน้ำผสมกัน รสเด็ดมาก หรือ“ขนมเทียนเสวย” จ.อุตรดิตถ์ เคยนำไปเผยแพร่ในต่างประเทศ
สำหรับความบันเทิงได้จัดให้ “รำวงสาวน้อยพิษณุโลก” วัยเกิน 65 ปีขึ้นไป เกือบ 200 คน ซึ่งมีสีสันตรงชุมชนรวมตัวกัน เปิด 18.00-20.00 น.ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมรำวงรอบละ 5 บาท
ผอ.สมฤดี กล่าวถึงการสร้างรายได้จากงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย เข้าสู่ภาคเหนือ โดยภาพรวมทั้ง 5 ภูมิภาค จะมุ่งนำ “สินค้าชุมชน” มาเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กระตุ้นให้คนเดินทางต่อเข้าไปยัง “เมืองรอง” ไม่ต่ำกว่า 60 % สร้างแรงจูงใจให้คนต้องกลับไปเที่ยวซ้ำ ๆ โดยมีสินค้าไฮไลต์ที่จะซื้อโดนใจคนรุ่นใหม่ ผลิตภัณฑ์ดีไซน์ “ผ้าหลากหลายมิติ” ผ้าย้อมครามกับผ้าสีธรรมชาติทำเสื้อผ้ากับกระเป๋าเก๋ ร้านยาโนแฮนดี้คราฟทำผ้าใยกัญชง ขณะที่สินค้าราคาสูง ทองสุโขทัย ผ้าตีนจกภาคเหนือ ล้วนแล้วแต่จะเป็นตัวเชื่อมไปสู่ “การเพิ่มรายได้” มากขึ้น แต่เป้าหมายต้องการให้ผู้เข้าชมงานไปเยี่ยมให้ครบทั้ง 10 ชุมชน สินค้าเครื่องเงินและอื่น ๆ ราคาซื้อได้ไม่แพง
ตลอดการจัดงานได้จัดให้มี “แจกโชคลุ้นรับของที่ระลึก” เป็นภาพรวมของงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย จากทั้งหมด 10 โซน ให้นักท่องเที่ยวถือพาสปอร์ตงานไปแสตมป์ตามจุดต่าง ๆ รวมถึงการทำโครงการ “ขยะได้โชค” ลุ้นรับรางวัลแพกเกจท่องเที่ยวฟรี เพราะภายในงาน 5 วันจะมีขยะเกิดขึ้นค่อนข้างมาก จึงต้องการรณรงค์ให้นำขยะมาที่กองอำนวยการเพื่อชั่งน้ำหนักแล้วรับเป็นของไป แต่ ททท.ได้ร่วมกับ SCG นำภาชนะซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาบริการแก่ผู้ค้าขายได้นำไปบรรจุอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อช่วยกันลดขยะต่าง ๆ ได้ด้วย
ประการสำคัญปีนี้เมื่อนักท่องเที่ยวเดินครบทุกหมู่บ้านทุกโซน หากต้องการท่องเที่ยวต่อเนื่อง ททท.ทั้ง 5 ภูมิภาคจะมีคู่มือแนะนำแจกเพื่อให้เลือกเส้นทางที่สนใจที่จะนำไปใช้ท่องเที่ยวได้ตลอดปีนี้ รวมไปถึงบริเวณประตูด้านอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ได้จัดทำห้องบริการของสมาคมนำเที่ยวภายในประเทศทั้งหมดมาแนะนำให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจจะเดินทางเที่ยวเป็นกลุ่มหรือหมู่คณะได้ตลอดงาน
สำหรับงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ในสวนลุมพินี ทุกครั้งที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้ตรงสู่ผู้ประกอบการที่นำสินค้าเข้ามาจำหน่ายปีละหลายร้อยล้านบาท ปี 2561 ททท.ตั้งเป้าจะมีรายได้เกิดขึ้นทันทีตลอดงานไม่ต่ำกว่า 420 ล้านบาท จากผู้เข้าชมงาน 600,000 แสนคน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์กะรัตแลกฟรีลีมูซีน-ดินเนอร์หรู”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยของขวัญที่พร้อมแจกให้ผู้ถือบัตรสมาชิก คิง เพาเวอร์ ที่มีอยู่กว่า 700,000 ราย ได้ใช้คะแนนสะสม “กะรัต รีวอร์ดส์” 4 รายการ คือ
รายการแรก “แลกรับฟรีบริการรถลีมูซีน” สำหรับสมาชิกผู้ถือบัตร CROWN & VEGA สามารถใช้คะแนนในบัตรเพียง 1,500 คะแนน แลกสิทธิ์ได้ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ, ศรีวารี และ พัทยา
รายการที่ 2 “อิ่มอร่อยด้วยกะรัต รีวอร์ดส์” ในดิวตี้ฟรีสาขาต่าง ๆ ที่ ร้านอาหาร ลามูน รามายาณะ มื้อกลางวัน ใช้เพียง 350 คะแนน มื้อค่ำใช้ 500 คะแนน และในในโรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ ที่ร้านอาหาร Cuisine Unplugged เลือกเป็นมื้อกลางวันหรือมื้อค่ำใช้เพียง 1,300 คะแนน แลกสิทธิ์ได้ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ, ศรีวารี และ พัทยา
รายการที่ 3 “ฟรี WRAP & FLY” บริการห่อกระเป๋าเดินทางฟรี โดยใช้ 120 คะแนน แลกรับคูปอง 1 ใบ ที่จุดบริการสมาชิก ชั้น 4 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
รายการที่ 4 “แชร์ความสุขด้วยพอกเก็ต WiFi” แลกรับเป็นคูปอง WiFi มูลค่า 100 บาท ได้ที่ เมมเบอร์ คลับ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และศรีวารี
สอบถามเพิ่มเติมที่ คอล เซ็นเตอร์ คิง เพาเวอร์ 1631
ข่าวที่ 2 “ผู้นำททท.สั่งลุย4เรื่องโหมNewShadesในเวียดนาม”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าวางกลยุทธ์การพัฒนารายได้ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเข้าประเทศในปี 2561 ตามเป้า 3 ล้านล้านบาท โดยพุ่งเป้าให้สำนักงานทั้งในและต่างประเทศทั่วโลกทำเชิงรุกหนักให้สอดคล้องกับธีมขาย Amazing Thailand : Open to the New Shades 4 เรื่อง คือ 1.เพิ่มค่าใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่อคนต่อทริป ด้วยการปลุกกระแสนักท่องเที่ยวกลุ่มเดินทางครั้งแรก (first visit) ทั้งตลาดต่างประเทศและคนไทย พุ่งเป้ารุกหนักเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เจนวาย นักเรียน/เยาวชนสามารถทำได้ทันทีคือทริปนักเรียนจากญี่ปุ่นและยุโรป ควบคู่กับเจาะกลุ่มคุณภาพ เช่น คู่แต่งงาน ฮันนีมูน ท่องเที่ยวหรูหรา เซลิบริตี้/ผู้มีชื่อเสียง กลุ่มสตรี/ผู้หญิง ซึ่งใช้จ่ายเงินสูงในทุก ๆ ด้าน ปัจจุบันไทยมีส่วนแบ่งตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพต่างชาติอยู่ราว 25 % ของทั้งหมด
2.ขยายพื้นที่ทำการตลาดจากเมืองหลักต่างประเทศสู่เมืองรอบ ๆ อาทิ สหภาพยุโรป ขยายจากลอนดอน เป็นแมสเชสเตอร์ กลาสโกรว์ และยุโรปตะวันออก เพื่อนำมากระจายสู่เมืองรองของไทยอย่างรวดเร็วสอดคล้องกับศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวแต่ละพื้นที่
3.ชูการขายสินค้าท่องเที่ยวไทยที่มีความหลากหลายเชื่อมโยงเส้นทางอย่างเป็นรูปธรรมเข้าสู่ชุมชน รณรงค์ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น ช่วยอุดหนุนเศรษฐกิจฐานรากทำให้เกิดความยั่งยืนลดความเหลื่อมล้ำ
4.เลือกใช้เครื่องมือทางการตลาดเล็งยังกลุ่มเป้าหมายชัดเจนเลิกใช้วิธีหว่านในตลาดภาพรวม แต่หันไปเพิ่มความเข้มข้นในกลุ่มคุณภาพ และกลุ่มเดินทางครั้งแรกต้องแนะนำไปยังเฉดหลักเมืองยอดนิยมในปัจจุบัน ส่วนกลุ่มเดินทางเที่ยวซ้ำ ๆ (repleater/revisit ) ก็ขายแหล่งท่องเที่ยวเฉดใหม่ ๆ ตามเมืองรองที่มีให้เลือกทั่วประเทศ รองรับการเพิ่มโครงสร้างใหม่ของ ททท.ปีนี้จะเปลี่ยนเข้าสู่ Big Data ทำตลาดเชิงรุกด้วยดิจิตอล 4.0
นายยุทธศักดิ์กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 5-6 มกราคม 2561 ได้ยึดโรงละคร ไซ่ง่อน โอเปร่า เฮาส์ ใจกลางนครโฮจิมินห์ เพื่อเปิดตัว “Amazing Thailand : Open to the New Shades” มีทีมผู้บริหาร ททท. ร่วมงานครบทีม ทั้งนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด นายกฤษณะ แก้วธำรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณา นางวไลลักษณ์ น้อยพยัคฆ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชีย และแปซิฟิก นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการ พร้อมด้วย นางนภสร ค้าขาย ผู้อำนวยการ และนายวิโรจน์ ผายเมืองฮุย ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงาน ททท.โฮจิมินห์ ซึ่งเป็นเจ้าภาพในพื้นที่นำภาคเอกชนสื่อมวลชน เวียดนาม เข้าร่วมอย่างคับคั่ง โดยมีอาหารไทยจากร้านช้างทอง (Elephant Golden) คัดสรรเมนูไฮไลต์เสิร์ฟตลอดงานเพื่อสร้างประสบการณ์อันซึ้ง
อีกทั้งยังได้รับความสนใจจากสถานีโทรทัศน์ เวียดนาม มีเดีย สัมภาษณ์พิเศษโดยเจาะลึกถึงแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของไทยพร้อมเปิดประตูต้อนรับเวียดนาม ซึ่งมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลัก กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เมืองรอง ในแถบภาคอีสานซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีของชาวไทยเชื้อสายเวียดนามในชุมชนบ้านลุงโฮ นครพนมและจังหวัดใกล้เคียง เนื่องจาก ททท.มุ่งมั่นทำตามนโยบาย ASEAN Economic Cooperation Connectivity เสริมสร้างการขายท่องเที่ยวเชื่อมโยง Two Countries One Destination ในปี 2561 ตั้งเป้าจะมีชาวเวียดนามมาท่องเที่ยวเมืองไทย 1 ล้านคน และมีคนไทยไปเที่ยวเวียดนามเกือบ 300,000 คน
สำหรับสถิติระหว่างมกราคม-กันยายน 2560 (ณ ขณะนั้นจำนวนรวม 26.07 ล้านคน) มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเที่ยวเมืองไทยครั้งแรกหรือ first visit จำนวน 11.66 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.71 % และกลุ่มเดินทางเที่ยวเมืองไทยซ้ำ-re visit จำนวน 14.41 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4.17 % รวมทั้งมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางเป็นครอบครัว (family) 5.46 ล้านคน เพิ่มขึ้น 12.21 %
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท.กล่าวว่าได้นำเสนอการท่องเที่ยวของไทยให้กลุ่มผู้ประกอบการท่องเที่ยวและสื่อมวลชนทุกสาขาในเวียดนามที่เข้าร่วมงาน Open to the New Shades ณ กรุงโฮจิมินห์ เกือบ 400 คน ได้สัมผัสความลึกซึ้งผ่านภาพยนต์โฆษณาพร้อมบรรยายพุ่งเป้าขยายผล 3 เฉดใหม่ คือ New Destination-เส้นทางใหม่ New Product-สินค้าท่องเที่ยวมุมใหม่ และ New Segmentation-กลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายใหม่ โดยได้เชิญศิลปินเพลงแถวหน้าของเมืองไทย “โก้-แซ็กแมน” ไปบรรเลงเพลงแจ๊สในไซ่ง่อน โอเปร่า เฮาส์ โดยใส่กลิ่นอายเพลงด้วยเนื้อหาแหล่งท่องเที่ยวไทยผสมผสานลงไปสร้างความแปลกใหม่และความประทับใจให้เกิดภาพจำไทยในมิติความหลากหลายใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นางนภสร ค้าขาย ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานโฮจิมินห์ กล่าวว่า การเปิดตัว Amazing Thailand : Open to the New Shades ในนครโฮจิมินห์ ตั้งแต่เริ่มเปิดศักราชใหม่ปี 2561 จะช่วยตอกย้ำนักท่องเที่ยวเวียดนามสนใจเที่ยวเมืองไทยตลอดปีนี้ได้ถึงเป้า 1 ล้านคน สร้างรายได้รวมกว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ช่วงตารางบินฤดูหนาว (ตุลาคม 2560-มีนาคม 2561) มีสายการบินประจำบริการ ไป-กลับ เวียดนามสู่ประเทศไทย สัปดาห์ละ 211 เที่ยว อีกทั้งยังตื่นตัวเปิดจุดบินตรงจากเมืองรองของเวียดนามเข้าสู่เมืองรองของไทย เปิดบินตรง ไป-กลับ เช่น บางกอกแอร์เวย์ส เดือนมีนาคมนี้เตรียมเปิด ฮานอย-เชียงใหม่ ส่วนเวียดเจ็ตแอร์เวย์ส โฮจิมินห์ สู่ปลายทาง ภูเก็ต เชียงใหม่ และ ดาลัด-กรุงเทพฯ
สำหรับสถานการณ์ตลาดนักท่องเที่ยว "เวียดนาม" เข้าประเทศไทย ในปี 2560 ( สรุป ณ วันที่ 10 ธันวาคม 2560) มีการเติบโตทางรายได้รวม 27,536.25 ล้านบาท สูงกว่าปี 2559 ทำไว้ 23,874.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.34 % มีนักท่องเที่ยว 867,712 คน เพิ่มขึ้น 12.50 % จากปี 2559 มีเพียง 771,285 คน
ตลอดปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ของนักท่องเที่ยวในประเทศกลุ่มอาเซียนใหม่ CLMV จะพบว่า "เวียดนาม" สร้างรายได้ท่องเที่ยวเข้าไทยมากเป็นอันดับ 2 มีความโดดเด่นเป็นตลาดดาวรุ่งมาแรงอย่างชัดเจน
ส่วนอันดับ 1 คือ "สปป.ลาว" ทำสถิติใช้จ่ายเงินเที่ยวเมืองไทยสูงถึง 37,120.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.12% จากปี 2559 ทำได้ 32,815.09 ล้านบาท โดยปี 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 1,458,640 คน เพิ่มขึ้น 16.12 % จากปี 2559 มีเพียง 1,256,173 คน
อันดับ 3 "กัมพูชา" นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายเงินในไทย 23,690.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.22 % ปี 2559 ทำได้เพียง 19,226.68 ล้านบาท โดยปี 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 764,699 คน เพิ่มขึ้น 25.47 % จากปี 2559 มีเพียง 609,461 คน
อันดับ 4 "เมียนมา" นักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายเงินในไทย 14,014.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.52 % ปี 2559 มีเพียง 12,680.26 ล้านบาท โดยปี 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 328,405 คน เพิ่มขึ้น 6.50 % ปี 2559 มีเพียง 308,354 คน
ส่วนยอดรายได้รวมจากตลาดอาเซียนใหม่ CLMV ทั้ง 4 ประเทศ ตลอดปี 2560 เข้ามาใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวในไทยยอดรวมสูงถึง 102,361.74 ล้านบาท แตกต่างจากปี 2559 ทำไว้เพียง 88,596.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,765.54 ล้านบาท
ในปี 2560 เมื่อเปรียบเทียบการขยายตัวของนักท่องเที่ยวอาเซียนใหม่ 4 ประเทศ ยังพบนัยสำคัญดังนี้
ภาพรวมทางด้าน "รายได้" สร้างมูลค่ารวม 102,361.74 ล้านบาท เท่ากับมีส่วนแบ่งการใช้เงินท่องเที่ยวในไทยเกือบ 50 % ของรายได้จากนักท่องเที่ยวตลาดอาเซียนทั้งหมด 9 ประเทศ ที่เข้ามาใช้จ่ายรวม 242,357.40 ล้านบาท
ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนเก่าอีก 5 ประเทศ ได้แก่ บรูไน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ใช้เงินเที่ยวเมืองไทยรวมกันเพียง 139,996 ล้านบาทเท่านั้น
ข่าวที่ 3 “บางจากฉลองปลอดภัย3ล้านชั่วโมง3Es-จัดวันเด็ก”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้จัดกิจกรรมโครงการ "3 ล้านชั่วโมงความปลอดภัยในการทำงาน" เพื่อเป็นการขอบคุณผู้บริหารและเพื่อนพนักงานบางจากฯ ทุกคนที่ร่วมปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย ไม่เกิดอุบัติเหตุถึงขั้นหยุดงาน (Lost Time Injury) ครบ 3 ล้านชั่วโมงทำงาน
มุ่งเน้นความปลอดภัยด้วยหลัก 3Es คือ Everyone goes home safely everyday ทุกคนกลับบ้านปลอดภัยทุกวัน Environment and asset are protected มุ่งมั่นปกป้องสิ่งแวดล้อม ชุมชนและทรัพย์สิน Efficient and reliable operations ผลิตด้วยเสถียรภาพและประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างจิตสำนึกให้พนักงานมุ่งมั่นทำงานอย่างปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2561 เวลา 08.00-11.30 น. บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดให้เด็กๆ และผู้ปกครอง เข้าร่วมกิจกรรมวันเด็กกับบางจาก ภายใต้แนวคิด “รู้สนุกคิด ประดิษฐ์สร้างสรรค์” ประจำปี 2561 ณ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก ถนนสุขุมวิท 64 พบกับเหล่าฮีโร่ขวัญใจเด็กๆ กิจกรรมที่หลากหลาย ให้ความสนุกสนาน เฮฮา และโชว์สุดพิเศษ อาทิ การแสดงมายากล โชว์กายกรรม มินิคอนเสิร์ต “แปม ไกอา” หน้ากากโพนี่ จาก The Mask Singer และมินิคอนเสิร์ตจากวง “สามบาทห้าสิบ” ฯลฯ พร้อมอาหารเครื่องดื่ม และของรางวัลมากมาย
ช่วงที่ 2 เกาะติดมุมใหม่ในการท่องเที่ยว “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2561” ยก 5 ภูมิภาค เนรมิต 10 โซนความสุขมาไว้ในสวนลุมพินี ระหว่างวันที่ 17-21 มกราคม นี้ ตามไปดูศาสตร์พระราชา เส้นทางท่องเที่ยวหลากมิติ มุมอร่อยของดีกทม.อาหารถิ่น 5 ภาค 75 ร้านเด็ด วัฒนธรรมความบันเทิง กิจกรรมผจญภัยไปกับ 12 หน่วยงาน และช้อปเพลินกับพาเหรดสินค้าประชารัฐ 12 องค์กรรัฐและเอกชน ครั้งเดียวในรอบปี แล้วมาเรียนรู้การระวังโรคอ้วนลงพุง ตามแกะรอยเรื่องร้อน ๆ อาหารแพงในสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ เรื่อยไปจนถึงคำสั่งของ รมช.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร สั่งกรมท่าอากาศยานไทยยกเครื่องบริหารสนามบินภูมิภาคใหม่ 3 เรื่อง
@ตลุยเทศกาลเที่ยวเมืองไทยNewShade10โซน
ตามไปดูกันให้ครบทุกซอกทุกมุมกับ “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย 2561” การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมเปิดสวนลุมพินี 17 - 21 มกราคม 2561 ทุกวันจะเปิดตั้งแต่เที่ยงไปจนถึง 4 ทุ่ม ให้เข้าไปตลุยเที่ยวชมมากถึง10 โซน เพื่อ ชม ช้อป ชิม แชร์ ชีล ช่วย เติมเต็มความสุขกับวิถีทั่วไทยที่ยกมาไว้กลางกรุงตลอด 5 วัน
เริ่มจาก โซน 1 เที่ยวตามรอยพระบาท ตามศาสตร์พระราชา จัดการแสดงสาธิตเห่เรือสุพรรณหงส์จำลอง ความยาว 22 เมตร นิทรรศการ “ตามรอยพระบาท ตามศาสตร์พระราชา”
โซน 2 แนะนำโปรแกรมและสินค้าท่องเที่ยวภายในประเทศ ปี 2561 เช่น โครงการ 12 เมืองต้องห้ามพลาด...พลัส, โครงการท้าเที่ยวข้ามภาค, โครงการวันธรรมดาน่าเที่ยว, กิจกรรมสำหรับกลุ่มผู้หญิง, กิจกรรมสำหรับผู้สูงวัย รวมถึงโครงการ “Go Local – เที่ยวท้องถิ่นไทย ชุมชนเติบใหญ่ เมืองไทยเติบโต”
โซน 3 หมู่บ้านท่องเที่ยว 5 ภูมิภาค (กลาง-ตะวันออก-เหนือ-ใต้-อีสาน) นำเสนอหมู่บ้านท่องเที่ยว 5 ภูมิภาค เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศจำลองเสมือนจริง สร้างการรับรู้ความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่กระตุ้นคนเข้าไปยัง 5 ภูมิภาค คือ
ภาคกลาง “สุขกลางใจใกล้แค่เอื้อม” ภายใต้แนวคิด “วิถีถิ่น แผ่นดินทอง” (วิถีชุมชนในแถบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา)
ภาคตะวันออก “สีสันตะวันออก”ภายใต้แนวคิด “Sea-fruit” เติมเต็มประสบการณ์มหัศจรรย์กับ “สีสันตะวันออก”
ภาคเหนือ “เหนือฝันล้านแรงบันดาลใจ” ภายใต้แนวคิด “อลังการล้านนาเรืองรอง”
ภาคใต้ “ปักษ์ใต้...ปักหมุด หยุดเวลา” ภายใต้แนวคิด “เที่ยวใต้ ได้อะไรมากกว่าที่คิด”
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ “อีสานแซ่บนัว” ภายใต้แนวคิด“Cool Isan (วิถีถิ่น สู่วิถีเทรนด์)
แต่ละวันจะจัดขบวนแห่วัฒนธรรม 5 ภูมิภาคทุกวัน เวลา 17.00 น. ภายในบริเวณสวนลุมพินี
โซน 4 อาหารดัง 50 เขต กทม. พบอาหารเด่น ททท. 5 ภูมิภาค โดยนำเสนอ “ปิ่นโต ภาชนะคู่บ้านวิถีไทย” วัตถุดิบความอร่อยแบบฉบับ กทม. และอาหารเด่นขึ้นชื่อจาก 5 ภูมิภาค รวม 75 ร้านค้า
โซนที่ 5 เวทีกลาง (การแสดงศิลปวัฒนธรรม และการแสดงร่วมสมัย) จัดพิธีเปิด ต้อนรับบุคคลสำคัญ จัดการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย 5 ภาค การแสดงร่วมสมัยและคอนเสิร์ตจากศิลปินที่ได้รับความนิยม ในทุกวันของการจัดงาน อาทิ ตู่ ภพธร, ป๊อป ปองกูล, นภ พรชำนิ, ก็อต จักรพันธ์, ฝน ธนสุนทร, ก้อง ห้วยไร่, ปู่จ๋าน ลองไมค์, ลำไย ไหทองคำ
โซน 6 TAT STUDIO นำเสนอภายใต้แนวคิด “ปีท่องเที่ยววิถีไทย เก๋ไก๋อย่างยั่งยืน: Amazing Thailand Tourism Year 2018” กิจกรรมภายในโซนนี้เป็นสถานีโทรทัศน์และวิทยุ หรือ Studio ที่มีกิจกรรมการทำรายการเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ในงานฯ มี DJ ดำเนินรายการทางวิทยุ และการถ่ายทอดสดรายการโทรทัศน์เฉพาะกิจ โดยเชื่อมสัญญาณและถ่ายทอดผ่านจอ LED ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าหลัก 3 จอ และบริเวณ TAT Studio อีก 2 จอ
โซน 7 กิจกรรมท่องเที่ยว OUTDOOR FEST เป็นโซนกิจกรรมประเภท Outdoor โดยความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตร 12 หน่วยงาน
โซน 8 TAT LAB นำเสนอกิจกรรม Workshop รูปแบบต่าง ๆ เช่น กิจกรรม Workshop เพื่อสุขภาพ ได้แก่ ทำอโรม่า ทำลูกประคบ กิจกรรม Workshop เพื่อสิ่งแวดล้อม เช่น การทำเครื่องประดับจากกระดาษจัดสวนในขวดแก้ว กิจกรรม Workshop ด้านอาหาร ได้แก่ อาหารออร์แกนิคทำพิซซ่า ฯลฯ รวมถึง Special Zone อาหารและเมนูอินเทรนด์มากมายจาก Celeb ได้แก่ ส้มตำ-แม่น้อย โพธิ์งาม ไก่ปิ้ง เนื้อปิ้ง-น็อต วรฤทธิ์ แซนวิชเพื่อสุขภาพ-- โย ยศวดี และ เอ อัญชลี เบเกอรี่- นาตาลี ขนมเปี๊ยะ-ป๋าเทพ คุกกี้-น้ำฝน พัชรินทร์
โซน 9 กิจกรรม CSR “ขยะให้โชค” จัดกิจกรรม “ขยะให้โชค” สร้างจิตสำนึกใส่ใจในสิ่งแวดล้อม และลดปริมาณขยะในแหล่งท่องเที่ยว พร้อมลุ้นรับรางวัลชิงโชคและของที่ระลึก เพียงนำขยะที่สามารถรีไซเคิลได้ เช่น ขวดน้ำพลาสติก, ขวดแก้วและกระป๋องต่าง ๆ มาทิ้งลงในถังขยะที่จัดไว้ บริเวณทางออก เพื่อร่วมบริจาคให้กับหน่วยงานเพื่อสิ่งแวดล้อม
โซน 10 ประชารัฐ (หน่วยงานพันธมิตรร่วมจัดกิจกรรม) ความร่วมมือทางธุรกิจท่องเที่ยวจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมออกบูธจัดแสดงนิทรรศการประชาสัมพันธ์หน่วยงาน โดยมีหน่วยงานทั้งสิ้นกว่า 12 หน่วยงาน ได้แก่
•กรมทรัพยากรธรณี •องค์การสวนสัตว์ •ตำรวจท่องเที่ยว •บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) – ประชารัฐรักสามัคคี •ขสมก.• ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) •นครชัยแอร์ •การท่องเที่ยวกองทัพเรือ •การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย • โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา • บริษัท ไปรษณีย์
@ยุคนี้ต้องระวังโรคอ้วนลงพุงมาเยือน
โรคอ้วนลงพุง (metabolysis sindome) คือกลุ่มความผิดปกติของไขมันในเลือด ความดันโลหิตระดับน้ำตาล ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ผู้ที่เป็นโรคอ้วนลงพุงจึงมีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือด ซึ่งคนไทยกว่า 29% กำลังเผชิญต่อโรคอ้วนลงพุง
จากข้อมูลความถี่ของการเกิดโรคอ้วนลงพุงในการศึกษา Interasia ในประชากรไทยทั่วประเทศ ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปี ขึ้นไป จำนวน 5,091 ราย พบว่าคนไทยเกิดโรคอ้วนลงพุงถึง 29.3%
รู้ได้อย่างไรว่าเข้าข่ายโรคอ้วนลงพุง???
นำสายวัดมาวัดรอบเอว โดยชายไทยต้องมีเส้นรอบเอวไม่เกิน 90 ซม. และหญิงไทยต้องมีเส้นรอบเอวไม่เกิน 80ซม.
หาค่าดัชนีมวลกาย โดยนำค่าน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง
หากมีค่าอยู่ระหว่าง 18.5 – 24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร ถือว่าปกติ แต่ถ้าใครมีค่ามากกว่าก็มีภาวะเสี่ยงเช่นกัน
คนที่อ้วนลงพุงจะมีไขมันสะสมในช่องท้องปริมาณมาก ยิ่งรอบพุงมากเท่าไหร่ ยิ่งสะสมในช่องท้องมากเท่านั้น ไขมันที่สะสมนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี เกิดเป็นภาวะ “อ้วนลงพุง”
ดังนั้นจึงแนะนำให้เลือกรับประทานอาหารอย่างถูกวิธี พร้อมออกกำลังกาย เป็นประจำ และดูแลก่อนจะเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนลงพุง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “ทอท.เผชิญศึกรอบด้านต้อนรับเปิดปีจอ”
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือทอท. เปิดเผยว่า เว็บไซต์บลูมเบิร์กได้รายงานถึง ทอท. เป็นบริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลกในหุ้นกลุ่มท่าอากาศยาน มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) มากกว่า 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากปี 2560 มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยาน ทอท.รวมเกือบ 100 ล้านคน ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยาน แม่ฟ้าหลวง เชียงราย
ปี 2561 ทอท.จะเร่งเดินหน้าแผนลงทุน 10 ปีในทุกสนามบินที่จะใช้เงินลงทุนรวมกว่า 2.2 แสนล้านบาท เพิ่มศักยภาพโครงข่ายระบบท่าอากาศยานของประเทศไทยภายใต้กรอบแนวคิดแบบการบริหารจัดการทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานเดินหน้าทำในลักษณะกลุ่ม Cluster เพื่อดูแลน่านฟ้าให้ของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของสนามบินแต่ละแห่ง รวมทั้งช่วยส่งเสริมการตลาดแหล่งท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม Cluster เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยรวมแล้วเกิดผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ
จากนั้น ทอท.ก็ได้ชี้แจงกระแสข่าวเชิงลบที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่ต้นปีจอ เรื่องแรก คือ ราคาอาหารและเครื่องดื่มภายในสนามบินตามที่ปรากฏข่าวในสื่อญี่ปุ่นผู้ใช้เฟสบุค (Akihiro Koki TomiKawa) โดยนาย Koki Aki ระบุราคาอาหารภายในสุวรรณภูมิและดอนเมืองแพงเกินเหตุ นั้น ทอท.ยืนยันว่า 1.ได้กำหนดเงื่อนไขสัญญาให้ผู้ประกอบการต้องควบคุมราคาสินค้าและค่าบริการไม่ให้สูง
เกินกว่าราคาในท้องตลาดประมาณ 20 – 25 % ตามสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่ท่าอากาศยานแต่ละแห่งตั้งอยู่ รวมทั้งได้ขอความร่วมมือให้จำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นให้สอดคล้องกับราคาของตลาด พร้อมทั้งติดป้ายแสดงราคาด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ทอท.ได้มีการสุ่มตรวจราคาอาหารของผู้ประกอบการภายในท่าอากาศยานตลอดเวลา
2. ราคาจำหน่ายน้ำเปล่าที่บรรจุขวดขนาด 500 มล.ในราคาขวดละไม่เกิน 10 บาท ยกเว้นน้ำแร่ขายขวดละ 25 – 50 บาท รวมทั้งให้ผู้ขายเพิ่มรายการอาหารจานเดียวหรืออาหารชุดราคาประหยัดอย่างน้อย 1 รายการ พร้อมทั้งติดป้ายราคาสินค้าทุกรายการ และประชาสัมพันธ์ถึงบริการตู้น้ำดื่มกดฟรี และร้านอาหารสวัสดิการราคาประหยัด เป็นทางเลือกให้กับผู้โดยสารอีกด้วย
เรื่องที่สอง ทอท.ชี้แจงโครงการเช่าเครื่องตรวจวัตถุตามร่างกายผู้โดยสาร (Body Scanner ว่า ได้เริ่มเช่าอุปกรณ์ Body Scanner มาติดตั้งใช้งานตั้งแต่ปี 2554 โดยการพิจารณาเทคโนโลยีที่ผ่านมาตรฐานและการรับรองจาก Transportation Security Administration (TSA)
ปัจจุบันเทคโนโลยี Body Scanner ที่ได้รับการรับรองมีเพียงผลิตภัณฑ์เดียวในโลก คือ L-3 รุ่น Provision ATD และ Provision 2 โดยมีบริษัท เอ็ม ไอ ที โซลูชั่น จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายเพียงรายเดียวในประเทศไทย
ราคาอุปกรณ์ดังกล่าวเครื่องละ 5.6 ล้านบาท เป็นราคาที่ General Services Administration Schedules (GSA) สหรัฐอเมริกาตั้งไว้เฉพาะขายให้แก่รัฐบาลและหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น มิใช่ราคาขายเชิงพาณิชย์ในตลาดที่ขายให้กับท่าอากาศยานทั่วไป โดย ทอท.ได้ดำเนินการสืบราคาของอุปกรณ์แล้วมีราคาเริ่มต้นเครื่องละ 19 ล้านบาท ไม่รวมการประกันภัย และการบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ทั้งหมด
ส่วนค่าเช่าเครื่องเมื่อรวมค่าบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ ค่าประกันภัย และค่าดอกเบี้ย ที่ ทอท.ทำสัญญา 5 ปี กับบริษัทตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยคิดค่าเช่า 3 ปีแรก เดือนละ 650,000 บาทต่อเครื่อง เมื่อต่อสัญญาในรัฐบาลปัจจุบันได้ต่อรองลดลงอีก20 % เหลือเดือนละ 510,000 บาท ตลอดสัญญา 5 ปี เป็นเงิน 35.64 ล้านบาทต่อเครื่อง
ทาง ทอท.ได้สอบถามไปยัง L-3 Communication ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์ดังกล่าว และได้รับหนังสือ Subject: concerns on L3 Provision System related Projects in AOT เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2560 ยืนยันราคาที่ตัวแทนจำหน่ายในไทยเสนอให้เช่าพร้อมบำรุงรักษาแบบรวมอะไหล่ทั้งหมด รวมค่าประกันภัยและค่าดอกเบี้ยเป็นราคาที่เป็นมาตรฐาน
ข่าวที่สอง "วีระศักดิ์แจงความจริงเรื่องอาหารแพงในสนามบิน"
นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ชี้แจงผ่านเฟซบุคเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2561 ถึงที่มาของกระแสข่าวที่ตนถูกพาดพิงในการให้ข้อมูลกับสื่อกรณีอาหารในสนามบินแพงก็ให้เลิกกินหรือกินไปจากบ้านบ้าน นั้น ตนเองไม่ได้กล่าวอย่างที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ตามลำดับเหตุการการสื่อสารคำถามคำตอบกันผ่านทางไลน์กับสื่อมวลชน มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกัน จึงทำให้กลายเป็นประเด็นขึ้นมา
อย่างไรก็ตามในสันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561 เวลา 11.00 น.ตนเองจะประชุมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรณีเรื่องราคาอาหาร เครื่องดื่มตามร้านในสนามบิน ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 4 ตึก 2 กระทรวงคมนาคม
ข่าวที่สาม“รมช.ไพรินทร์สั่งยกเครื่อง29สนามบินภูมิภาค”
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่าให้นโยบายกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ยกเครื่องใหม่ 3 เรื่อง คือ 1.ศึกษาความเป็นไปได้เพิ่มรายได้จากพื้นที่เชิงพาณิชย์ในสนามบินภูมิภาค 29 แห่ง เพิ่มขึ้นให้สมดุลจากเดิมมีอยู่เพียง 10% และพึ่งพารายได้จากค่าธรรมเนียมสนามบินมากถึง 90% 2.ต้องรักษาขีดความสามารถประเทศไทยเป็นฮับการบินของอาเซียน เพราะปัจจุบันมีผู้โดยสารที่เดินทางด้วยสายการบินต้นทุนต่ำผ่านเข้าออกสนามบินภูมิภาคของกรมปีละกว่า 60 ล้านคน 3.ต้องเร่งวางแผนปรับปรุงอาคารสถานที่สนามบินภูมิภาคให้ทันสมัย ปลอดภัย มีมาตรฐานเดียวกันทุกสนามบินเพราะขณะนี้สนามบินภูมิภาคมีความหลากหลายมากควรออกแบบตัวอาคารเพื่อให้บริการเป็นมาตรฐาน ง่ายต่อการขยายเชื่อมโยงสู่สนามบินอื่น ๆ เพื่อทำให้ผู้โดยสารจดจำผังการใช้งานอย่างสะดวก
นายดรุณ แสงฉาย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน ภายในปี 2561 ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการลงทุนให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนสนามบินภูมิภาคในลักษณะ PPP พร้อมประกาศเชิญชวนผู้สนใจได้ภายในปี 2561 นำร่อง 4 แห่ง ได้แก่ สนามบินนครศรีธรรมราช, เพชรบูรณ์, ชุมพร และลำปาง
ติดตามฟังรายการได้เป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น