ททท.เร่งเครื่องแจกใหญ่“BEST OF SHA”ธุรกิจยอดรีวิวดีปี’63 ระดมสินค้าท่องเที่ยวเทรนด์ใหม่5โครงการวางขายรับปีใหม่’64
ททท.เร่งเครื่องแจกใหญ่“BEST OF SHA”ธุรกิจยอดรีวิวดีปี’63
ระดมสินค้าท่องเที่ยวเทรนด์ใหม่5โครงการวางขายรับปีใหม่’64
เรื่องและภาพโดย...เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน :บล็อกเกอร์#gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #BESTOFSHA
อ่านทั้งหมดในมติชนออนำลน์https://www.matichon.co.th/publicize/news_2433957
ททท. ประกาศเพิ่มแนวรุกทัพสินค้าท่องเที่ยวปลายปี’63 ลุยแจกใหญ่ BEST of SHA กระตุ้นธุรกิจได้ตราสัญลักษณ์ที่มียอดรีวิวรักษามาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยเป็นเลิศ รับไปเลยประกาศนียบัตรความดี พร้อมนำสินค้าเทรนด์ใหม่วางขายทั่วไทยรับมงคลปีใหม่โปรเจ็กต์ “60 POWER SPOT TRAVEL -อาบป่า มหาสมุทร บำบัด” ต่อด้วย โปรเจ็กต์ “วัด : WAT : Warship Activity Traditional : ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว”
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนสินค้าทั้ง 5 โครงการ โดยจะทำควบคู่ไปพร้อมการกระตุ้นรณรงค์ให้ธุรกิจแต่ละประเภทเข้าร่วมมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัยภายใต้ตราสัญลักษณ์ Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA โดยพยายามผลักดันทุกช่องทางให้ผู้ประกอบการทั่วประเทศรับตราสัญลักษณ์ดังกล่าว ตอนนี้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ธุรกิจที่ยังไม่ได้รับมาตรฐานตราสัญลักษณ์ SHA จะต้องเร่งกระตุ้นการลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมโครงการให้ได้มากที่สุด กลุ่มที่ 2 ธุรกิจที่ได้รับมาตรฐานตราสัญลักษณ์ SHA เรียบร้อยแล้ว ช่วงปลายปี 2563 จะต่อยอดจัดโครงการประกวด BEST of SHA เพื่อมอบประกาศนียบัตรครั้งแรกให้แก่สถานประกอบการกลุ่มที่มีความมุ่งมั่นทุ่มเทรักษาสถานะการดูแลมาตรฐาน SHA ไว้ในขั้นดีมาก
โดย ททท.ประเมินจะใช้ฐานข้อมูลสถานประกอบการแต่ละประเภทแต่ละแห่งซึ่งมีเลขแสดงลำดับการลงทะเบียนและรับตราสัญลักษณ์ปรากฏอยู่ แล้วเป็นธุรกิจที่มีกลุ่มผู้ใช้บริการเข้าไปรีวิว จะนำจำนวนยอดรีวิวดังกล่าวมาเป็นเกณฑ์ในการประเมินและคัดเลือกพิจารณาเรียงตามลำดับที่จะได้รับประกาศนียบัตรเป็นรางวัลตอบแทนการรักษาความดี แล้วช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ธุรกิจดังกล่าวควบคู่กันไปด้วย
สถิติล่าสุด วันที่ 30 ตุลาคม 2563 มีธุรกิจ 10 ประเภท สมัครเข้าร่วมรับมาตรฐานตราสัญลักษณ์ SHA กว่า 14,958 ราย ได้การรับรองรับตรามาตรฐานเรียบร้อย 8,400 ราย ในจำนวนนี้เป็นธุรกิจจากภาคใต้สมัครเข้าร่วมมาตรฐาน SHA ประมาณ 2,272 ราย ผ่านการประเมินแล้ว 1,718 ราย กลุ่มผ่านมากสุดคือ ที่พัก/โรงแรม ตามมาด้วย ภัตตาคาร บริษัทนำเที่ยว และยานพาหนะ
ขณะเดียวกัน ททท.พร้อมเดินหน้าตามนโยบายรัฐบาลหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ลงพื้นที่ประชุมสัญจรที่ภูเก็ต เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา จะผลักดันภูเก็ตเป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Health & Wellness Tourismเนื่องจากภูเก็ตมีสินค้าท่องเที่ยวพร้อมขายได้ทันทีเริ่มตั้งแต่ไตรมาสไตรมาส 4 ปี 2563 ที่จะกระตุ้นเป็นจุดหมายปลายทางการฟื้นฟูสุขภาพ ทำสปา การรักษาสุขภาพด้วยภูมิปัญญาไทย เป็นสถานที่สงบฟื้นฟูสุขภาพดูแลจิตใจ
นางสาวฐาปนีย์กล่าวว่า ขณะนี้ ททท.เร่งเต็มที่เรื่องการเพิ่มเติมสีสันเส้นทางท่องเที่ยวด้วยโปรเจ็กต์ไฮไลต์ใหม่ทั่วประเทศและในภูมิภาคภาคใต้ 5 โครงการหลัก ประกอบด้วย
โครงการแรก “60 POWER SPOT TRAVEL -อาบป่า มหาสมุทร บำบัด” นำความโดดเด่นเรื่องความศรัทธาเข้ามากระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวเสริมทัพชุดใหญ่ ขณะนี้เตรียมผลิตหนังสือคู่มือท่องเที่ยวโครงการดังกล่าว
โครงการที่ 2 การท่องเที่ยวลักชัวรี่หรูหราทั้งภูเก็ตและสมุย มีท่าเทียบเรือยอร์ช มอบหมายให้ผู้ประกอบการในพื้นที่ผลิตแพกเกจท่องเที่ยวเรือยอร์ชและซูเปอร์ยอร์ชวางขาย รองรับตลาดกลุ่มหลักมหาเศรษฐกิจคนไทยและชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในไทย (expat) จำนวนมาก
โครงการที่ 3 การท่องเที่ยวคอง เดอ วู ร่วมกับ จัดการพบปะสังสรรค์กึ่งร่วมการแข่งขันสนุก ๆ โดยร่วมกับกะตะล็อกจัดงานนี้
โครงการที่ 4 เติมเต็มโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ผนวกเข้ากับโครงการ Workation Thailand เร่งกระจายรายได้ให้กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมที่พัก ช่วยเพิ่มวันพักค้างคืนสูงขึ้น ระหว่างการประชุม ครม.สัญจรทางผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ตได้เสนอรัฐบาลผลักดันภาครัฐและเอกชนลงพื้นที่ไปใช้บริการตามแนวทาง Workation ภูเก็ต สมุย ททท.ก็รับภารกิจดังกล่าวมาเพื่อจะไปพูดคุยกับบริษัทขนาดใหญ่ (corporate) จัดทัศนศึกษาทั้งสองจังหวัด
โครงการที่ 5 การสร้างสินค้าท่องเที่ยวชุมชน หรือ Community Base Tourism : CBT ซึ่งมีอัตลักษณ์จุดแข็งแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
ททท.สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา
ในสถานที่ได้ดูแลรักษามาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขตราสัญลักษณ์ SHA
นางสาวฐาปนีย์กล่าวเพิ่มเติมว่า ททท.วางแผนจัดกิจกรรมเคาน์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่า 2563 ต้อนรับปีใหม่ 2564 เนื่องจากการนำเข้านักท่องเที่ยวต้องทำภายใต้เงื่อนไขของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเรื่องการกักตัว ดังนั้นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวปลายปีนี้ยังต้องพึ่งตลาดในประเทศกลุ่มคนไทยและต่างชาติที่พำนักในไทย (expat) เป้าหมายต้อง เพิ่มวันพักค้างคืน ททท.จึงต้องทุ่มจัดงานและสนับสนุนการจัดงานกระจายตามพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเน้นสร้างสีสันบรรยากาศการเดินทางมากขึ้นเพื่อเพิ่มวันพักเฉลี่ย ตอบโจทย์การใช้จ่ายเงินมากขึ้น ทดแทนรายได้จากต่างชาติที่หายไป
ตามที่ ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท.มีนโยบายร่วมกับฝ่ายบริหารทุกฝ่าย ให้แบ่งพื้นที่จัดงานเคาน์ดาวน์ออกเป็น “กรุงเทพฯ” ททท.จัดงานใหญ่ 2 พื้นที่ ได้แก่ 1.ไอคอนสยาม ต่อเชื่อมไปถึงเอเชีย ทีค 2.ใจกลางเมืองจัดตรงบริเวณเซนทรัล เวิลด์ ต่อเชื่อมไปยังราชประสงค์ อาจจะรวมตัวกันของผู้ประกอบการโรงแรมทั้งราชประสงค์ ตกแต่งประดับไฟเทรนด์ใหม่ ILLUMINATION เพื่อดึงดูดกระตุ้นนักท่องเที่ยวด้วยแสงไฟระยับสวยงามให้คนมาพักค้างคืนมากขึ้น รวมทั้งรัฐบาลได้ปลดล็อกโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ต่อไปจนถึงเดือนมกราคม 2564 สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดเข้ามาเที่ยวกรุงเทพฯ ได้โดยใช้สิทธิในโครงการเราเที่ยวด้วยกันลดหย่อนค่าใช้จ่ายได้ด้วย แล้วยังได้รับเงินเพิ่มเมื่อเลือกท่องเที่ยววันธรรมดากอีกคนละ 900 บาท/วัน กระตุ้นการใช้จ่ายได้จริงตามเป้าหมายของรัฐบาล
สำหรับพื้นที่จัดงานเคาน์ดาวน์ต่างจังหวัด ปีนี้ ททท.จะเลือกจัดตามเมืองหลัก ได้แก่ กระบี่ จะนำความเป็นเอกลักษณ์มาสร้างสีสันความแปลกใหม่ให้ทั่วโลกได้เห็นศักยภาพการท่องเที่ยวเมืองไทย สุโชทัย ร้อยเอ็ด เพชรบูรณ์ เน้นการใช้เทคนิคพิเศษแสง สี ประดับศิลปะไฟสไตล์ ILLUMINATION โดยยังคงรักษาอัตลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นไว้ให้เห็นในงานแต่ละพื้นที่เพราะเป็นจุดแข็งต้องเน้นย้ำซึ่งมีความสำคัญมาก
จากนั้นเตรียมสินค้าปูพรมสินค้าท่องเที่ยวต้อนรับต้นปี 2564 เพื่อขาย “ตลาดต่างประเทศ” จะย้ำเน้น Amazing Thailand ทำให้ประเทศไทย เป็น Top of Mind ครองใจคนทั่วโลก จะชูขาย กลุ่มแรก สินค้าท่องเที่ยวลักชัวรี่หรูหรา กลุ่มสุขภาพ Health & Wellness กลุ่ม 2 สินค้าท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ (special interest) เช่น การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (gastronomy) และอื่น ๆ กลุ่มที่ 3 สินค้าท่องเที่ยวเชิงศิลปะวัฒนธรรม (Culture Art) กลุ่มที่ 4 สินค้าท่องเที่ยวธรรมชาติ ททท.จะเดินหน้าทำการตลาดให้เป็นสินค้าหลักที่จะครองใจนักท่องเที่ยวนานาประเทศทุกตลาด ซึ่งแต่ละตลาดก็มีความสนใจแตกต่างกันไป
สำหรับ “ตลาดคนไทย” ทางฝ่ายสินค้าจะบูมขาย “สินค้าท่องเที่ยวด้านจิตวิญญาณเริ่มจาก “60 POWER SPOT -ฟื้นฟูจิตวิญญาณ อาบป่า มหาสมุทร บำบัด” แล้ว ททท.ยังจับมือกับการบินไทย นำร่องทำโครงการ “บินทั่วไทย ได้มงคลทั่วทิศ” เปิดเส้นทางโดยนำเครื่องของการบินไทยบนอยู่บนฟ้าเหนือวัดก็จะได้รับมงคล จากนั้นจะทยอยเปิดตัวกิจกรรมสินค้าไฮไลต์ใหม่มาแรงโครงการ “วัด : WAT : Warship Activity Traditional” ก่อให้เกิดการเดินทางในโครงการ “ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว” เปิดตัววัดต่าง ๆ ด้วยพื้นฐานคนไทยมีความเชื่ออยู่แล้ว ผนวกศรัทธาการทำบุญเข้าวัดได้รับปลูกฝังตั้งแต่เล็กจนโต จะเริ่มขายสินค้านี้ช่วงต้อนรับปีใหม่ นำสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาในชีวิตของนักท่องเที่ยวทุกคน
ขณะที่โครงการ “ศรัทธานำทาง เส้นทางนำเที่ยว” จะไฮไลต์การท่องเที่ยววัดที่มีจุดเด่นแตกต่างกันไปที่มีลักษณะเป็น Unseen Thailand ที่มีอยู่มากมายตามคอนเซ็ปต์หลัก ได้แก่ วัดบนเขา วัดในป่า วัดริมน้ำ วัดกลางตลาด วัดลับแล วัดเก่า วัดเด่นดัง จะรวบรวมมาให้คนไทยได้ท่องเที่ยว ทำบุญ ผสมผสานการทำงานร่วมกันระหว่าง ททท.กับพันธมิตร เช่น การบินไทย หรือหากมีโครงการอื่น ๆ ก็สามารถเข้ามาร่วมกันทำงานได้
ทั้งนี้ ททท.ยังคงมุ่งเน้นรณรงค์ให้ธุรกิจทั้ง 10 ประเภท เข้าร่วมลงทะเบียนสมัครเข้ามาตราฐานตราสัญลักษณ์ SHAเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย ส่งผลให้ไทยเป็นประเทศมหาอำนาจทางการท่องเที่ยวของคนในประเทศและทั่วโลก หลังสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 จบสิ้นลง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น