ททท.ขยับ“ชาร์มมิ่งเชียงใหม่”ต.ค.64-รับต่างชาติโฟกัสทัวร์เศรษฐี ปี’65พลิกโฉม3อะเมซิ่ง“เส้นทาง/โลเกชั่น/คน”ฟื้นตลาดไทย-ทั่วโลก
ททท.ขยับ“ชาร์มมิ่งเชียงใหม่”ต.ค.64-รับต่างชาติโฟกัสทัวร์เศรษฐี
ปี’65พลิกโฉม3อะเมซิ่ง“เส้นทาง/คน/แคร์”ฟื้นตลาดไทย-ทั่วโลก
“คิง
เพาเวอร์”โปรแรงช้อปบุฟเฟต์บิวตี้18ชิ้นราคาเดียว3หมื่นบาท
ช้อป!!คิงเพาเวอร์ “OnceUponAmonthลดสูงสุด85%ถึง31ส.ค.นี้
ช้อป!!ซูเปอร์ดีล
“คิงเพาเวอร์”สินค้าส่งถึงบ้านใส่รหัสลดเพิ่มอีก30%
ททท.ดันเต็มเหนี่ยวจัดGYM2021คัดสุดยอดนวัตกรรมเที่ยว10ทีม
“ททท.-ก.ท่องเที่ยว”ดึง2แบงก์ออมสิน/SMEจับคู่กู้เศรษฐกิจ8-9ก.ย.
“TCEB”ชู3กลยุทธ์ไมซ์ปี65-“สภาพัฒน์”ดึงไมซ์เข้าแผน13เร่งฟื้นศก.
ฉลาดเที่ยว!!สุขใจ“พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติคลองหลวง”
“5ผลไม้”หากินง่ายช่วยกระตุ้นภูมิร่างกายคุ้มกันไวรัสได้ในยุคโควิด
ครม.ส่อเลิกเทงบ“เที่ยวด้วยกันเฟส2-ทัวร์เที่ยวไทย”ยุติก่อนต.ค.นี้
“ครัวบินไทย-บางจาก”นำพัฟฟ์&พายขายในร้านอินทนิล100สาขา
ไทยเวียดเจ็ตบินใหม่“สุวรรณภูมิ”สู่สิงคโปร์/ไทเป/ภูเก็ตเริ่ม20ต.ค.
รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
วันเสาร์ที่
28 สิงหาคม 2564 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เที่ยวกับกู๋
#KingPower #TAT #CharmingChaingmai
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้
ช่วงที่ 1 ผ่าแผนสื่อสารตลาดท่องเที่ยวกับ “ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ
รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
เปิดแนวรุกแซนด์บ็อกซ์ภาคเหนือ “ชาร์มมิ่ง เชียงใหม่ :Charming Chaingmai” ขยับใหม่ทำภายใต้ความยืดหยุ่นพิเศษ “ซีเลคทีฟ โอเพ่น”
ทางด้านแคมเปญใหญ่ระดับชาติปี’65 “ในประเทศ” ชูธงใช้ 3
อะเมซิ่ง “เดสติเนชั่น-พีเพิล-แคร์” ตลาดต่างประเทศ 29 สำนักงานทั่วโลก ปักหมุดหมายขาย “ซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง”
นำเสนอเปิดเมืองตามนโยบายรัฐบาล 10 จังหวัด รอไตรมาส4ปีนี้-ไตรมาส1ปีหน้า
เศรษฐกิจฟื้นใส่เกียร์ลุยทั่วประเทศพลิกโฉมสู่ทัวร์คุณภาพเลิกเน้นจำนวนคน
งัดกลยุทธ์จับคู่ลูกค้ากับสินค้า “เวลเนส-เที่ยวเชิงกีฬา-เที่ยวเชื่อมโยงอาเซียน”
นายธเนศวร์
เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า
ในฐานะผู้รับผิดชอบการเตรียมแผนงานเปิดโครงการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่หรือ
“Charming Chaingmai” โดยมีคู่มือปฏิบัติเรื่องความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
ตามนโยบายรัฐบาลให้โจทย์หลักเดินหน้าประเทศภายใน 120 วัน
ททท.มีหน้าที่ปฏิบัติโดยพยายามขับเคลื่อนอย่างระมัดระวังทีละจังหวัด
การเปิดชาร์มมิ่ง เชียงใหม่
ยังคงยึดประกาศเดิมคือเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศได้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2564 จากเดิมจะพยายามทดลองเริ่มกันยายนนี้
แต่ด้วยปัจจัยแวดล้อมเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้ประชาชนในพื้นที่ต้องรอให้เกินกว่า
70 % จึงอาจต้องขยับการเปิดขึ้นไปอีกเล็กน้อย
ตามแผนผู้ว่าการ ททท.เตรียมนำเสนอแผนงานสรุปการเปิด “ชาร์มมิ่ง เชียงใหม่” เข้าที่ประชุม ศบค.ภายในต้นเดือนกันยายน 2564 พอมีเวลาทำงานร่วมกันอีกสัก 10 วัน โดยใช้คอนเซ็ปต์ว่าเป็น “Selective Open” เพื่อสร้างความอ่อนตัวและการงานเชิงรุกทางการตลาด ซึ่งคำนี้ฟังแล้วจะรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าตามความหมายคือเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เลือกเดินทาง แตกต่างคำว่า “Seal Route” เสมือนการกำหนดขอบเขตพื้นที่เดินทางอย่างจำกัด
นายธเนศวร์กล่าวว่า
การทำแผนเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้น จุดเริ่มตั้งแต่ต้นทาง
ททท.กับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นำเสนอ
ศบค.ตั้งแต่แรกเป็นกรอบกว้างในการเปิดแซนด์บ็อกซ์รับนักท่องเที่ยวต่างชาติบางพื้นที่ในแต่ละภาคของประเทศ
มีทั้งภาคใต้ : ภูเก็ตบวกอันดามัน หัวหิน(ประจวบคีรีขันธ์ ภาคเหนือ :
เชียงใหม่ ภาคกลาง :ชะอำ เพชรบุรี ภาคตะวันออก
:พัทยา/ชลบุรี และกรุงเทพฯ ซึ่งมองแล้วมีความเป็นไปได้
อีกทั้งการเปิด “ชาร์มมิ่ง เชียงใหม่” จะมีคู่มือปฏิบัติมาตรฐานหรือ SOP : Standard Operation Procedure ขณะนี้จะต้องรอเวลาสักเล็กน้อยให้ข้อสรุปนิ่งและลงตัว เพราะไฮไลต์เปิดเมืองเชียงใหม่ได้กำหนดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.เปิดท่องเที่ยว 4 อำเภอหลัก ได้แก่ อำเภอเมือง อำเภอแม่แตง อำเภอแม่แจ่ม อำเภอดอยเต่า ไม่สามารถออกนอกพื้นที่ได้ 2.วิธีเดินทางในพื้นที่เดิมกำหนดต้องไปกับบริษัทนำเที่ยวเท่านั้น จากการประชุมกันระหว่างผู้ว่าการ ททท. กับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เสนอขยับเงื่อนไขเพื่อให้นักท่องเที่ยวมีอิสระไม่อึดอัดจนเกินไปนัก เพื่อสร้างแม่เหล็กดึงดูดการทำตลาดได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมที่กำหนดต้องซื้อทัวร์ได้เพียงช่องทางเดียว
ส่วนปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อให้การท่องเที่ยวเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีคือ 1.จำนวนคนในประเทศมียอดติดเชื้อโควิดลดลงตามลำดับ 2.แผนนำเข้าวัคซีนกับช่องทางการกระจายการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศทำได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น สร้างความผ่อนคลายอารมณ์ความรู้สึกให้การเปิด “ชาร์มมิ่ง เชียงใหม่” พอที่จะเริ่มทำได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนตามนโยบายรัฐบาล
ทั้งนี้ “ชาร์มมิ่ง เชียงใหม่” อาจจะมีความแตกต่างจากแซนด์บ็อกซ์อื่น ๆ บ้าง เพราะต้องให้อิสระขึ้นอยู่กับความต้องการของคนในพื้นที่นั้น ๆ กับผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนลักษณะโดยรวมมีความคล้ายกันคือเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพักผ่อนเหมือน “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” และ “สมุย พลัส โมเดล” รวมทั้งที่เพิ่งได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 (ศบค.) อนุญาตให้ทำ 7+7 นักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วสามารถอยู่ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 7 วัน จากนั้นสามารถเดินทางได้ต่อไปยัง สมุย/เกาะเต่า/เกาะพะงัน กระบี่(เกาะพีพี/เกาะไหง/หาดไร่เล) และพังงา (เขาหลัก/เกาะยาวน้อย/เกาะยาวใหญ่)
นายธเนศวร์ กล่าวต่อถึง “การวางแผนสื่อสารตลาดท่องเที่ยวปี 2565 :TATAP 2022” จะเริ่มตามปีงบประมาณ 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่
1 “ตลาดในประเทศ”
จะใช้แคมเปญ “เที่ยวเมืองไทย อะเมซิ่ง ยิ่งกว่าเดิม”
เพราะเชื่อว่าการท่องเที่ยวหลังโควิดคลี่คลายจะเป็นความเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ปี 2565 จะได้เห็นแนวรุกการขับเคลื่อนสื่อสารการตลาดของ ททท. อย่างมีพลังด้วยแคมเปญ “เที่ยวเมืองไทย อะเมซิ่ง ยิ่งกว่าเดิม” ครบทั้ง 3 เรื่อง ประกอบด้วย
เรื่องที่ 1 Amazing Destination : แหล่งท่องเที่ยวมีความสวยงามอะเมซิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เห็นการเปลี่ยนแปลงแล้วในหลากหลายพื้นที่
เรื่องที่ 2 Amazing People :ความน่ารักของคนไทย โดย ททท.เตรียมทำแคมเปญสื่อสารดึงจุดเด่นของคนไทยที่มีอัธยาศรัยไมตรี เห็นได้จากช่วงที่ต้องต่อสู้กับโควิด-19 มีความพยายามร่วมมือทุ่มเทช่วยเหลือกันทุกด้าน โดยเฉพาะภาคเอกชนเข้ามาช่วยภาครัฐอย่างเต็มกำลัง ทุกวิกฤตคนไทยส่วนใหญ่จะออกมาช่วยกันเสมอ หากหลาย ๆ ประเทศในโลกหากนำมาพูดก็จะไม่เห็นภาพชัดเจนเหมือนคนไทย
เรื่องที่ 3 Amazing Care : การท่องเที่ยวด้วยจิตสำนึกอย่างรับผิดชอบใส่ใจสิ่งแวดล้อม ซึ่ง ททท.จะทำแคมเปญ ปี 2565 โดยตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีหน้า มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน BCG :Bio Circular Green พยายามสร้างความเข้มแข็งจาก “ข้างในชุมชน” โดยสามารถ “กระจายรายได้จากการท่องเที่ยว” ตกถึงมือชุมชนอย่างแท้จริง แล้วชุมชนเองก็จะต้องเป็นเจ้าของทำหน้าที่รักษาดูแลเป็น Amazing People
โดยจะขอความร่วมมือจาก “ท้องถิ่นหรือชุมชน” มีรายได้ถืงมืออย่างเต็มประสิทธิภาพนั้น ควรทำ 1.ชุมชนต้องช่วยดูแลแหล่งท่องเที่ยวให้ดีที่สุด 2.ชุมชนต้องปรับตัวสู่ยุคใหม่นำเทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอทีมาทำใช้ให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้มากที่สุด 3.คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทนำแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนของตนเอง โดยการจัดทำอีคอมเมอร์ซ สมาร์ตดาต้า แอพลิเคชั่น ต้องทำให้พื้นที่ดีมีมาตรฐาน 4.พัฒนาสินค้าของที่ระลึกให้เกิดการดึงเม็ดเงินเข้าพื้นที่ให้ได้มากที่สุด
ตั้งเป้าสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญ 1.ปรับภาพจากปริมาณนักท่องเที่ยวจำนวนมาก Mass Tourism เป็นมีคุณค่า/มูลค่าสูงหรือ niche 2.ลดขยะตามแหล่งท่องเที่ยวป้องกันขยะล้นโลก
ส่วน “ตลาดต่างประเทศ” ททท.จะเคลื่อนขบวนสื่อสารด้วยแคมเปญหลัก “Amazing Thailand Now Event More :ตรงกันกับความหมายที่ใช้ในประเทศคือ เที่ยวเมืองไทย อะเมซิ่ง ยิ่งกว่าเดิม” นั่นเอง โดยมีหัวหอกการใช้ “City Marketing :ชูการขายเมืองการท่องเที่ยว” แตกต่างจากอดีตที่ผ่านมา ททท.สำนักงานทั่วโลก 29 แห่ง เน้นการขายแหล่งท่องเที่ยวในภาพใหญ่ “ทั้งประเทศไทย”
แต่หลังวิกฤตโควิด-19 ยังไม่สามารถเปิดให้ท่องเที่ยวได้ทั้งประเทศ จึงจะต้องสร้างความแตกต่างพุ่งเป้าหันมาขาย “จังหวัดท่องเที่ยวหลัก”แต่ละเมืองชัด ๆ หนีไม่พ้นเมืองที่สามารถเปิดรับต่างชาติเรียงตามลำดับ คือ ภูเก็ต สมุย/สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา กำลังจะตามมาด้วย “เชียงใหม่” และจังหวัดเป้าหมาย พัทยา/ชลบุรี หัวหิน/ชะอำ ประจวบคีรีขันธ์
แนวโน้มการเปิดตลาดนำเข้านักท่องเที่ยวต่างประเทศมาไทย
ช่วงเริ่มต้นเฟสที่ 1 จะขยับด้วยแผนกลยุทธ์ทำ City Marketing ได้ก่อนเริ่มตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564 ประมาณตุลาคมนี้ ต่อเนื่องไตรมาสที่ 1 ปี 2565
จากนั้น เฟส 2 เริ่มไตรมาส 2 ปี 2565 เมื่อทุกอย่างเข้าที่จึงจะเริ่มขับเคลื่อนภาพกว้างการท่องเที่ยวของทั้งประเทศไทย
ไฮไลต์การเลือกใช้ช่องทางสื่อสารการตลาดเข้าถึงตลาดต่างประเทศ ประกอบด้วย
ช่องทางแรก “ออนไลน์กับโซเชียลมีเดีย” เจาะลึกไปยังแต่ละตลาด จับคู่สินค้าหรือโปรดักซ์ท่องเที่ยวกับตลาด/กำลังซื้อให้ตรงกัน ล่าสุดการประชุมแผนแม่บททางกาตลาดหรือ TATAP 2022 แฟล็กชิปหรือเรือธงแต่ละพื้นที่จะต่างกัน คือ
“ตลาดยุโรป” จะจับคู่สินค้าท่องเที่ยว “เวลเนส สปา” ชอบกิจกรรมเพื่อสุขภาพ ความแข็งแรงจากภายในร่างกาย
“ตลาดเอเชียตะวันออก” ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง จับคู่ขาย “การท่องเที่ยวเชิงกีฬาหรือ Sport Tourism” เช่น กิจกรรม Golf Quarantine หรือการเจาะเชิงรุกตามแคมป์ฟุตบอลเยาวชนดิวิชั่นในเกาหลี ญี่ปุ่น หนีหนาวมาเก็บตัว หรือการจัดวิ่งมาราธอน วิ่งเทรล
“ตลาดอาเซียนและเอเชีย” ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชื่อมโยง และการท่องเที่ยวระหว่างกันภายในภูมิภาคอาเซียน บวกพื้นที่หลัก “CLMV :กัมพูชา/สปป.ลาว/เมียนมา/เวียดนาม” ททท.ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างไทยกับเพื่อนบ้าน 4 ประเทศดังกล่าว
“ตลาดอาเซียน+เอเชียใต้” เพิ่มอินเดียเข้าไปด้วย โดยจับคู่สินค้าท่องเที่ยวเจาะขายกลุ่ม “คู่แต่งงาน-ฮันนีมูน” เป็นอันดับต้น ๆ
“ตลาดอเมริกา” จับคู่สินค้าท่องเที่ยวหรูหรา และตลาดอื่น ๆ ก็มีลักษณะการจับคู่สินค้าท่องเที่ยวกับกลุ่มตลาดอย่างเหมาะสมมากที่สุด
ช่องทางที่ 2 สื่อสารตลาดท่องเที่ยวผ่านทาง KOL : Key Opinion Leader หรือผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อนักท่องเที่ยวในแต่ละตลาด
แต่อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าตลาดต่างประเทศทั้งหมดจะต้องขึ้นอยู่กับ “สถานการณ์ไวรัสโควิด-19” ซึ่งแต่ละประเทศมีเงื่อนไขแตกต่างกัน เช่น “ประเทศระยะใกล้ในเอเชีย” มีข้อกำหนดหากเดินทางออกไปต่างประเทศเพื่อกลับเข้าไปจะต้องกักตัว เป็นสิ่งท้าทาย ททท.ต้องพยายามปลดล็อกให้ได้ ต้องหาโอกาสและเจาะตลาดให้ได้
ตอนนี้พอจะเห็นสัญญาณที่ดีให้เห็นอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกระจายฉีดวัคซีนในประเทศ และทั่วโลก นำไปสู่การ “ปลดล็อก” ของประเทศต่าง ๆ ต้องเกาะติดสถานการณ์เป็นระยะ ๆ เพราะ “ภูมิภาคเอเชีย รวมออสเตรเลีย” ยังไม่อนุญาตให้คนของตนเองเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือหากออกมาเมื่อกลับไปก็ต้องกักตัว ต่างจาก “ยุโรปกับอเมริกา” ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการกลับเข้าประเทศแล้วโดนกักตัว
นายธเนศวร์กล่าวว่า ปี 2565 จะเปิดประเทศต้อนรับ “ฟ้าใหม่” การท่องเที่ยวเมืองไทย ขณะนี้กำลังพัฒนาชื่อและคอนเซ็ปต์ให้สอดคล้องกัน เพราะตอนนี้ต้องยอมรับการเดินทางท่องเที่ยวไม่สามารถทำได้มากนัก แต่ช่วงหยุดทำงานอยู่บ้าน ททท.สำนักงานทั่วโลก 29 แห่ง ใช้วิธี “หล่อเลี้ยงภาพลักษณ์ท่องเที่ยวเมืองไทย” ต่อเนื่อง เห็นได้ชัดจากมีความต้องการเดินทางของชาวต่างชาติเข้ามาในภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ผนวกกับนับจากนี้ไปคงจะไม่ได้เห็น “จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ” เดินทางเข้ามาในเร็ววันช่วงปี 2565 หรือ2566 จะเหมือนเดิมปีละ 40 ล้านคน
แต่ ททท.กำลังปรับโหมดการท่องเที่ยวให้เข้าสู่ “ตลาดคุณภาพ” อย่างแท้จริง จึงต้องเพิ่มน้ำหนักนำเสนอขายสินค้าท่องเที่ยวหมวด 1.สุขภาพและเวลเนส 2.การท่องเที่ยวเชิงกีฬา และอื่น ๆ ซึ่งเป็นทิศทางสำคัญผลักดัน Amazing Thailand Brand ก้าวกระโดดออกจากตลาดเชิงปริมาณ (mass tourism) ไปสู่กลุ่มประเทศท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากขึ้น โดยมีบทเรียนจากวิกฤตโควิด-19 สอนให้ทุกภาคส่วนก้าวไปสู่ในสิ่งที่กว่าต่อไป
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิง
เพาเวอร์”โปรแรงช้อปบุฟเฟต์บิวตี้18ชิ้นราคาเดียว3หมื่นบาท
“คิง เพาเวอร์”
ยกขบวนน้ำหอมและเครื่องสำอางมาให้คุณเลือกสิ่งที่ใช่ สวยได้สไตล์คุณในราคาเดียว
กับโปรโมชั่นสุดร้อนแรง “SUPER DEAL BEAUTY BUFFET” เลือกช้อปถูกใจบิวตี้บุฟเฟต์
6 หมวด18 ชิ้น จ่ายเพียง 30,000 บาท น. วันนี้ – 30 กันยายน 2564 ช้อปง่าย อยู่ที่ไหนก็ช้อปฟิน ไม่ต้องมีไฟลต์บิน สะดวกและปลอดภัย
จัดส่งสินค้าถึงหน้าบ้านคุณภายใน 7 วัน ช้อปคุ้มทุกวันผ่าน 2 ช่องทางใหม่ 09.00 – 21.00 น.
ช้อปช่องที่ 1 KING
POWER CALL TO SHOP กริ๊งเดียวครบ จบทุกการช้อป! กับผู้ช่วยช้อปส่วนตัว
โทร. 0 2338 7870 หรือจะสะดวก Inbox อินบอกซ์สอบถามก่อนได้ที่
Facebook King Power ก็ได้
ช่องทางที่ 2 KING
POWER CHAT TO SHOP :คิง เพาเวอร์ แชททูช้อป ช้อปผ่านLINE
Application เพียงเพิ่มเพื่อน LINE: @KP_ChatToShop เสมือนมีผู้ช่วยส่วนตัวพร้อมให้บริการแนะนำและช่วยเลือกซื้อสินค้าอย่างใกล้ชิด
ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ
สอบถามเพิ่มได้ที่ King Power Contact Centre 1631
ข่าวที่ 2 ช้อป!!คิงเพาเวอร์ “OnceUponAmonthลดสูงสุด85%ถึง31ส.ค.นี้
คิง เพาเวอร์ เอาใจนักช้อปออนไลน์ 2 ดีลเด็ดแคมเปญใหญ่ส่งท้ายเดือนสิงหาคม “Once Upon A Month ช้อป 7 วันพิเศษสินค้าแบรนด์เนมหลากหลายแบรนด์ดังกว่า 20,000 รายการ ลดจุใจสูงสุด 85% วันนี้– 31 สิงหาคม 2564 อยู่ไหนก็ช้อปได้ที่ www.kingpower.com และแอปพลิเคชัน King Power
ดีลที่ 1 โปรโมชั่นรับสิ้นเดือน “Once Upon A Month ช้อปสักครั้ง 7 วันพิเศษ” พบกับสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ เช่น สินค้าบิวตี้ แฟชั่น อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ภายในบ้าน ลดสูงสุด 50% และลดเพิ่มสูงสุด 35% เมื่อช้อปครบ 3,000 บาท เพียงใส่รหัสส่วนลด ONCEAUG
ดีลที่ 2 ช่วงเวลาพิเศษ “Her Lucky Weekend” พิเศษสุด!! เฉพาะวันเสาร์ที่ 28 และอาทิตย์ 29 สิงหาคมนี้ เท่านั้น ช้อปสุดคุ้มกับสินค้าบิวตี้ ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง ลดสูงสุด 50% และลดเพิ่มทันที 5% เมื่อช้อปครบ 3,000 บาท เพียงใส่รหัสส่วนลด HLWEEK พบกับสินค้าแบรนด์ดังสุดอลังการในราคาคุ้มสุด ๆ
ข่าวที่ 3 ช้อป!!ซูเปอร์ดีล “คิงเพาเวอร์”สินค้าส่งถึงบ้านใส่รหัสลดเพิ่มอีก30%
คิง เพาเวอร์ จัดมหกรรม SUPER DEALS SUPER BRANDS ช้อปของถูกใจออนไลน์ ส่งให้ถึงหน้าบ้าน ลดสูงสุด 30% ชอบช้อปเลย! ระหว่างวันนี้ – 31 สิงหาคม 2564 สินค้าส่งบ้าน ราคาดิวตี้ฟรีสุดคุ้ม #อยู่ที่ไหนก็ช้อปได้ ทุกสิ่งที่คุณถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอางค์ น้ำหอม สินค้าแฟชั่น และอื่นๆ อีกมากมาย กับ คิง เพาเวอร์ ออนไลน์ ลดเพิ่มสูงสุด 30%รหัสส่วนลด SDSBAUG ช้อปที่ https://bit.ly/3CDs2ZP
รับสิทธิประโยชน์ดังนี้ 1.ส่งฟรี! ทั่วประเทศ เมื่อช้อปครบ 699 บาทสุทธิ 2.แบ่งชำระ 0% นานสูงสุดถึง 10 เดือน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 1,500 บาท > http://bit.ly/2OzUV1k 3.ฟรี! ของสมนาคุณสุดพิเศษ จากแบรนด์ดัง > http://bit.ly/31yjocR (ของแถมมีจำนวนจำกัดและอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า) 4.รับส่วนลด 200.- เมื่อสมัครสมาชิกออนไลน์ > http://bit.ly/2S4uJyi 5.รับสิทธิ์การสมัครสมาชิก คิง เพาเวอร์ เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท (สุทธิ) > https://bit.ly/3lyQbrs
ข่าวที่ 4 ททท.ดันเต็มเหนี่ยวจัดGYM2021คัดสุดยอดนวัตกรรมเที่ยว10ทีม
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เตรียมนำเสนอผลงานการพัฒนานวัตกรรมสร้างสรรค์อุตสาหกรรมท่องเที่ยว : TAT GYM 2021 Pitching Day" ทาง ZOOM และ FB Live เฟ้นหาสุดยอด 3 นวัตกรรมยอดเยี่ยม ในวันที่ 30 สิงหาคม 2564 เวลา 08.30 – 14.30 น.
จึงขอเชิญชวนให้แฟนคลับเข้ามาร่วมให้กำลังใจ นักสร้างสรรค์นวัตกรรมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว 10 ทีม จากผู้ประกอบการ และชุมชนท่องเที่ยว ที่จะนำเสนอสินค้าและการบริการที่ใช้นวัตกรรม ภายใต้แนวคิด BCG และการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เพื่อการท่องเที่ยวไทยอย่างยั่งยืน
ดร.สุทัศน์
รงรอง นักออกแบบนวัตกรรม และการสร้างแรงบันดาลใจ พร้อมขึ้นเวที Innovation
Talk หัวข้อ "นวัตกรรมสร้างสรรค์อุตสาหกรรมท่องเที่ยว" ถ่ายทอดความรู้ทุกซอกมุม
ให้คนรุ่นใหม่ได้นำไปประยุกต์ใช้สร้างสรรค์สังคมและสร้างชีวิตต่อไป
ข่าวที่ 5 “ททท.-ก.ท่องเที่ยว”ดึง2แบงก์ออมสิน+SMEจับคู่กู้เศรษฐกิจ8-9ก.ย.64
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า ททท.ร่วมสนับสนุนการจัดสัมมนาออนไลน์โครงการ “Tourism is Everyone’s Business” ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่จับมือกับหน่วยงานพันธมิตร ระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2564 โดยมีสถาบันการเงินเข้าร่วม 2 ธนาคาร คือ ธนาคารออมสินและธนาคารวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME D Bank) ส่งตัวแทนมาให้คำแนะนำแนวทางวิธีช่วยเหลือภาคธุรกิจการท่องเที่ยว พร้อมทั้งร่วมเจรจาจับคู่ธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวทุกกลุ่มรอดพ้นจากวิกฤตโควิด-19 ด้วยการผนึกกำลังกันนำการท่องเที่ยวของประเทศกลับมาเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติได้อีกครั้ง
การจัดงานแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 เปิดเวที “ท่องเที่ยวจับคู่ กู้เศรษฐกิจ :Restart Tourism” วันที่ 8 – 9 กันยายน 2564 ตั้งแต่ 09.00 – 18.00 น. โดยเปิดผ่านระบบ Zoom Application โดยมีตัวแทนจากธนาคารออมสิน และธนาคารเอสเอ็มอี พร้อมจะให้คำปรึกษาทางด้านการเงินกับผู้ประกอบการ SMEs ไทยอย่างใกล้ชิด หาทางออกจากวิกฤตไปด้วยกัน
ส่วนที่
2 จัดกิจกรรมสัมมนาให้ความรู้
วันที่ 8 กันยายน 2564 ตั้งแต่ 09.30 – 15.00 น.โดยมีไฮไลต์ 3 หัวข้อหลัก ได้แก่ 1.Restart Tourism” โดย คุณอาร์ท
อภิรัตน์ หวานชะเอม Chief Digital Officer SCG Cement-Building Materials
Co., Ltd. จะนำเสนอโมเดลต้นแบบเกี่ยวกับ
แนวทางการพัฒนาศักยภาพธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อต่อยอด ฟื้นฟู และขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืน 2.แนวทางการส่งเสริมผู้ประกอบการท่องเที่ยว
โดย ผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 3.แนวทางให้การสนับสนุนด้านการเงิน
โดย ผู้แทนจากธนาคารพาณิชย์
ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมฟรี สนใจคลิก https://1th.me/M0gE0 สอบถามเพิ่มโทร 092-329-4466 หรือ Line Open chat: https://1th.me/SSS8K
ข่าวที่ 6 “TCEB”ชู3กลยุทธ์ไมซ์ปี65-“สภาพัฒน์”ดึงไมซ์เข้าแผน13ฟื้นเศรษฐกิจ
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ได้จัดงาน “ไมซ์ไทยรวมใจสร้างชาติ”
ออนไลน์ : Virtual Meeting พร้อมกับนำเสนอ
“ทิศทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ปี 2565” ให้หน่วยงานภาครัฐ
เอกชน และผู้ประกอบการไมซ์ ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมกว่า 800 คน
เดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาโดยเร็วที่สุด ด้วย 3 กลยุทธ์หลัก
ประกอบด้วย
กลยุทธ์ที่ 1 เสริมความแกร่งชาติ เร่งยกระดับเมืองไมซ์ หรือ MICE CITY 10 เมือง ทั้งด้านงาน กิจกรรม ส่งเสริมจัดนิทรรศการ ร่วมทำงานกับพันธมิต จัดทำโครงการ Empower Thai Exhibition หรือ EMTEX ขยายความร่วมมือระหว่างทีเส็บกับกระทรวงต่าง ๆและภาครัฐและเอกชนกว่า 10 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพงานแสดงสินค้าในระดับท้องถิ่นก้าวสู่ระดับประเทศ
ตลอดจนการพัฒนางานเทศกาลท้องถิ่นภายใต้แนวคิด Festival Economy ที่จะพัฒนางานต่อยอดสู่ระดับสากล 1 Ci ty : 1 License Event เช่น งานเทศกาล “เกลือ-เมือง-เพชร หรือ Diamond of the Salt Festival ของจังหวัดเพชรบุรี, งานเทศกาล Huahin Hop Fest ของเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
กลยุทธ์ที่ 2 ช่วงชิงโอกาสระดับสากล ปี 2565 มีงานใหญ่ระดับนานาชาติหลายงานที่คนไทยจะร่วมกันเป็นเจ้าภาพ จึงได้จัดให้ปีจัดงานประชุม 2022 จัดทำตลาดเชิงรุกชิงความได้เปรียบ Thailand International Air Show 2022, World Bank, ICCA จัดปี 2023 และจัดแพกเกจสนับสนุนต่างชาติมาไทย
รวมทั้งเพิ่มความเข้มข้นด้านการสื่อสารกระตุ้นและขับเคลื่อนองค์กรภาครัฐและเอกชนจัดประชุมสัมมนาและจัดกิจกรรมไมซ์ทั่วประเทศต่อเนื่อง ผ่านแคมเปญการสื่อสาร “จัดงานไมซ์ทั่วไทย ภูมิใจช่วยชาติ” และสนับสนุนงบประมาณผ่านโครงการ “ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า” ขณะนี้มีองค์กรและหน่วยงานได้รับการสนับสนุนแล้วกว่า 645 โครงการ และแสดงความสนใจจัดกว่า 1,000 งาน
กลยุทธ์ที่ 3 ยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ ทำร่วมกับองค์กรในและต่างประเทศ พัฒนาหลักสูตรอบรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องการขับเคลื่อนไมซ์สู่สากลเท่าทันโลกหลังโควิด และได้รับการพัฒนาบุคลากรไมซ์อาเซียน อีกทั้งยังได้พัฒนา Thai MICE CONNECT เข้าร่วมกว่า 10,000 ราย กับ ไมซ์แคตาล็อกร่วมกับบริษัทนวัตกรรมกว่า 50 บริษัท มีแคมเปญต่าง ๆ สร้างงานอย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับมาตรฐานและส่งเสริม “การจัดงานไมซ์อย่างยั่งยืน” โดยนำแนวคิด BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล มาต่อยอดกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals)
เรื่อยไปจนถึงทีเส็บจะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ ปี 2565 ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยอุตสาหกรรมไมซ์ เข้ามาช่วยยกระดับความพร้อมของเมือง สร้างความสำเร็จดึงงานระดับโลก นานาชาติ ที่เป็นเมกะอีเวนต์กระจายจัดในภูมิภาค
ยุทธศาสตร์ที่
2 กระจายรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาค
ด้วยการดึงงานใหญ่มาจัดในประเทศ
ยุทธศาสตร์ที่
3 ส่งเสริมภาพลักษณ์ไมซ์ไทย
เน้นสร้างความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ไมซ์ไทยในระดับนานาชาติ ด้วย Hi
Tech+Hygiene สัมผัสได้ถึงความเป็นไทย
ยุทธศาสตร์ที่ 4 เสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน มุ่งสู่ความสำเร็จในการผลักดันพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์
ยุทธศาสตร์ที่ 5 พัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในองค์กร มุ่งสู่ความสำเร็จในการเป็นผู้นำการบริหารจัดการองค์กร
ขณะที่ นายวิโรจน์ นรารักษ์ รองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า ทิศทางเศรษฐกิจเป็นความหวังของประเทศไทย “อนาคตประเทศไทย ยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงระดับโลก : Global Mega Trends ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โครงสร้างประชากร การขยายตัว โดยมี 70 % ไปสู่สมาร์ต ซิตี้ กับสุขภาพจะมีอุตสาหกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น รวมถึงเทคต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
สภาพัฒน์วางแผนใช้
3 ยุทธศาสตร์สำคัญ ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 13 ระหว่างปี 2565-2570 ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่
1 ยุทธศาสตร์ชาติและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ภายใต้ 3 เรื่องหลัก คือ ความเชื่อมโยงของแผนต่าง ๆ
บริบทการพัฒนาประเทศที่ต้องให้ความสำคัญ ทิศทาง(ร่าง) แผนพัฒนา
ยุทธศาสตร์ที่ 2 นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการกระจายรายได้สู่ภูมิภาค โดยมี MICE CITY รวมอยู่ด้วย ตามสถิติปี 2563 เศรษฐกิจหลักของโลกอย่าง อเมริกา ลบ 3-4 % ยุโรป ติดลบ 4.7 % จีนสามารถขยายตัวบวก 2-3 % ภาพรวมปี 2563 ทั่วโลกฟื้นตัวขยาย 6 % ปี 2564 จะมีโอกาสเติบโต 0.7-1.2 %
ยุทธศาสตร์ที่
3 ความสำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ต่อการการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ส่วนการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในประเทศไทย สภาพัฒน์มอง “โอกาส”เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันมีหลายอุตสาหกรรมเติบโตได้ มอง “ความเสี่ยง” ภายใต้กรอบแนวคิด 2566-2570 เป็น 5 ปีหลังของยุทธศาสตร์ชาติ เข้าสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 13 มี 5 เรื่อง
1.การปรับโครงสร้างภาคการผลตและบริการสูเศรษฐกิจนวัตกรรม 2.การพัฒนาคนสำหรับโลกยุคใหม่ 3.การมุ่งสู่งสังคมแห่งโอกาสและความเป็นธรรม 4.การเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน 5.การเสริมสร้างความสามารถของประเทศในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและความเสี่ยงภายใต้บริบทโลกใหม่ โดยพุ่งเป้าทำเกี่ยวกับเศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน มีทั้งหมด 12 เรื่อง
ตามเป้าหมาย การกระจายรายได้ การขยายด้านการลงทุนในเขตเศรษฐกิจแต่ละภาค เช่น ภาคเหนือเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตะวันออก-กรีนและเชื่อมโยง BCG :Bio Circular Green
ขณะเดียวกันก็มีเป้าหมายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ ซึ่งมีความสำคัญในมิติต่าง ๆ คือ
มิติที่ 1 เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและค่าใช้จ่ายสูง จากผลศึกษาทีเส็บเอง ค่าใช้จ่ายของนักเดินทาง 3-5 เท่าของนักท่องเที่ยวทั่วไป สร้างรายได้เข้าประเทศมากสุด อนาคตต้องการสร้างคุณค่าไม่ต้องการปริมาณคนมาก ซึ่งได้ข้อมูลชัดเจน ก่อนโควิด สร้างรายได้กว่า 5 แสนล้านบาท คิดเป็นกว่า 3 % ของจีดีพี ภาครัฐเองต้องการนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศ
มิติที่ 2 กระจายรายได้สู่ภูมิภาค ลดความเหลื่อมล้ำเพราะท้องถิ่นมีรายได้มากขึ้น ขอนแก่น เชียงใหม่ พัทยา นครราชสีมา สงขลา การกระจาย MICE CITY สนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคทั้งทางตรงและทางอ้อม
มิติที่
3 กระจายรายได้สู่ธุรกิจอื่นอย่างกว้างขวาง
ไปสู่การขนส่ง การค้า อุตสาหกรรม
ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจ
ทางภาครัฐไม่ละเลยเรื่องผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม
แลกเปลี่ยนสู่อาชีพต่าง ๆ
อนาคตทีเส็บจะเป็นหน่วยงานหลักขับเคลื่อนอนาคตของประเทศด้วยอุตสาหกรรมไมซ์ช่วงที่ 2 การเดินทางเป็นประสบการณ์ที่ดี การท่องเที่ยวเพิ่มพูนความรู้เป็นวิถีใหม่ที่ผู้คนโหยหา ห้ามพลาด ฉลาดเที่ยวที่ “พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” อำเภอคลองหลวง จ.ปทุมธานี แล้วอย่าลืม “กิน5ผลไม้” กระตุ้นภูมิร่างกายคุ้มกันไวรัสได้ ส่วนข่าวต้องเกาะติด “ครม.ส่งเลิกหนุนเงินท่องเที่ยว” 2 โครงการ “เราเที่ยวด้วยกันเฟส 2 กับทัวร์เที่ยวไทย” ทางด้าน “ครัวบินไทยกอดบางจากรีเทล” ขนขนมพัฟฟ์แอนด์พายไปวางขายในร้านกาแฟอินทนิลทั่วประเทศตั้งเป้าปี 65 จะวางขายให้ครบ 100 สาขา และ “ไทยเวียดเจ็ต” ฮึดสู้กลับมาเปิดบินใหม่ ไป-กลับ สุวรรณภูมิ สู่ สิงคโปร์ และไทเป 3 เที่ยว/สัปดาห์ เชื่อมต่อเข้าภูเก็ตด้วย เริ่ม 20 ตุลาคม 2564
ฉลาดเที่ยว!!สุขใจใน“พิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติคลองหลวง”
ศูนย์รวมความรู้อยู่ไม่ไกลกรุงเทพฯ มีเรื่องราวความน่าสนใจให้คิดถึง ท้องทุ่งนาที่พ่อสร้างไว้ ใน “พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” แหล่งเรียนรู้เกษตรวิถีดั้งเดิมและใหม่ พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตในพื้นที่กว้างใหญ่ราว 374 ไร่ ด้วยการผสมผสานนำนวัตกรรมทางเทคโนโลยีสมัยเข้ามาบริหารจัดการ ออกแบบการใช้ประโยชน์จากที่ดินทำการเพาะปลูกแบบ วัน สต็อป เซอร์วิส ครบวงจร เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว สามารถยกครัวมาเยี่ยมชมและทำกิจกรรมดี ๆ ร่วมกันได้
สถานการณ์โควิด-19 เปลี่ยนชีวิตผู้คนเดินทางกลับบ้านโหยหาวิถี
“เกษตร” มากยิ่งขึ้น หลายชีวิตอยากปลูกพืชไว้กินเอง และอีกจำนวนไม่น้อยต้องการหันมาทำอาชีพนี้อย่างจริงจัง
ลองศึกษาเรียนรู้จาก “พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”
จะได้พบกับคำตอบที่เป็นทางรอดและทางเลือกใหม่ของชีวิตหลังโควิดได้
ภายในบริเวณได้ดีไซน์พื้นที่ “กลางแจ้ง” เป็นห้องเรียนธรรมชาติ ให้ลูกหลานเข้ามาเรียนรู้ลงมือฝึกปฏิบัติ ส่วน “พื้นที่ในอาคาร” จัดแสดงเนื้อหาผ่านสื่อเทคโนโลยีสุดแสนจะตื่นตาตื่นใจ เป็นแหล่งเรียนรู้พระเกียรติคุณและพระอัจฉริยภาพพระมหากษัตริย์ไทยด้านการเกษตร และเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เกษตรเศรษฐกิจพอเพียงและถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่สังคม ต่อเนื่องมากว่า 12 ปี
พื้นที่ 374 ไร่ประกอบไปด้วย พิพิธภัณฑในร่มเลือกชมผ่านสื่อทันสมัยเหมาะกับทุกวัยได้ทั่วทั้ง 5 อาคาร บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่อง พันธุกรรมพืช ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้ำ เรื่องดิน แต่มีพิพิธภัณฑ์หนึ่งหลังที่เป็นหัวใจหลักคือ “พิพิธภัณฑ์ในหลวงรักเรา”
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งจากทฤษฎีสู่ฐานการเรียนรู้และลงมือปฏิบัติไม่ว่าจะอยู่ในชุมชนเมืองมีพื้นที่จำกัดรอบบ้านมีแต่พื้นปูน ก็มีฐานการเรียนรู้เกษตรพอเพียงเมืองให้เข้าไปศึกษาเรียนรู้ อยู่ต่างจังหวัดก็มีฐานการเรียนรู้ 1 ไร่พอเพียง ให้เข้าไปเรียนรู้การจัดสรรพื้นที่เพื่อการเกษตรอย่างไรให้พึ่งตนเองอย่างยั่งยืน
หากใครฝันอยากเป็นเกษตรกร แต่ความรู้มีน้อย ก็มีพื้นที่ของโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ประยุกต์ 1ไร่ มั่งคั่งยั่งยืน เปรียบเสมือนโรงเรียนฝึกอาชีพฟรี มีปราชญ์เกษตรฝีมือดีมาสอนทักษะเพื่อให้คนได้ทดลองเป็นเกษตรกร 4 เดือน
ปกติทุกวันหยุด “เสาร์ -อาทิตย์” ช่วงต้นเดือนจะจัดงานตลาดนัดเศรษฐกิจพอเพียง ตลาดที่เป็นมากกว่ามาขายสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพราะเป็นศูนย์รวมปราชญ์เกษตรระดับประเทศ และเกษตรกรตัวจริงที่ประสบความสำเร็จมาแชร์องค์ความรู้ภาคการเกษตรแก่ผู้ที่สนใจ ที่มากไปกว่านั้นสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่นักเรียน นักศึกษา ประชาชน เข้ามาเรียนรู้มาทัศนศึกษาจำนวนหลายแสนคนต่อปี และนี่เป็นเพียงกิจกรรมส่วนหนึ่งเท่านั้น ใครๆ ต่างก็บอกว่ามาที่นี่ทั้ง “สุข สนุก เรียนรู้ชัด ปฏิบัติได้จริง
ส่วน “ชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงเกษตร” สถานที่แห่งนี้มีพื้นที่แห่งการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจตามรอยศาสตร์พระราชาบนวิถีแห่งการพึ่งตนเองอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับ “พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” คือพิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้เกษตรเศรษฐกิจพอเพียงแห่งนี้ เริ่มเมื่อปี 2539 จัดตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบรอบ 50 ปี
"พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" ถนนพหลโยธิน ต. คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง
จ.ปทุมธานี 12120 โทร 02-529-2212-13 09-4649-2333
08-7359-7171 หรือ
www.wisdomking.or.th และ Line ID: @wisdomkingfan แผนที่เดินทาง https://goo.gl/maps/TmoSr6KLBXe5mBKp9
“5ผลไม้”หากินง่ายช่วยกระตุ้นภูมิร่างกายคุ้มกันไวรัสได้ในยุคโควิด
ช่วงสถานการณ์ไวรัสระบาดต่อเนื่อง เชิญชวนให้ทุกคนเตรียมร่างกายให้แข็งแรงพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ จึงมีข้อแนะนำการกินผลไม้สามารถกระตุ้นภูมิร่างกายให้ป้องกันเชื้อไวรัสได้ดี 5 ชนิด ประกอบด้วย
1.มะขามป้อม - รสชาติฝาดอมหวาน มีดีที่วิตามินซีสูงง มีแมงกานีส สังกะสี และฟอสฟอรัส ช่วยทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระและช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ทำงานได้ดีขึ้น
2.ฝรั่ง - มีวิตามินซีและเกลือแร่สูง ช่วยต้านอนุมูลอิสระกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ต้านไวรัสทางเดินหายใจและเม็ดเลือดขาวให้กำจัดเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย
3.ส้มเขียวหวาน - วิตามินซีสูง ช่วยต้านไวรัสทางเดินหายใจ
4.ลิ้นจี่ – ช่วยเพิ่มพลังร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดและแก้อาการติดเชื้อในลำคอซึ่งเกิดจากไวรัสได้
5.มะยม - รสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีวิตามินซีสูง ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน พร้อมการต้านอาการอักเสบได้
อีกช่องทางการใช้ชีวิตวิถีใหม่ด้วยวิธี “กิน-อยู่
-เป็น” ลองรับประทานผลไม้ 5 ชนิด
อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่ดีของเราทุกคน
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก ครม.ส่อเลิกเทงบ“เที่ยวด้วยกันเฟส2-ทัวร์เที่ยวไทย”ยุติก่อนต.ค.นี้
นางสาวรัชดา
ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เสนอทบทวนช่วงระยะเวลา
ดำเนิน 2 โครงการ คือ 1.เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 2 เดิมจะต้องเริ่มเดือนสิงหาคมนี้ และ 2.โครงการทัวร์เที่ยวไทย
พร้อมกำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดโครงการ
เพราะหากปัญหาของไวรัสโควิด-19 ยังเป็นอุปสรรค ทำไม่สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนตุลาคม 2564 รัฐบาลก็มีความจำเป็นจะต้องให้ยุติทั้ง 2 โครงการ
พร้อมทั้งคืนวงเงินกู้ตามขั้นตอน
ขณะเดียวกันที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ได้ให้ความเห็นชอบเดินหน้าต่อ โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ครั้งที่ 2 กระจายทั้ง 12 จังหวัด 2,186
โครงการ อนุมัติกรอบวงเงินรวม 3,580 ล้านบาท
โดยอนุมัติให้ใช้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน
มุ่งเน้นการจ้างงานและการพัฒนาพื้นที่โดยตรงใน 4 กลุ่ม ได้แก่
1.กลุ่มพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยว บริการ และการค้า 2.กลุ่มการยกระดับประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการเกษตร
3.กลุ่มการส่งเสริมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และ 4.โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานชุมชน
ข่าวที่สอง “ครัวบินไทย-บางจาก”นำพัฟฟ์&พายขายในร้านอินทนิลปีหน้า100สาขา
นายเสรี อนุพันธนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า บางจากรีเทล ลงนามเอ็มโอยูกับ หน่วยธุรกิจการบิน บมจ การบินไทย เพื่อนำสินค้าพัฟฟ์แอนด์พาย (Puff & Pie) มาวางขายในร้านกาแฟอินทนิลของบางจาก ผ่านช่องทาง Grab & Go และ Shop in Shop ตั้งเป้าบริการภายในปี 2564 รวม 50 สาขา จากนั้นปี 2564 จะขยายให้ครบ 100 สาขา
เนื่องจากหลายปีนี้ ร้านกาแฟได้รับความนิยมและเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Chain Store Coffee ปัจจุบันร้านอินทนิลเปิดให้บริการทั่วประเทศมากกว่า 700 สาขา ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมันบางจาก รวมทั้งอินทนิลยังได้ส่งมอบประสบการณ์ดีๆ ผ่าน 5 Good Experiences Strategy ทั้ง Good Taste / Good Service / Good Design / Good Health และ Good Society
นายสมัชชา ศรีทองสุข กรรมการผู้จัดการ
ฝ่ายครัวการบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า Puff & Pie ทดลองวางขายในร้านอินทนิลตั้งแต่ปี
2563 ลูกค้าตอบรับเป็นอย่างดี
จึงได้พัฒนาใช้จุดแข็งและศักยภาพของ 2 แบรนด์ ต่อยอดธุรกิจตามรูปแบบ Grab
& Go เพิ่มเป็น 13
สาขา และ Shop in Shop ในร้านอินทนิลอีก 2
สาขา รวมเป็น 15 สาขาในปัจจุบัน
ขณะนี้ Puff & Pie มีสินค้ายอดนิยมวางขายในร้านอินทนิล เช่น ชิกเก้นโรล ครัวซองค์ ไส้กรอก ครัวซองค์แฮมชีสพายสับปะรด เดนิสครีมเพสตรี้
ไทยเวียดเจ็ตบินใหม่“สุวรรณภูมิ”สู่สิงคโปร์/ไทเป/ภูเก็ตเริ่ม20ต.ค.64
สายการบินไทยเวียดเจ็ต รายงานว่า ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 เตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่ ไป-กลับ ต่างประเทศ จากกรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) ไปยัง สิงคโปร์ และ ไทเป พร้อมบินตรงเข้าภูเก็ตด้วย ตามรายละเอียดเที่ยวบินดังนี้
1.สุวรรณภูมิ (กรุงเทพฯ) -ไทเป (ไต้หวัน) จะเริ่มบิน
20 สิงหาคม 2564
เป็นต้นไป 3
เที่ยว/สัปดาห์ ทุกวันพุธ ศุกร์
และอาทิตย์
2. สุวรรณภูมิ (กรุงเทพฯ) - สิงคโปร์ (SIN) จะเริ่มบิน 21 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป 3 เที่ยว/สัปดาห์ ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และอาทิตย์ และบินตรง ไป-กลับ ภูเก็ต-สิงคโปร์ 2 เที่ยว/สัปดาห์ ทุกวันพฤหัสบดี และอาทิตย์
ปัจจุบันไทยเวียดเจ็ต เป็นสายการบินโลว์คอสต์ มีเครือข่ายเส้นทางบินในและต่างประเทศ เร็ว ๆ นี้ วางแผนกลับมาให้บริการบินข้ามภาคภายในประเทศ ได้แก่ ภูเก็ต ไปยัง เชียงใหม่ เชียงราย อุดรธานี และหาดใหญ่ไปยังเชียงราย
ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบเที่ยวบินและจองตั๋วโดยสารในประเทศและระหว่างประเทศได้ที่ www.vietjetair.com
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง
สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น