TEATA-อีสาน20จังหวัดนำทัพหนุนททท.ปี’67โกย3ล้านล้าน
เปิดเส้นทางใหม่เที่ยว“คุณภาพสูง+ยั่งยืน”ขาย365วันทั่วไทย
บูมทัวร์CarbonNetZero-บูมTheLinkขายข้ามภาคข้ามประเทศ
สมาชิกคิงเพาเวอร์รับ2สิทธิโอนพอยต์บิน-บิวตี้ที่KLINIQUE
“คิงเพาเวอร์มหานครอีเทอรี่”ชวนฟินกินดีเอ็กซ์คลูซีฟ3ร้าน
“ททท.-EVA Air”ผนึกLOIเพิ่มจีน/ญี่ปุ่น/เกาหลี-อเมริกา/ยุโรป
บางจากชวนใช้บริการปั๊มยูนีคดีไซน์บางบัวทอง-บางขุนเทียน
ทัวร์3 ภาค “ภาคกลาง-เหนือ-อีสาน”เทศกาลเที่ยวเมืองไทย
ระวัง!! 5 พฤติกรรมความเคยชิน“ทำร่างกายพัง”โดยไม่รู้ตัว
บพท.ให้ทุนวิจัยปั้น“สระบุรีฟู้ดวัลเลย์”ผุดฮับอาหาร5พันไร่
CAAS-JCABสิงคโปร์-ญี่ปุ่นพลิกโฉมบิน5ปีหน้าสู่GreenLane
วันอาทิตย์ที่
30 กรกฎาคม 2566
ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง
ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower
#TAT #TCEB #บางจาก #สมาคมการค้าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีสาน20จังหวัด #สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย
#GreenAviationLane #เทศกาลเที่ยวเมืองไทย2566
#GreenAviationLane
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://fb.watch/m5D8IURl-1/
ช่วงที่ 1 รุกเร็วกับ “นางสาววสุมน เนตรกิจเจริญ นายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีสาน และสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) นำธุรกิจ 2 สมาคมใส่เกียร์รับลูกแผนตลาด ททท.ปี’67 High Value +Sustainable ปั๊มรายได้เข้าประเทศ 3 ล้านล้านบาท ทัวร์ “ในประเทศ” จัดทัพขาย 365 วันมหัศจรรย์เมืองไทย เที่ยวได้ทุกวัน เปิดเพิ่มเพียบเส้นทางท่องเที่ยวยั่งยืนขยายตลาด Carbon Net Zero เพิ่มยอดนักเดินทาง 2 แนว ปลุกอีสานเที่ยวข้ามภาค พร้อมดึง 4 ภาคเที่ยวอีสาน เร่งเครื่องนำโปรเจกต์ The Link บุก “ตลาดต่างประเทศ” แถบเพื่อนบ้านทัวร์ทางบกด่านชายแดนไทย เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา ปีหน้าโตเกิน 10 %
นางสาววสุมน เนตรกิจเจริญ นายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีสาน และสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย (TEATA) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยเตรียมพร้อมเคลื่อนทัพธุรกิจรองรับตามแผนการท่องเที่ยวประจำปี 2567 เอกชนจะต้องปรับตัวให้ทันสถานการณ์ โดยเฉพาะแคมเปญ “365 วัน มหัศจรรย์เมืองไทย เที่ยวได้ทุกวัน” ซึ่งจะทำให้การขายเพื่อทำรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสมาชิก 2 สมาคม วางกลยุทธ์กระตุ้น “ไทยเที่ยวไทย” ด้วย 2 รูปแบบ ได้แก่
แบบที่ 1 นำอีสาน 20 จังหวัด เที่ยวข้าม 4 ภูมิภาค พุ่งเป้าไปเที่ยวทะเลภาคตะวันออก และภาคใต้ รูปแบบที่ 2 ชวนคนไทยทั้ง 4 ภาคเดินทางมาเที่ยวอีสาน กับแหล่งท่องเที่ยวไฮไลต์ สิ่งศักดิ์สิทธิตามความเชื่อหรือ Faith ซึ่งเป็น 1 ใน 5F พลังซอฟท์ เพาเวอร์ กับแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติความเขียวขจีฤดูฝนเชื่อมต่อกับอากาศเย็นสบายตลอดฤดูหนาว
จุดขายใหม่ ๆ ปลุกกระแส “คนไทยเที่ยวช่วยชาติ” เริ่มจาก “อีสานตอนบน” ไฮไลต์คือ การท่องเที่ยวงานเทศกาลประเพณี (Festival) ไหลเรือไฟนครพนม และตลาดสายมูเตลู เชิญชวนมาสักการะพญานาคใต้พิภพ และเที่ยวริมแม่น้ำโขง เที่ยนคราธานี 3 จังหวัด “อุดรธานี-หนองคาย-บึงกาฬ” ขณะที่ “อีสานตอนล่าง” เที่ยวงานเทศกาลแห่เทียนพรรษา ในพื้นที่ยอดนิยม “แห่เทียนอุบล ยลได้ทั้งเดือน” ก่อนและหลังวันเข้าพรรษา ช่วงงานแห่เทียนเต็มรูปแบบคือ 2-3 สิงหาคม 2566 รวมทั้งอุบลราชธานียังได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว 4 แสง ต่อด้วย “ยโสธร” เที่ยวงานบุญบั้งไฟ และ “งานทำบุญข้าวตอก” สวยงามระดับนานาชาติที่ต่างชาติก็ให้ความสนใจเดินทางเข้ามาชมด้วยเช่นกัน ทางด้าน “ขอนแก่น” กำลังนำเสนอพื้นที่ “ธรณีสันฐาน” ผนวกจุดขายแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเส้นทางใหม่ ๆ
ส่วนไฮไลต์ ปี 2567 ททท.ภาคอีสานชูธีมขายคอนเซ็ปต์ “อีสานไปไสกะแซ่บ” เน้นเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงอาหาร นั้นทางสมาคมจะนำเสนอความหลากหลายของท้องถิ่น เช่น “กินตามวิถีชุมชนและชนเผ่า” ทาง ททท.นครพนมได้สนับสนุน “จังหวัด3สนุก” ได้แก่ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร หรือ “กินอย่างช้าง” จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ อิ่มอร่อยเต็ม และ “อาหารถิ่นมิชลินสตาร์” 4 จังหวัด นครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานี อุดรธานี
รวมถึงการนำเสนอขายขานรับโครงการ
The Link Local to Global
ซึ่งในอีสานมี
“ด่านสำคัญท่องเที่ยวทางบก” เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น
ด่านหนองคาย การท่องเที่ยวของสาธารณรัฐประชาชนจีนนั่งรถไฟความเร็วสูงผ่าน
สสป.ลาวเข้าเมืองไทย ด่านมุกดาหาร ด่านช่องเม็ก อุบลราชธานี หรือด่านช่องจอม
จ.สุรินทร์ ด่านกันทรลักษณ์ ศรีสะเกษ
ทุกด่านสามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวรอยต่อตลาดเพื่อนบ้านเข้ามาไทยได้เป็นอย่างดี
รวมทั้งทาง
ททท.สำนักงานโฮจิมินห์ เวียดนาม จะนำนักท่องเที่ยวตลาด สปป.ลาว กับเวียดนาม
เดินทางมาเที่ยวช่วงเข้าพรรษา มาเสริมสวย ช้อปปิ้ง และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
กระจายไปยัง หนองคาย อุดรธานี อุบลราชธานี ส่วนกัมพูชา ก็จะเข้าทางสุรินทร์
ศรีสะเกษ แล้วยังมี ททท.สำนักงานคุนหมิง
นำกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเข้ามากับรถไฟความเร็วสูง
ทำให้แนวโน้ม
“ตลาดนักท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้าน” สปป.ลาว กัมพูชา เวียดนาม สาธารณรัฐประชาชนจีน
เข้าสู่อีสานเติบโตขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามมาด้วยความถี่สูงขึ้น
เป็นกลุ่มครอบครัวรวม ๆ แล้ว ปี 2566 -2567 จะสามารถเพิ่มการเติบโตในภาพรวมได้ถึง 10 %
นางสาววสุมน
กล่าวว่า จะนำพลังของสมาชิกสมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และผจญภัย หรือ “TEATA”
สร้างความเข้มข้นการขาย “ท่องเที่ยวลดคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”
สนับสนุนจุดขายหลักแผน ททท.ปี 2567 ทางด้าน การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable)
ท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ และเพิ่มรายได้จากตลาดคุณภาพสูง (high Value) ตอนนี้กำลังทำงานร่วมกับ
ททท.ริเริ่มนำสินค้าท่องเที่ยวไปคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับเส้นทางคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
ได้ขยายเส้นทางเพิ่มเพื่อให้ ททท.นำไปประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง
ปี 2567 ทางสมาคมฯ
ได้ขยายเส้นทางโดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก
หน่วยงานบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)
และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) อบก./TGO
ลงทุนพัฒนาแอพลิเคชั่นเปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้คือ Zero Carbon อีก 2 เดือนข้างหน้าประมาณกันยายน
2566
เป็นต้นไป
เอกชนท่องเที่ยวจะสามารถใช้เครื่องมือดังกล่าวมาคำนวณแล้วสร้างรูปแบบชดเชยการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ซึ่งทาง TEATA กับสมาคมท่องเที่ยวต่าง
ๆ ได้ทำเอ็มโอยูร่วมกัน ทำให้สามารถขยายเส้นทางเพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย ด้วยการนำงานวิจัยของ
บพข.ปักหมุดพื้นที่ท่องเที่ยวโลว์ คาร์บอน เพิ่มจังหวัดใหม่ ๆ อย่าง ภูเก็ต กระบี่
นำเสนอให้นักท่องเที่ยวได้เลือกใช้บริการเส้นทางท่องเที่ยว หรือเส้นทางทัวร์คาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
เมือง 3 เกาะ
“เกาะสมุย-เกาะพะงัน-เกาะเต่า” รวมทั้งในอีสานขณะนี้ได้ทยอยคัดเลือกเส้นทางโลว์คาร์บอนด้วยเช่นกัน
ดังนั้นจึงขอเชิญชวนคนไทยออกมา
“สนุกเต็มที่ ดีต่อโลก” ท่องเที่ยวโดยเพิ่มการเดินทางอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สร้างความยั่งยืน
และริเริ่มคำนึงถึงการท่องเที่ยวโดยลดการปล่อยคาร์บอนกับก๊าซเรือนกระจกให้เข้าใกล้สุทธิเป็นศูนย์อย่างเป็นรูปธรรม
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 สมาชิกคิงเพาเวอร์รับ2สิทธิโอนพอยต์บิน-บิวตี้ที่KLINIQUE
สมาชิกคิง เพาเวอร์
พบกับสิทธิที่จะได้รับแบบ “เป็น ไป ได้” ไม่สิ้นสุด แบบยาว ๆ ข้ามปี
กับพันธมิตรการบิน “แอร์เอเชีย” และสถานบริการความงาม The Klinique ได้ดังนี้
สิทธิ์แรก ใช้คะแนนกะรัตในบัตรคิง
เพาเวอร์ เพื่อแลกเป็น airasia point สูงสุด
4,000 พ้อยท์ วันนี้–
31 มีนาคม 2567 ผ่านช่องทางการแลกคะแนน
CARATs เพื่อรับ airasia point ผ่าน
LINE Official Account @KINGPOWER หรือ เว็บไซต์ www.member.kingpower.com
เพื่อรับ E-Code แล้วนำโค้ดที่ได้ไปแลกเป็น
airasia point ผ่าน AirAsia application
สิทธิที่ 2 รับส่วนลด
40% ที่ THE KLINIQUE โปรแกรมทรีตเมนต์และเลเซอร์ผิวใส ตั้งแต่วันนี้-31
ตุลาคม 2566 ให้สิทธิประโยชน์พิเศษกับสมาชิก
คิง เพาเวอร์ทั้งประเภท VEGA, CROWN, ONYX, SCARLET และ
NAVY คนละ 1 ครั้ง เพื่อเสริมความงามเลือกใช้คอร์สรายครั้งในราคาปกติเมื่อแสดงบัตรสมาชิกก็จะได้ส่วนลด
โดยเข้าไปกดรับรหัสส่วนลดผ่านระบบ LINE
Official Account : @kingpower หรือ kingpower.com แล้วแจ้งรหัสส่วนลดกับเจ้าหน้าที่ เพื่อจองล่วงหน้า
แนะนำให้สอบถามข้อมูลก่อนทำการกดรับสิทธิ์ทุกครั้ง โดยมีให้เลือก 2 โปรแกรม
คือ
โปรแกรมที่ 1 ทรีตเมนต์ฟื้นบำรุงผิวขาวกระจ่างใสและชุ่มชื่น ได้แก่ Cool Laser Total ราคาปกติครั้งละ
8,000 บาท 24
Karat Facial Contour ราคาปกติครั้งละ 8,000 บาท, Signature Lift ราคาปกติครั้งละ
3,500 บาท และ Facial
Rejuvenation ราคาปกติครั้งละ 3,000 บาท
โปรแกรมที่ 2 เลเซอร์หน้าใส รักษาฝ้ากระและจุดด่างดำ ได้แก่ Pico Clear Enlighten ราคาปกติครั้งละ
20,000 บาทCopper Bromide ราคาปกติครั้งละ 8,000 บาท Laser Genesys ราคาปกติครั้งละ
8,000 บาท Laser
Toning ราคาปกติครั้งละ 8,000 บาท
สอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ Call Center : 080-000-9800,
088-887-8900, 082-353-1999 LINE Official Account : @theklinique
Facebook : THE KLINIQUE หรือ Inbox Fanpage : https://m.me/TheKliniqueMedicalClinic Instagram : theklinique เปิดบริการทุกวันตั้งแต่
เวลา 11:00 – 20:00 น.
สมาชิกสามารถกดใช้สิทธิ์โดยคลิก : https://member.kingpower.com/CaratRewards/Detail/6751
ข่าวที่ 2 “คิงเพาเวอร์มหานครอีเทอรี่”ชวนฟินกินดีเอ็กซ์คลูซีฟ3ร้าน
คิง
เพาเวอร์ ชวนมาเพิ่มประสบการณ์ความอร่อยได้ที่ “มหานคร อีเทอรี่ - Mahanakhon
Eatery” ตื่นตากับการเลือกรับประทานอาหารนานาชาติ เต็มอิ่มกับ 3 ร้านดัง 3 สไตล์ ในที่เดียว
ร้านแรก El mar ร้านซีฟู้ดจากยุโรป
ได้ที่นำเข้าวัตถุดิบทั๋วโลก มาให้ทานสด ๆ ถึงเมืองไทย โดยมีเมนูแนะนำคือ : Fresh
Oysters
ร้านที่
2 ICI ร้านขนมหวาน
ที่มีจุดเด่นด้านอาหารฟิวชั่น ดีไซน์ด้วย Hyper-Realistic เลียนแบบเมนูอาหารได้อย่างแนบเนียน
พร้อมเมนูแนะนำสุดปัง : Chilli Crab
ร้านที่
3 Meat & Spice by
Another Hound Cafe เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบสเต็กตะวันตกที่ผสานความเป็นไทย
ด้วยรสชาติเผ็ดจัดจ้านถึงใจคนไทยแน่นอน ห้ามพลาดเมนูแนะนำ : Two Days One
Night Beef Short
ข่าวที่
3 “ททท.-EVA Air”ผนึกLOIเพิ่มจีน/ญี่ปุ่น/เกาหลี-อเมริกา/ยุโรป
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า
ททท.จับมือ EVA Air สายการบินแห่งชาติของไต้หวัน ลงนามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent: LOI) เพื่อร่วมผลักดันให้ไทยเป็นประเทศจุดหมายปลายทางทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเมืองไทยเป็นไปอย่างไร้รอยต่อ
เลือกใช้บริการเที่ยวบิน EVA Air ซึ่งมีเครือข่ายเส้นทางบินครอบคลุมทั้งตลาดการเดินทางระยะใกล้ ได้แก่
ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และตลาดระยะไกล อย่าง สหรัฐอเมริกา แคนาดา
สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และอื่น ๆ
โดยทั้งสององค์กรจะร่วมมือกันส่งเสริมการตลาดด้วยหลายรูปแบบ เช่น จัดกิจกรรมทางการตลาดนำเสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวพิเศษ
ทำโปรโมชั่นต่าง ๆ จัด Fam Trip เชิญชวนกลุ่มตัวแทนธุรกิจนำเที่ยว
สื่อมวลชน และ Influencer เดินทางเข้าสำรวจพื้นที่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย หรือจะร่วมกันออกคูหางานเทรดโชว์
โร้ดโชว์ ที่มี ททท. เข้าร่วมตามประเทศต่าง ๆ ซึ่ง ททท.เชื่อมั่นการลงนามความร่วมมือกันครั้งนี้ เป็นโอกาสที่ดีช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ไทยยังคงความเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อไป
สำหรับการลงนาม LOI ระหว่าง ททท. และ EVA Air ครั้งนี้
แสดงถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่ายความพร้อมจะร่วมกันส่งเสริมผลักดันไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวสำคัญของทั่วโลก
ช่วยฟื้นรายได้ปี 2566 ให้เป็นไปตามเป้าหมายตั้งไว้ และผลักดันให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นปัจจัยสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
นาย Clay Sun ประธานกรรมการบริหาร บริษัท EVA Airways Corporation กล่าวว่า ทางสายการบิน EVA
Air ยินดีที่ได้ร่วมกับ ททท. ส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเลือกไทยเป็นจุดหมายปลายทางการเดินทาง
โดยเลือกใช้เครือข่ายเส้นทางบินของ EVA Air ครอบคลุมทั่วโลกทั้ง
เอเชีย อเมริกาเหนือ ยุโรป และออสเตรเลีย ด้วยเที่ยวบินตรง 28 เที่ยว/สัปดาห์
ไป-กลับ ระหว่าง กรุงเทพฯ - ไทเป ไต้หวัน ต้นทางจากกรุงเทพฯ ผ่านไทเป (ไต้หวัน)
ไปยังเมืองในประเทศจุดหมายปลายทางหลัก ๆ ประกอบด้วย
เส้นทางบินระยะใกล้ในเอเชีย 3 ประเทศ 19 เมือง ได้แก่ 1.“สาธารณรัฐประชาชนจีน” 10 เมือง ได้แก่ ปักกิ่ง นานจิง หางโจว
เทียนจิน เซี่ยงไฮ้ เซี๊ยะเหมิน เซินเจิ้น
กวางโจว เฉิงตู ฉงชิ่ง 2.“ญี่ปุ่น” 8 เมือง ได้แก่ นาริตะ ฮาเนดะ นะฮะ คันไซ ฟุกุโอกะ โคมัตสุ ซัปโปโร 3.กรุงโซล เกาหลีใต้
เส้นทางบินระยะไกลข้ามทวีป ทาง EVA Air ให้บริการ 84 เที่ยว/สัปดาห์
มีเที่ยวบินเชื่อมโยง ไป-กลับ จากไทยผ่านไทเป
(ไต้หวัน) สู่อเมริกา และแคนาดา ผ่านเกตเวย์หลัก เช่น ลอสแอนเจลิส ซานฟรานซิสโก
นิวยอร์ก ชิคาโก ซีแอตเทิล ฮุสตัน โตรอนโต และ แวนคูเวอร์ บินตรงรวมถึง
14 เที่ยว/สัปดาห์ รวมทั้งจากกรุงเทพฯ สู่ เมืองหลักในยุโรป ได้แก่ ลอนดอน เวียนนา
อัมสเตอร์ดัม ปารีส มิลาน และมิวนิก และกรุงเทพฯ สู่บริสเบน (ออสเตรเลีย)
การลงนาม LOI ระหว่าง ททท.กับ สายการบิน EVA Air ครั้งนี้ จัดขึ้นโรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ มีผู้เข้าร่วม ประกอบด้วย ตัวแทนฝ่ายไทย มี ดร.ยุทธศักดิ์
สุภสร ผู้ว่าการ ททท. พร้อม 2 รองผู้ว่าการ คือนายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ
รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิก นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร
รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา และตัวแทนสายการบิน EVA Air มี นาย Clay Sun ประธานกรรมการบริหาร บริษัท EVA
Airways Corporation นาย
Jackie Kang ผู้จัดการทั่วไป บริษัท EVA Airways Corporation สาขาประเทศไทย และนาย Charlie Pan รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท EVA Airways Corporation
ข่าวที่
4 บางจากชวนใช้บริการปั๊มยูนีคดีไซน์ “บางบัวทอง-บางขุนเทียน”
บริษัท
บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แนะนำสถานีน้ำมันช่วงเดินทางวันหยุดเข้า-ออก
เมือง สามารถแวะสถานีบริการน้ำมัน “Bangchak Unique
Design” ซึ่งเป็นมากกว่าสถานที่เติมน้ำมัน
ด้วยการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ให้แตกต่างต้อนรับผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่สุดประทับใจ
รอยต่อนอกเมือง 2 ปั๊มด้วยกัน คือ
ปั๊มแรก - บางจาก บจก. ซี เอส กรีน ออยล์ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ดีไซน์ตามแนวคิด Dynamic
Continuity ความต่อเนื่องที่ไม่หยุดนิ่ง ความต่อเนื่องของเส้นสาย
สร้างความเป็นอันหนึ่งอันดียวกันของอาคาร รูปลักษณ์ของหลังคาที่มีความเคลื่อนไหว
มีมิติที่แตกต่าง หลังคาที่ต่อเนื่องเชื่อมกันทำให้สะดวกสบายในการสัญจร
เข้าถึงทุกพื้นที่ได้ในทุกเวลา ทั้งยามฝนตกหรือแดดออก
ด้วยหลังคาที่มีความยาวพิเศษยื่นออกมาถึง 5 เมตร
เพื่อให้ลูกค้าใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย โดยการตกแต่งจะเป็นแนว Modern
Scandinavian เรียบง่ายตามสไตล์สแกนดิเนเวียน เน้นความโปร่งโล่ง
ดูสะอาด
จุดเด่นของร้านอินทนิล
ที่นั่งสบายร้านโปร่งโล่ง และมีการตัดด้วยสีเขียวอ่อน
เพื่อเพิ่มสีสันตรงกับสีเขียวของบางจาก รวมไปถึงพี้นที่ถูกออกแบบมาให้เป็นแบบ Universal Design รองรับทุกช่วงวัย
มีทางลาดสำหรับผู้สูงอายุด้วย
รวมถึงตู้กดขนม
น้ำดื่มที่ออกแบบมาให้เป็นเหมือนซุ้มที่ออกแบบสุดน่ารัก ให้ Mood & Tone ของตู้น้ำรวมไปถึงตัวของ ATM ไปในทิศทางเดียวกัน
แล้วยังเพียบพร้อมด้วยร้านค้า
ร้านอาหารมากมาย เช่น ร้านบะหมี่เกี๊ยว, ไก่ทอดเดชา, กาโต้เฮาส์, วราภรณ์
, Oishi Biz to ro, ซูชิ ติดปาก, ร้านลูกชิ้นจัง,
milk land, am tea, บัวจันทร์, ฮานะ, แว่นท็อปเจริญ
ปั๊มที่ 2 ปั๊มบางจาก บจก. พงษ์วัฒน์ ออยล์ (สาขา 1) เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร นำเสนอแนวคิด-SHELTER/Community
Petrol Station-รวมพื้นที่ขายและพื้นที่สีเขียวเข้าด้วยกัน เป็น Community
Petrol Station ตอบรับความต้องการของลูกค้า
โดยใช้สัญลักษณ์บางจากตามรูปแบบใบไม้เป็นภาษาหลักในการออกแบบ
และหลังคาโค้งนำสายตาเพื่อควบรวมดีไซน์โครงการให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
ยกให้ปั๊มนี้เป็นแลนด์มาร์กรองรับทุกคนได้มีเวลาร่วมกันมากขึ้น
เพราะเป็นแหล่งชุมชน ใกล้โรงเรียน ใกล้ห้างสรรพสินค้า
เป็นศูนย์กลางทำให้ผู้ใช้บริการมาพักเบรคก่อนออกเดินทาง
เพราะอยู่ปากซอยก่อนออกไปสู่ถนนพระราม 2
จึงเกิดคอนเซปต์ต้นไม้ใหญ่ที่ให้ที่พักพิงให้ได้นานมากที่สุด ตกแต่งแบบ tropical
style ทำส่วน Cuve เส้นโค้งที่เป็นเลเยอร์ซ้อน
ๆ กันมาจากเส้นสายธรรมชาติ ลำธาร เลือกใช้สีในโทนสบายตาเป็นสีน้ำตาลอ่อนของไม้
ส่วนเสาก็คือลำต้นของต้นไม้เป็นสีน้ำตาลเข้ม
โดยให้ทุกพื้นที่ได้มีการชีวิตได้มีชีวิตร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างยั่งยืน
“ร้านอินทนิล”
ตกแต่งสไตล์ Urban+tropical Garden ให้ธรรมชาติอยู่ร่วมกับชีวิตคนเมืองได้
โดยที่ยังคงความสะดวกสบายและธรรมชาติไว้พร้อมๆ กัน
ช่วงที่ 2 ได้เวลานำชีวิตออกไปหาสิ่งใหม่ ๆ กันอีกครั้ง ในงาน
“เทศกาลเที่ยวเมืองไทย” ยกหมู่บ้านท่องเที่ยวมาไว้ให้ลองเที่ยว 2-6 สิงหาคม 2566 กันได้เลย 3 ภาค 3
พิกัด ดังต่อไปนี้ แล้วต้อง “ระวัง!!5พฤติกรรม”
ทำร่างกายพังโดยไม่รู้ตัว และเรื่องฮ็อต ข่าวแรก “บพท.แจกเงินวิจัยปั้นสระบุรี”
ผงาดฟู้ดวัลเลย์ฮับอาหารยั่งยืน 5,000 ไร่ ข่าวที่สอง “CAAS-JCAB” 2สถาบันการบินสิงคโปร์ควงญี่ปุ่นพลิกโฉมอุตสาหกรรมบินทั่วเอเชีย
5 ปีหน้าสู่ Green Aviation Lane
ท่องเที่ยว –ทัวร์3 ภาค “ภาคกลาง-เหนือ-อีสาน”เทศกาลเที่ยวเมืองไทย
เมืองไทยเที่ยวไทยได้ทุกวัน เที่ยวใกล้ “ความสุขง่าย ๆ หาได้”
จากเข้ามาร่วมชมหมู่บ้านท่องเที่ยว 3 ภาค คือ
“ภาคกลาง-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน” ในงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ระหว่างวันที่ 2-6 สิงหาคม 2566 ได้ทุกวันตั้งแต่ 10.00-21.00 น.ที่ชั้น LG HALL ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ลองเช็คอินได้ 3 ภาค 3 พิกัด ได้เลย
พิกัดที่ 1 “ภาคกลาง” ก้าวสู่ดินแดนที่ราบลุ่มแม่น้ำ
ซึมซับประสบการณ์การท่องเที่ยวสไตล์ “Trendy C2 ภาคกลาง”
ภายใต้แนวคิด “ความสุขง่ายๆ หาได้ที่ภาคกลาง” โดดเด่นด้วยแลนด์มาร์ก "หอมนสิการ" ธรรมะแกลลอรี
จ.สระบุรี อันดับ 1 ของการโหวตในโครงการ Unseen New
Chapters ประจำปี 2566 จัดแสดงแบบ Interactive
ครั้งแรกในประเทศไทย กับศิลปะร่วมสมัย ทั้งภาพ แสง เสียงบรรยาย
และวิดีโอสื่อผสมระดับภาพยนตร์ จากนั้นเพิ่มความฮิปสเตอร์ สไตล์ Camping นำเสนอรถคาราวาน Airstream
และแคมเปอร์แวน พาเหรดกันมาคับคั่ง
รวมทั้งได้ร้อยเรียงเรื่องราวไว้ใน “โซนสาธิตของศิลป์แผ่นดิน” ตื่นตากับงานหัตถศิลป์ที่หาชมได้ยากโดยช่างฝีมือจากสถาบันสิริกิติ์
และการประกอบเครื่องคาวหวานจากโรงเรียนช่างฝีมือในวัง (หญิง) อาทิ
สาธิตการทำขนมชุบ ขนมเกสรลำเจียก ขนมเบื้อง
ตามตำหรับชาววัง และเติมความสุขชาร์จพลังกายใจ ร่วมกับ สมาคมผู้บริโภคอินทรีย์ไทย
(TOCA) นำเสนอสวนผักแนวตั้ง
ผลักดันการท่องเที่ยววิถีเกษตรอินทรีย์ (Organic Tourism) ที่ยั่งยืนด้วยการสะสม Earth Point ผ่าน
TOCA Platform เพื่อแลกรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ร่วมรายการ
พิกัดที่ 2 “ภาคเหนือ” ยกหมู่บ้านอันอบอวลไปด้วย "เสน่ห์วันวานเมืองเหนือ" (North Nostalgia) ผสมผสานความร่วมสมัย Northern
Thailand Soft Power รณรงค์แต่งชุดพื้นเมืองภาคเหนือ พรีเซนต์แลนด์มาร์กและจุดถ่ายภาพจำลอง 4 แห่ง ได้แก่ แมงสี่หูห้าตา
จ.เชียงราย บ้านอาจารย์โกมล จ.แพร่ ประเพณีสลากย้อม จ.ลำพูน
และบ้านเหมืองกุง จ.เชียงใหม่
แวะเติมความสดชื่นที่
“ซุ้มเย็นใจ๋” รวบรวมร้าน ชา กาแฟ โกโก้ คราฟท์โซดา หรือเครื่องดื่มผลิตจากภาคเหนือ
ตกแต่งสไตล์บรรยากาศ Glamping จำนวน 12 บูธ
เติมเสบียงแบบลำแต้แต้ตรง
“กาดหมั้ว” จะได้จัดเต็มอาหารเหนือ
อาหารฟิวชั่น มิชลินเชียงใหม่ ให้ได้ลิ้มลองกันอย่างเต็มอิ่ม ได้แก่ Ginger Farm Kitchen ครัวหลองข้าว ร้านดำรงค์ By หมูทอดกาดหลวงเชียงใหม่ ก๋วยเตี๋ยวอังเล ร้านมิสเตอร์ฮังเล จ.ลำปาง ข้าวเปิ๊บบ้านนาต้นจั่น จ.สุโขทัย ขนมเทียนเสวย บ้านกนกมณี จ.อุตรดิตถ์
ฟินผ่อนคลายแบบชิว
ๆ ต่อที่ “กาดนวด” ล้ำกับการทำเวลเนสนวดสปา ไฮไลต์ภาคเหนือ ต้องได้ลอง เช่น สปาจักราศี/สปาฟ้อนเล็บ
การนวดภูมิปัญญาชาวบ้าน แล้วเพลิดเพลินที่ ซะป๊ะคราฟท์ จัดจำหน่ายสินค้าแฮนดิคราฟท์ตกแต่งสไตล์มินิมอล
สนุกกับกิจกรรม DIY เช่น การเพ้นท์เครื่องปั้นดินเผาชุมชนบ้านเหมืองกุง
- แสตมป์ไม้บนถุงผ้า ฟ้าฮ่าม Indigo Craft & Studio จ.แพร่ – ทำตุ้มหู และพวงกุญแจจากเศษผ้า
สุนทรีผ้าไทย Suntree-Thai จ.สุโขทัย - ทำตุงใยแมงมุม
บ้านหนองหม้อ Creative Village จ.เชียงราย
ห้ามพลาดอัพเดทโปรดักซ์ใหม่อันโดดเด่นของภาคเหนือ 3 บูธ ได้แก่
อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์
กิจการน้ำพุร้อนสันกำแพง จ.เชียงใหม่ งาน Thailand Biennale Chiang
Rai
จบตรงลานกิจกรรม
“เวิ้งแวดเวียง” แนะนำการเดินทางท่องเที่ยวตามความเชื่อและศรัทธา (Faith+Festival)
Illumination โดยจะฉายภาพจำลองสถานที่และเทศกาลที่มีชื่อเสียง
เช่น เทศกาลโคมแสนดวง เทศกาลลอยกระทง จุดชมวิวทะเลหมอก สถานที่ท่องเที่ยว Unseen New Chapters หรือกิจกรรมทางการท่องเที่ยว เช่น
ล่องแก่ง พายซับบอร์ด บอลลูน
พิกัดที่
3 “ภาคอีสาน” ชวน “หลงรักแผ่นดินถิ่นอีสาน”
ปลดล็อกประสบการณ์ท่องเที่ยว ภายใต้แนวคิด “อีสาน...ไปไสกะแซ่บ” มากกว่าความแซ่บคือ
ประสบการณ์ โดยนำเสนอประสบการณ์ความ “แซ่บ”
ของอีสานผ่านวัฒนธรรมและนวัตกรรมอาหารอีสานและการแสดง เพิ่มดีกรีความแซ่บไปกับไฮไลท์ห้ามพลาด 7 แซ่บ
แซ่บแรก เชิญเดินเข้า “ไห...เทค” ไหปลาร้าเรืองแสง
ที่จะทำให้ทุกคนได้เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการทำปลาร้า ปลาแดก ของอีสาน ผ่านประสบการณ์รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
ตั้งแต่ต้นน้ำ ไปจนถึง Go Inter
แซ่บที่ 2 เชิญชิม 20 ร้านดัง จาก 20
จังหวัดภาคอีสาน เช่น ตำกระเทย สาเกต
จ.ร้อยเอ็ด อังแกบบอบ จ.สุรินทร์ เนื้อแห้ง 100 ปี จ.อำนาจเจริญ
แซ่บที่ 3 เชิญลอง 20 จานแซ่บ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เช่น ไก่กระเต็ด
จ.นครราชสีมา แซลมอนน้ำปลาร้า จ.อุดรธานี ข้าวปุ้นน้ำนัว จากนครพนม
แซ่บที่ 4 เชิญชม 10 นวัตกรรมอาหารอีสาน Go Inter เช่น ไก่ไร้เก๊า จากขอนแก่น สบู่หอมแดง จากศรีสะเกษ ส้มตำอบกรอบ
ที่รับประทานได้ง่ายๆ เพียงเติมน้ำลงไป
แซ่บที่ 5 เชิญชอป
สินค้า ISAN Arts & Crafts เช่น ผ้าทอมือย้อมคราม
ย้อมโคลน ย้อมสีธรรมชาติ ย้อมภูอัคนี กระเป๋าเสื่อกก จากการประชุม APEC ที่ผ่านมา
แซ่บที่ 6 เชิญม่วนกับการแสดงม่วนซื่นโฮแซว เช่น
ขบวนแห่เซิ้งบั้งไฟเปิดหมู่บ้านอีสาน การแสดงผีตาโขน การแสดงหมอลำหุ่นกระติ๊บ
การแสดงหุ่นเต้น ดนตรีโฟล์คอีสาน การแสดงโปงลางกาฬสินธุ์
แซ่บที่ 7 พาแลงแฮงเอาท์ พื้นที่ล้อมวงรับประทานสำรับ “พาแลง”
อาหารท้องถิ่นสไตล์อีสานบ้านเฮา พร้อมพักผ่อนนหย่อนใจท่ามกลางบรรยากาศสุดม่วนซื่น
งานเดียวเท่านั้นที่เที่ยวเมืองไทยพร้อมกันได้ครบทั้ง
3 ภาค
“ภาคกลาง-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน” มาพบกันที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่าง 2-6
สิงหาคม 2566 งานท่องเที่ยวแห่งปีใจกลางกรุง
สุขภาพ
–ระวัง!! 5 พฤติกรรมความเคยชิน“ทำร่างกายพัง”โดยไม่รู้ตัว
ร่างกายคนเราก็เหมือนเครื่องจักร
มีเวลาใช้งาน และเวลาต้องหยุดพัก เพื่อไม่ให้ทำงานหนักจนเกินไป
เพราะการใช้งานเครื่องจักรหนักเกินขีดจำกัด หรือใช้ผิดวิธีอาจทำให้พัง เสียหาย
จนไม่สามารถใช้งานได้ เช่นเดียวกับร่างกายหากใช้งานหนักจนเกินไป
หรือดูแลไม่ถูกวิธี ก็อาจทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ ซึ่งมักเกิดจาก 5
พฤติกรรมเหล่านี้
1.ทำงานหนักเกินไป บ่อยครั้งมักทำงานล่วงเวลา
ทำงานเสริมเพื่อได้รับผลตอบแทนมากขึ้น แต่การทำมากจนเกินไปนั้นส่งผลให้ร่างกายและสมองเกิดความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว
ทำให้เกิดอาการนอนหลับไม่สนิท
นานวันเข้าก็อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะได้ในที่สุด
2.
นอนหลับไม่เป็นเวลา ร่างกายมีช่วงเวลานอนที่เหมาะสม โดยเฉพาะช่วง 00:00 – 01:30 น.
ของแต่ละวัน ร่างกายหลั่ง Growth Hormones ออกมาช่วยซ่อมแซมร่างกายขณะนอนหลับ
หากร่างกายไม่ได้รับฮอร์โมนชนิดนี้อย่างเต็มที่ก็จะแก่เร็ว ผมหงอก ผิวเหี่ยว
กระดูกพรุน ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ
ความดันโลหิต เบาหวาน และอื่น ๆ
3.
ไม่ออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันชั้นดี
ช่วยส่งเสริมระบบเผาผลาญและการย่อยอาหาร สร้างมวลกล้ามเนื้อและกระดูก
หากไม่หมั่นขยับร่างกาย ระบบการทำงานส่วนต่างๆ จะช้าลง และเกิดผลเสียตามมากับทั้งอวัยวะเสื่อม
และโรคร้ายแรงต่าง ๆ
4.
ไม่กินอาหารเช้า คือมื้อสำคัญที่สุดของวัน การไม่กินมื้อเช้าหรือกินแค่ของเบาๆ
อย่าง ขนมปังกับกาแฟ ร่างกายจะได้รับสารอาหารน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ในระยะยาวจะนำโรคร้ายมาเยือน
เช่น โรคอ้วน หัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน กรดไหลย้อน อัลไซเมอร์
5. เลือกกินแต่ของไร้ประโยชน์
อย่างอาหารฟาสต์ฟู้ดและแปรรูป แม้จะทำให้ท้องอิ่ม แต่ได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน
เพราะส่วนมากแล้วอาหารประเภทนี้มักให้พลังงาน เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน
แต่ขาดวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญต่อร่างกายที่จะใช้ทำงานได้ปกติ
ระยะยาวหากขาดมากขึ้นร่างกายรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไม่กระฉับกระเฉง
รู้สึกตาพร่ามัว ปวดหัวง่ายนั่นเอง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก –บพท.ให้ทุนวิจัยปั้น“สระบุรีฟู้ดวัลเลย์”ผุดฮับอาหาร5พันไร่
นายนพดล ธรรมวิวัฒน์ ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย
บริษัทสระบุรีพัฒนาเมือง จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่
(บพท.) คือแกนหลักอันเป็นหัวใจของโครงการวิจัยด้วยการพัฒนาจังหวัดสระบุรีให้เป็นหุบเขาแห่งอาหาร
หรือ “สระบุรีฟู้ดวัลเลย์” สร้างกลไกสำคัญที่จะเดนหน้ายกระดับรายได้เกษตรกรในพื้นที่คู่ขนานไปกับการสร้างความมั่นคงด้านอาหารให้กับประเทศปรากฎขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
โดยมีแรงบันดาลใจในการทำวิจัยเรื่องนี้ เพราะต้องการมุ่งค้นหาคำตอบแก้โจทย์ให้เกษตรกรซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสระบุรี
ต้องเผชิญปัญหาขายผลผลิตไม่ได้ราคา หันมาผลักดันเกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาเป็นธรรม
และมีความมั่นคงทางรายได้ โดยคำนึงบริบทที่สอดคล้องกับภูมินิเวศน์ ภูมิสังคม วิถีชีวิตชุมชนในพื้นที่
จะต้องเดินไปพร้อม ๆ กันได้
โดยมีเงื่อนไขสำคัญเป็นปัจจัยความสำเร็จที่จะยกระดับ “สระบุรีฟู้ดวัลเลย์”
ด้วยการเตรียมจัดหาพื้นที่ขนาดประมาณ 5,000 ไร่ ในทำเลที่สะดวกเพื่อเชื่อมโยงกับระบบโครงข่ายคมนาคม
และมีแหล่งน้ำสำรองเพียงพอรองรับโครงการดังกล่าว ควบคู่กับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย
ซึ่งปัจจับันเป็นอุปสรรคและจะต้องวางแผนออกแบบระบบสิทธิประโยชน์
เพื่อจูงใจให้เกิดการลงทุนในระยะยาว
นายนพดลกล่าวว่า กระบวนการขึ้นรูป “โครงการวิจัยสระบุรีพัฒนาเมืองที่มีแนวคิดสระบุรีฟู้ดวัลเลย์เป็นแกนกลาง”
เป็นผลพวงจากการพูดคุยกับหลายภาคีในพื้นที่ร่วมปรึกษาหารือร่วมกัน โดยมีทั้งภาครัฐ
เอกชน องค์กรปกครองท้องถิ่น ประชาสังคม และนักวิชาการ จนตกผลึกเป็นข้อสรุปร่วมกัน
นำจุดแข็งอันโดดเด่นของจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นปัจจัยเป็นปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาเมือง
ตามแนวคิดสระบุรีฟู้ดวัลเลย์ 3 ปัจจัย ได้แก่
ปัจจัยที่ 1 สระบุรีเป็นศูนย์กลางหรือ ฮับโลจิสติกส์ ด้านการกลางขนส่งเชื่อมต่อโดยเฉพาะระบบราง
ปัจจัยที่ 2 เกษตรกร ในจังหวัดสระบุรีสร้างผลผลิตทางด้านการเกษตรได้ค่อนข้างหลากหลาย
ทั้งข้าว ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง ผัก ผลไม้ โคนม ไก่ ซึ่งเป็นต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทานด้านอาหาร
ปัจจัยที่ 3 จังหวัดสระบุรี
มีศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค นำโดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่แก่งคอย ซึ่งมีองค์ความรู้สามารถสร้างประโยชน์ในการยกระดับหรือสร้างนวัตกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตการเกษตรได้ต่อเนื่อง
โดยสามารถใช้เป็นกลไกกระบวนการพัฒนาแนวคิดสระบุรีฟู้ดวัลเลย์ให้เป็นรูปธรรม
สร้างห่วงโซ่คุณค่าขึ้นมา ซึ่งมีกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แก่งคอย
กลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ร่วมอยู่ในห่วงโซ่ด้วย แต่ละภาคส่วนพร้อมใจกันมุ่งเน้นให้ห่วงโซ่นี้ทำให้เกิดอุตสาหกรรมอาหารอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
หรือ Net Zero และสามารถจะเหนี่ยวนำให้คนสระบุรีกลับมาร่วมกันพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนต่อไป
หัวหน้าโครงการวิจัย บริษัทสระบุรีพัฒนาเมือง จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า
ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีให้ความสำคัญกับโครงการสระบุรีฟู้ดวัลเลย์อย่างมาก
ถึงกับบรรจุเป็นแผนยกระดับอุตสาหกรรมการเกษตรของจังหวัด ขณะเดียวกันภาคีภาคเอกชนทั้งหอการค้าจังหวัด
สภาอุตสาหกรรมจังหวัด ชมรมธนาคารในจังหวัด
รวมทั้งเทศบาลเมืองสระบุรี
เทศบาลเมืองแก่งคอย ได้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นภาคีขับเคลื่อนโครงการ
โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นคือการทำข้อมูลศึกษาและวิจัยเพื่อหาว่าทิศทางหรือสิ่งที่จะทำในอนาคต
ส่วนขั้นตอนที่สองคือรวบรวมกลุ่มคนที่มาเป็น Stakeholder คือ ผู้ประกอบการทางด้านอาหาร
และกลุ่มเกษตรกรที่อยากจะเป็น Smart Farmer ในอนาคต
โดยสองกลุ่มนี้มีจำนวนรวมประมาณ 30 คน
นายนพดล กล่าวว่า โครงการ บริษัท
สระบุรีพัฒนาเมือง จำกัด มีตัวชี้วัดความสำเร็จอยู่ด้วยกัน 4 ประการคือ 1.ความอยู่ดีกินดีของประชาชน
2.ความถูกต้อง แม่นยำ และเป็นปัจจุบัน ของโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลขององค์กรปกครองท้องถิ่น
หรือ City Data
Platform (CDP) 3.สุขภาวะและสิ่งแวดล้อม 4.การศึกษาที่สอดคล้อง และเท่าทันกับบริบทสังคม
และบริบทของโลกที่แปรเปลี่ยนไป
ข่าวที่สอง
-CAAS-JCABสิงคโปร์-ญี่ปุ่นพลิกโฉมบิน5ปีหน้าสู่GreenLane
นายฮัน ก๊ก ยวน ผู้อำนวยการใหญ่
สำนักงานการบินพลเรือนแห่งสิงคโปร์ (CAAS :Civil Aviation Authority of
Singaporeฆ และ
นายโอนูมะ โตชิยูกิ รองผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สำนักงานการบินพลเรือนแห่งญ่ปุ่น (JCAB :Japan Civil Aviation Bureau) ร่วมกันเปิดเผยว่า ในการประชุม “Singapore-Japan
Dialogue on Aviation Collaboration” ครั้งที่ 2 ของทั้งสององค์กร
ได้กำหนดทิศทางเดินหน้าปรับปรุงการเชื่อมต่อเที่ยวบินด้านการจราจรทางอากาศระหว่างสิงคโปร์กับญี่ปุ่นให้แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19
คลี่คลายลง ต่อเนื่องจากกรอบยุทธศาสตร์ระดับสูงของ CAAS กับ JCAB ที่ได้ทำร่วมกันไว้เมื่อเดือนธันวาคม 2565
เพื่อเป็นผู้เล่นหลัก ที่พร้อมนำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก จะเร่งขับเคลื่อนความร่วมมือใหม่
4 เรื่องหลัก
ประกอบด้วย
เรื่องที่
1 นำร่องอำนวยความสะดวกเชื่อมโยงเที่ยวบินสู่เมืองต่าง
ๆ เริ่มต้นจากการกลับมาบินตรงแบบประจำ
ไป-กลับ ระหว่าง สิงคโปร์-โอกินาวา (ญี่ปุ่น) เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ก่อนจะเป็นช่วงวันหยุดสิ้นปี
ซึ่งปัจจุบันมีเที่ยวบินอยู่แล้ว 4
เมืองหลักสู่ โตเกียว นาโกย่า ฟูกูโอกะ ซับโปโร
ตั้งแต่กรกฎาคม 2566 ทั้งสิงคโปร์และญี่ปุ่นได้รับความร่วมมือจาก 6 สายการบิน
ฟื้นฟูจำนวนเที่ยวบินกลับสู่ปกติ 122
เที่ยว/สัปดาห์ ทำได้แล้วกว่า 65 % ของปี
2562
และภายในเดือนธันวาคมปีนี้จะทำให้มีเที่ยวบินเชื่อมโยงระหว่างเมืองเพิ่มขึ้นอีก 50 %
เรื่องที่
2 ริเริ่มด้านอุตสาหกรรมการบินสีเขียว
หรือ Green
Aviation Initiatives
ทั้ง CAAS และ JCAB พร้อมจับมือกันเดินหน้านโยบายและแผนส่งเสริมการบินอย่างยั่งยืน
ด้วยแนวคิดทำโครงการต้นแบบ “เลนการบินสีเขียว-Aviation Green Lane” ภายใต้
3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ 1.ปฏิบัติการของสายการบิน
และสนามบินนานาชาติของทั้งสองประเทศ 2.กระบวนการบริหารจัดการปริมาณจราจรทางอากาศ (ATM -Air traffic Management)
ซึ่งสามารถนำไปใช้ในวงกว้างโดยเครือข่ายองค์กรที่ 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการบินอื่น ๆ 3.เตรียมเสนอแนวคิดเพื่อหารือความเหมาะสมในเร็ว
ๆ นี้กับเวทีระดับนานาชาติ
เรื่องที่ 3 สร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางการบินเชิงบวกอย่างแข็งแกร่ง
โดยจะใช้การบริหารจัดการปริมาณจราจรทางอากาศนำโครงการการบินสีเขียวไปให้กับทุกคน
นำร่องจากเที่ยวบินระหว่างสิงคโปร์ ไปยัง “กรุงโตเกียว” จะทำการบินขึ้นไต่ระดับขึ้นและลงต่อเนื่องโดยการกำหนดระดับการบินให้เหมาะสมที่สุด
ซึ่งจะช่วยประหยัดเชื้อเพลิง ลดการปล่อยคาร์บอน และลดเวลาการบิน ซึ่ง CAAS และ
JCAB ทำสำเร็จมาแล้ว
1 เดือน
เริ่มทำเมื่อเดือนมิถุนายน 2566
โดยใช้รูปแบบบริหารจัดการปริมาณจราจรทางอากาศให้บริการผู้โดยสารหนึ่งรายต่อวัน
หลังจากนี้เป็นต้นไปทั้ง CAAS และ
JCAB จะทำงานร่วมกันเพื่อนำโมเดลต้นแบบดังล่าวขยายไปยังอีกหลายภูมิภาคตามรูปแบบปฏิบัติการวงโคจรเส้นทางการบิน
(TBO : trajectory-based
Operation)
ซึ่งเป็นมากกว่าเพียงแค่ผู้ให้บริการการเดินอากาศ (ANSPs :Air Navigation Service Providers)
มีข้อพิสูจน์แล้วจากการปฏิบัติงานของ ANSPs ของ CAAS กับ JCAB เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาได้ทำโครงการ TBO สาธิตโดยโบอิ้งร่วมสนับสนุน
ทดสอบเที่ยวให้บริการตามวงโคจรตามเส้นทางบินเชื่อมโยงครั้งแรกของโลกร่วมกัน 4
ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไทย สหรัฐอเมริกา สร้างความสำเร็จเรื่องทำให้ผู้ใช้น่านฟ้าทุกรายสร้างประโยชน์สำคัญทางการบินที่ดีขึ้น
พร้อมกับลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศได้อย่างประสิทธิภาพด้วย
โดยได้เลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงการบินอย่างยั่งยืน
หรือ SAF -Sustainable
Aviation Fuel เป็นองค์ประกอบสำคัญทำให้บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนทางการบิน
ซึ่งทั้งสองหน่วยงานเห็นพ้องต้องกันจะต้องวางแผนผลิตและจัดหาน้ำมันดังกล่าวให้มีเพียงพอใช้งนในอนาคตด้วยราคาที่สามารถแข่งขันได้ในเอเชียภูมิภาคแปซิฟิก
ทาง JCAB ยืนยันเป้าหมายภายในปี 2573 สายการบินต่าง
ๆ ที่ขึ้นลงในญี่ปุ่นจะต้องใช้น้ำมัน SAF 10 % เข้ามาใช้แทนน้ำมันแบบปัจจุบัน ส่วน CAAS ระบุวางแผนระยะกลางและระยะยาวเพื่อนำน้ำมัน
SAF เข้ามาพัฒนาตามแผนแม่บทของสิงคโปร์ที่จะเดินหน้าสร้างศูนย์กลางอากาศที่ยั่งยืน
เรื่องที่ 4 นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์ลดอุปสรรคการขาดแคลนกำลังคนเร่งเพิ่มผลผลิตทางการบินให้เป็นไปตามเป้าหมาย
โดย CAAS และ JCAB เข้าใจถึงความสำคัญเรื่องการส่งเสริมความเข้มแข็งและวัฒนธรรมความปลอดภัยเชิงบวกระหว่างบริษัทการบินกับพนักงานเพื่อสร้างความมั่นใจในการบินอย่างเต็มประสิทธิภาพหลังสถานการณ์โควิด-19
ทั้ง 2 สถาบันการบินตกลงจะอำนวยความสะดวกแลกเปลี่ยนและแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดทางการบินร่วมกัน
โดย CAAS จะนำคณะผู้แทนไตรภาคีของสิงคโปร์ ซึ่งประกอบด้วย
ตัวแทนระดับสูงของรัฐบาล สหภาพแรงงาน และบริษัท เดินทางไปยังญี่ปุ่นเพื่อสำรวจเรียนรู้วัฒนธรรมความปลอดภัยโดย
CAAS ได้จ้างทำสำรวจแล้วผลจะออกมาช่วงปลายเดือนกันยายน
2566
เนื่องจาก CAAS และ
JCAB ยังตระหนักถึงความสำคัญที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อเอาชนะปัญหาการขาดแคลนกำลังคน
เพิ่มผลิตภาพ และจัดการกับความท้าทายของบุคลากรด้านการบินมีอายุมากขึ้น
รวมถึงการผสมผสานโซลูชั่นความเป็นมิตรต่อพนักงานและถูกหลักสรีรศาสตร์
นายฮัน ก๊ก ยวน ผู้อำนวยการใหญ่ของ CAAS กล่าวว่า
“นับตั้งแต่การลงนามในข้อตกลงกรอบยุทธศาสตร์ที่สำคัญเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ตลอด
7
เดือนที่ผ่านมาทั้ง CAAS และ
JCAB ทำงานมีความก้าวหน้าที่ดีเรื่องยกระดับความร่วมมือด้านการบินพลเรือน
เป็นข้อพิสูจน์ของสิงคโปร์และญี่ปุ่น ถึงความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ
และประชาชน ต่อเนื่องถึงความสนใจร่วมกันขยายยุทธศาสตร์เชื่อมโยงทางอากาศ
และทำให้การบินมีความปลอดภัยและยั่งยืนมากขึ้น โดยใช้ ATM หรือแผนบริหารจัดการจราจรทางอากาศ
ผ่านโครงการ Green
Aviation Lane ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งเป็นมาตรการที่จับต้องและนำไปใช้งานได้ทันที
โดยแปลงไปสู่แผนประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยคาร์บอน รวมถึงสามารถปรับขยายให้ครอบคลุมเที่ยวบินมากขึ้น
ทำหน้าที่เป็นผู้เบิกทางให้ประเทศต่างๆ นำไปใช้ในวงกว้างมากขึ้นต่อไป
นายโอนูมะ โตชิยูกิ Mr Onuma รองผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส
JCAB กล่าวว่า
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นกับสิงคโปร์มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นในการสร้างความก้าวหน้าจับต้องได้ด้วยการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน
นับตั้งแต่การประชุมครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม 2566 โดยตระหนักถึงการฟื้นตัวอย่างมั่นคงของการจราจรระหว่าง 2 ประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง JCAB และ
CAAS ได้สำรวจเพิ่มเติมทำให้แนวคิดโครงการ
Green Lane ในการประชุมครั้งนี้เข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญและหวังให้แนวคิดนี้เป็นจริงในเวทีระหว่างประเทศอย่างเหมาะสม
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น