ท่องเที่ยวปีจอ2561 ไทยรุ่งสุดๆ-รัฐบาลปลุกเที่ยว55เมืองรองดันเศรษฐกิจชุมชนรวย-เคาน์ดาวภาคกลาง ราชประสงค์อลังการ
จับตาเทรนด์ท่องเที่ยวสู่ทศวรรษที่6ปีจอ 2561
กระจายความรวยสู่เมืองรองลดเหลื่อมล้ำรากหญ้า
คิงเพาเวอร์ดึงรายได้เข้าไทย-CSRสำเร็จเกินร้อย
ททท.ปั้นโมเดล10ชุมชนต้นแบบยั่งยืนโตเท่าตัว
บางจากผนึกเคแบงก์ใช้QRโค้ดช้อปร้านSPAR
ค่ำนี้ตลุยเคาน์ดาวน์ภาคกลางรอบกรุง 7ไฮไลต์
โรงแรมทั่วไทยงัดเมนูเด็ดเสิร์ฟส่งท้ายปีระกา
บางกอกแอร์ให้ใช้ฟรีเลาจน์ใหม่ในสุวรรณภูมิ
บินไทยเสิร์ฟขนมไทยทุกเที่ยวบินปีใหม่1มค.
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
ช่วงที่ 1 “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ผู้ดำเนินรายการ จะวิเคราะห์ให้ฟังถึงภาพรวมอุตสาหกรรม “ท่องเที่ยวทศวรรษที่ 6 ปีจอ 2561 รัฐบาลเร่งกระจายความรวยสู่เมืองรองและชุมชน” ขานรับกระแสโหรเศรษฐกิจระดับโลกอย่าง เวิลด์แบงก์-ไอเอ็มเอฟ และสถาบันชั้นนำในไทย พยากรณ์ไปในทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ยุคขาขึ้น แนะรัฐบาลรุกหนักในการผลักดันท่องเที่ยวเป็นทัพหน้าโกยรายได้ให้มากกว่าปีละ 3 ล้านล้านบาท เคียงข้างแผนขยายการลงทุนสร้างสนามบิน เขตเศรษฐกิจ แอร์ไลน์สจีนและทั่วโลกทะลักเข้าไทย
ตลอดปีระกา 2560 ต่อเนื่องถึงปีจอ 2561 “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ยังคงครองตำแหน่ง “ปีทอง” เป็นภาคบริการที่สามารถนำเข้ารายได้ประเทศทะลุเป้าหมาย 2.77-3.0 ล้านล้านบาท
ความสำเร็จที่ปรากฏเป็นรูปธรรมจากองค์กรผู้นำความเป็นเลิศทางการตลาดอย่าง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) เล่นบทเดินหน้าประสานสิบทิศกับเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศและทั่วโลก พร้อมทั้งร่วมมือกับสายการบินระดับแถวหน้าของประเทศและนานาชาตินำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายเงินในไทยตลอดปีระกาที่มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวคนที่ 35 ล้าน สูงกว่าเป้าหมายปกติตั้งไว้เพียง 33 ล้านคนเท่านั้น ส่วนรายได้ก็ทะลุเกินเป้าหมาย 2.77 ล้านล้านบาท คนไทยเที่ยวในประเทศแตะ 148 ล้านคนครั้ง ทำรายได้เกิน 9 แสนล้านคน
ส่งผลไปถึงปีจอ 2561 คนไทยทั้งประเทศอาจจะได้ฟังข่าวดีจาก “รายได้” การนำเข้าภาคบริการเพิ่มสูงขึ้น จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.1 ล้านล้านบาท และคนไทย 1 ล้านล้านบาท อาจจะเกินเป้าหมาย 3.1 ล้านล้านบาท
หลังจากเมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ปรับคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งชุดใหม่เป็นชุดที่ 5 เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายในจังหวะที่โหรเศรษฐกิจทั้งไทยและเทศพยากรณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ในปี 2561 ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วง “เศรษฐกิจขาขึ้น” โดยเฉพาะอุตสาหกรรม “ท่องเที่ยว” จะเป็นแม่เหล็กขั้วใหญ่ดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าประเทศไม่ต่ำกว่า 2.1 ล้านล้านบาท
“ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาใน ครม. ชุดใหม่ ประกาศพร้อมแสดงฝีมือผลักดันพลังท่องเที่ยวจุดพลุขาย “การท่องเที่ยวเมืองรอง” ควบคู่กับการ “กระจายรายได้สู่ชุมชนท่องเที่ยวโดยตรง” รวมไปถึงจะต้องรักษา “อัตลักษณ์แห่งวิถีชีวิตไทย” และ “คงความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติไว้” ท่ามกลางคลื่นมนุษย์นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติถาโถมเข้าไปเที่ยวตลอดทั้งปี
จึงนับเป็นความท้าทายในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่การก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 6 (รัฐบาลพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำร่องการท่องเที่ยวไว้ตั้งแต่ปี 2503) นำพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย ก้าวไปสู่ “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญ นั่นคือ สร้างความมั่งคั่ง ยั่งยืน “กระจายความร่ำรวย” ขจัด “ความยากจนทุกหย่อมหญ้า” ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ลดความเหลื่อมล้ำ” ชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมไทยที่ถูกกล่าวถึงมาตลอดเกี่ยวกับรวยกระจุกจนกระจาย
ปี 2561 การท่องเที่ยวถือเป็นส่วน “ทัพหน้า”ของรัฐบาลในการเดินหน้า “คืนความสุข” ของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ดีมีสุขอย่างเท่าเทียมตามสูตร ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน คืนความสุขจริง ๆ ให้ครบทั้ง 3 ขา นั่นคือ เศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อม” ก่อนการนำประเทศไทยเข้าสู่สนามเลือกตั้งที่จะต้องเกิดขึ้นในปีใดปีหนึ่งข้างหน้า
สอดคล้องกับการพยากรณ์ของ “โหรเศรษฐกิจระดับโลก” 2 ค่ายใหญ่ ได้แก่ World Bank เผยแพร่รายงานเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (World Bank East Asia and Pacific Economic Update) ขณะที่ “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” หรือ International Monetary Fund (IMF) จะเผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ได้อัพเดทข้อมูลมาตลอดปีนี้และปี 2561 ถึงอนาคตทางเศรษฐกิจประเทศไทย ยังคงติดอันดับ 1 ใน 5 เสือเศรษฐกิจอาเซียน
ในรายงานจาก IMF ปี 2560 ต่อเนื่องปี 2561 ได้ย้ำถึงตัวชี้วัดสำคัญที่น่าสนใจคือดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account -CA) คือ “ผลรวมสุทธิของดุลการค้า” ในเรื่อง (การส่งออก-นำเข้า) ดุลบริการ รายได้ปฐมภูมิ (ผลตอบแทนการจ้างงานและรายได้จากการลงทุน) และรายได้ทุติยภูมิ (เงินโอน) ถ้าเงินจากต่างประเทศเข้าประเทศ มากกว่าเงินไหลออก เช่น ถ้าส่งออกได้มากกว่านำเข้า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศมาก จะเรียกว่าเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (Surplus) ถ้าเงินเข้าน้อยกว่าเงินออก จะเรียกว่าดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล (Deficit) โดยดุลบัญชีเดินสะพัดจะเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ
IMF ยังระบุถึงไทยซึ่งเป็น1 5 ประเทศอาเซียนที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจเกินดุลบัญชีเดินสะพัดค่อนข้างมากและมีแนวโน้มเกินดุลต่อเนื่อง 2560 อัตราร้อยละ 7.7 ของ GDP เช่นเดียวกับปี 2561
สำหรับความเคลื่อนไหวมีสัญญาณดี ๆ เป็นปัจจัยบวกสำหรับการท่องเที่ยวปีทอง 2561 จากตลาดต่างประเทศทางด้าน “ผู้บริโภค” หรือ Demand Size” โดยเฉพาะ “นักท่องเที่ยวจีน” เป็นดาวรุ่งแรงต่อเนื่องพร้อมจะทะลักเข้ามาท่องเที่ยวตลอดทั้งปีหน้าตามคาดการณ์กว่า 12 ล้านคน ผนวกกับตลาดอาเซียน 9 ประเทศ ยังคงเป็นกำลังซื้อรายใหญ่กลุ่มมาแรง รวมทั้งต้องยกกลุ่ม CLMV ได้แก่ สปป.ลาว เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา ที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 2 หลัก เป็นกลุ่มคุณภาพนิยมใช้จ่ายเงินดูแลสุขภาพ ช้อปปิ้ง และรับประทานอาหารหรูหราบนเรือสำราญ พักโรงแรมเกรดเอ
ส่วนตลาดเอเชีย ซึ่งนำรายได้เข้าไทยสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60 % ของแต่ละปี ปี 2561 ดาวเด่นที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นแชมป์เที่ยวเมืองไทยประเทศละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ยังคงเหนียวแน่นทั้ง เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ทางตลาดระยะไกลข้ามทวีป “อเมริกา” มาเที่ยวเมืองไทยครบ 1 ล้านคนไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2560 แนวโน้มปีหน้ายังคงสดใส เช่นเดียวกับแคนาดา ททท.ได้เข้าไปเปิดสำนักงาน ททท.โตรอนโต แล้วอยู่ระหว่างเร่งหาตลาดเข้ามาเติมเต็มปีต่อไป “สหภาพยุโรป” ทางฝั่งยุโรปใหม่ด้านตะวันออก จากสาธารณรัฐเช็ค โปแลนด์ มาแรงมาก ส่วนรัสเซียเป็นแฟนพันธุ์แท้เข้ามาเที่ยวทะลุปีละล้านคนกำลังก้าวทุบสถิติใหม่จะไปให้ถึงปีละ 1.5 ล้านคน
ขณะที่ “โลจิสติกส์” การคมนาคมขนส่ง “ไทย-จีน” การแข่งขันร้อนแรงสุด ๆ เนื่องจาก “สายการบิน” ทั้ง การบินไทย ไทยสไมล์ ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ และสายการบินจากหลากหลายมณฑล แข่งกันแห่เปิดจุดบินรายวัน เพื่อช่วงชิงผู้โดยสารตามเส้นทาง ไป-กลับ ตรงเข้ากรุงเทพฯ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย ส่วนยุโรปและบินข้ามทวีปก็มีสายการบินนานาชาติกลุ่มตะวันออกกลาง 3 ดาวเด่น ได้แก่ “กาตาร์แอร์เวย์ส” ที่ SKY TRAX มอบให้เป็นแชมป์สายการบินบริการดีที่สุดประจำปี 2560 เปิดแนวรุกทุกเส้นทางเชื่อม 3 ทวีป ไทย(เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)-ตะวันออกกลาง-ยุโรป เรื่อยไปจนถึงยักษ์ใหญ่อีก 2 สายการบิน ได้แก่ สายการบินเอมิเรตส์ และเอทิฮัด เจ้าตลาดการขนส่งทางอากาศ
ส่วนสายการบินในประเทศ ก็มีบรรดาสายการบินพรีเมี่ยมแอร์ไลน์ อย่าง บางกอกแอร์เวย์ส เป็นหัวหอกบุกทะลวงการขายเชื่อมโยงด้วยกลยุทธ์ Codeshare จับมือกับสายการบินทั่วโลกกว่า 30 แอร์ไลน์ส ส่งต่อผู้โดยสารจากนานาประเทศที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยใช้บริการบางกอกแอร์เวย์ส และบรรดาสายการบินต้นทุนต่ำอย่าง เวียดเจ็ตแอร์ นิวเจนแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย และอีกหลายสายการบินร่วมกันบริการไปยังเมืองท่องเที่ยวหลักและเมืองรองทั่วไทย
ทางด้าน “ท่าอากาศยานหรือสนามบินในประเทศ” ซึ่งอยู่ในความดูแลของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เป็นประตูต้อนรับระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่มีระบบมาตรฐานครบตามกฎองค์การการบินเรือนระหว่างประเทศ เป็น Custom Airport สมบูรณ์แบบทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เชียงราย พร้อมรับผู้โดยสารผ่านเข้า-ออก ขณะนี้ปีละกว่า 100 ล้านคนขึ้นไป พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการขยายพื้นที่รองรับภายในปี 2565 จะรับได้ปีละเกินกว่า 180 ล้านคน
ส่วน “กรมท่าอากาศยานไทย” กระทรวงคมนาคม องค์กรกำกับดูแลท่าอากาศยานภูมิภาคทั่วประเทศ 29 แห่ง (รวมสนามบินใหม่เบตง) กำลังเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถขยายอาคารพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกบริการในและรอบสนามบินทุกแห่งให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังได้นำร่องบุกเบิกสนามบินท่องเที่ยวตามแนวทาง Tourist Airport ท่าอากาศยาน ระนอง น่าน บุรีรัมย์
พร้อมกับเดินหน้าเสนอของบประมาณจัดทำแผนปรับปรุงพัฒนาการลงทุนท่าอากาศยานภูมิภาคใหม่ 10 ปีหน้าอีก 30,000-40,000 ล้านบาท ยกระดับแผนพัฒนาเป็นศูนย์กลางของแต่ละภาคโดยจัดทำเป็น “คลัสเตอร์-ฮับ การบินภาค” ประกอบด้วย “ภาคอีสาน” มี อุดรธานี อุบลราชธานี โดยเฉพาะ “ขอนแก่น” เป็นจุดตัดของ GMS รถไฟไทย-จีน ถนนมิตรภาพสู่หนองคาย จึงมีศักยภาพการเติบโตสูงมาก ทางจังหวัดจึงทำระบบโครงข่ายการขนส่งรอบรับ แต่โดยรวมขอนแก่นก็มีข้อจำกัดถูกเมืองล้อมสนามบิน ส่วนอุดรธานี รับผู้โดยสารจาก สปป.ลาว และอุบลราชธานีดูแลการกระจายตัวทางอีสานใต้
ประเมินปัจจัยบวกจากการขยายสนามบินของ ทอท.และกรมท่าอากาศยาน ในอีก 5 ปีข้างหน้า ถือเป็น “จุดเปลี่ยนประเทศไทย” สะท้อนถึง “อนาคตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเดินทาง” ของไทยจะยังสดใสต่อไปเรื่อย ๆ
เมื่อหันกลับมาดูสถานการณ์ภายในประเทศทางด้าน “กลุ่มผู้ผลิต-Supply Size” ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ททท.ได้ประกาศจัดทำโครงการ “เมืองต้องห้ามพลาด 12 จังหวัด” ต่อมาได้ขยายเป็น “เมืองต้องห้ามพลาด...พลัส” เพิ่มเป็น 24 จังหวัด กระทั่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2560 มติที่ประชุม ครม. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน อนุมัติให้ใช้เครื่องมือใหม่เรื่อง “มาตรการท่องเที่ยว 55 เมืองรองนำไปใช้ลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้ในปี 2561” เป็นยาสามัญประจำบ้านอีกขนานในการกระตุ้นท่องเที่ยวปีจอ
จึงกลายเป็น “โจทก์ใหม่” ที่น่าจับตามากยิ่งขึ้น หลังจากรัฐบาลไฟเขียวพร้อมทั้งติดอาวุธใหม่ให้การท่องเที่ยวเมืองรองแล้ว องค์กรภาครัฐและเอกชนจะเดินหน้าต่อให้เกิดกระแสการใช้เงินเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
ทันทีที่รัฐบาลมีนโยบายชัดเจน “ยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการ ททท.ก็ระดมพลเปิดเวทีหารือระหว่างภาครัฐกับเอกชนทันที เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2560 พร้อมทั้งกำหนดจะประกาศอย่างเป็นทางการถึงโครงการกิจกรรมท่องเที่ยวของรัฐกับเอกชนที่จะเพิ่มพลังการกระจายเม็ดเงินท่องเที่ยวสู่เมืองรอง และชุมชนต้นแบบการท่องเที่ยว
หัวใจสำคัญคือ “ความพร้อม” ของเมืองท่องเที่ยวรองในแต่ละจังหวัด กับ “ท่องเที่ยวโดยชุมชน” พื้นที่ที่มีความพร้อมตามที่ “องค์การบริหารการพฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์การมหาชน)” หรือ “อพท.” ใช้เวลากว่า 12 ปี ทำต้นแบบไว้ได้แล้ว 14 ชุมชน ประกอบด้วย
“ภาคตะวันออก” 4 ชุมชน คือ จังหวัดตราด 2 ชุมชน คือ แหลมกลัด บ้านน้ำเชี่ยว จังหวัดชลบุรี 2 ชุมชน คือ ชากแง้ว และตะเคียนเตี้ย
“ภาคเหนือ” 7 ชุมชน คือ จังหวัดกำแพงเพชร คือ ชุมชนนครชุม จังหวัดสุโขทัย 2 ชุมชน ชุมชนบ้านคุกพัฒนา และชุมชนเมืองเก่าสุโขทัย จังหวัดน่าน 2 ชุมชน คือ บ่อสวก และในเวียง จังหวัดเชียงใหม่ 2 ชุมชน คือ สันลมจอย และบ้านไร่กองขิง
“ภาคอีสาน” 2 ชุมชน คือ จังหวัดเลย 2 ชุมชน คือ ปลาบ่า และกกสะทอน
“ภาคกลาง” 1 ชุมชน คือ ชุมชนเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
ช่วงปี 2560 ททท.ได้จัดทำโครงการ Village Tourism 4.0 ภายใต้แคมเปญ Village to The World อีก 10 ชุมชน
ภาคเหนือ คือ ชุมชนดอยปู่หมื่น จ.เชียงใหม่ และชุมชนตำบลบ้านแซว จ.เชียงราย
ภาคใต้ ชุมชนแหลมสัก จ.กระบี่ และชุมชนบ้านลำขนุน จ.ตรัง
ภาคตะวันออก ชุมชนรักษ์เขาบายศรี จ.จันทบุรี และชุมชนบ้านแหลมมะขาม จ.ตราด
ภาคกลาง ชุมชนตำบลบ้านแหลม จ.สุพรรณบุรี และชุมชนตำบลหนองโรง จ.กาญจนบุรี
ภาคอีสาน ชุมชนบ้านสนวนนอก จ.บุรีรัมย์ และชุมชนบ้านสนวนนอก อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์
ประเทศไทยเริ่มมีโมเดล “ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ” เริ่มเห็นสัญญาณความพร้อมขั้นพื้นฐานที่จะกระจายความมั่งคั่งลงสู่ท้องถิ่นได้บ้าง
ในขณะที่ “ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย” ชี้ว่าปี 2561 เศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกหลัก ๆ ประกอบด้วย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเด่นชัดขึ้นจะส่งผลดีต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย การลงทุนของภาครัฐขนาดใหญ่โดยเฉพาะเมกะโปรเจ็กต์ และการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายฝั่งตะวันออก (EEC) การเมืองไทยมีเสถียรภาพ อีกทั้งจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยไทยและโลกยังทรงตัวระดับต่ำ ราคาน้ำมันยังคงใกล้เคียงระดับปัจจุบันคือไม่เกิน 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แต่ก็ยังคงมี “ปัจจัยลบ” ต้องช่วยกันระวังรวมอยู่ด้วย เช่น เศรษฐกิจโลกมีปัญหาและชะลอตัวลงอีกครั้ง การเกิดสงครามระหว่างประเทศ การก่อการร้ายขนาดใหญ่ที่สร้างความกลัวต่อคนทั้งโลก ภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจของโลก และราคาพืชผลทางการเกษตรทรุดตัวต่ำลง
ทางศูนย์พยากรณ์ฯ ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ย้ำว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2561 หน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจในไทยได้มองเหมือนๆ กันว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีนี้ โดยแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่เห็นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการขยายตัวเท่ากับปีนี้ หรือสูงกว่าเล็กน้อยประมาณ 3.8%-4.0% เพราะยังเห็นว่าความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังมีอยู่มาก
ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่เห็นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าปีนี้อย่างชัดเจนโดยขยายตัวประมาณ 4.1%-4.5% เพราะเชื่อว่าความเสี่ยงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก
เมื่อบวกลบคูณหารหักกลบลบหนี้แล้วเศรษฐกิจไทยในปี 2561 น่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ คาดจะขยายตัวอยู่ในระดับ 4.2%-4.5% และจะเป็นปีเริ่มต้นของความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง
ทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังได้จัดธุรกิจ 10 อันดับ ประกอบด้วย
ธุรกิจดาวรุ่ง 10 อันดับ ได้แก่
อันดับ 1 ธุรกิจการให้บริการด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร และอุปกรณ์ (ผู้ให้บริการโครงข่าย)
อันดับ 2 ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม
อันดับ 3 ธุรกิจ e-commerce
อันดับ 4 ธุรกิจเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว
อันดับ 5 ได้คะแนนเท่ากัน 2 กลุ่ม คือ ธุรกิจด้านปิโตรเคมีและพลาสติก และธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์
อันดับ 6 ได้คะแนนเท่ากัน 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจ Modern Trade, ธุรกิจบริการทางด้านการเงิน, ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
อันดับ 7 ธุรกิจร้านขายยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์
อันดับ 8 ได้คะแนนเท่ากัน 2 กลุ่ม คือ ธุรกิจด้านการศึกษา และธุรกิจด้านการท่องเที่ยว
อันดับ 9 ได้คะแนนเท่ากัน 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บ้านเช่า ห้องเช่า, ธุรกิจด้านความเชื่อ โหราศาสตร์ เครื่องรางของขลัง
อันดับ 10 ได้คะแนนเท่ากัน 2 กุล่ม คือ ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและรับเหมา, ธุรกิจร้านเสริมสวย
ส่วนธุรกิจดาวร่วง 10 อันดับ ได้แก่
อันดับ 1 ธุรกิจหัตถกรรม อันดับ 2 ธุรกิจด้ารการผลิตเหมืองแร่ อันดับ 3 ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร วารสาร และการเช่าหนังสือ อันดับ 4 ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องเล่น DVD, CD อันดับ 5 ได้คะแนนเท่ากัน 2 กลุ่ม คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายแผ่น DVD, CD และธุรกิจให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน อันดับ 6 ธุรกิจเคเบิลทีวี อันดับ 7 ธุรกิจการผลิตสินค้าเกษตร เช่น ยาง ปาล์ม ข้าว อันดับ 8 ธุรกิจร้านขายโทรศัพท์มือถือมือสอง อันดับ 9 ธุรกิจร้านค้าแบบดั้งเดิม และอันดับ 10 ธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ต
ปี 2561 จึงน่าจับตาว่าจะเป็น “ปีทองของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย” ที่รัฐบาลจะคืนความสุขให้คนไทยด้วยการ “กระจายรายได้สู่เมืองรองและชุมชนท่องเที่ยว” ส่วนจะไปถึงฝั่งฝันได้มากขนาดไหนจะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ธุรกิจเข้าเป้า-CSRสำเร็จเกินร้อย”
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ตลอดปี 2560 ได้ทุ่มเทความร่วมมือกับเครือข่ายผู้ประกอบการนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายเงินช้อปปิ้งในร้านค้าดิวตี้ฟรีของคิง เพาเวอร์ สาขาในเมืองตามจังหวัดท่องเที่ยวหลัก กรุงเทพฯ ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และศรีวารี ภูเก็ต พัทยา และในสนามบินที่ได้รับสัมปทานให้ดำเนินการทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เพื่อทำให้ยอดขายหมุนเวียนเป็นไปตามเป้า โดยภาพรวมของธุรกิจในเครือทั้งหมดทำยอดปีนี้ได้กว่า 90,000 ล้านบาท โดยมีทั้งสินค้าดิวตี้ฟรี และเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ไทยได้เกือบ 20 % ทั้งอาหารแปรรูป ของรับประทานเล่น แฟชั่นผ้า สมุนไพรไทย ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
ส่วนไฮไลต์อีกกิจกรรมที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงในการเข้าร่วมสนับสนุนเงินประมาณร้อยล้านบาทให้โครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของ “ตูน บอดี้สแลม-อทิวราห์ คงมาลัย” การวิ่งจากใต้สู่เหนือสุด เพื่อรณรงค์การบริจาคเงินจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ 11 โรงพยาบาล พร้อมกับได้นำโครงการ “ล้านลูก ล้านพลัง” มอบลูกฟุตบอลให้คุณตูนนำไปแจกในโครงการก้าวคนละก้าว ให้แก่เยาวชนตามโรงเรียนต่าง ๆ ในเส้นทางวิ่งผ่านตลอดโครงการ แจกไปทั้งหมด 41 โรงเรียน จำนวน 10,000 ลูก ส่วนยอดรวมของโครงการล้านลูกล้านพลัง ตลอดปีนี้ คิง เพาเวอร์ แจกลูกฟุตบอลไปยังจำนวน 70 ชุมชน เรียบร้อยแล้ว 1,614 โรงเรียน รวม 41,000 ลูก
สำหรับในค่ำคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ช่วงเวลาตั้งแต่ 20.00 – 22.00 น. คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ชวนสัมผัสประสบการณ์ความสุขที่ไม่สิ้นสุด กับเทศกาลส่งท้ายปี ในงาน “Explore Endless Celebration2018” กับเทศกาลแห่งความสุขไม่สิ้นสุดส่งท้ายปี จุดเช็คอินแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ พร้อมทั้งร่วมมีตแอนด์กรี๊ดกับทีมนักแสดงจากซีรีย์ดัง 2 Moons The Series และสนุกสุดมันไปกับมินิคอนเสิร์ตจาก โพลีแคท และ อะตอม ชนกันต์ และนับถอยหลังเคาท์ดาวน์ส่งท้ายปี 2560 เข้าสู่ปีใหม่ 2561
ข่าวที่ 2 “ททท.ชูโมเดล10ชุมชนเที่ยวยั่งยืนรายได้โตเท่าตัว”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่ากาา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดดเผยว่าในปี 2561 เตรียมกระจายรายได้ตลอดทั้งปีตามเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาท ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวลงสู่ชุมชน โดยจะต่อยอดกิจกกรมที่ประสบความสำเร็จคือ Village Tourism 4.0 ซึ่งจัดทำภายใต้โครงการ Village To The World 4.0 นับสนุนและเพิ่มรายได้ให้กับคนในชุมชนโดยตรง ในปี 2560 ได้สร้างชุมชนต้นแบบท่องเที่ยวเข้มแข็งไว้แล้ว 10 ชุมชน และสามารถทำรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดในทุกภาคของประเทศ ดังนั้น ททท.จะใช้โมลเดลดังกล่าวนำไปพัฒนาชุมชนที่มีความพร้อมต่อไป
ททท.ได้พัฒนา 10 ชุมชนต้นแบบปี 2560 พร้อมจะเป็นโมเดลการท่องเที่ยวชุมชนต่อเนื่องในพื้นที่อื่น ๆ ปี 2561 ภาคละ 2 ชุมชนขึ้นไป ได้แก่
ภาคเหนือ คือ ชุมชนดอยปู่หมื่น จ.เชียงใหม่ โดดเด่นเรื่องชาอัสสัมสำเร็จรูปและอื่น มีแพกเกจท่องเที่ยวขาย แบบเหมา 1 วัน เที่ยวเป็นกลุ่ม 6 – 8 ท่าน คนละเพียง 670 บาท และ2 วัน 1 คืนพร้อมโฮมสเตย์ คนละ 1,020 บาท สร้างรายได้ปีเพิ่มขึ้นปีละ 4.82 % นักท่องเที่ยวเติบโตกว่า 50%
ส่วนชุมชนตำบลบ้านแซว จ.เชียงราย ชูจุดขายคอนเซ็ปต์ Harmonious Mekong มีทั้งอาหารถิ่นแบบขันโตก 5 ชนเผ่า วิถีชีวิต ปั่นจักรยาน ชมสวนเกษตรปลอดสารเคมี พักโฮมสเตย์ริมแม่น้ำโขง มีแพกเกจ 2 วัน 1 คืน ขายคนละ 1,490 บาท มีรายได้เพิ่มขึ้น 48.26% นักท่องเที่ยวต่อปี 45.95%
ภาคใต้ ชุมชนแหลมสัก จ.กระบี่ ชูคอนเซ็ปต์ Variety for all พายเรือคายัค ล่องเรือรอบอุทยานทางทะเลอ่าวลึก ชมกระชังสาหร่ายพวงองุ่น และปลาทะเล ทานข้าวคลุกกะปิจากกุ้งเคยฝีมือชาวบ้าน ชมกรรมวิธีการทำกะปิ ร่วมปลูกกล้วยไม้ มีแพ็คเกจ 1 วัน และ 2 วัน เริ่มต้นเพียงคนละ 2,000 บาท มีรายได้เพิ่มขึ้น 37.90% นักท่องเที่ยวเติบโตปีละ 20 %
ส่วนชุมชนบ้านลำขนุน จ.ตรัง ชูคอนเซ็ปต์ Pure nature with the southern touch เที่ยวผจญภัยพายเรือคายัค 5 ลำคลอง ชมศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น การแกะสลักหนังตะลุง วิถีชีวิตเกษตร พักโฮมสเตย์ มีแพกเกจเริ่มต้นคนละ 1,100 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 40.40% นักท่องเที่ยวเติบโตปีละ 35.20%
ภาคตะวันออก ชุมชนรักษ์เขาบายศรี จ.จันทบุรี ชูคอนเซ็ปต์ Gastro Paradiso สวรรค์ของนักกิน มีแพกเกจทัวร์สวนผลไม้ เดินชม ดูการสาธิตและเก็บผลไม้ด้วยตัวเอง อาทิ สวนระกำ ปั่นจักรยานท่องเที่ยวในชุมชน มีของฝากขึ้นชื่ออย่าง ทุเรียนทอด ทุเรียนกวน น้ำมังคุด พักโฮมสเตย์ มีแพกเกจเริ่มต้นคนละ 890 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 32.53%
ส่วนชุมชนบ้านแหลมมะขาม จ.ตราด ชูคอนเซ็ปต์ Magical Mangroves นั่งรถซาเล้งชมศูนย์เรียนรู้ ภูมิปัญญาจักสาน ชมบ้านหุ่นไม้กระดาน นั่งเรือศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนวิถีประมง สักการะเจ้าแม่ปากคลอง ดูเหยี่ยวแดง จับหอยปากเป็ด ชมโต๊ะวาลี แลแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ร.5 บ้าน อาจารย์สมโภชน์ วาสุกรี มีแพกเกจเริ่มต้นคนละ 1,300 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 29.79% นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นปีละ 25%
ภาคกลาง ชุมชนตำบลบ้านแหลม จ.สุพรรณบุรี ชูคอนเซ็ปต์ Royal Excursion ที่กลุ่มท่องเที่ยวชุมชน ตำบลบ้านแหลม จ.สุพรรณบุรี ล่องเรือรับประทานอาหาร ตามรอยเส้นทางประพาสต้น ร.5 นวดสปาบนเรือ ไหว้พระวัดดังในบางปลาม้า ชมการสาธิตวิธีการทำขนมไทยโบราณ ชมสาธิตการทำน้ำพริกเผาโบราณ จักสานจากผักตบชวา จัดเป็นกรุ๊ป 20 คนขึ้นไป จะได้ในราคาพิเศษคนละ 650 บาทต่อคน สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 32.55% นักท่องเที่ยวเติบโตเพิ่มปีละ 20%
ส่วนชุมชนตำบลหนองโรง จ.กาญจนบุรี ชูคอนเซ็ปต์ Living Forest นั่งรถชมป่า เรียนรู้ฐานในป่าชุมชน จำนวน 35 ฐาน ชมกิจกรรมสาธิตแปรรูปผลิภัณฑ์จากต้นตาล ชมสวนผสมตามแนวพระราชดำริ ชมการสาธิตทอผ้าข้าวม้า และทำแหวนจากต้นเถาวัลย์ทอง แพกเกจเริ่มต้นทคนละ 600 บาท สร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น 97.77% นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นปีละ 27.77%
ภาคอีสาน ชุมชนบ้านสนวนนอก จ.บุรีรัมย์ ชูคอนเซ็ปต์ Weaving Town ชมศูนย์การเรียนรู้การย้อมผ้าไหม ด้วยสีธรรมชาติ ตลาดผ้าไหมใต้ถุนเรือน ของช่างทอในชุมชน ชมโรงงานผ้าไหมชุมชน “อุตมะไหมไทย” ผ้าไหมแห่งละคร นาคี ล่องเรือชมลำน้ำชี ชมวิถีคนเลี้ยงวัว ชมพระอาทิตย์ตกที่เขาสวาย มีแพกเกจเริ่มต้นคนละ 1,400 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 38.28 % นักท่องเที่ยวเติบโตปีละ 300 %
ส่วนชุมชนบ้านสนวนนอก อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ชูคอนเซ็ปต์ Thai Silk Full Circle ร่วมกิจกรรมฐานการเรียนรู้กระบวนการผลิตผ้าไหม ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม ทอผ้าไหม เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ การจักสาน และนกกะลามะพร้าว ชมการแสดงพื้นบ้าน บายศรีสู่ขวัญ รำตรด กันตรึม นั่งรถกระสวย ชมท้องนาและหมู่บ้าน ทำอาหารพื้นเมือง เข่น แกงกล้วย ขนมตดหมา มีแพกเกจ1 วัน เริ่มต้นคนละ 980 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 30.95%
ข่าวที่ 3 “บางจากผนึกเคแบงก์ใช้QRโค้ดช้อปในSPAR”
นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด เปิดเผยว่า ร่วมกับผู้บริหาร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผนึกความร่วมมือกับ นายอมร สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เชิญชวนลูกค้าใช้บริการชำระเงินด้วย QR Code เพื่อสนับสนุนนโยบายNational e-Payment ของรัฐบาล และตอบสนองวิถีชีวิตคนไทยยุคใหม่ ให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ซึ่งใช้ได้จริงแล้ววันนี้ ที่ SPAR ซูเปอร์มาร์เก็ต, อินทนิล การ์เด้น และอินทนิล คอฟฟี่ ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก 15 สาขา และจะเพิ่มเป็นกว่า 70 สาขา ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 เป็นต้นไป
ช่วงที่ 2 ค่ำคืนนี้ออกไปเคาน์ดาวน์กันได้ทั่วภาคกลางตามจังหวัดรอบกรุงมีให้เลือกถึง 7 ไฮไลต์ ในอยุธยา สระบุรี ลพบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และห้ามพลาด @ราชประสงค์ กรุงเทพฯ ส่วนการดูแลสุขภาพตลอดปีใหม่ต้องป้องกันเรื่องอาหารเป็นพิษ และข่าวส่งท้ายปีโรงแรมทั่วไทยเปิดห้องอาหารเสิร์ฟเมนูอร่อย ๆ เพียบ ส่วนหลายแห่งเปิดฟรีเป็นของขวัญปีใหม่ อย่างบางกอกแอร์ถือโอกาสดีเปิดเลาจน์ใหม่ในสุวรรณภูมิบริการฟรี มิวเซียมสยามเปิดให้เข้าชมฟรี และการบินไทยเสิร์ฟเมนูขนมไทยรับปีใหม่
@ภาคกลางชวนเคาน์ดาวน์รอบกรุง 7 ไฮไลต์แห่งปี
ชาวพระนครศรีอยุธยา ทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ เช้าของวันที่ 1 มกราคม 2561 ชวนนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปได้เที่ยวเส้นทางบุญด้วยการใส่บาตรทำบุญวันขึ้นปีใหม่ด้านหน้าวิหารพระมงคลบพิตรและวัดพนัญเชิงวรวิหาร
จังหวัดสระบุรี งานสืบสานประเพณีตักบาตรข้าวหลามจี่ เดือนยี่ ตลอด 3 วัน 30 ธันวาคม – 1 มกราคม 2560 ที่วัดหนองโน อำเภอเมือง ร่วมสัมผัสบรรยากาศงานวัดย้อนยุค เครื่องเล่นต่างๆ และรำวงย้อนยุคจากวงดนตรี ชมการแสดง แสง เสียง ความเป็นตำนานชาวไทยวนสระบุรี การแห่และประกวดเกวียนโบราณและการตกแต่งต้นสลากภัตตามประเพณีชาวไทยวน ประกวดข้ามหลามอร่อย สามารถเลือกซื้อข้าวหลาม สินค้า OTOP ราคาถูกจาก 13 อำเภอ
จังหวัดสมุทรสงคราม งาน COUNTDOWN "อัมพวารื่นเริงเถลิงศกใหม่ 2561" 31 ธันวาคม 2560 - 1 มกราคม 2561 บริเวณริมเขื่อนหน้าที่ว่าการอำเภออัมพวา ภายในงานนักท่องเที่ยวจะได้ฟังเพลง รำวง ลีลาศ และนับถอยหลังร้องเพลงสวัสดีปีใหม่ กับวงสุนทราภรณ์ และร่วมทำบุญตักบาตรในวันรุ่งขึ้น เนื่องในวารดิถีขึ้นปีใหม่
จังหวัดสมุทรสาคร จัดยิ่งใหญ่สวดมนต์ข้ามปีค่ำคืนที่ 31 ธันวาคม 2560 ร่วมสวดมนต์ข้ามปีสวดนพเคราะห์ เริ่มเวลา 20.00-24.00 น. เจริญจิตภาวนาและเจริญพระพุทธมนต์ ณ วัดเจษฎาราม อำเภอเมือง
กรุงเทพมหานคร สัมผัสความงดงามแห่งแสงไฟระยับใน งาน Amazing Thailand Lighting Festival 2017 @Ratchaprasong การประดับไฟฟ้า เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ จัดมาตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2560 เรื่อยไปจนถึง 5 มกราคม 2561 บริเวณ Skywalk Façade, Skywalk, Under Skywalk และ Boulevard ถนนพระราม 1
ไฮไลต์อีกเทศกาลต้องแวะไปเติมเต็มความสุขในงาน AIS Bangkok Countdown 2018 @ CentralWorld ค่ำคืนที่ 31 ธันวาคม 2560 บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และบริเวณถนนราชดำริ การแสดงดนตรี BANG CONCERT การแสดง Super Sonic กิจกรรมช็อปปิ้ง ถูกสุด ๆ ข้ามปีจนถึงตีสอง ในวันเดียว กิจกรรม Galaxy Parade : Grow up drum parade to stageกิจกรรม Special Show Anti gravity Carnival Show กิจกรรม Warp Wristband Green Light และการแจกของรางวัล ร่วมนับถอยหลังสู่ปีใหม่นำสิ่งที่ดี ๆ สู่ชีวิต
@ช่วงเทศกาลเตรียมป้องกันอาหารเป็นพิษ
การป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ ขอแนะนำให้ใช้กฏหลัก 10 ประการ การเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ได้แก่
1.อาหารที่สะอาด ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี 2.ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน 3.ควรกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ 4.ระมัดระวังอาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน หากมีความจำเป็นต้องเก็บอาหารที่ปรุงสุกไว้นานกว่า 4 ชั่วโมง ควรเก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนอาหารสำหรับทารกไม่ควรเก็บไว้ข้ามมื้อ 5.อาหารที่ค้างมื้อต้องอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน
6.แยกอาหารดิบและอาหารสุกให้ระมัดระวังการปนเปื้อน 7.ล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนปรุงอาหาร ก่อนรับประทานอาหารโดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำ 8.ให้พิถีพิถันเรื่องความสะอาดของห้องครัว 9.เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ 10.ใช้น้ำสะอาดในการปรุงอาหารและควรระวังเป็นพิเศษในการใช้น้ำเพื่อเตรียมอาหารเด็กทารก
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “โรงแรมทั่วไทยงัดเมนูเด็ดเสิร์ฟความสุขส่งท้ายปี”
ตลอดค่ำคืนส่งท้ายวันที่ 31 ธันวาคม 2560 โรงแรมต่าง ๆ มีเมนูมานำเสนอตามความชอบดังนี้
ดินเนอร์หรูที่นัมเบอร์ 43 เคปเฮ้าส์ กรุงเทพฯ
เคปเฮ้าส์ กรุงเทพฯ เปิดห้องห้องอาหารนัมเบอร์ 43 ต้อนรับตั้งแต่ 18.00-24.00 น. ให้อิ่มหนำกับเซตมื้อค่ำสุดพิเศษ ในราคาเพียงท่านละ 1,900++บาท ด้วยหลากหลายเมนูแสนอร่อยสไตล์อิตาเลียน เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยอย่างหอยเชลล์เสียบไม้ย่างเสิร์ฟกับผักซูกินี ต่อด้วยเมนูข้าวริซอตโต้กับผักอาร์ติโช๊คในครีมมันฝรั่งและเบคอนกรอบ เมนูพิเศษจานหลักที่ทางห้องอาหารภูมิใจนำเสนอคือ ปลาแซลมอนจากทะเลแอตแลนติกเหนือในซอสส้ม หรือ เนื้อลูกวัวอบยัดไส้เห็ดพอร์ชินี่และผักโขม ราดซอสขิงและแซฟฟรอน
ปิดท้ายด้วยของหวาน คือ มูสชีสริคอตต้าและชีสมาสคาโปน เสิร์ฟพร้อมผลบลูเบอร์รี่และราสพ์เบอร์รี่ ซึ่งปรุงอย่างพิถีพิถันโดยเชฟมืออาชีพ จากวัตถุดิบที่บรรจงคัดสรรมาอย่างดี
โทร. 02-658-7444 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.capecollection.com
สุขใจรับปีใหม่ที่โรงแรมเคป นิทรา หัวหิน
โรงแรมเคป นิทรา หัวหิน ขอเชิญทุกท่านมาสุขใจรับปีใหม่ตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป พบกับอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ อาหารทะเลคัดสรรมาอย่างดี สลัดบาร์ บาร์บีคิว ของหวานแสนอร่อย พร้อมดนตรีบรรเลงสดตลอดงาน การแสดงโชว์สุดประทับใจ ลุ้นรางวัล Lucky Draw ในราคาสุทธิเพียงคนละ 3,900 บาท (รวมสปาร์กลิ้งไวน์) เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีลดครึ่งราคา โทร. 032-516-600 ต่อ 444 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.capecollection.com
ต้อนรับปีใหมริมทะเลสุดหรูที่เคปพันวา ภูเก็ต
โรงแรมเคปพันวา ภูเก็ต เนรมิตบรรยากาศริมทะเลสุดหรูต้อนรับตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป ด้วยค็อกเทล ต่อด้วยเต็มอิ่มไปกับบุฟเฟ่ต์นานาชาติมื้อค่ำสุดพิเศษ ในราคาสุทธิเพียงคนละ 6,200 บาท ชมการแสดงระบำโพลีนีเชียน ควงกระบองไฟ โชว์ฮูล่าฮูปประกอบไฟ LED ดนตรีบรรเลงสดตลาดงาน พลาดไม่ได้กับการร่วมลุ้นรางวัล Lucky Draw และเคาท์ดาวน์ไปพร้อมๆกับการจุดพลุฉลองต้อนรับปีใหม่ ปิดท้ายด้วยแดนซ์สุดมันส์กับดีเจมืออาชีพ โทร. 076-391-123 ต่อ 196 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.capecollection.com
ข่าวที่สอง “บางกอกแอร์เปิดเลาจน์ใหม่สุวรรณภูมิให้ใช้ฟรี”
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เจ้าของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส รายงาน พร้อมต้อนรับปีใหม่ผู้โดยสารด้วยการ เปิดให้บริการห้องรับรองผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศแห่งใหม่ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อยู่บริเวณชั้น 3 Concourse D ตรงข้ามกับประตูขึ้นเครื่องหมายเลข D7 ผู้โดยสารบางกอกแอร์เวย์สสามารถเข้าใช้บริการฟรีได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ห้องรับรองผู้โดยสารแห่งใหม่นี้ตกแต่งสวยงามและมีเอกลักษณ์สะท้อนความเป็น “บูทีค” ด้วยพื้นที่บริการขนาด 450 ตารางเมตร แบ่งเป็น บูทีคเลาจน์ รองรับผู้โดยสารได้ 120 คน และ บลูริบบ้อนคลับเลาจน์ รองรับได้ 50 คน
ห้องรับรองผู้โดยสารระหว่างประเทศแห่งใหม่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 04.30น.–22.00น. ซึ่งผู้โดยสารสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.bangkokair.com หรือที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า โทร.1771 ตลอด 24ชั่วโมง
ข่าวที่สาม “บินไทยปักหลักเสิร์ฟของหวานไทยรับตะวันใหม่”
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดรายการขนมหวานจานพิเศษเพื่อมอบเป็นของขวัญในช่วงเวลาแห่งความสุข นำมาให้บริการผู้โดยสารบนเครื่องบินทุกชั้นบริการของการบินไทย ในวันที่ 1 มกราคม 2561
- เส้นทางภายในประเทศ ทุกเที่ยวบินขาออกจากกรุงเทพฯ และทุกเที่ยวบินขาเข้าจากต่างจังหวัดมายังกรุงเทพฯ (ยกเว้น TG207 เส้นทางกรุงเทพฯ-ภูเก็ต, TG208 และ TG226 เส้นทางภูเก็ต- กรุงเทพฯ, TG613 เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ) โดยมีขนมมงคลของไทยบรรจุในถุงของขวัญ ได้แก่ ขนมกลีบลำดวน และขนมสัมปันนี มอบให้กับผู้โดยสารชั้นธุรกิจ และชั้นประหยัด
- เส้นทางระหว่างประเทศ มื้อกลางวัน หรือ มื้อเย็น ทุกเที่ยวบินขาออกจากกรุงเทพฯ (ยกเว้นเที่ยวบินไปยังตะวันออกกลาง และ เอเชียใต้บางเส้นทาง) ที่นั่งชั้นหนึ่งมี เค้กผลไม้ เสิร์ฟพร้อม ไอศกรีมฮันนี่ซินนามอน และฮันนีวิปปิ้งครีม ชั้นธุรกิจมีคัพเค้กผลไม้ เสิร์ฟพร้อม ฮันนีวิปปิ้งครีม และชั้นประหยัดเสิร์ฟเค้กผลไม้
ข่าวที่สี่ “มิวเซียมสยามเปิดฟรีให้ชม31ธค./2ม.ค.61”
มิวเซียมสยาม รายงานว่าช่วงวันหยุดปีใหม่เปิดตามปกติ และจะเปิดให้ชมฟรี วันที่ 31 ธันวาคม 2560 และ 2 มกราคม 2561 ตั้งแต่ 10.00 – 18.00 น. ในโซนที่เปิดให้บริการ อาทิ ส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวรชุดล่าสุด “ถอดรหัสไทย” ร้านขายของที่ระลึก Muse Shop ร้านอาหาร Muse Kitchen by Elefin Coffee และมุมเครื่องดื่ม Muse Café by D’Oro ทั้งนี้ทางพิพิธภัณฑ์ปกติเปิดทุกวันอังคาร – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) โทร. 02-225-2777 หรือ ติดตามปฏิทินกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ www.facebook.com/museumsiamfan
ทางรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ขออวยพรให้ผู้ฟังทุกท่านประสบความสุข ความสำเร็จ ตลอดปี 2561
กระจายความรวยสู่เมืองรองลดเหลื่อมล้ำรากหญ้า
คิงเพาเวอร์ดึงรายได้เข้าไทย-CSRสำเร็จเกินร้อย
ททท.ปั้นโมเดล10ชุมชนต้นแบบยั่งยืนโตเท่าตัว
บางจากผนึกเคแบงก์ใช้QRโค้ดช้อปร้านSPAR
ค่ำนี้ตลุยเคาน์ดาวน์ภาคกลางรอบกรุง 7ไฮไลต์
โรงแรมทั่วไทยงัดเมนูเด็ดเสิร์ฟส่งท้ายปีระกา
บางกอกแอร์ให้ใช้ฟรีเลาจน์ใหม่ในสุวรรณภูมิ
บินไทยเสิร์ฟขนมไทยทุกเที่ยวบินปีใหม่1มค.
สวัสดีวันอาทิตย์ที่ 31 ธันวาคม 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน คอลัมนิสต์ท่องเที่ยว-การบิน ผู้ดำเนินรายการ ข่าวเสาร์-อาทิตย์ |
ช่วงที่ 1 “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ผู้ดำเนินรายการ จะวิเคราะห์ให้ฟังถึงภาพรวมอุตสาหกรรม “ท่องเที่ยวทศวรรษที่ 6 ปีจอ 2561 รัฐบาลเร่งกระจายความรวยสู่เมืองรองและชุมชน” ขานรับกระแสโหรเศรษฐกิจระดับโลกอย่าง เวิลด์แบงก์-ไอเอ็มเอฟ และสถาบันชั้นนำในไทย พยากรณ์ไปในทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ยุคขาขึ้น แนะรัฐบาลรุกหนักในการผลักดันท่องเที่ยวเป็นทัพหน้าโกยรายได้ให้มากกว่าปีละ 3 ล้านล้านบาท เคียงข้างแผนขยายการลงทุนสร้างสนามบิน เขตเศรษฐกิจ แอร์ไลน์สจีนและทั่วโลกทะลักเข้าไทย
ตลอดปีระกา 2560 ต่อเนื่องถึงปีจอ 2561 “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” ยังคงครองตำแหน่ง “ปีทอง” เป็นภาคบริการที่สามารถนำเข้ารายได้ประเทศทะลุเป้าหมาย 2.77-3.0 ล้านล้านบาท
ความสำเร็จที่ปรากฏเป็นรูปธรรมจากองค์กรผู้นำความเป็นเลิศทางการตลาดอย่าง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) เล่นบทเดินหน้าประสานสิบทิศกับเอกชนและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในประเทศและทั่วโลก พร้อมทั้งร่วมมือกับสายการบินระดับแถวหน้าของประเทศและนานาชาตินำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายเงินในไทยตลอดปีระกาที่มีโอกาสต้อนรับนักท่องเที่ยวคนที่ 35 ล้าน สูงกว่าเป้าหมายปกติตั้งไว้เพียง 33 ล้านคนเท่านั้น ส่วนรายได้ก็ทะลุเกินเป้าหมาย 2.77 ล้านล้านบาท คนไทยเที่ยวในประเทศแตะ 148 ล้านคนครั้ง ทำรายได้เกิน 9 แสนล้านคน
ส่งผลไปถึงปีจอ 2561 คนไทยทั้งประเทศอาจจะได้ฟังข่าวดีจาก “รายได้” การนำเข้าภาคบริการเพิ่มสูงขึ้น จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.1 ล้านล้านบาท และคนไทย 1 ล้านล้านบาท อาจจะเกินเป้าหมาย 3.1 ล้านล้านบาท
หลังจากเมื่อเดือนธันวาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ปรับคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งชุดใหม่เป็นชุดที่ 5 เข้ามาขับเคลื่อนนโยบายในจังหวะที่โหรเศรษฐกิจทั้งไทยและเทศพยากรณ์ไปในทิศทางเดียวกันว่า ในปี 2561 ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วง “เศรษฐกิจขาขึ้น” โดยเฉพาะอุตสาหกรรม “ท่องเที่ยว” จะเป็นแม่เหล็กขั้วใหญ่ดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้าประเทศไม่ต่ำกว่า 2.1 ล้านล้านบาท
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ใน ครม.5 |
“ดร.วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาใน ครม. ชุดใหม่ ประกาศพร้อมแสดงฝีมือผลักดันพลังท่องเที่ยวจุดพลุขาย “การท่องเที่ยวเมืองรอง” ควบคู่กับการ “กระจายรายได้สู่ชุมชนท่องเที่ยวโดยตรง” รวมไปถึงจะต้องรักษา “อัตลักษณ์แห่งวิถีชีวิตไทย” และ “คงความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติไว้” ท่ามกลางคลื่นมนุษย์นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติถาโถมเข้าไปเที่ยวตลอดทั้งปี
จึงนับเป็นความท้าทายในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่การก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 6 (รัฐบาลพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำร่องการท่องเที่ยวไว้ตั้งแต่ปี 2503) นำพาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทย ก้าวไปสู่ “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญ นั่นคือ สร้างความมั่งคั่ง ยั่งยืน “กระจายความร่ำรวย” ขจัด “ความยากจนทุกหย่อมหญ้า” ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “ลดความเหลื่อมล้ำ” ชีวิตความเป็นอยู่ของสังคมไทยที่ถูกกล่าวถึงมาตลอดเกี่ยวกับรวยกระจุกจนกระจาย
ปี 2561 การท่องเที่ยวถือเป็นส่วน “ทัพหน้า”ของรัฐบาลในการเดินหน้า “คืนความสุข” ของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจไทยอยู่ดีมีสุขอย่างเท่าเทียมตามสูตร ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน คืนความสุขจริง ๆ ให้ครบทั้ง 3 ขา นั่นคือ เศรษฐกิจ-สังคม-สิ่งแวดล้อม” ก่อนการนำประเทศไทยเข้าสู่สนามเลือกตั้งที่จะต้องเกิดขึ้นในปีใดปีหนึ่งข้างหน้า
สอดคล้องกับการพยากรณ์ของ “โหรเศรษฐกิจระดับโลก” 2 ค่ายใหญ่ ได้แก่ World Bank เผยแพร่รายงานเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (World Bank East Asia and Pacific Economic Update) ขณะที่ “กองทุนการเงินระหว่างประเทศ” หรือ International Monetary Fund (IMF) จะเผยแพร่รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ได้อัพเดทข้อมูลมาตลอดปีนี้และปี 2561 ถึงอนาคตทางเศรษฐกิจประเทศไทย ยังคงติดอันดับ 1 ใน 5 เสือเศรษฐกิจอาเซียน
ในรายงานจาก IMF ปี 2560 ต่อเนื่องปี 2561 ได้ย้ำถึงตัวชี้วัดสำคัญที่น่าสนใจคือดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account -CA) คือ “ผลรวมสุทธิของดุลการค้า” ในเรื่อง (การส่งออก-นำเข้า) ดุลบริการ รายได้ปฐมภูมิ (ผลตอบแทนการจ้างงานและรายได้จากการลงทุน) และรายได้ทุติยภูมิ (เงินโอน) ถ้าเงินจากต่างประเทศเข้าประเทศ มากกว่าเงินไหลออก เช่น ถ้าส่งออกได้มากกว่านำเข้า มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศมาก จะเรียกว่าเกินดุลบัญชีเดินสะพัด (Surplus) ถ้าเงินเข้าน้อยกว่าเงินออก จะเรียกว่าดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล (Deficit) โดยดุลบัญชีเดินสะพัดจะเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ
IMF ยังระบุถึงไทยซึ่งเป็น1 5 ประเทศอาเซียนที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจเกินดุลบัญชีเดินสะพัดค่อนข้างมากและมีแนวโน้มเกินดุลต่อเนื่อง 2560 อัตราร้อยละ 7.7 ของ GDP เช่นเดียวกับปี 2561
สำหรับความเคลื่อนไหวมีสัญญาณดี ๆ เป็นปัจจัยบวกสำหรับการท่องเที่ยวปีทอง 2561 จากตลาดต่างประเทศทางด้าน “ผู้บริโภค” หรือ Demand Size” โดยเฉพาะ “นักท่องเที่ยวจีน” เป็นดาวรุ่งแรงต่อเนื่องพร้อมจะทะลักเข้ามาท่องเที่ยวตลอดทั้งปีหน้าตามคาดการณ์กว่า 12 ล้านคน ผนวกกับตลาดอาเซียน 9 ประเทศ ยังคงเป็นกำลังซื้อรายใหญ่กลุ่มมาแรง รวมทั้งต้องยกกลุ่ม CLMV ได้แก่ สปป.ลาว เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา ที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 2 หลัก เป็นกลุ่มคุณภาพนิยมใช้จ่ายเงินดูแลสุขภาพ ช้อปปิ้ง และรับประทานอาหารหรูหราบนเรือสำราญ พักโรงแรมเกรดเอ
ส่วนตลาดเอเชีย ซึ่งนำรายได้เข้าไทยสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 60 % ของแต่ละปี ปี 2561 ดาวเด่นที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นแชมป์เที่ยวเมืองไทยประเทศละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ยังคงเหนียวแน่นทั้ง เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ทางตลาดระยะไกลข้ามทวีป “อเมริกา” มาเที่ยวเมืองไทยครบ 1 ล้านคนไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2560 แนวโน้มปีหน้ายังคงสดใส เช่นเดียวกับแคนาดา ททท.ได้เข้าไปเปิดสำนักงาน ททท.โตรอนโต แล้วอยู่ระหว่างเร่งหาตลาดเข้ามาเติมเต็มปีต่อไป “สหภาพยุโรป” ทางฝั่งยุโรปใหม่ด้านตะวันออก จากสาธารณรัฐเช็ค โปแลนด์ มาแรงมาก ส่วนรัสเซียเป็นแฟนพันธุ์แท้เข้ามาเที่ยวทะลุปีละล้านคนกำลังก้าวทุบสถิติใหม่จะไปให้ถึงปีละ 1.5 ล้านคน
ขณะที่ “โลจิสติกส์” การคมนาคมขนส่ง “ไทย-จีน” การแข่งขันร้อนแรงสุด ๆ เนื่องจาก “สายการบิน” ทั้ง การบินไทย ไทยสไมล์ ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ และสายการบินจากหลากหลายมณฑล แข่งกันแห่เปิดจุดบินรายวัน เพื่อช่วงชิงผู้โดยสารตามเส้นทาง ไป-กลับ ตรงเข้ากรุงเทพฯ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง อู่ตะเภา ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย ส่วนยุโรปและบินข้ามทวีปก็มีสายการบินนานาชาติกลุ่มตะวันออกกลาง 3 ดาวเด่น ได้แก่ “กาตาร์แอร์เวย์ส” ที่ SKY TRAX มอบให้เป็นแชมป์สายการบินบริการดีที่สุดประจำปี 2560 เปิดแนวรุกทุกเส้นทางเชื่อม 3 ทวีป ไทย(เอเชียตะวันออกเฉียงใต้)-ตะวันออกกลาง-ยุโรป เรื่อยไปจนถึงยักษ์ใหญ่อีก 2 สายการบิน ได้แก่ สายการบินเอมิเรตส์ และเอทิฮัด เจ้าตลาดการขนส่งทางอากาศ
ส่วนสายการบินในประเทศ ก็มีบรรดาสายการบินพรีเมี่ยมแอร์ไลน์ อย่าง บางกอกแอร์เวย์ส เป็นหัวหอกบุกทะลวงการขายเชื่อมโยงด้วยกลยุทธ์ Codeshare จับมือกับสายการบินทั่วโลกกว่า 30 แอร์ไลน์ส ส่งต่อผู้โดยสารจากนานาประเทศที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยใช้บริการบางกอกแอร์เวย์ส และบรรดาสายการบินต้นทุนต่ำอย่าง เวียดเจ็ตแอร์ นิวเจนแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย และอีกหลายสายการบินร่วมกันบริการไปยังเมืองท่องเที่ยวหลักและเมืองรองทั่วไทย
ทางด้าน “ท่าอากาศยานหรือสนามบินในประเทศ” ซึ่งอยู่ในความดูแลของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เป็นประตูต้อนรับระดับอินเตอร์เนชั่นแนลที่มีระบบมาตรฐานครบตามกฎองค์การการบินเรือนระหว่างประเทศ เป็น Custom Airport สมบูรณ์แบบทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เชียงราย พร้อมรับผู้โดยสารผ่านเข้า-ออก ขณะนี้ปีละกว่า 100 ล้านคนขึ้นไป พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการขยายพื้นที่รองรับภายในปี 2565 จะรับได้ปีละเกินกว่า 180 ล้านคน
ส่วน “กรมท่าอากาศยานไทย” กระทรวงคมนาคม องค์กรกำกับดูแลท่าอากาศยานภูมิภาคทั่วประเทศ 29 แห่ง (รวมสนามบินใหม่เบตง) กำลังเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถขยายอาคารพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกบริการในและรอบสนามบินทุกแห่งให้มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งยังได้นำร่องบุกเบิกสนามบินท่องเที่ยวตามแนวทาง Tourist Airport ท่าอากาศยาน ระนอง น่าน บุรีรัมย์
พร้อมกับเดินหน้าเสนอของบประมาณจัดทำแผนปรับปรุงพัฒนาการลงทุนท่าอากาศยานภูมิภาคใหม่ 10 ปีหน้าอีก 30,000-40,000 ล้านบาท ยกระดับแผนพัฒนาเป็นศูนย์กลางของแต่ละภาคโดยจัดทำเป็น “คลัสเตอร์-ฮับ การบินภาค” ประกอบด้วย “ภาคอีสาน” มี อุดรธานี อุบลราชธานี โดยเฉพาะ “ขอนแก่น” เป็นจุดตัดของ GMS รถไฟไทย-จีน ถนนมิตรภาพสู่หนองคาย จึงมีศักยภาพการเติบโตสูงมาก ทางจังหวัดจึงทำระบบโครงข่ายการขนส่งรอบรับ แต่โดยรวมขอนแก่นก็มีข้อจำกัดถูกเมืองล้อมสนามบิน ส่วนอุดรธานี รับผู้โดยสารจาก สปป.ลาว และอุบลราชธานีดูแลการกระจายตัวทางอีสานใต้
ประเมินปัจจัยบวกจากการขยายสนามบินของ ทอท.และกรมท่าอากาศยาน ในอีก 5 ปีข้างหน้า ถือเป็น “จุดเปลี่ยนประเทศไทย” สะท้อนถึง “อนาคตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการเดินทาง” ของไทยจะยังสดใสต่อไปเรื่อย ๆ
เมื่อหันกลับมาดูสถานการณ์ภายในประเทศทางด้าน “กลุ่มผู้ผลิต-Supply Size” ตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ททท.ได้ประกาศจัดทำโครงการ “เมืองต้องห้ามพลาด 12 จังหวัด” ต่อมาได้ขยายเป็น “เมืองต้องห้ามพลาด...พลัส” เพิ่มเป็น 24 จังหวัด กระทั่งในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2560 มติที่ประชุม ครม. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน อนุมัติให้ใช้เครื่องมือใหม่เรื่อง “มาตรการท่องเที่ยว 55 เมืองรองนำไปใช้ลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้ในปี 2561” เป็นยาสามัญประจำบ้านอีกขนานในการกระตุ้นท่องเที่ยวปีจอ
จึงกลายเป็น “โจทก์ใหม่” ที่น่าจับตามากยิ่งขึ้น หลังจากรัฐบาลไฟเขียวพร้อมทั้งติดอาวุธใหม่ให้การท่องเที่ยวเมืองรองแล้ว องค์กรภาครัฐและเอกชนจะเดินหน้าต่อให้เกิดกระแสการใช้เงินเพิ่มขึ้นได้อย่างไร
ทันทีที่รัฐบาลมีนโยบายชัดเจน “ยุทธศักดิ์ สุภสร” ผู้ว่าการ ททท.ก็ระดมพลเปิดเวทีหารือระหว่างภาครัฐกับเอกชนทันที เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2560 พร้อมทั้งกำหนดจะประกาศอย่างเป็นทางการถึงโครงการกิจกรรมท่องเที่ยวของรัฐกับเอกชนที่จะเพิ่มพลังการกระจายเม็ดเงินท่องเที่ยวสู่เมืองรอง และชุมชนต้นแบบการท่องเที่ยว
หัวใจสำคัญคือ “ความพร้อม” ของเมืองท่องเที่ยวรองในแต่ละจังหวัด กับ “ท่องเที่ยวโดยชุมชน” พื้นที่ที่มีความพร้อมตามที่ “องค์การบริหารการพฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์การมหาชน)” หรือ “อพท.” ใช้เวลากว่า 12 ปี ทำต้นแบบไว้ได้แล้ว 14 ชุมชน ประกอบด้วย
“ภาคตะวันออก” 4 ชุมชน คือ จังหวัดตราด 2 ชุมชน คือ แหลมกลัด บ้านน้ำเชี่ยว จังหวัดชลบุรี 2 ชุมชน คือ ชากแง้ว และตะเคียนเตี้ย
“ภาคเหนือ” 7 ชุมชน คือ จังหวัดกำแพงเพชร คือ ชุมชนนครชุม จังหวัดสุโขทัย 2 ชุมชน ชุมชนบ้านคุกพัฒนา และชุมชนเมืองเก่าสุโขทัย จังหวัดน่าน 2 ชุมชน คือ บ่อสวก และในเวียง จังหวัดเชียงใหม่ 2 ชุมชน คือ สันลมจอย และบ้านไร่กองขิง
“ภาคอีสาน” 2 ชุมชน คือ จังหวัดเลย 2 ชุมชน คือ ปลาบ่า และกกสะทอน
“ภาคกลาง” 1 ชุมชน คือ ชุมชนเมืองโบราณอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
ช่วงปี 2560 ททท.ได้จัดทำโครงการ Village Tourism 4.0 ภายใต้แคมเปญ Village to The World อีก 10 ชุมชน
ภาคเหนือ คือ ชุมชนดอยปู่หมื่น จ.เชียงใหม่ และชุมชนตำบลบ้านแซว จ.เชียงราย
ภาคใต้ ชุมชนแหลมสัก จ.กระบี่ และชุมชนบ้านลำขนุน จ.ตรัง
ภาคตะวันออก ชุมชนรักษ์เขาบายศรี จ.จันทบุรี และชุมชนบ้านแหลมมะขาม จ.ตราด
ภาคกลาง ชุมชนตำบลบ้านแหลม จ.สุพรรณบุรี และชุมชนตำบลหนองโรง จ.กาญจนบุรี
ภาคอีสาน ชุมชนบ้านสนวนนอก จ.บุรีรัมย์ และชุมชนบ้านสนวนนอก อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์
ประเทศไทยเริ่มมีโมเดล “ชุมชนท่องเที่ยวต้นแบบ” เริ่มเห็นสัญญาณความพร้อมขั้นพื้นฐานที่จะกระจายความมั่งคั่งลงสู่ท้องถิ่นได้บ้าง
ในขณะที่ “ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย” ชี้ว่าปี 2561 เศรษฐกิจไทยจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวกหลัก ๆ ประกอบด้วย การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเด่นชัดขึ้นจะส่งผลดีต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย การลงทุนของภาครัฐขนาดใหญ่โดยเฉพาะเมกะโปรเจ็กต์ และการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษชายฝั่งตะวันออก (EEC) การเมืองไทยมีเสถียรภาพ อีกทั้งจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ส่วนอัตราดอกเบี้ยไทยและโลกยังทรงตัวระดับต่ำ ราคาน้ำมันยังคงใกล้เคียงระดับปัจจุบันคือไม่เกิน 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แต่ก็ยังคงมี “ปัจจัยลบ” ต้องช่วยกันระวังรวมอยู่ด้วย เช่น เศรษฐกิจโลกมีปัญหาและชะลอตัวลงอีกครั้ง การเกิดสงครามระหว่างประเทศ การก่อการร้ายขนาดใหญ่ที่สร้างความกลัวต่อคนทั้งโลก ภัยพิบัติธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจของโลก และราคาพืชผลทางการเกษตรทรุดตัวต่ำลง
ทางศูนย์พยากรณ์ฯ ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ย้ำว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2561 หน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจในไทยได้มองเหมือนๆ กันว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะขยายตัวไม่ต่ำกว่าปีนี้ โดยแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่เห็นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการขยายตัวเท่ากับปีนี้ หรือสูงกว่าเล็กน้อยประมาณ 3.8%-4.0% เพราะยังเห็นว่าความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังมีอยู่มาก
ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มที่เห็นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าปีนี้อย่างชัดเจนโดยขยายตัวประมาณ 4.1%-4.5% เพราะเชื่อว่าความเสี่ยงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ยาก
เมื่อบวกลบคูณหารหักกลบลบหนี้แล้วเศรษฐกิจไทยในปี 2561 น่าจะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ คาดจะขยายตัวอยู่ในระดับ 4.2%-4.5% และจะเป็นปีเริ่มต้นของความรุ่งเรืองของเศรษฐกิจไทยอีกครั้ง
ทางศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังได้จัดธุรกิจ 10 อันดับ ประกอบด้วย
ธุรกิจดาวรุ่ง 10 อันดับ ได้แก่
อันดับ 1 ธุรกิจการให้บริการด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร และอุปกรณ์ (ผู้ให้บริการโครงข่าย)
อันดับ 2 ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม
อันดับ 3 ธุรกิจ e-commerce
อันดับ 4 ธุรกิจเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว
อันดับ 5 ได้คะแนนเท่ากัน 2 กลุ่ม คือ ธุรกิจด้านปิโตรเคมีและพลาสติก และธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์
อันดับ 6 ได้คะแนนเท่ากัน 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจ Modern Trade, ธุรกิจบริการทางด้านการเงิน, ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม
อันดับ 7 ธุรกิจร้านขายยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์
อันดับ 8 ได้คะแนนเท่ากัน 2 กลุ่ม คือ ธุรกิจด้านการศึกษา และธุรกิจด้านการท่องเที่ยว
อันดับ 9 ได้คะแนนเท่ากัน 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิต, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บ้านเช่า ห้องเช่า, ธุรกิจด้านความเชื่อ โหราศาสตร์ เครื่องรางของขลัง
อันดับ 10 ได้คะแนนเท่ากัน 2 กุล่ม คือ ธุรกิจวัสดุก่อสร้างและรับเหมา, ธุรกิจร้านเสริมสวย
ส่วนธุรกิจดาวร่วง 10 อันดับ ได้แก่
อันดับ 1 ธุรกิจหัตถกรรม อันดับ 2 ธุรกิจด้ารการผลิตเหมืองแร่ อันดับ 3 ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ นิตยสาร วารสาร และการเช่าหนังสือ อันดับ 4 ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องเล่น DVD, CD อันดับ 5 ได้คะแนนเท่ากัน 2 กลุ่ม คือ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายแผ่น DVD, CD และธุรกิจให้บริการโทรศัพท์พื้นฐาน อันดับ 6 ธุรกิจเคเบิลทีวี อันดับ 7 ธุรกิจการผลิตสินค้าเกษตร เช่น ยาง ปาล์ม ข้าว อันดับ 8 ธุรกิจร้านขายโทรศัพท์มือถือมือสอง อันดับ 9 ธุรกิจร้านค้าแบบดั้งเดิม และอันดับ 10 ธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ต
ปี 2561 จึงน่าจับตาว่าจะเป็น “ปีทองของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย” ที่รัฐบาลจะคืนความสุขให้คนไทยด้วยการ “กระจายรายได้สู่เมืองรองและชุมชนท่องเที่ยว” ส่วนจะไปถึงฝั่งฝันได้มากขนาดไหนจะต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดต่อไป
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ธุรกิจเข้าเป้า-CSRสำเร็จเกินร้อย”
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ตลอดปี 2560 ได้ทุ่มเทความร่วมมือกับเครือข่ายผู้ประกอบการนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายเงินช้อปปิ้งในร้านค้าดิวตี้ฟรีของคิง เพาเวอร์ สาขาในเมืองตามจังหวัดท่องเที่ยวหลัก กรุงเทพฯ ที่คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และศรีวารี ภูเก็ต พัทยา และในสนามบินที่ได้รับสัมปทานให้ดำเนินการทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ เพื่อทำให้ยอดขายหมุนเวียนเป็นไปตามเป้า โดยภาพรวมของธุรกิจในเครือทั้งหมดทำยอดปีนี้ได้กว่า 90,000 ล้านบาท โดยมีทั้งสินค้าดิวตี้ฟรี และเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ไทยได้เกือบ 20 % ทั้งอาหารแปรรูป ของรับประทานเล่น แฟชั่นผ้า สมุนไพรไทย ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน
ส่วนไฮไลต์อีกกิจกรรมที่เพิ่งจะสิ้นสุดลงในการเข้าร่วมสนับสนุนเงินประมาณร้อยล้านบาทให้โครงการ “ก้าวคนละก้าว” ของ “ตูน บอดี้สแลม-อทิวราห์ คงมาลัย” การวิ่งจากใต้สู่เหนือสุด เพื่อรณรงค์การบริจาคเงินจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ 11 โรงพยาบาล พร้อมกับได้นำโครงการ “ล้านลูก ล้านพลัง” มอบลูกฟุตบอลให้คุณตูนนำไปแจกในโครงการก้าวคนละก้าว ให้แก่เยาวชนตามโรงเรียนต่าง ๆ ในเส้นทางวิ่งผ่านตลอดโครงการ แจกไปทั้งหมด 41 โรงเรียน จำนวน 10,000 ลูก ส่วนยอดรวมของโครงการล้านลูกล้านพลัง ตลอดปีนี้ คิง เพาเวอร์ แจกลูกฟุตบอลไปยังจำนวน 70 ชุมชน เรียบร้อยแล้ว 1,614 โรงเรียน รวม 41,000 ลูก
สำหรับในค่ำคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ช่วงเวลาตั้งแต่ 20.00 – 22.00 น. คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ชวนสัมผัสประสบการณ์ความสุขที่ไม่สิ้นสุด กับเทศกาลส่งท้ายปี ในงาน “Explore Endless Celebration2018” กับเทศกาลแห่งความสุขไม่สิ้นสุดส่งท้ายปี จุดเช็คอินแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ พร้อมทั้งร่วมมีตแอนด์กรี๊ดกับทีมนักแสดงจากซีรีย์ดัง 2 Moons The Series และสนุกสุดมันไปกับมินิคอนเสิร์ตจาก โพลีแคท และ อะตอม ชนกันต์ และนับถอยหลังเคาท์ดาวน์ส่งท้ายปี 2560 เข้าสู่ปีใหม่ 2561
ข่าวที่ 2 “ททท.ชูโมเดล10ชุมชนเที่ยวยั่งยืนรายได้โตเท่าตัว”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่ากาา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดดเผยว่าในปี 2561 เตรียมกระจายรายได้ตลอดทั้งปีตามเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาท ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวลงสู่ชุมชน โดยจะต่อยอดกิจกกรมที่ประสบความสำเร็จคือ Village Tourism 4.0 ซึ่งจัดทำภายใต้โครงการ Village To The World 4.0 นับสนุนและเพิ่มรายได้ให้กับคนในชุมชนโดยตรง ในปี 2560 ได้สร้างชุมชนต้นแบบท่องเที่ยวเข้มแข็งไว้แล้ว 10 ชุมชน และสามารถทำรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดดในทุกภาคของประเทศ ดังนั้น ททท.จะใช้โมลเดลดังกล่าวนำไปพัฒนาชุมชนที่มีความพร้อมต่อไป
ททท.ได้พัฒนา 10 ชุมชนต้นแบบปี 2560 พร้อมจะเป็นโมเดลการท่องเที่ยวชุมชนต่อเนื่องในพื้นที่อื่น ๆ ปี 2561 ภาคละ 2 ชุมชนขึ้นไป ได้แก่
ภาคเหนือ คือ ชุมชนดอยปู่หมื่น จ.เชียงใหม่ โดดเด่นเรื่องชาอัสสัมสำเร็จรูปและอื่น มีแพกเกจท่องเที่ยวขาย แบบเหมา 1 วัน เที่ยวเป็นกลุ่ม 6 – 8 ท่าน คนละเพียง 670 บาท และ2 วัน 1 คืนพร้อมโฮมสเตย์ คนละ 1,020 บาท สร้างรายได้ปีเพิ่มขึ้นปีละ 4.82 % นักท่องเที่ยวเติบโตกว่า 50%
ส่วนชุมชนตำบลบ้านแซว จ.เชียงราย ชูจุดขายคอนเซ็ปต์ Harmonious Mekong มีทั้งอาหารถิ่นแบบขันโตก 5 ชนเผ่า วิถีชีวิต ปั่นจักรยาน ชมสวนเกษตรปลอดสารเคมี พักโฮมสเตย์ริมแม่น้ำโขง มีแพกเกจ 2 วัน 1 คืน ขายคนละ 1,490 บาท มีรายได้เพิ่มขึ้น 48.26% นักท่องเที่ยวต่อปี 45.95%
ภาคใต้ ชุมชนแหลมสัก จ.กระบี่ ชูคอนเซ็ปต์ Variety for all พายเรือคายัค ล่องเรือรอบอุทยานทางทะเลอ่าวลึก ชมกระชังสาหร่ายพวงองุ่น และปลาทะเล ทานข้าวคลุกกะปิจากกุ้งเคยฝีมือชาวบ้าน ชมกรรมวิธีการทำกะปิ ร่วมปลูกกล้วยไม้ มีแพ็คเกจ 1 วัน และ 2 วัน เริ่มต้นเพียงคนละ 2,000 บาท มีรายได้เพิ่มขึ้น 37.90% นักท่องเที่ยวเติบโตปีละ 20 %
ส่วนชุมชนบ้านลำขนุน จ.ตรัง ชูคอนเซ็ปต์ Pure nature with the southern touch เที่ยวผจญภัยพายเรือคายัค 5 ลำคลอง ชมศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น การแกะสลักหนังตะลุง วิถีชีวิตเกษตร พักโฮมสเตย์ มีแพกเกจเริ่มต้นคนละ 1,100 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 40.40% นักท่องเที่ยวเติบโตปีละ 35.20%
ภาคตะวันออก ชุมชนรักษ์เขาบายศรี จ.จันทบุรี ชูคอนเซ็ปต์ Gastro Paradiso สวรรค์ของนักกิน มีแพกเกจทัวร์สวนผลไม้ เดินชม ดูการสาธิตและเก็บผลไม้ด้วยตัวเอง อาทิ สวนระกำ ปั่นจักรยานท่องเที่ยวในชุมชน มีของฝากขึ้นชื่ออย่าง ทุเรียนทอด ทุเรียนกวน น้ำมังคุด พักโฮมสเตย์ มีแพกเกจเริ่มต้นคนละ 890 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 32.53%
ส่วนชุมชนบ้านแหลมมะขาม จ.ตราด ชูคอนเซ็ปต์ Magical Mangroves นั่งรถซาเล้งชมศูนย์เรียนรู้ ภูมิปัญญาจักสาน ชมบ้านหุ่นไม้กระดาน นั่งเรือศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนวิถีประมง สักการะเจ้าแม่ปากคลอง ดูเหยี่ยวแดง จับหอยปากเป็ด ชมโต๊ะวาลี แลแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ ร.5 บ้าน อาจารย์สมโภชน์ วาสุกรี มีแพกเกจเริ่มต้นคนละ 1,300 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 29.79% นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นปีละ 25%
ภาคกลาง ชุมชนตำบลบ้านแหลม จ.สุพรรณบุรี ชูคอนเซ็ปต์ Royal Excursion ที่กลุ่มท่องเที่ยวชุมชน ตำบลบ้านแหลม จ.สุพรรณบุรี ล่องเรือรับประทานอาหาร ตามรอยเส้นทางประพาสต้น ร.5 นวดสปาบนเรือ ไหว้พระวัดดังในบางปลาม้า ชมการสาธิตวิธีการทำขนมไทยโบราณ ชมสาธิตการทำน้ำพริกเผาโบราณ จักสานจากผักตบชวา จัดเป็นกรุ๊ป 20 คนขึ้นไป จะได้ในราคาพิเศษคนละ 650 บาทต่อคน สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 32.55% นักท่องเที่ยวเติบโตเพิ่มปีละ 20%
ส่วนชุมชนตำบลหนองโรง จ.กาญจนบุรี ชูคอนเซ็ปต์ Living Forest นั่งรถชมป่า เรียนรู้ฐานในป่าชุมชน จำนวน 35 ฐาน ชมกิจกรรมสาธิตแปรรูปผลิภัณฑ์จากต้นตาล ชมสวนผสมตามแนวพระราชดำริ ชมการสาธิตทอผ้าข้าวม้า และทำแหวนจากต้นเถาวัลย์ทอง แพกเกจเริ่มต้นทคนละ 600 บาท สร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น 97.77% นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นปีละ 27.77%
ภาคอีสาน ชุมชนบ้านสนวนนอก จ.บุรีรัมย์ ชูคอนเซ็ปต์ Weaving Town ชมศูนย์การเรียนรู้การย้อมผ้าไหม ด้วยสีธรรมชาติ ตลาดผ้าไหมใต้ถุนเรือน ของช่างทอในชุมชน ชมโรงงานผ้าไหมชุมชน “อุตมะไหมไทย” ผ้าไหมแห่งละคร นาคี ล่องเรือชมลำน้ำชี ชมวิถีคนเลี้ยงวัว ชมพระอาทิตย์ตกที่เขาสวาย มีแพกเกจเริ่มต้นคนละ 1,400 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 38.28 % นักท่องเที่ยวเติบโตปีละ 300 %
ส่วนชุมชนบ้านสนวนนอก อ.ห้วยราช จ.บุรีรัมย์ ชูคอนเซ็ปต์ Thai Silk Full Circle ร่วมกิจกรรมฐานการเรียนรู้กระบวนการผลิตผ้าไหม ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม ทอผ้าไหม เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง เกษตรอินทรีย์ การจักสาน และนกกะลามะพร้าว ชมการแสดงพื้นบ้าน บายศรีสู่ขวัญ รำตรด กันตรึม นั่งรถกระสวย ชมท้องนาและหมู่บ้าน ทำอาหารพื้นเมือง เข่น แกงกล้วย ขนมตดหมา มีแพกเกจ1 วัน เริ่มต้นคนละ 980 บาท สร้างรายได้เพิ่มขึ้น 30.95%
ข่าวที่ 3 “บางจากผนึกเคแบงก์ใช้QRโค้ดช้อปในSPAR”
นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด เปิดเผยว่า ร่วมกับผู้บริหาร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผนึกความร่วมมือกับ นายอมร สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เชิญชวนลูกค้าใช้บริการชำระเงินด้วย QR Code เพื่อสนับสนุนนโยบายNational e-Payment ของรัฐบาล และตอบสนองวิถีชีวิตคนไทยยุคใหม่ ให้ได้รับความสะดวกรวดเร็วในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น ซึ่งใช้ได้จริงแล้ววันนี้ ที่ SPAR ซูเปอร์มาร์เก็ต, อินทนิล การ์เด้น และอินทนิล คอฟฟี่ ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก 15 สาขา และจะเพิ่มเป็นกว่า 70 สาขา ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2560 เป็นต้นไป
ช่วงที่ 2 ค่ำคืนนี้ออกไปเคาน์ดาวน์กันได้ทั่วภาคกลางตามจังหวัดรอบกรุงมีให้เลือกถึง 7 ไฮไลต์ ในอยุธยา สระบุรี ลพบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และห้ามพลาด @ราชประสงค์ กรุงเทพฯ ส่วนการดูแลสุขภาพตลอดปีใหม่ต้องป้องกันเรื่องอาหารเป็นพิษ และข่าวส่งท้ายปีโรงแรมทั่วไทยเปิดห้องอาหารเสิร์ฟเมนูอร่อย ๆ เพียบ ส่วนหลายแห่งเปิดฟรีเป็นของขวัญปีใหม่ อย่างบางกอกแอร์ถือโอกาสดีเปิดเลาจน์ใหม่ในสุวรรณภูมิบริการฟรี มิวเซียมสยามเปิดให้เข้าชมฟรี และการบินไทยเสิร์ฟเมนูขนมไทยรับปีใหม่
@ภาคกลางชวนเคาน์ดาวน์รอบกรุง 7 ไฮไลต์แห่งปี
ชาวพระนครศรีอยุธยา ทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ เช้าของวันที่ 1 มกราคม 2561 ชวนนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปได้เที่ยวเส้นทางบุญด้วยการใส่บาตรทำบุญวันขึ้นปีใหม่ด้านหน้าวิหารพระมงคลบพิตรและวัดพนัญเชิงวรวิหาร
จังหวัดสระบุรี งานสืบสานประเพณีตักบาตรข้าวหลามจี่ เดือนยี่ ตลอด 3 วัน 30 ธันวาคม – 1 มกราคม 2560 ที่วัดหนองโน อำเภอเมือง ร่วมสัมผัสบรรยากาศงานวัดย้อนยุค เครื่องเล่นต่างๆ และรำวงย้อนยุคจากวงดนตรี ชมการแสดง แสง เสียง ความเป็นตำนานชาวไทยวนสระบุรี การแห่และประกวดเกวียนโบราณและการตกแต่งต้นสลากภัตตามประเพณีชาวไทยวน ประกวดข้ามหลามอร่อย สามารถเลือกซื้อข้าวหลาม สินค้า OTOP ราคาถูกจาก 13 อำเภอ
จังหวัดสมุทรสงคราม งาน COUNTDOWN "อัมพวารื่นเริงเถลิงศกใหม่ 2561" 31 ธันวาคม 2560 - 1 มกราคม 2561 บริเวณริมเขื่อนหน้าที่ว่าการอำเภออัมพวา ภายในงานนักท่องเที่ยวจะได้ฟังเพลง รำวง ลีลาศ และนับถอยหลังร้องเพลงสวัสดีปีใหม่ กับวงสุนทราภรณ์ และร่วมทำบุญตักบาตรในวันรุ่งขึ้น เนื่องในวารดิถีขึ้นปีใหม่
จังหวัดสมุทรสาคร จัดยิ่งใหญ่สวดมนต์ข้ามปีค่ำคืนที่ 31 ธันวาคม 2560 ร่วมสวดมนต์ข้ามปีสวดนพเคราะห์ เริ่มเวลา 20.00-24.00 น. เจริญจิตภาวนาและเจริญพระพุทธมนต์ ณ วัดเจษฎาราม อำเภอเมือง
จังหวัดลพบุรี ชวนให้ไปชีลกับ “เทศกาลทุ่งทานตะวันบานลพบุรี” ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนมกราคม ใน 3 อำเภอเมือง อำเภอหนองม่วง อำเภอพัฒนานิคม อำเภอโคกสำโรง แล้วบันทึกภาพความทรงจำกับทุ่งดอกไม้เหลืองอร่าม หรืจะเดิน ชมวิว นั่งรถราง ปั่นจักรยานชมทุ่งทานตะวัน ภายในบรรยากาศหุบเขาทานตะวัน จำหน่ายสินค้า OTOP และร่วมกิจกรรมทางทหาร และศึกษาการดำรงชีพในป่า
กรุงเทพมหานคร สัมผัสความงดงามแห่งแสงไฟระยับใน งาน Amazing Thailand Lighting Festival 2017 @Ratchaprasong การประดับไฟฟ้า เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ จัดมาตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2560 เรื่อยไปจนถึง 5 มกราคม 2561 บริเวณ Skywalk Façade, Skywalk, Under Skywalk และ Boulevard ถนนพระราม 1
ไฮไลต์อีกเทศกาลต้องแวะไปเติมเต็มความสุขในงาน AIS Bangkok Countdown 2018 @ CentralWorld ค่ำคืนที่ 31 ธันวาคม 2560 บริเวณลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และบริเวณถนนราชดำริ การแสดงดนตรี BANG CONCERT การแสดง Super Sonic กิจกรรมช็อปปิ้ง ถูกสุด ๆ ข้ามปีจนถึงตีสอง ในวันเดียว กิจกรรม Galaxy Parade : Grow up drum parade to stageกิจกรรม Special Show Anti gravity Carnival Show กิจกรรม Warp Wristband Green Light และการแจกของรางวัล ร่วมนับถอยหลังสู่ปีใหม่นำสิ่งที่ดี ๆ สู่ชีวิต
@ช่วงเทศกาลเตรียมป้องกันอาหารเป็นพิษ
การป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ ขอแนะนำให้ใช้กฏหลัก 10 ประการ การเตรียมอาหารที่ปลอดภัย ได้แก่
1.อาหารที่สะอาด ผ่านการเตรียมเป็นอย่างดี 2.ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน 3.ควรกินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ 4.ระมัดระวังอาหารที่ปรุงสุกแล้วอย่าให้มีการปนเปื้อน หากมีความจำเป็นต้องเก็บอาหารที่ปรุงสุกไว้นานกว่า 4 ชั่วโมง ควรเก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนอาหารสำหรับทารกไม่ควรเก็บไว้ข้ามมื้อ 5.อาหารที่ค้างมื้อต้องอุ่นให้ร้อนก่อนรับประทาน
6.แยกอาหารดิบและอาหารสุกให้ระมัดระวังการปนเปื้อน 7.ล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนปรุงอาหาร ก่อนรับประทานอาหารโดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำ 8.ให้พิถีพิถันเรื่องความสะอาดของห้องครัว 9.เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ 10.ใช้น้ำสะอาดในการปรุงอาหารและควรระวังเป็นพิเศษในการใช้น้ำเพื่อเตรียมอาหารเด็กทารก
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “โรงแรมทั่วไทยงัดเมนูเด็ดเสิร์ฟความสุขส่งท้ายปี”
ตลอดค่ำคืนส่งท้ายวันที่ 31 ธันวาคม 2560 โรงแรมต่าง ๆ มีเมนูมานำเสนอตามความชอบดังนี้
ดินเนอร์หรูที่นัมเบอร์ 43 เคปเฮ้าส์ กรุงเทพฯ
เคปเฮ้าส์ กรุงเทพฯ เปิดห้องห้องอาหารนัมเบอร์ 43 ต้อนรับตั้งแต่ 18.00-24.00 น. ให้อิ่มหนำกับเซตมื้อค่ำสุดพิเศษ ในราคาเพียงท่านละ 1,900++บาท ด้วยหลากหลายเมนูแสนอร่อยสไตล์อิตาเลียน เริ่มต้นด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยอย่างหอยเชลล์เสียบไม้ย่างเสิร์ฟกับผักซูกินี ต่อด้วยเมนูข้าวริซอตโต้กับผักอาร์ติโช๊คในครีมมันฝรั่งและเบคอนกรอบ เมนูพิเศษจานหลักที่ทางห้องอาหารภูมิใจนำเสนอคือ ปลาแซลมอนจากทะเลแอตแลนติกเหนือในซอสส้ม หรือ เนื้อลูกวัวอบยัดไส้เห็ดพอร์ชินี่และผักโขม ราดซอสขิงและแซฟฟรอน
ปิดท้ายด้วยของหวาน คือ มูสชีสริคอตต้าและชีสมาสคาโปน เสิร์ฟพร้อมผลบลูเบอร์รี่และราสพ์เบอร์รี่ ซึ่งปรุงอย่างพิถีพิถันโดยเชฟมืออาชีพ จากวัตถุดิบที่บรรจงคัดสรรมาอย่างดี
โทร. 02-658-7444 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.capecollection.com
สุขใจรับปีใหม่ที่โรงแรมเคป นิทรา หัวหิน
โรงแรมเคป นิทรา หัวหิน ขอเชิญทุกท่านมาสุขใจรับปีใหม่ตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป พบกับอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติ อาหารทะเลคัดสรรมาอย่างดี สลัดบาร์ บาร์บีคิว ของหวานแสนอร่อย พร้อมดนตรีบรรเลงสดตลอดงาน การแสดงโชว์สุดประทับใจ ลุ้นรางวัล Lucky Draw ในราคาสุทธิเพียงคนละ 3,900 บาท (รวมสปาร์กลิ้งไวน์) เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีลดครึ่งราคา โทร. 032-516-600 ต่อ 444 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.capecollection.com
ต้อนรับปีใหมริมทะเลสุดหรูที่เคปพันวา ภูเก็ต
โรงแรมเคปพันวา ภูเก็ต เนรมิตบรรยากาศริมทะเลสุดหรูต้อนรับตั้งแต่ 19.00 น. เป็นต้นไป ด้วยค็อกเทล ต่อด้วยเต็มอิ่มไปกับบุฟเฟ่ต์นานาชาติมื้อค่ำสุดพิเศษ ในราคาสุทธิเพียงคนละ 6,200 บาท ชมการแสดงระบำโพลีนีเชียน ควงกระบองไฟ โชว์ฮูล่าฮูปประกอบไฟ LED ดนตรีบรรเลงสดตลาดงาน พลาดไม่ได้กับการร่วมลุ้นรางวัล Lucky Draw และเคาท์ดาวน์ไปพร้อมๆกับการจุดพลุฉลองต้อนรับปีใหม่ ปิดท้ายด้วยแดนซ์สุดมันส์กับดีเจมืออาชีพ โทร. 076-391-123 ต่อ 196 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.capecollection.com
ข่าวที่สอง “บางกอกแอร์เปิดเลาจน์ใหม่สุวรรณภูมิให้ใช้ฟรี”
บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เจ้าของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส รายงาน พร้อมต้อนรับปีใหม่ผู้โดยสารด้วยการ เปิดให้บริการห้องรับรองผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศแห่งใหม่ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อยู่บริเวณชั้น 3 Concourse D ตรงข้ามกับประตูขึ้นเครื่องหมายเลข D7 ผู้โดยสารบางกอกแอร์เวย์สสามารถเข้าใช้บริการฟรีได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ห้องรับรองผู้โดยสารแห่งใหม่นี้ตกแต่งสวยงามและมีเอกลักษณ์สะท้อนความเป็น “บูทีค” ด้วยพื้นที่บริการขนาด 450 ตารางเมตร แบ่งเป็น บูทีคเลาจน์ รองรับผู้โดยสารได้ 120 คน และ บลูริบบ้อนคลับเลาจน์ รองรับได้ 50 คน
ห้องรับรองผู้โดยสารระหว่างประเทศแห่งใหม่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 04.30น.–22.00น. ซึ่งผู้โดยสารสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.bangkokair.com หรือที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า โทร.1771 ตลอด 24ชั่วโมง
ข่าวที่สาม “บินไทยปักหลักเสิร์ฟของหวานไทยรับตะวันใหม่”
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จัดรายการขนมหวานจานพิเศษเพื่อมอบเป็นของขวัญในช่วงเวลาแห่งความสุข นำมาให้บริการผู้โดยสารบนเครื่องบินทุกชั้นบริการของการบินไทย ในวันที่ 1 มกราคม 2561
- เส้นทางภายในประเทศ ทุกเที่ยวบินขาออกจากกรุงเทพฯ และทุกเที่ยวบินขาเข้าจากต่างจังหวัดมายังกรุงเทพฯ (ยกเว้น TG207 เส้นทางกรุงเทพฯ-ภูเก็ต, TG208 และ TG226 เส้นทางภูเก็ต- กรุงเทพฯ, TG613 เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ) โดยมีขนมมงคลของไทยบรรจุในถุงของขวัญ ได้แก่ ขนมกลีบลำดวน และขนมสัมปันนี มอบให้กับผู้โดยสารชั้นธุรกิจ และชั้นประหยัด
- เส้นทางระหว่างประเทศ มื้อกลางวัน หรือ มื้อเย็น ทุกเที่ยวบินขาออกจากกรุงเทพฯ (ยกเว้นเที่ยวบินไปยังตะวันออกกลาง และ เอเชียใต้บางเส้นทาง) ที่นั่งชั้นหนึ่งมี เค้กผลไม้ เสิร์ฟพร้อม ไอศกรีมฮันนี่ซินนามอน และฮันนีวิปปิ้งครีม ชั้นธุรกิจมีคัพเค้กผลไม้ เสิร์ฟพร้อม ฮันนีวิปปิ้งครีม และชั้นประหยัดเสิร์ฟเค้กผลไม้
ข่าวที่สี่ “มิวเซียมสยามเปิดฟรีให้ชม31ธค./2ม.ค.61”
มิวเซียมสยาม รายงานว่าช่วงวันหยุดปีใหม่เปิดตามปกติ และจะเปิดให้ชมฟรี วันที่ 31 ธันวาคม 2560 และ 2 มกราคม 2561 ตั้งแต่ 10.00 – 18.00 น. ในโซนที่เปิดให้บริการ อาทิ ส่วนจัดแสดงนิทรรศการถาวรชุดล่าสุด “ถอดรหัสไทย” ร้านขายของที่ระลึก Muse Shop ร้านอาหาร Muse Kitchen by Elefin Coffee และมุมเครื่องดื่ม Muse Café by D’Oro ทั้งนี้ทางพิพิธภัณฑ์ปกติเปิดทุกวันอังคาร – วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) โทร. 02-225-2777 หรือ ติดตามปฏิทินกิจกรรมต่างๆ ได้ที่ www.facebook.com/museumsiamfan
ทางรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ขออวยพรให้ผู้ฟังทุกท่านประสบความสุข ความสำเร็จ ตลอดปี 2561
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น