สตูลจีโอปาร์คนำร่องปลุกทัวร์ชุมชนเทรนด์ปี’62
5เมืองรองโดดร่วมยูเนสโก้ทำรายได้เพิ่ม2เท่า
คิงเพาเวอร์ชวนใช้สิทธิ์วันเกิดช้อปรับเพียบ2ต่อ
ททท.ชูแข่งเรือ5ภาค-55เมืองรองโกยเกินเป้า
บางจากแจก 700 ทุน-มอบเงินมูลนิธิรามาธิบดี
ทอท.ถกCirtifly Hubคาร์โก้ไทยฉลุยเข้ายุโรป
TCEBหนุนไต้หวันเอ็กซ์โปดึงไมซ์คุณภาพโต
เที่ยวนครศรีธรรมราช 2ธรรม/นครประทานพร
มหัศจรรย์แคลเซี่ยมมีความสำคัญมากกับทุกวัย
เจ้าสัวธนินทร์เปิดโรงแรมใหม่Waldorf Astoria
จัดหนัก“ชื่นชมชิมอาหารถิ่นจันทบุรี”20-23 ก.ย.
สุราษฎร์ปิดเกาะจัดสุดบิ๊ก“สมุยเฟสติวัล2018”
พัทยากลางแจ้งปิดถนนซ่อมโครงการ2-6 ก.ย.
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2561 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังเรียลไทม์ได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97
ช่วงที่ 1 พบกับการพูดคุยคนต้นแบบอย่าง “ณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ” ผู้อำนวยการอุทยานธรณีวิทยาสตูล -STUN UNESCO GLOBAL GEOPARK ที่ทุ่มเทเวลานับทศวรรษยาวนาน 10 ปี จนสามารถสร้าง “จุดเปลี่ยนสตูล” เดินหน้าการท่องเที่ยวท้องถิ่นก้าวพ้นความยากจนเข้าสู่โลกใหม่สำเร็จ ฝ่าด่านกฎหินของยูเนสโก้ 5 เรื่องจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อชั้นติดอันดับโลก ทำให้ชาวบ้านมีรายได้โตทันตาเพิ่มขึ้นจากอาชีพกรีดยาง ทำประมง เกินกว่าปีละ 2 เท่า ปี 2562 ลุยบูรณาการกับสถาบันการศึกษทำหลักสูตรบรรจุให้คนเรียนตั้งแต่ประถมถึงอุดมศึกษา ขณะนี้เมืองรอง 5 จังหวัด โคราช ขอนแก่น อุบลราชธานี เพชรบูรณ์ นราธิวาส เดินเข้าสู่วงจรจีโอปาร์คเรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นศาสตร์ที่ทำให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ทั้งเรื่องวิถีชีวิตชุมชน การกระจายเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจฐานราก การปลุกจิตวิญญาณทำให้คนหันมาฟูมฟักรักบ้านเกิด ช่วยกันรักษาหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติในแบบที่จับต้องได้จริง
ณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ ผู้อำนวยการอุทยานธรณีวิทยาสตูล -STUN UNESCO GLOBAL GEOPARK |
ณรงค์ฤทธิ์ ทุ่งปรือ ผู้อำนวยการอุทยานธรณีวิทยาสตูล -STUN UNESCO GLOBAL GEOPARK เปิดเผยว่า สตูลได้การรับรองให้เป็นสตูล ยูเนสโก โกลบอล จีโอปาร์ค มาตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งมีความลึกซึ้งมากกว่าการเป็นแค่มีเพียงฟอสซิล ซากดึกดำบรรพ์ เท่านั้น ทว่าคือพื้นที่ซึ่งสามารถเป็นเมืองธรรมชาติเชิงนิเวศน์ มีความเก่าแก่ทางวัฒนธรรม ประเพณี ท้องถิ่น และเรื่องราวของโลกใบนี้รวมอยู่ด้วยทุกอย่าง โดยรากศัพท์ของจีโอปาร์คมาจากกรีกหมายถึงโลก ในสตูลเป็นดินแดนที่ผ่านการเรียนรู้วิจัยต่อยอดจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างยั่งยืน ที่มีอัตลักษณ์ของท้องถิ่นนั้น ๆ โดยไม่ซ้ำแบบกัน
ขณะนี้สตูลจีโอปาร์คได้รับการขึ้นทะเบียนครอบคลุมทั่วจังหวัดพื้นที่หลัก 4 อำเภอ รวม 2,597 ตารางกิโลเมตร เริ่มตั้งแต่อำเภอมะนัง ละงู ทุ่งหว้า และอำเภอเมือง (เฉพาะในเขตอุทยานตะรุเตา) ซึ่งเมื่ออยู่ตรงไหนก็ใช้กฎหมายของพื้นที่นั้น ๆ เช่น พรบ.อุทยานแห่งชาติ พรบ.อนุรักษ์พันธุ์พืชและสัตว์ป่า และกฎหมายผังเมือง อันเป็นการบูรณาการเข้ากันได้กับทุกภาคส่วน แล้วนำเรื่องราวมาต่อยอดผ่านกระบวนการให้ชุมชนร่วมกันอนุรักษ์สร้างรายได้เสริมอย่างเข้มแข็งให้ชุมชน
ขั้นตอนการเข้าสู่กระบวนการประกาศเป็นจีโอปาร์คนั้น ทางสตูลได้ลุยทำแต่ละส่วนให้เข้าสู่ระบบเริ่มมาตั้งแต่ปี 2551 นำร่องครั้งแรก โดยเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ จากนั้นกระทรวงพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็นำคอนเซ็ปต์จีโอปาร์คเข้ามาพัฒนา จนกระทั่งปี 2553-2554 ได้ทยอยวางรูปแบบการทำจีโอปาร์คสตูล ปี 2557 ประกาศเป็นระดับจังหวัด ปี 2559 ต่อเนื่องได้ขึ้นชั้นเป็นถึงระดับโลก แต่ที่ผ่านมามีบางพื้นที่ขณะนั้นยังไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว จึงต้องพัฒนาต่อยอดจนกระทั่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวชุมชน สามารถสร้างรายได้ สร้างผลผลิตเลี้ยงครอบครัวมาจนถึงปัจจุบัน
เส้นทางการพัฒนาสตูลจีโอปาร์คตลอด 10 ปี จะเห็นถึงเส้นกราฟรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี ภายใต้กติกาการวางรูปแบบบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในบางพื้นที่ต้องจำกัดปริมาณนักท่องเที่ยว เช่น ถ้ำเลสเตโกดอน เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้วันละ 1 รอบเท่านั้น ด้วยภูมิปัญญาการจัดนำเที่ยวโดยอิงระดับน้ำทะเลขึ้นลงตามลักษณะกายภาพทางภูมิศาสตร์ ธรรมชาติ ที่จะพานักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้
ปัจจุบันแต่ละพื้นที่มีการทำเป็น “วิสาหกิจท่องเที่ยวชุมชน” ส่วนทางผู้บริหารอุทยานธรณีวิทยา จะเน้นเข้าไปทำการอบรมให้ความรู้ ร้อยเรื่องราว แล้วให้ชุมชนไปดำเนินการจัดท่องเที่ยวเอง ตอนนี้รายได้เฉลี่ยแต่ละครอบครัวดังตัวอย่าง 2 พื้นที่ ได้แก่ ถ้ำเลสเตโกดอน นำคนในชุมชนมาทำอาชีพมัคคุเทศก์ หรือบริการพายเรือคะยักให้นักท่องเที่ยว สามารถทำเงินได้เพิ่มขึ้นจากอาชีพปกติปีละกว่า 2 เท่า หมายถึงทำรายได้มากกว่าการรับจ้างกรีดยางและทำประมง ในอดีตทำอาชีพเดิมตลอดทั้งปีเคยได้เงินครอบครัวละเพียง 45,000-50,000 บาท เมื่อหันมาทำอาชีพท่องเที่ยวชุมชนกลับมีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 60,000 -70,000 บาทต่อครอบครัว ผลลัพธ์ดังกล่าวจึงช่วยปลุกจิตสำนึกให้คนท้องถิ่นร่วมมือกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดความยั่งยืน เพราะเป็นมรดกอันล้ำค่าของท้องถิ่น
นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวว่า ปี 2562 วางแผนพัฒนาให้สตูลจีโอปาร์คมีความแข็งแกร่งต่อเนื่อง เพราะตามเงื่อนไขทาง UNESCO มีกติกาในการประเมินเพื่อประกาศให้แต่ละพื้นที่เป็น Global Geopark นั้น จะต้องรักษาคุณสมบัติไว้ให้ครบทั้ง 5 ประการ ได้แก่ 1.มีความโดดเด่นทางธรณีวิทยาระดับนานาชาติ 2.โครงสร้างการบริหารจัดการ ซึ่งทางสตูลกำลังบูรณาการสร้างเครือข่ายกับกลุ่มโลจิสติกส์ รถ เรือ ร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก ในท้องถิ่น เพื่อนำเรื่องราวต่าง ๆ เข้ามาทำจีโอปาร์คตามมาตรฐานเดียวกัน meการสร้างจุดขายเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะร้านอาหารได้จัดทำเมนูโดยนำงานวิจัยมาตั้งชื่อ เช่น ยำไข่ไทรโลไบต์ เป็นไข่แมงดาหน้าตาคล้ายสัตว์ดึกดำพบรร์ ลอติลอยด์ชุบแป้งทอด เป็นเมนูปลาหมึก ยำแบคิโอพอทหรือยำหอยทะเล และสโตไลท์คือนำสาหร่ายทะเลมาปรุงอาหาร นักท่องเที่ยวทุกคนที่มาถึงสตูลแล้วต้องได้รับประทานอาหารดังกล่าว
3.จัดโปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงธรณี 4.สร้างไกด์จีโอปาร์คให้มีคุณสมบัติสามารถบรรยายให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของการเป็นพื้นที่อุทยานธรณีวิทยาอย่างสมบูรณ์แบบ และ 5.การพัฒนาเศรษฐกิจสู่ความยั่งยืน ขณะนี้ได้ระดมมหาวิทยาลัย เครือข่ายองค์ความรู้ และท้องถิ่นเข้ามาร่วมมือกัน ล่าสุด สกว.เข้ามาช่วยทางด้านการทำงานวิจัยด้วย
ณรงค์ฤทธิ์ยืนยันว่า ทุก 4 ปี ทาง UNESCO จะต้องเข้ามาประเมินติดตามผล ดังนั้นทางสตูลเองก็จะต้องพัฒนาให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามเกณฑ์การประเมินของยูเนสโก้เพื่อรักษาการขึ้นทะเบียนจีโอปาร์คไว้ ดังนั้นตอนนี้จึงร่วมกับสถาบันการศึกษา จังหวัดสตูล ร่างหลักสูตรท้องถิ่น Geopark ให้คนทุกระดับชั้นในชุมชนได้เรียนรู้เข้าใจเรื่องราวของจีโอปาร์ค ระดับประถม มัธยม อุดมศึกษา และบุคคลคนทั่วไป พระภิกษุ ได้เรียนรู้ ซึ่งทำต่อเนื่องมาโดยมีโรงเรียนจีโอปาร์คนำร่องมาก่อนยูเนสโก้จะเข้ามาประเมินผลคือโรงเรียนนำร่องทุ่งหว้าวรวิทย์ ส่วนปี 2562 ร่างหลักสูตรให้ชัดเจนขึ้นโดยใส่เป็นรายวิชาให้ทุกโรงเรียนได้ศึกษาอย่างจริงจัง
ส่วนการเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวเมื่อมาถึงถิ่นแล้วอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน อาทิ ผ้าบาติกลายฟอสซิลย้อมสี เป็นผลิตภัณฑ์ชุมชนเล่าเรื่องราวจีโอปาร์ค อีกทั้งยังจัดกิจกรรมให้นักท่องเที่ยว นักเรียน นักศึกษา ลงมือด้วย ชุมชนจะมีรายได้เพิ่มจากค่าอุปกรณ์ สี และอื่น ๆ เพิ่มขึ้น ทำให้ดีกว่าสมัยก่อนชุมชนมักจะต้องนำสินค้าออกจากท้องถิ่นไปขายในงานโอท็อป แต่ตอนนี้สามารถปักหลักขายอยู่ในพื้นที่ได้ และจากนี้เป็นต้นไปยังจะมีวิสาหกิจชุมชนพร้อมแจ้งเกิดใหม่ต่อเนื่องตลอด
ล่าสุดทางจังหวัดสตูลและอุทยานธรณีวิทยา ได้นำโปรดักซ์การท่องเที่ยวเข้าร่วมขายในงาน 55 เมืองรอง โครงการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ทางสตูลได้จัดไฮไลต์ในบูธนำเสนอเป็นการทำโชว์เคสต์ ให้นักท่องเที่ยวได้สะท้อนสิ่งที่เห็นถึงเพิ่มความรู้ความเข้าใจเรื่องจีโอปาร์คมากขึ้น พร้อมทั้งยังแวะมาซื้อผ้าลายจีโอปาร์คไปตัดเสื้อผ้าแฟชั่น รวมถึงสนใจซื้อโปรแกรมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อจะเดินทางไปสตูลด้วย โดยแต่ละชุมชนได้เปิดช่องทางเข้าถึงการจองใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ www.stungeopark.com มีข้อมูลพร้อมเบอร์โทรศัพท์ติดต่อได้ หากต้องการจะให้ออกแบบเส้นทางการท่องเที่ยวพื้นที่จีโอปาร์คก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน
นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วประเทศไทยมีความตื่นตัวหันมาพัฒนาโครงสร้างเพื่อขอขึ้นทะเบียนเป็นจีโอปาร์ค ปี 2561 เข้าร่วมแล้ว 5 แห่ง 5 จังหวัด ได้แก่ 1.โคราชจีโอปาร์ค ขยับจากระดับจังหวัดเป็นประเทศ โดยผ่านการประเมินจากคณะกรรมการการจีโอปาร์คเรียบร้อยแล้ว ส่วนพื้นที่อื่น ๆ ได้รับการประกาศเป็นจีโอปาร์คระดับจังหวัดปีนี้ก็มี 2.ผาแจ่ม อุบลราชธานี 3.จีโอปาร์คขอนแก่น 4.จีโอปาร์คเพชรบูรณ์ ล่าสุดที่กำลังเข้าร่วมคือ นราธิวาส ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปทุกจังหวัดทั่วไทยสามารถนำต้นแบบจีโอปาร์คไปใช้พัฒนาจุดขายแหล่งท่องเที่ยวได้ทั่วประเทศ ไม่จำเป็นต้องเป็นถึงระดับโลกหรือ Global เป็นแค่ระดับจังหวัดและประเทศก็ได้ เพราะจะทำให้ชุมชนสามารถช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นไว้ได้อย่างยั่งยืน เป็นใบเบิกทางสำคัญของแนวทางบูรณาการทำงานร่วมกันกับทุก ๆ ฝ่าย
ตามผลจากงานวิจัยแต่เดิมไม่ค่อยมีพื้นที่ใดนำมาใช้ประโยชน์ แต่พอสตูลนำมาใช้ก็ได้นำงานวิจัยทั้งหมดมาใช้ได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งเรื่องทางกายภาพ วัฒนธรรม วิถีชีวิต สร้างจุดเปลี่ยนพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจากฉิ่งฉับทัวร์มาเป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณค่าทางวัฒนธรรม เมื่อเข้าไปยังแต่ละท้องถิ่นก็มีความแปลกแตกต่างกัน เพราะทรัพยากร วิถีชีวิตชุมชน วัฒนธรรม และผลิตภัณฑ์ ไม่เหมือนกันเป็นอัตลักษณ์เฉพาะพื้นที่ของชุมชนนั้น ๆ
ขณะนี้ประเทศยักษ์ใหญ่ระดับโลกได้หันมาให้ความสนใจที่จะร่วมกับ UNESCO ทำจีโอปาร์คเต็มรูปแบบ ขึ้นทะเบียนเป็นระดับโลกมี 140 แห่ง ใน 38 ประเทศ ตัวอย่าง สาธารณรัฐประชาชนจีน สามารถพัฒนาจีโอปาร์คระดับโลกได้มากถึง 75 แห่ง และยังมีระดับประเทศอีก 207 แห่ง แนวโน้มจีนจะทำให้เป็นจีโอปาร์ทั้งประเทศ สร้างชุมชนมีรายได้ ทำการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ส่วนญี่ปุ่นก็พัฒนาขึ้นทะเบียนเป็นระดับโลก 8 แห่ง ระดับประเทศ 45 แห่ง แหล่งท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่คนไทยและทั่วโลกไปเที่ยวล้วนแล้วแต่เป็นจีโอปาร์คทั้งสิ้น
สำหรับสตูลได้รับคอนเซ็ปต์มานับ 10 ปี ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องใหม่ ที่จะต้องเป็นต้นแบบปลุกกระแสในการนำจุดแข็งมาพัฒนาอาชีพสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้ชุมชนทั่วประเทศหันมาตื่นตัวทำจีโอปาร์ค เพราะกลยุทธ์การณรงค์ให้คนในชุมชนหันมาผนึกความร่วมมือกันพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นแหล่งจีโอปาร์คสำเร็จ จะมีพลังหลอมรวมความเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้คนท้องถิ่นกลับมารัก ดูแล หวงแหนทรัพยากรธรรมชาติบ้านเกิดได้อย่างอัศจรรย์มาก
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์ชวนใช้สิทธิ์เดือนเกิดช้อปรับ2ต่อทั่วไทย”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ พร้อมตอบแทนสมาชิกคิง เพาเวอร์ในช่วงเดือนเกิดของแต่ละคน เพียงซื้อสินค้าราคาปกติตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป 1 ชิ้น รับของขวัญสุดคุ้มถึง 2 ต่อ
ต่อที่ 1 รับ Cash Back 30% ของมูลค่าสินค้า ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา หรือภูเก็ต
ต่อที่ 2 รับ Cash Back 25% ของมูลค่าสินค้า ที่ คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง หรือภูเก็ต (เฉพาะสมาชิกที่ใช้สิทธิ์ต่อที่ 1 แล้วเท่านั้น)
เพียงแสดงบัตรสมาชิกคิง เพาเวอร์ รับสิทธิ์ทันที โดยสามารถใช้สิทธิ์ Birthday Celebration ภายใน 3 เดือน นับตั้งแต่เดือนเกิดของผู้ถือบัตร ใช้สิทธิ์ต่อที่ 1 ซื้อสินค้าที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา หรือภูเก็ต และใช้สิทธิต่อที่ 2 ได้ที่ คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง หรือภูเก็ต
ส่วนผู้ถือบัตรเครดิตร่วม คิง เพาเวอร์ กับธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย ใช้สิทธิ์ต่อที่ 1 เท่านั้น โดยจะได้รับคืนในรูปแบบ Cash Voucher ต้องมีมูลค่า 100 บาทขึ้นไปเท่านั้น
สำหรับการใช้ E-Purse สมาชิกต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรที่ออกโดยหน่วยงานราชการ พร้อมบัตรสมาชิกคิง เพาเวอร์
สอบถามเพิ่มเติมที่คอล เซ็นเตอร์ โทร. 1631
ข่าวที่ 2 “ททท.ชูแข่งเรือปลุกทัวร์-ดันครึ่งปีหลัง55เมืองรองพุ่ง”
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าการท่องเที่ยวภายในประเทศตลอดเดือนกันยายน 2561 นี้ ทั่วประเทศโปรโมตสีสันการท่องเที่ยวงานประเพณีแข่งเรือ 5 ภูมิภาค ไฮไลต์หลัก ๆ ทางภาคเหนือตอนล่างกับภาคกลาง มีงานเรือยาวแม่น้ำน่าน จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร ภาคใต้ชมการแข่งเรือกอและ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งมีการเพ้นต์ลายลงบนลำตัวเรือ ภาคอีสานก็จัดแข่งเรือลำน้ำโขงเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-สปป.ลาว ที่จังหวัดบึงกาฬ ต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคมตามปกติทุกปีจะมีเทศกาลอาหารทั่วประเทศ ไฮไลต์ต้องยกให้เทศกาลกินเจ ถือศีลกินผัก กระจายอยู่ทั่วภาคใต้
ส่วนการปลุกตลาดท่องเที่ยว 55 เมืองรอง ททท.ประสบความสำเร็จค่อนข้างดี ปี 2561 ตั้งเป้าทำรายได้รวมจากตลาดในประเทศทั้งหมดให้ถึง 1 ล้านล้านบาท ตอนนี้6 เดือนแรก ระหว่างมกราคม-มิถุนายน 2561 เมืองรองทั่วประเทศทำรายได้เข้าเป้า 1.17 แสนล้านบาท มีจำนวนนักท่องเที่ยวกระจายไปตามพื้นที่ทั่วประเทศ 41.7 ล้านคน-ครั้ง เติบโต 8-10 %
นายธเนศวร์ย้ำว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวเมืองรองช่วงครึ่งปีแรกเมื่อแบ่งตาม “จำนวนนักท่องเที่ยว” อันดับ 1 นครศรีธรรมราช ซึ่งมีแบรนดิ้งเมือง 2 ธรรม คือ ธรรมะกับธรรมชาติ มีนักท่องเที่ยวเข้าไปแล้ว 357,230 คน อันดับ 2 อุดรธานี 271,204 คน อันดับ 3 พิษณุโลก 243,622 คน และแบ่งตาม “อัตราการเติบโตสูงสุด” อันดับ 1 แม่ฮ่องสอน เติบโต 13.37 % อันดับ 2 ยะลา 9.27 % อันดับ 3 ปัตตานี 8.69 % ปัจจัยหลักมาจากความสะดวกในการเดินทางเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้รัฐบาลเร่งให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกจากเมืองหลักสู่เมืองรองในการพัฒนาระบบโครงข่ายถนน บริการรถสาธารณะรถรบัส รถตู้ ต่าง ๆ สามารถกระจายนักท่องเที่ยวให้เป็นไปตามเป้าหมายได้
ขณะที่สถิติการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศของคนไทยช่วงวันหยุดยาว ททท.พบว่า วันแม่แห่งชาติ 11-13 สิงหาคม 2561 มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือน 1.88 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้กระจายสู่ทั่วไทย 6,397 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13 % วันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา 27-30 กรกฎาคม 2561 มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือน 2.65 ล้านคน สร้างรายได้รวม 8,371 ล้านบาท กระจายอยู่ในกรุงเทพฯ 1,027 ล้านบาท เพิ่ม 22.38 % ภาคกลาง 963 ล้านบาท ลดลง 10.08 % ภาคตะวันออก 1,600 ล้านบาท เพิ่ม 21.61% ภาคเหนือ 832 ล้านบาท เพิ่ม 11.38 % ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 630 ล้านบาท เพิ่ม 11.78 % ภาคใต้ 1,344 ล้านบาท เพิ่ม 20.55 %
ในช่วงวันหยุดยาววันแม่แห่งชาติ อาสาฬบูชาและเข้าพรรษา ปีนี้ นักท่องเที่ยวเข้าไปยัง 55 เมืองรอง มีจำนวนนักท่องเที่ยว 8 แสนคน-ครั้ง เพิ่ม 11 % ทำรายได้ 1,961 ล้านบาท เพิ่ม 16 % ด้วยแรงจูงใจแบ่งเป็น 3 โครงการ ประกอบด้วย
โครงการแรก 12 เมืองต้องห้าม...พลาด มีนักท่องเที่ยว 2.54 แสนคน-ครั้ง เพิ่ม 17 % ทำรายได้ 770ล้านบาท เพิ่ม 22 %
โครงการที่สอง 10 เมืองพลัส มีนักท่องเที่ยว 1.60 แสนคน-ครั้ง เพิ่ม 8 % ทำรายได้ 340 ล้านบาท เพิ่ม 9 %
โครงการที่สาม 33 เมืองรองอื่น ๆ มีนักท่องเที่ยว 3.86 แสนคน-ครั้ง เพิ่ม 9 % ทำรายได้ 850 ล้านบาท เพิ่ม 13 %
นายธเนศวร์กล่าวว่า ได้เพิ่มความเข้มข้นในการจัดทำแผนสื่อสารการตลาด เน้นบุกเจาะกลุ่มเป้าหมาย (segmentation) 4 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1.กลุ่มสตรี 2.วัยเก๋ากลุ่มผู้เกษียนอายุ 3.กลุ่มคนรุ่นใหม่เจนวาย 4.กลุ่มครอบครัว ในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 จนถึงต้นปี 2562 ททท.จะโหมสื่อสารการท่องเที่ยวให้ตรงกลุ่มเป้าหมายเที่ยวเมืองรอง “ตลาดในประเทศ” ด้วยแคมเปญ “อะเมซิ่ง ไทยเท่” เป็นแบรนด์หลักเพื่อชวนคนออกมาท่องเที่ยวเมืองไทยอย่างลึกซึ้งมากขึ้น โดยเชิญกันออกตามหาฮีโร่ คนเท่ คนดี คนเก่ง ซึ่งกระจายอยู่ทั่วไทย อาจจะเป็นปราชญ์หรือศิลปินในชุมชน ผู้มีลักษณะการพิทักษ์รักษาท้องถิ่น พร้อมจะนำเรื่องเล่าของท้องถิ่นมาบอกให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ถึงคุณค่าของแต่ละชุมชนที่มีมาอย่างยาวนาน
ส่วน “ตลาดต่างประเทศ” เน้นใช้แคมเปญ “Open to the New Shades” การค้นหาความหลากหลายลงไปสัมผัสความเป็นไทยโดยใช้แบรนด์ Amazing Thailand นำเสนอจุดเด่นอันหลากหลายที่ซุกซ่อนอยู่ตามชุมชนต่าง ๆ ปลุกนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสนใจเดินทางกระจายจากเมืองหลักสู่เมืองรอง เป็นการตอบโจทก์นโยบายของรัฐบาลทั้งทางด้านการลดความเหลื่อมล้ำและกระจายรายได้เข้าสู่ท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด
ข่าวที่ 3 “บางจากแจก700ทุน-มอบเงินมูลนิธิรามาธิบดี”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้นำคณะผู้บริหาร มอบทุนการศึกษาให้เยาวชนบางจาก ประจำปี 2561 จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 ครั้งนี้แจกรวมกว่า 700 ทุน ผ่านโรงเรียนในโครงการอาหารกลางวัน โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ โรงเรียนในสังกัดสำนักการศึกษา (สนศ.) กรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย และชุมชน แฟลต - บ้านพักทหารกรมเสมียนตรา เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ส่งเสริมเยาวชนรู้หน้าที่ เติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพ
ทางด้าน นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายวิบูลย์ วงสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด ได้มอบเงินบริจาคสมทบทุนมูลนิธิรามาธิบดีฯ เพื่อนำไปจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ สำหรับสถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์สุพัตรา ลีลาภิวัฒน์ กรรมการบริหารและเลขาธิการมูลนิธิรามาธิบดีฯ เป็นผู้รับมอบ
โดยเงินสมทบทุนดังกล่าว บางจากได้รับจากลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านสพาร์และร้านอินทนิลร่วมบริจาคผ่านกล่องรับบริจาคในร้าน และยังคงสามารถร่วมแบ่งปันอย่างต่อเนื่องเพื่อรวบรวมส่งมอบให้แก่มูลนิธิรามาธิบดีต่อไป
ข่าวที่ 4 “ทอท.เปิดเกมรุกCirtifly Hubคาร์โก้2เวทีใหญ่”
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” เปิดเผยว่าช่วงต้นเดือนกันยายนนี้จะนำทีมที่เกี่ยวข้องเดินทางไปหารือสรุปกับท่าอากาศยาน Liege กรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม ในโครงการที่จะประกาศให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของไทยเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าทางอากาศตรวจรับสินค้าเกษตรแห่งภูมิภาคเอเชียเข้าสู่ยุโรป -Cargo Airport Cirtifly Hub” โดยได้ทำข้อตกลงกันไว้แล้วและในการที่ ทอท.เป็นเจ้าภาพจัดประชุม Airport Sister CEO Forum 2018 ในกรุงเทพฯ ก็ได้หารือกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านกลุ่ม CLMV กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม ซึ่งสนใจเข้ามาเป็นคู่ค้าส่งสินค้าผ่านไทยเข้าตลาดยุโรป ประเมินตลาดคาร์โก้ไว้แล้วเช่นกัน
โครงการนี้จะเป็นผลดีต่อทั้งไทยและสมาชิกอาเซียน ส่วนเรื่องที่จะต้องย้ำเน้นมากที่สุดคือมาตรฐานการขนส่งสินค้าประเภทยารักษาโรคต่าง ๆ ต้องปลดล็อกเมื่อนำสินค้ามาแวะพักคาร์โก้สุวรรณภูมิแล้วส่งออกสู่ปลาย ต่อไปไม่ต้องขออนุญาตจากองค์การอาหารและยาของไทยอีกต่อไป
ขณะที่ ฝ่ายบริหารการขนส่งสินค้าทางอากาศ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ทอท.รายงานว่า ได้ไปร่วมออกบูธในงาน “TILOG-LOGISTIX 2018” เมื่อ 29 - 31 สิงหาคม 2561 เพื่อใช้งานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ ประจำปี 2561 ประชาสัมพันธ์การดำเนินงานและแผนการพัฒนาเขตปลอดอากร ทสภ. ให้ผู้ร่วมงานรู้ถึงภารกิจ และเผยแพร่โครงการศูนย์ตรวจสอบสินค้าเกษตรก่อนส่งออก (Certify Hub) พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2560 เรื่องการงดเว้นใบอนุญาตสำหรับสินค้าที่ไม่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และการเป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์ (The Hub of Logistics) ภายใต้แนวคิด “ASEAN Logistics Solutions-CLMVT Sourcing Partners”
สำหรับงาน TILOG-LOGISTIX 2018 เจ้าภาพจัดคือกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับบริษัท REED TRADEX เปิดตลาดนัดพบทางการค้าและการแข่งขันแก่นักอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในกลุ่มอาเซียนโดยเฉพาะ CLMV โดยมีผู้นำเทคโนโลยี นวัตกรรม เครื่องจักร จาก 25 ประเทศมาแนะนำมากถึง 415 แบรนด์พร้อมกับการสัมมนาเพิ่มองค์ความรู้ จัดกิจกรรมส่งเสริมการค้า เช่น การสร้างเครือข่าย จับคู่เจรจาธุรกิจ
ข่าวที่ 5 “TCEBหนุนจัดไต้หวันเอ็กซโปปลุกไมซ์คุณภาพโตเพิ่ม”
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ได้ร่วมสนับสนุน การจัดงาน Taiwan Expo 2018 ที่มาจัดครั้งแรกในไทย โดยมี 4 พันธมิตร ได้แก่สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน สมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน จัดขึ้นเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2561 ณ อีเว้นท์ฮอลล์ 99 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ภายใต้แนวคิด “Let’s Tie Together” ชูเทคโนโลยีเพื่อให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น แลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม และกระตุ้นความร่วมมือทางการค้าระหว่างไทยกับไต้หวัน
โดยทีเส็บพร้อมจะเพิ่มโอกาสที่ดีให้คนไทยที่ได้สัมผัสกับความเป็นไต้หวันทั้งในมุมของผู้บริโภคที่สนใจนวัตกรรมช่วยเสริมการใช้ชีวิตให้สะดวกสบายขึ้น และกลุ่มผู้ทำธุรกิจผู้สนใจต่อยอดเทคโนโลยีและการค้า ประการสำคัญจะขยายช่องทางไมซ์กลุ่มคุณภาพสูงจากตลาดไต้หวันเข้านำรายได้เข้ามาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในปีต่อ ๆ ไปได้ด้วย
ตลอดการจัดงานไต้หวัน เอ็กซ์โป 2018 มีกลุ่มธุรกิจ 210 ราย นำทั้งสินค้า เทคโนโลยีและนวัตกรรมจากไต้หวันเทรนด์ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันสะดวกสบายมากขึ้นมาจัดแสดงให้ชม 7 โซน ได้แก่ 1.โซนเทคโนโลยีเพื่อชีวิตคนเมือง : Smart City 2.โซนเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม : Green Tech 3.โซนสินค้าและบริการเพื่อสุขภาพ : Health Care 4.โซนศิลปวัฒนธรรม : Culture 5.โซนการท่องเที่ยว : Talents & Tourism 5.โซนสินค้าการเกษตร : Agricultural และ 7.โซนสินค้าเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น : Good Living
นายชู-เทียน หลิว ประธาน สมาคมการค้าไทย-ไต้หวัน กล่าวว่า ปี 2560 ไต้หวันเข้ามาลงทุนในไทยมูลค่าประมาณ 480,000 ล้านบาท (14,307 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) การจัดงาน ไต้หวัน เอ็กซ์โป 2018 จะช่วยขยายธุรกิจและการเจรจาทางการค้าต่อไปในอนาคตเติบโตเพิ่มขึ้นได้
สำหรับในช่วงที่ 2 จะพาไปท่องเที่ยวเมืองรองสุดฮ็อต “นครศรีธรรมราช” ได้ชื่อว่าเป็น “ดินแดน 2 ธรรม” และนครประทานพร ศูนย์รวมพระเกจิ พระเครื่องขึ้นชื่อเรื่องความขลัง จากจตุคามรามเทพ พระพวย พระแอด ไอ้ไข่วัดเจดีย์ และสิ่งมหัศจรรย์ที่ต้องรีบไปค้นหา ส่วนเรื่องสุขภาพมาฟังว่า “แคลเซี่ยมมีความสำคัญกับคนแต่ละวัย” อย่างไร และข่าว”เจ้าสัวธนินทร์ซูเปอร์บ๊อสซีพี” นำทีมเปิดตัวโรงแรมน้องใหม่ Waldorf Astoria Bangkok ที่เลื่อนมา 2 ปี ได้ฤกษ์ดีเปิดเรียบร้อยเมื่อ 30 สิงหาคม “ชื่นชมชิมอาหารถิ่นจันทบุรี” 20-23 ก.ย.นี้ “สุราษฎร์ปิดเกาะสมุย” จัดมหกรรม เฟสติวัล 2018 แจ้งกันไว้ก่อน “พัทยากลางปิดถนนซ่อมโครงการ” 2-6 ก.ย.นี้
@ เที่ยวนครศรีธรรมราชเมือง2ธรรม
ปีนี้คนแห่แหนกันลงใต้ไปอุดหนุนการท่องเที่ยวเมืองรอง “นครศรีธรรมราช” จนกลายเป็นแชมป์ที่กวาดรายได้นำโด่ง ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สร้างแบรนด์ใหม่เป็นแหล่งท่องเที่ยว “2 ธรรม-ธรรมชาติกับธรรมะ” ก่อนหน้านี้ผู้คนมักจะไปเพราะแรงดึงดูดของ “จตุคามรามเทพ” ผู้รักษาวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นักท่องเที่ยวจึงนิยมเดินทางไปกราบไหว้ เรื่อยไปจนถึงการเรียกขานว่าเป็น “นครประทานพร” ด้วยชื่อเสียงของพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง
ในวัดพระมหาธาตุฯ ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือ “พระพวย” เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง ประทับยืนปางประทานอภัย สมัยศรีอยุธยา ตรงฐานบัวมีรูน้ำไหล เหมือนพวยกา คนส่วนใหญ่นิยมไปขอพรเรื่องการมีบุตร เมื่อได้สมปรารถนาก็จะนำรูปถ่ายของลูกหลานมายืนยันในความศักดิ์ของพระพวยนั่นเอง
“พระแอด” เป็นพระสังกัจจายองค์ขาวในวัดมหาธาตุวรวิหารอีกองค์ที่ชาวนครศรีธรรมราชชวนกันไปขอโชคลาภ ที่แปลกกว่านั้นคือหากใครปวดเมื่อยตามร่างกาย ก็มีคำบอกเล่าให้ไปนวดพระแอด หากปวดหลังก็ให้นำไม้ไปค้ำพระแอดแล้วจะพบกับความมหัศจรรย์คือหายปวดจากอาการเหล่านั้นได้
ส่วนที่ “วัดเจดีย์” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ไอ้ไข่” วัดเจดีย์ โด่งดังมากเรื่องการบอกหวย ชาวบ้านเชื่อกันอย่างนั้น ถ้าไปวัดนี้ก็ต้องทำใจจะต้องได้เจอกับคลื่นมหาชนที่หลั่งไหลมาบอกโชคลาภในแต่ละเดือนอย่างคับคั่ง
“วัดธาตุน้อยหรือวัดสวนข้น” มีหลวงพ่อคล้อย ด้วยอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวกันปากต่อปากเรื่องความเมตตา วาจาศักดิ์สิทธิ์ ใครได้กราบสักการะจะเป็นมงคลแก่ชีวิตอย่างมาก
ในนครศรีธรรมราช มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันทรงคุณค่าที่ “ปากพนัง” มีแหลมตะลุมพุกอุดมไปด้วยหาดทรายสวยงามน่าเดินเล่น บริเวณโดยรอบเป็นศูนย์ความอุดมสมบูรณ์ของอาหารการกิน ตลาดอาหารทะเลตั้งอยู่ติดริมน้ำราคาแสนถูก ตึกเก่าแก่ตามหัวมุมที่ยังคงอัตลักษณ์ความงามดึงดูดตา
นครศรีธรรมราชจึงเป็นอีก 1 เมืองรอง ที่น่าค้นหาอย่างมาก เที่ยวเมืองไทย เก๋ไก๋ เสมอ
@ความสำคัญของแคลเซี่ยมต่อร่างกาย
กระดูกเป็นโครงสร้างของร่างกาย ทำให้ร่างกายทรงตัวอยู่ได้ และเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ ซึ่งแร่ธาตุที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูก คือ แคลเซียม
แคลเซียมไม่ได้มีบทบาทต่อกระดูกและฟันเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อระบบต่างๆ ของร่างกายด้วย หน้าที่ของแคลเซียมต่อร่างกายพอจะจำแนกได้ดังนี้
1.สร้างกระดูก ฟัน เล็บ และเส้นผม รวมทั้งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ 2.ทำให้ระบบประสาทส่วนที่ควบคมการยืดและหดตัวของกล้ามเนื้อทำงานเป็นปกติ 3.ควบคุมให้กลไกการแข็งตัวของเลือดเป็นไปตามปกติ 4.ช่วยระบบประสาทในการส่งสัญญาณให้เร็วขึ้น 5.เป็นส่วนผสมของน้ำย่อยทุกชนิด และช่วยให้ระบบของน้ำย่อยทำงานเป็นปกติ 6.ช่วยในการดูดซึมวิตามินบี 12 และ 7.ป้องกันอาการผิดปกติในวัยใกล้หมดประจำเดือน
จากหน้าที่ทั้งหมดจะเห็นได้ว่าแคลเซียมมีความจำเป็นต่อร่างกายมาก หน้าที่โดยรวมของแคลเซียมในเด็กและผู้ใหญ่คงไม่ต่างกัน เพียงแต่สัดส่วนของการทำหน้าที่อาจไม่เท่ากัน คือ ในเด็กวัยที่กำลังเจริญเติบโตทุกด้านโดยเฉพาะกระดูกและฟัน แคลเซียมจึงต้องทำหน้าที่หนักไปในด้านนี้ แต่ก็ยังต้องรักษาหน้าที่อื่นให้ปกติด้วย
ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่หลังจากอายุ 35 ปีไปแล้ว แคลเซียมไม่สามารถเสริมสร้างกระดูกได้ แต่ก็ยังต้องทำหน้าที่รักษาสมดุลของเนื้อกระดูกให้อยู่ได้นานที่สุดโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นอีกหลายประการ
แต่ละวันของคนเรามีความต้องการแคลเซียมต่างกัน ในวัยเด็กย่อมต้องการมากกว่าผู้ใหญ่ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่มีภาวะต่างกัน เช่น หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรก็ยังต้องการมากกว่าหญิงปกติ ตามปกติคนเราจะใช้แคลเซียเสริมสร้างกระดูกตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ จนถึงอายุประมาณ 30-35 ปี หลังจากนั้นไปแล้วการเสื่อมสลายจะมีมากกว่าการเสริมสร้าง การกินแคลเซียมในช่วงหลังอายุ 30-35 ปี ไม่ช่วยเสริมสร้างกระดูกแต่ช่วยลดการเสื่อมสลายได้ ดังนั้นถ้าเรากินแคลเซียมมากพอตั้งแต่ก่อนอายุ 35 ปี จะช่วยให้เรามีกระดูกที่หนาแน่นดีพอเมื่อถึงคราวต้องเสื่อมสลายไปตามวัย กระดูกก็มักจะไม่เปราะบางเร็วเกินไป วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตของกระดูกทั้งด้านยาว (สูง) และความหนาแน่น (ความแข็งแรง) มากที่สุด จึงต้องการแคลเซียมมากกว่าวัยอื่น ๆ
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “เจ้าสัวธนินทร์นำทีมเปิดตัวโรงแรมใหม่ Waldorf Astoria”
เมื่อคืนวันที่ 30 สิงหาคม 2561 เจ้าสัวธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานและเจ้าของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้เชิญผู้มีชื่อเสียงระดับแถวหน้าของเมืองไทย มาร่วมฉลองการเปิดตัวธุรกิจโรงแรมน้องใหม่ “Waldorf Astoria Bangkok” ตั้งอยู่ย่านราชดำริ ใกล้สี่แยกราชประสงค์ (ใกล้แกรนด์ไฮแอท เอราวัณ) เป็นเมกะโปรเจ็กต์สไตล์ MIX USE รวมอยู่ในโครงการ โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด มีทั้งโรงแรม คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร บริการต่าง ๆ ครบวงจร
โดยมี นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานงานเลี้ยงรับรองการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโรงแรม Waldorf Astoria Bangkok เครือเจริญโภคภัณฑ์
สำหรับ Waldorf Astoria เป็นโรงแรมที่หรูหราและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของมหานครนิวยอรค์ในเครือHilton เลือกมาปักธงในมหานครกรุงเทพของไทยโดยร่วมทุนกับ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวลอปเมนต์ จำกัด เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยเลื่อนเปิดอย่างเป็นทางการมา 2 ปี มีบริการห้องพัก 170 ห้อง ตั้งอยู่ส่วนล่างของโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด มีบริการห้องอาหารและบาร์ สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้พูล
ข่าวที่สอง “เตรียมบุกไปชิมอาหารถิ่นจันทบูร20-23ก.ย.นี้”
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานระยอง รายงานว่า เตรียมร่วมกับเอกชนจัดงาน “ชื่น ชม ชิม อาหารถิ่นจันทบูร” ระหว่างวันที่ 20 – 23 กันยายน 2561 ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี เพื่อเปิดประสบการณ์ตรงให้นักท่องเที่ยวสัมผัสวิถีถิ่นตลอดงานซึ่งจะมีทั้งบริการท่องเที่ยว อาหารถิ่น ราคาสุดพิเศษ พร้อมกับลุ้นรับ Gift Voucher ไปชิมอาหารตามร้านชั้นนำทั่วเมืองรองจันทบุรีมากถึง 200 รางวัล
ตลอดงานนักท่องเที่ยวจะได้พบกับกิจกรรมความหลากหลาย การเยี่ยมชมอาคารหอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี สถาปัตยกรรมผสมผสานตะวันออกและตะวันตก เพลิดเพลินกับความยิ่งใหญ่ของนิทรรศการแสดงภาพประวัติศาสตร์ เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสจันทบุรี เป็นสำเนาภาพจากฟิล์มกระจก ที่สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้รับการประกาศจาก UNESCO ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก หรือ UNESCO Memory of the World
สนุกกับนิทรรศการอาหารถิ่นตามรอยเสด็จประพาสจันทบุรี และแวะชิมอาหารถิ่นตามซุ้มต่าง ๆ มาจากชุมชนประวัติศาสตร์ และร้านอาหารพื้นเมืองจันทบุรีกว่า 40 บูธ ชมและชิมการสาธิตอาหารถิ่นจันทบูร เช่น ขนมจ้าง เส้นจันท์ผัดปู หมูชะมวง พริกกะเกลือ กั๊กเซียนปี้ และอื่น ๆ ดูการถ่ายทอดวัฒนธรรมอาหารถิ่น โดย เชฟปิง และลูกหลานชาวจันท์
สุนทรีไปกับการแสดงดนตรีและลีลาศย้อนยุคถวายพระเกียรติ และการแสดงชุด “ระบำแก้วจันทราศรีสุนันทาลัย” และมุมถ่ายภาพย้อนยุค เก็บภาพแห่งความประทับใจในงาน “ชื่น ชม ชิม”
ในแต่ละวัน ช่วง 1 ทุ่มตรง ได้จัดพิธีให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมจุดเทียนถวายสักการะ ณ พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 5
ข่าวที่สาม “สุราษฎร์ปิดเกาะสมุยจัดเฟสติวัล25-30ก.ย.61”
จังหวัดสุราษฎร์ธานี เตรียมจัดมหกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวขึ้นเกาะในงาน “สมุย เฟสติวัล 2018” ระหว่างวันที่ 25-30 กันยายน 2561 ทั่วพื้นที่เกาะสมุย โดยจัดให้มีเวทีหลักบริเวณ ตลาดหน้าทอน หาดเฉวง-พรุเฉวง บ่อผุด และละไม โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะให้เกียรติเป็นประธาน ในวันที่ 26 กันยายน นี้ เวลา 18.00 น. ที่หาดหน้าทอน
สำหรับงานสมุย เฟสติวัล 2018 ตลอด 6 วัน นักท่องเที่ยวสามารถร่วมทำกิจกรรมมากมาย ที่โดนใจต่างชาติคือการแข่งขันศึกมวยภาคใต้ ต่อเนื่องระหว่าง 26 – 29 กันยายน นี้ ณ เวที The wharf บ่อผุด และการแข่งขันวิ่งมาราธอน แอนด์ เทรล สมุย เฟสติวัล 2018 ชิงถ้วยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
อาหารถิ่นก็มี Food Street การแสดงและขายอาหารของร้านดัง ๆ ทั่วเกาะสมุยและอำเภอต่าง ๆ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และมหกรรมอาหาร ไทย ฮาลาล รวมถึงการแข่งขันทำอาหารโดยเชฟภาคใต้
งานประเพณีก็มี ทำบุญสารทเดือนสิบกับชาวเกาะ 7 ตำบล 10 วัด ซึ่งปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ ชมสีสันขบวนแห่รถบุปผชาติที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนประชันกันตกแต่งอย่างสวยงาม
ศิลปะบันเทิง ก็ต้องร่วมสนุกกับคอนเสิร์ตศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย และการแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น แล้วไปชม Art Lane การแสดงศิปะร่วมสมัย โดยศิลปินจากทั่วประเทศ และศิลปินท้องถิ่น นำโดย อ.อำมฤทธิ์ ชูสุวรรณ
ปิดท้ายด้วยมหกรรมช้อปสินค้า OTOP หัตถกรรมพื้นบ้านของอำเภอต่างๆ และผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีของกระทรวงมหาดไทย
ข่าวที่สี่ “นักท่องเที่ยวรับมือปิดซ่อมถนนพัทยากลาง2-6ก.ย.”
กรมทางหลวงชนบท (ทช.)โดยสำนักก่อสร้างทาง แจ้งว่า ระหว่างวันที่ 2 - 6 กันยายน 2561 นักท่องเที่ยวหรือผู้เดินทางที่จะไปยังพัทยา จ.ชลบุรี เตรียมใช้เส้นทางเลี่ยง เพราะจะปิดการจราจรโครงการก่อสร้างทางลดระดับบริเวณแยกสุขุมวิท – ถนนพัทยากลาง เพื่อติดตั้งโครงเหล็กสะพานลอยคนเดินข้าม บริเวณหน้ามูลนิธิคณะพระมหาไถ่ โดยมีช่วงเวลาปิดการจราจร ดังนี้
1. ทางลดระดับฝั่งขาไปสัตหีบ ตั้งแต่ 19.00 น. ของวันที่ 2 กันยายน 2561 ถึง 24.00 น. ของวันที่ 6 กันยายน
2. ทางลดระดับฝั่งขาไปชลบุรี ตั้งแต่ 08.00 น. – 16.00 น .ของวันที่ 3 กันยายน จากนั้นจะเปิดทางลดระดับตามปกติ และวันที่ 6 กันยายนจะทำการปิดทางลดระดับฝั่งขาไปชลบุรี ตั้งแต่ 20.00 น. – 24.00 น.
3. ถนนสุขุมวิททั้งสองฝั่ง คือ ขาไปสัตหีบและขาไปชลบุรี ตั้งแต่ 22.00 น. – 24.00 น. ของวันที่ 6 กันยายน โดยจะปิดถนนสุขุมวิททั้งหมด 3 จุด เพื่อเบี่ยงการจราจร คือ 1.บริเวณสัญญาณไฟจราจรใต้สะพานมอเตอร์เวย์ ทิศทางไปสัตหีบ 2.บริเวณสามแยกมอเตอร์เวย์ ทิศทางเลี้ยวซ้ายจากกรุงเทพฯ ไปสัตหีบ 3.บริเวณสัญญาณไฟจราจรแยกพรประภานิมิตร ทิศทางไปชลบุรี
เมื่อดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จหลังเวลา 24.00 น.วันที่ 6 กันยายน จะเปิดทางให้ประชาชนใช้สัญจรไปมาได้ตามปกติต่อไป
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน คอลัมนิสต์ท่องเที่ยว การบิน และผู้ดำเนินรายการ |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น