ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ททท.สต็อกโฮล์มพลิกเกมตลาดยุโรปเหนือ8ประเทศปี'63-เที่ยวสุขภาพปราจีนบุรี สระแก้ว

ททท.พลิกเกมตลาดปี’63เร่งปั๊มยอดยุโรปเหนือ8ประเทศ
จัดทัพใหญ่บุกโร้ดโชว์ก.ย.62-ลุยเจาะลูกค้าเศรษฐีจ่ายสูง
คิงเพาเวอร์เปิดแผนขับเคลื่อนธุรกิจด้วยสมองและหัวใจ
สมาชิกคิงเพาเวอร์กินครบ800บาทรับส่วนลด-กระเป๋าฟรี
ททท.ชงรัฐเท150ล้านโหม3โปรเจ็กต์ปลุกเที่ยวไทยคึกคัก
บางจากชูแคมเปญกระตุ้นปลายปีสะสมง่ายแลกได้เร็วขึ้น
TCEBใช้เวทีTMFโชว์แผนปี’63ไมซ์โกยรายได้2.3แสนล้าน
 MoreFunวันธรรมดาเที่ยวเชิงสุขภาพปราจีนบุรี-สระแก้ว
แนะวิธีลดกินเค็มเพิ่มสุขภาพแบบสวย ๆ ด้วย 8เรื่องดี ๆ
มหาดไทยขีดเส้นตายที่พัก50จังหวัดปรับใหญ่ก่อน9กย.
“ศักดิ์สยาม”เคลียร์ปมขัดแย้งที่ดินทอท.-เซ็นทรัลวิลเลจ 

ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม 2562 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97 #รวยด้วยข่าว #เที่ยวกับกู๋ #วันธรรมดาน่าเที่ยว #TCEB #ThailandMiceForum #MoreFunปราจีนบุรีสระแก้ว 

ช่วงที่ 1 ข้ามทวีปไปเจาะลึก “ททท.สต็อกโฮล์ม” วางกลยุทธ์ชิงเค้กรายได้ตลาด “นอร์ดิค-บอลติก” ในยุโรป 8 ประเทศ โดยทุ่มพลังมหาศาลสร้างไฮไลต์การขายสินค้า ฝ่ากระแสต้านแคมเปญ Flight Chain ที่ชาวนอร์ดิครักษ์โลกลดการบินเที่ยวไกลข้ามทวีป แต่ ททท.ทำได้ด้วยพลิกทุกมุมใส่โปรดักซ์ใหม่ เปิดพื้นที่เมืองรองทั้ง New Shade , Go Local, Go Green และ 3-5 กันยายน นี้ เปิดมหกรรมโร้ดโชว์ 8 ประเทศ ปลุกกระแสตลาดรอบใหม่เสริมทัพรายได้ปี 2563 

นางสาวเอิบลาภ ศรีภิรมย์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสต็อกโฮล์ม เปิดเผยว่า รับผิดชอบดูแลตลาดการท่องเที่ยวพื้นที่ยุโรปเหนือ มี 8 ประเทศ ในกลุ่มสแกนดิเนเวียหรือนอร์ดิค มี สวีเดน เดนมาร์ก นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ กับกลุ่มบอลติก (ติดรัสเซีย) มี เอสโทเนีย ลิโธเนีย ลัทเวีย ทั้งหมดมีประชากรรวมกัน 32 ล้านคน มีความสามารถทางการเดินทางต่างประเทศได้จริง 70 % ดังนั้นจึงทำตลาดเชิงรุกพุ่งเป้าขยายฐานเจาะนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยภาพรวมแต่ละปีเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทย 7.5 แสนคน พำนักเฉลี่ย 17-20 วัน/คน/ทริป ใช้เงินในไทยสูงมาก มาซ้ำ ๆ (repleater) ประมาณ 80 %

 เป้าหมายปี 2563 จะเพิ่มตลาดกลุ่มใหม่โดยใส่จุดขายพิเศษเข้าไปดึงดูดมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้าน Wellness การท่องเที่ยวเชิงกีฬา และการท่องเที่ยวชุมชน Go Local (ตามแผนแม่บทการตลาด ททท.กำหนดให้กระตุ้นด้วย 5 Go) ตามปกติชาวนอร์ดิคจะชอบเที่ยวทะเลภาคใต้แถบ ภูเก็ต พังงา กระบี่ หัวหิน และภาคตะวันออก ระยอง ตราด ต่อไปจะไปแนะนำ New Shade ให้มากขึ้น ได้แก่ สุราษฎร์ธานี ชุมพร ระนอง หรือย่างขนอม นครศรีธรรมราช โปรโมตมาแล้ว 2 ปี กระแสตอบรับดีมาก รวมทั้งจะเปิดแหล่งท่องเที่ยวเพิ่มฝั่งทะเลตะวันออก จันทบุรี เกาะกูด หลังจากเกาะช้างติดตลาดแล้ว ซึ่งแต่ละพื้นที่มีชุมชนกระจายตัวอยู่อย่างหลากหลาย พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวนอร์ดิคสามารถท่องเที่ยวชุมชนได้แต่ไม่นิยมพักโฮมสเตย์ ต้องการทำให้มี Return of Experience : ROX ตามนโยบายหลักของ ททท.ปีหน้า จึงต้องปรับการขายตอบสนองมาตรฐานของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ด้วย ชอบความเป็นส่วนตัว แต่สามารถเปิดรับประสบการณ์ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ได้

 นอกจากจะขาย Go Local แล้ว ยังมี Go High –กระตุ้นการใช้จ่ายเงินสูงทำได้ 75,000 บาท/คน/ทริป ก็จะต้องหาช่องเพิ่มการใช้จ่ายได้อีก เช่น กลุ่มนักกอล์ฟ Go Low-กระตุ้นให้เดินทางมานอกฤดูซึ่งตรงกับซัมเมอร์ของนอร์ดิค หยุด 1-2 สัปดาห์ หรือบางคนลาหยุดพักทั้งเดือน แนะนำให้มาเมืองไทยบ้าง ตามปกติจะไปเที่ยวยุโรปเมืองอื่น ๆ แต่ไทยสามารถเที่ยวแสงแดดได้ โดยทำแบรนดิ้ง เพิ่มการท่องเที่ยวสีเขียว และการท่องเที่ยวเชิงอาหาร มีความชิค ๆ สร้างแรงบันดาลใจ รวมไปถึงการใส่ข้อมูลการท่องเที่ยวด้านสิ่งแวดล้อม มาท่องเที่ยวเมืองไทยแล้วสามารถช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมในชุมชนได้อย่างไร ทำซีเอสอาร์ เพราะตอนนี้ในนอร์ดิคมีแคมเปญรณรงค์ Flight Chain ซึ่งเป็นการรณรงค์เรื่องการเดินทางกับเครื่องบินระยะทางไกลจะสร้างมลพิษทางอากาศ แต่ ททท.สต็อกโฮล์มก็ร่วมมือกับสายการบินต่าง ๆ หาวิธีสร้างกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางไกลมาไทย โดยได้บุกเบิกโครงการ “24 สตาร์ตอัพ นอร์ดิค” จากไทยเข้าไปเจาะตลาด เช่น มาเที่ยวเมืองไทยสามารถมาช่วยปลูกป่าได้ โดยสายการบินเปิดให้นำคะแนนสะสมไมล์แลกเป็นส่วนตั๋วเครื่องบินแล้วนำเงินดังกล่าวมาช่วยชุมชนปลูกต้นไม้ ปลูกป่า ปลูกหญ้าทะเล เพิ่มขึ้น ทำแบรนดิ้งประเทศไทยแล้วมาช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมได้ด้วย การทำเรื่อง Green Hotel และ 7 Green ในไทย มีส่วนช่วยได้มากเช่นกัน

ขณะนี้ ททท.มี 24 Startup Nordic เข้าไปช่วยการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดขอบเมื่อมาเที่ยวเมืองไทยตั้งแต่ปลายปี 2562 เป็นต้นไป เป็นกลยุทธ์การสร้างกระแสให้เกิดความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกลุ่มสตาร์ตอัพจะเป็นเอเย่นต์แนวใหม่จัดทำแพกเกจ โปรแกรมท่องเที่ยว แบบอิสระ (F.I.T.) ขายผ่านช่องทางออนไลน์ สอดคล้องกับพฤติกรรมของชาวนอร์ดิคใช้ดิจิตอลซื้อขาย วางแผนการท่องเที่ยวเองแบบครบวงจร รวมถึงสินค้าในออนไลน์ก็มีความหลากหลาย มีบริการเดินทาง จองห้องพัก แพกเกจ หรือกิจกรรมการท่องเที่ยว เช่น Gastronomy การท่องเที่ยวเชิงรักษาสิ่งแวดล้อม เป็นการเสริมทัพให้ผู้ขายมากขึ้น ส่วนโรงแรมในไทยก็ร่วมมือกับสตาร์ตอัพได้ สามารถปิดช่องว่างให้ตลาดห้องพักในเมืองท่องเที่ยวของไทยได้ด้วย โดยดีไซน์โปรดักซ์เฉพาะมาให้ ททท.สต็อกโฮล์ม นำสู่ตลาดด้วยกัน กลยุทธ์นี้ทำให้เป็นการปูพื้นฐานตลาด Business to Consumer : B to C ส่วน Business to Business : B to B ก็ยังทำต่อไป 

สำหรับสินค้าท่องเที่ยวที่ Startup Nordic ผลิตขึ้นจะเป็นแพกเกจหรือโปรแกรมใหม่ ไม่มีวางขายอยู่บนเชลท์การท่องเที่ยวในนอร์ดิคมาก่อน เน้นเทคโนโลยี มีความคล่องตัวทางการซื้อขาย ต่อไปก็จะเกิดการขายตรงโดยสตาร์ตอัพเอเย่นต์จะยืนอย่างแข็งแกร่งในตลาดได้ เป็นกลยุทธ์สร้างความเข้มแข็งปรับฐานเอเย่นต์ไทย และสร้างความหลากหลายสินค้าบริการแก่ลูกค้านอร์ดิค หาลูกค้าจากการเยี่ยมชมด้วย นอกเหนือจากการทำตลาด B to B ด้วยขนาดของตลาดมีเพียง 15 ล้านคน จึงต้องหาช่องทางใหม่ ๆ กระตุ้นอยู่ตลอดเวลา แตกต่างจากประเทศกลุ่มอื่น ๆ ซึ่งมีขนาดใหญ่สามารถเจาะกลุ่มใหม่ ๆ ได้ แต่นอร์ดิคจะต้องพุ่งเป้าเรื่องการหาลูกค้าที่ดี คุณภาพครีม ๆ ใช้จ่ายเงินจำนวนมาก มีความถี่การเดินทางสูงต่อเนื่องตลอดไป ผอ.เอิบลาภ กล่าวว่า เตรียมทำโร้ดโชว์กระตุ้นตลาดให้เดินทางเข้ามาไทยใน 8 ประเทศ เพื่อระหว่าง 3-5 กันยายน 2562 ประกอบด้วย 3 เมือง ได้แก่

วันที่ 3 กันยายน ที่เบเนอุส ลิโธเนีย วันที่ 4 กันยายน เมืองเบก้า ลัทเวีย จะเชิญผู้ประกอบการเอสโทเนียเข้ามาร่วมด้วย และวันที่ 5 กันยายน เมืองสต็อกโฮล์ม สวีเดน โดยนำ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ เข้ามาด้วย ดังนั้นผู้ประกอบการจากไทยมี 21 ราย กลยุทธ์จะทำเวิร์คช้อปผู้ซื้อพบผู้ขาย ทำนัดหมายเจรจาธุรกิจ และมีช่วงเวลาหากไม่ได้นัดหมายก็จะสามารถทำนอกรอบได้ โดยมีครอบคลุมทั้งเมืองหลัก เมืองรอง สตาร์ตอัพ จากไทยครบทุกกลุ่ม ทำให้คู่เจรจาจาก 8 ประเทศได้พูดคุยกัน โร้ดโชว์ครั้งนี้เพื่อกระต้นตลาดล่วงหน้า เพราะนักท่องเที่ยวนอร์ดิคจะวางแผนจองล่วงหน้า 2 ปี เพราะรู้ช่วงวันหยุดแต่ละช่วง คงมีเพียงกลุ่มน้อยที่จองล่วงหน้าแค่ 2 สัปดาห์ก่อนเดินทาง ทาง ททท.จะเร่งทำกิจกรรมการตลาดเพื่อนำนักท่องเที่ยวตลาดนี้เข้าไปเติมเต็มตลอดปี 2563 ด้วยพฤติกรรมของนอร์ดิคมาเมืองไทยซ้ำ ๆ ประมาณ 80 % โดยมีถึง 35 % มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ไทยเป็น Prefer Destination ไทยจึงเป็นประเทศยอดนิยมของชาวนอร์ดิคในการเดินทางเที่ยวข้ามทวีป เป็นรองเพียงอเมริกาเท่านั้น เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวคุ้นเคยเป็นการอย่างดีทั้งเมืองหลัก เมืองรอง

 ดังนั้นภายในงานโร้ดโชว์จะเสริมทัพแนะนำพื้นที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ อย่าง หัวหิน แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ซึ่งจะนำเสนอให้เป็นระบบมากขึ้น หรือเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ ก็ทำเป็น Bangkok Getaway ระบุชัดเมื่อมาถึงแล้วทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง ทั้งไฟล์สไตล์ หรือเทรนดี้ ท่องเที่ยวชุมชนในกรุงเทพฯ หรือภูเก็ต Old Town ส่วนเมืองใหม่จริงซึ่งเป็น NewShade อย่าง พะเยา แพร่ น่าน ภาคใต้ก็ ชุมพร ระนอง เชื่อมโยงกับ ภูเก็ต พังงา กระบี่ สร้างสีสันการขายเมืองรองมากขึ้น รวมทั้งได้นำ จังหวัดอุดรธานี มาแนะนำให้งานด้วย เพราะมีเขยนอร์ดิคในอุดรธานีค่อนข้างมาก สถานที่แนะนำคือ แหล่งท่องเที่ยวทะเลบัวแดง อาหาร ผลิตภัณฑ์ผ้า เป็นมุมใหม่ในอีสาน เลือกช่องทางการเดินทางสะดวกเข้าถึงจากสุวรรณภูมิต่อไปยังอุดรธานีส่วนขากลับก็สามารถบินมาอู่ตะเภาหรือข้ามภาคไปที่อื่นได้ เช่นเดียวกับเชียงใหม่มีเที่ยวบินข้ามมายังภาคใต้และภาคอื่น ๆ สะดวก

 ส่วน “กาญจนบุรี” เป็นอีกพื้นที่นำมาปัดฝุ่นใหม่ นำเสนอการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ กำลังเป็นกระแสใหม่ขึ้นมา หลังจากนักท่องเที่ยวนอร์ดิครณรงค์ต่อต้านการเดินทางด้วยเครื่องบิน Flight Chain ทำให้ภายในยุโรปเองก็หันมาเดินทางเที่ยวด้วยรถไฟ ในเมืองไทยกาญจนบุรีรู้จักบ้างแล้ว โดยรวมขณะนี้ได้รุกทำกลยุทธ์เสริมความแข็งแกร่งรักษาฐานขยายตลาดนอร์ดิคและบอลติกด้วย New Shade , New Season, New Area ขยายการขายพื้นที่ท่องเที่ยวด้วยการคัดสรรเมืองรองเพิ่มขึ้น

 สำหรับกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบดูแลสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับ Go Green ทาง ททท.ส่วนกลางได้จัดทำโปรแกรมหรือเมนูที่เรียกว่า Green Alacas ไว้ด้วย จะนำมาโปรดักซ์นี้มาทำเนื้อหาสร้างแรงบันดาลใจเติมเต็มเข้าไปในตลาด เพื่อให้นักท่องเที่ยวนึกภาพออกมากกว่า ภูเก็ต หัวหิน ถึงแม้การท่องเที่ยวทะเลจะมีความแข็งแรง ก็ต้องเพิ่ม New Shade ใหม่ ด้วยการทำแฟมทริปเข้ามาไทยด้วย เมื่อปีที่ผ่านมาได้เชิญเอเย่นต์กับสื่อมาสำรวจ จังหวัดน่าน ระนอง มีกระแสตอบรับที่ดีในมุมมองใหม่ ๆ เข้ามา เมื่อมีการเผยแพร่ผ่านสื่อแล้วก็จะต้องติดตามให้เอเย่นต์ผลิตแพกเกจขาย ภายในงานโร้ดโชว์ 3-5 กันยายน นี้ เอเย่นต์ของไทยกับ 8 ประเทศ จะได้มาพบกันเพื่อเจรจาการขายได้โดยเห็นภาพชัดเจนของสินค้าท่องเที่ยวของไทยแต่ละส่วน

 เป้าหมายปี 2562 การทำตลาด ปกติใช้จ่ายเงินเฉลี่ย 80,000 บาท/คน/ทริป ต่อไปจะเน้นการเพิ่มมูลค่าการใช้จ่ายเงินเพิ่มเป็นหลักตามเป้าหมายรายได้จะต้องเพิ่มเฉลี่ย 5 % จึงเน้นหาวิธีให้นักท่องเที่ยวใช้เงินเพิ่มให้เป็นไปตามภาพรวมเข้าประเทศตามต้องการ

 ฟังข่าวต้นชั่วโมง 

ข่าวที่ 1 ““คิง เพาเวอร์ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยสมองและหัวใจ”  

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้บุกเบิกธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีอากร (duty free) ให้ตอบโจทก์ความต้องการของนักเดินทางครอบคลุมไลฟ์สไตล์ทุกด้าน ทั้งแฟชั่น ความบันเทิง อาหาร เครื่องดื่ม ความรู้ ประสบการณ์แปลกใหม่ ในเครือข่ายธุรกิจ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี และน้องใหม่ คิง เพาเวอร์ มหานคร รวมถึงการโลดแล่นอยู่ในกิจการฟุตบอลระดับโลก 2 สโมสร ทั้งเลสเตอร์ ซิตี้ อังกฤษ กับ OHL Leuven เบลเยี่ยม ซึ่งสร้างสีสันต่อวงการกีฬาอย่างมหาศาล

 ในเดือนตุลาคม 2562 “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒประภา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ คุณเอมอร ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการ พร้อมครอบครัว และทีมบริหาร กำลังเตรียมนำองค์กรก้าวขึ้นปีที่ 31 อย่างสง่างามบนเส้นทางการลงทุนตามสัญญาสัมปทานฉบับใหม่ ที่คณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2562 มีมติให้เป็นผู้ชนะการประมูล 2 โครงการใหญ่ ประกอบด้วย

โครงการแรก ผู้ประกอบกิจการร้านค้าดิวตี้ฟรี 4 สนามบิน คือ สุวรรณภูมิ ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่
โครงการที่ 2 ผู้ประกอบกิจการพื้นที่เชิงพาณิชย์ (commercial area) ในระยะเวลา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 กันยายน 2563 -31 มีนาคม 2574 ตามที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนรัฐสูงสุดเป็นประวัติการณ์รวมปีละประมาณ 23,548 ล้านบาท ดังนั้นการเข้าสู่ปีที่ 31 จึงเป็นก้าวใหม่ที่เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างมาก เพราะภารกิจใหญ่ที่รออยู่คือ จะต้องหารายได้ส่งรัฐตลอดอายุสัญญาสัมปทานมูลค่าเกินกว่า 240,000 ล้านบาทขึ้นไป 

“โอกาส” ที่ได้มากับ “จังหวะ” การขยายธุรกิจ ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตถูกจับตาว่ามีสัญญาณอันเป็น “ที่สุดแห่งความท้าทาย” ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ สถานการณ์การค้าโลก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มนักช้อปตลาดหลักลดลง แต่ละปัจจัยล้วนมีสัญญาณถดถอยชะลอตัวรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ยังไม่นับรวม “คลื่นการแข่งขัน” การห้ำหั่นชิงไหวชิงพริบของกลุ่มธุรกิจคนไทยด้วยกันเอง ขณะนี้ก็ทวีความร้อนแรงขึ้นตามลำดับ แรงกระเพื่อมเหล่านี้จะส่งผลอย่างไรต่อไปนั้น

สิ่งที่น่าสนใจมากสุดคือ “อัยยวัฒน์” เป็นทายาทธุรกิจผู้ได้สั่งสมรับการถ่ายทอด “พลังคิดบวก” ให้นำพาธุรกิจของพ่อและครอบครัว “ศรีวัฒนประภา” ฝ่าวงล้อมความท้าทายแต่ละเรื่องในวันนี้ไปยืนอย่างแข็งแกร่งมั่นคงในวันหน้า ด้วยกลยุทธ์ที่พร้อมจะใช้ “สมองและหัวใจ” ขับเคลื่อนอาณาจักรแสนล้าน

“อัยยวัฒน์” จะทำให้สัมปทานดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์อีก 10 ปี 6 เดือนข้างหน้า เป็นแม่เหล็กขั้วใหญ่ของประเทศในการนำเงินจากนักเดินทางคนไทยและทั่วโลกใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด แล้วก็นำรายได้ส่งเข้ารัฐให้ได้ตามเป้า 2.4 แสนล้านบาท ตามสัญญา


 “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ซีอีโอ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เล่าถึงการเรียนรู้ศาสตร์การทำธุรกิจจากคุณพ่อ (วิชัย ศรีวัฒนประภา) ด้วยการใช้ “สมองและหัวใจ” ทำงาน เริ่มตั้งแต่สิงหาคม ปี 2553 ในวัยเบญจเพศเพียง 25 ปี เมื่อคุณพ่อตัดสินใจซื้อสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ อังกฤษ แล้วพาไปเรียนรู้วิธีการทำงานโดยรับหน้าที่เป็นรองประธานสโมสรฯ ต้องเจอกับแรงกดดันรอบด้านครบทุกเรื่องทั้งเรื่องคน เรื่องงาน ในสังคมใหม่ ไลฟ์สไตล์ ความรับผิดชอบ การใช้ชีวิต ต้องปรับและเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ประการสำคัญที่สุดทุกมิติสามารถชนะได้ด้วยการ “ให้จากใจ” อย่างแท้จริง


ก้าวแรกของการก้าวสู่สังเวียน “กีฬาฟุตบอลยุโรป” นอกจาก “คนใน” เมืองเลสเตอร์ที่มีความรักหวงแหนทีมมองด้วยสายตาไม่เชื่อมั่นแล้ว ยังมี “คนนอก” กลุ่มแฟนบอลทีมคู่แข่งซึ่งมีอารมณ์ดุดันต่างพร้อมจะตะโกนด่าใส่หน้าได้เสมอหากทีมของพวกเขาแพ้การแข่งขัน 

“อัยยวัฒน์” อธิบายว่า ได้แปรเปลี่ยน “ประสบการณ์เชิงลบ” เหล่านี้ให้กลายเป็น “พลังคิดบวก” นำมาเป็นการฝึกตนเองให้รู้จักวิธีรับมือกับผู้คนที่มีทั้งมาร้ายและมาดี ทำให้ได้ใช้ทักษะ ไหวพริบ ความอดทน ใช้ทั้งสมองและหัวใจ ก้าวข้ามอุปสรรคในอดีตจากวัยเบญจเพส 25 ปี จนกระทั่งผ่านมาได้ 10 ปีแล้ว วงล้อปัญหาตอนนี้ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ไม่ใช่สิ่งกีดขวางสำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะเป้าหมายต้องการนำพาธุรกิจของพ่อและครอบครัวก้าวไปข้างหน้าอย่างมีคุณธรรม และจะทำหน้าที่ต่อยอดการทำหน้าที่เป็น “ผู้ให้” ที่ดีต่อไป

 หากประเมินด้านธุรกิจ “กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” ถือเป็นอาณาจักรกระสุนตกอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ไม่ต่างจากผู้ชนะสัมปทานธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศ ในฐานะผู้ครองสัมปทานร้านค้าดิวตี้ฟรีและพื้นที่เชิงพาณิชย์สนามบินหลักมาอย่างยาวนาน ถึงแม้จะแสดงความบริสุทธิ์ใจเข้าสู่กระบวนการประมูลตามกติกาทุกเงื่อนไข ต่อสู้ด้วยกลไกเสนอจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนรัฐสูงขนาดไหน ก็ยังคงมีช่องให้ตกเป็นเป้าถูกโจมตีเป็นปกติอยู่นั่นเอง

 เมื่อถามถึงว่าระหว่าง “การพัฒนาธุรกิจดิวตี้ฟรีในประเทศ” เพื่อคืนประโยชน์ให้คนไทย โดยจะต้องทุ่มเททั้ง กำลังเงิน กำลังคน เทคโนโลยี เพื่อคิดค้นกลยุทธ์ตลาดการขายมากมาย แถมยังต้องใช้พลังมหาศาลทำให้ดิวตี้ฟรีไทยติดอันดับต้น ๆ ของโลก เพื่อช่วยสร้างชื่อเสียง หารายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามานำเงินเข้าประเทศกระจายให้ถึงมือคนไทยด้วยกัน เป็นส่วนหนึ่งการค้ำยันเศรษฐกิจ เรื่อยไปจนถึงต้องหารายได้จ่ายผลตอบแทนคืนรัฐรวมหลายแสนล้านบาท กับ “การพัฒนาสโมสรกีฬาฟุตบอลเลสเตอร์และOHL” ให้ต่างชาติ อย่างไหน ทำง่าย ทำแล้วสนุก ทำแล้วสบายใจ กว่ากัน

 “อัยยวัฒน์” ยืนยันสั้น ๆ มาตลอดว่าแต่ละธุรกิจมีความต่างและความเหมือนคนละมุม

แล้วสิ่งที่คนไทยฟังต่อ ๆ กันมาจากอดีตก้าวล่วงมานานจนถึง “ปัจจุบัน” เมื่ออาณาจักรคิง เพาเวอร์ มีทรัพย์สินเงินทองมากมหาศาลนั้นคือ “ความผิด” ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ ของบางกลุ่มบางพวก บางฝ่าย หยิบยกนำมาร้อยเรียงสร้างความน่าเชื่อถือในสังคม ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอยู่บ้างในบางขณะ แต่ภารกิจของนักธุรกิจไทยกลุ่มบริษัท “คิง เพาเวอร์” มุ่งมั่นจะทำตามเป้าหมายในการทำหน้าที่ผู้ให้สังคมรอบข้างทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งกับคนไทยและในประเทศที่ไปปักธงไทย โดยใช้ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” สร้างชื่อเสียงที่ดีฝากไว้ให้คนทั่วโลกได้จดจำ 

ข่าวที่ 2 “ช็อปคิงเพาเวอร์รับส่วนลดกินพุงแตก-ฟรีกระเป๋า” 

กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ให้สิทธิ์สมาชิกนักช้อปของ คิง เพาเวอร์ เมื่อทานครบ 800 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ระหว่างวันนี้ - หมดเขต 31 ธันวาคม 2562 ณ ร้านอาหารที่เข้าร่วมรายการ ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานภูเก็ต (อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ) และ ท่าอากาศยานดอนเมือง (อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ อาคาร 1) รับส่วนลดอาหารชุด Super Value Set หลากหลายเมนู และรับกระเป๋า Travel Bag ฟรี

 ข่าวที่ 3 “ททท.ชงรัฐเท150ล้านดัน3โปรเจ็กต์ปลุกเที่ยวไทยปั๊มเศรษฐกิจ”

 ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศ ไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท.เตรียมเดินหน้าตามนโยบายรัฐบาลเสนอรัฐบาลของบกระตุ้นท่องเที่ยวเพิ่มอีก 150 ล้านบาท เดินหน้า 3 โครงการ ได้แก่ ททท.อยู่ระหว่างผลักดัน ในอีก 3 มาตรการเพื่อเสริมเข้าไปอีก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางและใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยว ซึ่งได้นำเสนอแก่ นายพิพัฒน์
รัชกิจประการ รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อเสนอครม.ในครั้งหน้า เพื่อขอสนับสนุนงบจากรัฐบาล150 ล้านบาท ในการดำเนินการใน 3 โครงการ ประกอบด้วย

 โครงการแรก จัดทำแพ็กเกจให้คนเดินทางกับแคมเปญ “วันธรรมดา น่าเที่ยว” ได้ส่วนลดสุงสุด 70%

 โครงการที่สอง ช้อปเที่ยวทั่วไทย 100 บาท ใน 10,000 คนแรก เพียงดาวน์โหลดผ่านแอพพลิเคชันก็จะได้สิทธิจ่าค่าตั๋วเครื่องบิน ห้องพักโรงแรม ร้านอาหาร ของที่ระลึก 100 บาท โดยจะทำเดือนละ 1 วัน ช่วง 4 เดือน ได้แก่ทุกวันที่ 10 เดือน 10, วันที่ 11 เดือน 11, วันที่ 12 เดือน 12

 โครงการที่สาม ขอมติครม.เพื่อให้ราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเที่ยว โดยไม่คิดว่าเป็นวันลา ดร.ยุทธศักดิ์ย้ำว่า ทั้ง 3 โครงการจะทำต่อเนื่องกับการ จัดเตรียมเว็บไซต์ www.ชิมช้อปใช้.com รองรับการลงทะเบียนของนักท่องเที่ยว 10 ล้านคนแรก เพื่อเปิดให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์รับเงินท่องเที่ยวฟรี 1,000 บาท เริ่ม 23 กันยายน-15 พฤศจิกายน 2562 โดยระบบจะ Link ไปยังธนาคารกรุงไทยให้จ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชัน “เป๋าตัง”ตามเงื่อนไขผู้ที่ได้รับสิทธิจะต้องเปิดบัญชีกับธนาคารกรุงไทย ส่วนกระทรวงการคลังเองก็มีระบบการรับชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (g-Wallet) รองรับเช่นกัน

ขณะที่ผู้ประกอบการร้านค้าท่องเที่ยวแต่ละประเภท จะต้องเข้าไปลงทะเบียนและติดตั้งแอพพลิเคชันชื่อ“ถุงเงิน” เพื่อรองรับบริการเช่นกัน

 ข่าวที่ 4บางจากโหมแคมเปญสะสมง่ายแลกได้เร็วขึ้น

 บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดโอกาสให้สมาชิกบัตรบางจากร่วมแคมเปญ "สะสมง่าย แลกได้เร็วขึ้น" ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธ.ค. 62

 การสะสมคะแนนบัตรบางจาก ซื้อสินค้าครบทุก 20 บาท รับ 1 คะแนน ที่ อินทนิล อินทนิลการ์เด้น ร้านสพาร์ ใบจากมาร์ท กรีนวอช , Wash Pro , Furio Care และน้ำมันหล่อลื่นบางจาก

การแลกคะแนนสะสมบัตรบางจาก เพื่อใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าและบริการ ทุก 100 คะแนน = 20 บาท ที่ อินทนิล อินทนิลการ์เด้น ร้านสพาร์ และใบจากมาร์ท

ทุก 500 คะแนน = 100 บาท ที่ กรีนวอช , Wash Pro , Furio Care และน้ำมันหล่อลื่นบางจาก

 ข่าวที่ 5 “TCEBใช้TMFเปิดแผนไมซ์ปี’63ทำเงิน2.3แสนล้าน” 

 นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” กล่าวว่า ได้รับเกียรตินายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เข้าร่วมงานและเป็นประธานการจัดงาน Thailand MICE Forum 2019 “Thailand’s Opportunity: Asia’s Top MICE Destination”เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2562 เวลา 9.00 น. ณ โรงแรม ดิ แอธินี กรุงเทพฯ

 ผอ.จิรุตถ์ ได้กล่าวรายงานถึงอนาคตของอุตสาหกรรมไมซ์ปี 2563 ที่ TCEB มีพันธกิจหลักเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการจัดประชุม การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล การประชุมนานาชาติ การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติรวมถึงงานเมกะอีเวนท์และเทศกาลนานาชาติ ตลอดจนส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการจัดงานระดับโลก จัดงาน Thailand MICE Forum 2019 ถือเป็นงานสัมมนาประจำปีของกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไมซ์ มีจุดประสงค์ให้เป็นเวทีสำคัญถ่ายทอดองค์ความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งระดับประเทศและนานาชาติ ให้แก่ผู้เข้าร่วมฟังซึ่งเป็นปีแรกที่มีหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ภาครัฐและเอกชนในวงการไมซ์ เข้าร่วมกว่า 600 คน

 โดยภาพรวมแล้วสถานการณ์อุตสาหกรรมไมซ์ ผลการดำเนินงาน และแผนกลยุทธ์ของ สสปน. ปีงบประมาณ 2563 มีภารกิจท้าทายที่ TCEB จะต้องร่วมมือกับทุกภาคส่วนนำประเทศไทยเป็นผู้นำไมซ์แห่งเอเชีย เริ่มจากแนวโน้มตลาดไมซ์ของโลก (Global Market) จากรายงานของสมาคมระหว่างประเทศด้านการประชุมและการจัดนิทรรศการ หรือที่รู้จักกันในนามของสมาคม ICCA ระบุทั่วโลกในปี 2562 ประกอบด้วย

 1.ยอดการจัดงานประชุมนานาชาติรวมกว่า 12,900 งาน โดยมีภูมิภาคยุโรปเป็นตลาดการประชุมที่ใหญ่ที่สุดในโลก 6,700 งาน ส่วนการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ มีการจัดงานแสดงสินค้าจากทั่วโลกทั้งสิ้น 32,000 งาน โดยมีภูมิภาคอเมริกาเป็นตลาดการแสดงสินค้าใหญ่ที่สุดกว่า 10,800 งาน ขณะที่เอเชีย/แปซิฟิคและตะวันออกกลาง ถือเป็นภูมิภาคที่มีการเจริญเติบโตสูงของอุตสาหกรรมไมซ์ในปัจจุบัน ขณะที่ “ไทย” ติดอันดับ 1 ทั้งด้านการจัดประชุมและการแสดงสินค้าของอาเซียน ติดอันดับที่ 4 ของเอเชีย รองจาก จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี ในด้านการจัดประชุมนานาชาติ และอันดับที่ 7 ของเอเชียในด้านการแสดงสินค้านานาชาติ

ทั้งนี้ ก็ต้องขอขอบคุณและชื่นชมหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาคม TICA TEA THA ATTA และสมาคมต่างๆ ในภาคธุรกิจที่ร่วมกันทำให้ประเทศไทย เป็น Destination ของไมซ์อย่างแท้จริง

 ปีงบประมาณ 2563 คาดอุตสาหกรรมไมซ์จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 230,000 ล้านบาท

 จะมีนักเดินทางไมซ์ต่างประเทศมาไทย (International MICE) กว่า 1,386,000 คน สร้างรายได้กว่า 105,600 ล้านบาท

 จะมีนักเดินทางคนไทยร่วมงานไมซ์ในประเทศกว่า 36,395,000 คน สร้างรายได้กว่า 127,100 ล้านบาท

 ปี 2562 สถานการณ์ไมซ์ไทย (Number of International MICE) ตามประมาณการ ตลาดไมซ์ต่างประเทศเข้าไทยมีทั้งสิ้น 1,248,000 คน สร้างรายได้สู่เศรษฐกิจ 100,500 ล้านบาท ตลาดหลักยังคงเป็น จีน อินเดีย และอาเซียน ตลาดไมซ์ในประเทศ (Domestic MICE) มีชาวไทยร่วมกิจกรรมไมซ์ในประเทศกว่า 31,400,000 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้ 121,000 ล้านบาท

 ตลอดปี 2562 อุตสาหกรรมไมซ์ทั้งตลาดในและต่างประเทศจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ห่วงโซ่ทางเศรษฐกิจ(Economic Impact) ที่จะทำให้เกิดผลเชิงบวกดังนี้

 1.เกิดการใช้จ่ายจากการจัดกิจกรรมไมซ์รวมมูลค่าทั้งสิ้น 544,700 ล้านบาท แบ่งเป็นไมซ์ในประเทศ 275,000 ล้านบาท ไมซ์ต่างประเทศ 269,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3% ของ GDP ของประเทศ

 2.ภาครัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีได้จากธุรกิจไมซ์ 35,900 ล้านบาท และก่อให้เกิดการจ้างแรงงานกว่า 340,000 อัตรา

 ผอ.จิรุตถ์กล่าวว่า TCEB ก่อตั้งมาตลอด 15 ปี โดยได้ดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนอย่างเข้มแข็ง จนสามารถผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยเป็นที่หนึ่งในภูมิภาคอาเซียน ทั้งด้านการจัดประชุมและงานแสดงสินค้า และวันนี้เราพร้อมขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้วยยุทธศาสตร์ไมซ์เพื่อร่วมกันผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยได้วางแผนขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไมซ์ 20 ปี (Thailand 20 Year Strategic Plan for MICE Industry) สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ปี 2560-2579) โดยอุตสาหกรรมไมซ์อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และไมซ์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมภาคบริการที่มีศักยภาพใหม่ต่ออนาคตประเทศไทยอย่างมาก

 ทางด้าน “ความเชื่อมโยง” การวางแผนอุตสาหกรรมไมซ์ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ได้ใช้เวทีไมซ์มีส่วนช่วยขับเคลื่อนทุกอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศผ่านการจัดงาน ได้แก่

1.การส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับธุรกิจบริการ

 2.การสร้างกลไกส่งเสริมความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการไทย สามารถปรับตัวท่ามกลางบริบทการเปลี่ยนแปลงของโลกที่ไม่หยุดนิ่ง

3.การพัฒนาธุรกิจบริการอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานระดับนานาชาติ 

4.การยกระดับคุณภาพของธุรกิจให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด

5.การส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับธุรกิจในและต่างประเทศ 6.สนับสนุนการพัฒนางานวิจัย โดยส่งเสริมผู้ประกอบการใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาธุรกิจและสนับสนุนการใช้สื่อผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อขยายตลาดสินค้าบริการกระจายสู่ภูมิภาคทั้งในและต่างประเทศ

 ตามเหตุผลดังกล่าว TCEB จึงพร้อมจะร่วมกับภาคีเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้วยยุทธศาสตร์ไมซ์ (Goal Thailand: Asia’s Top MICE Destination) ร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ไทยกับทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานในและต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางการจัดงานไมซ์ชั้นนำของภูมิภาคเอเซีย


 ช่วงที่ 2 More Fun วันธรรมดาน่าเที่ยว “ทัวร์สุขภาพพอเพียง” ในปราจีนบุรี สระแก้ว ตามด้วย “วิธีลดกินเค็ม” 8 อย่างอายุยืน ส่วนข่าวร้อนต้องเรื่อง “มหาดไทยขีดเส้นตายโรงแรม 50 จังหวัด” 9 กันยายน 2562 จับจริงปิดจริง ส่วน “รมว.ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” โดดเคลียร์ปมขัดแย้ง ทอท.-เซ็นทรัล วิลเลจ แต่หนังม้วนนี้ยังอีกยาว 

 @ทัวร์สุขภาพพอเพียงปราจีนบุรี-สระแก้ว

 วันธรรมดา น่าเที่ยว เลือกไปในเส้นทาง “สุขภาพ” อย่างพอเพียงใน “ปราจีนบุรี” ต่อด้วย “สระแก้ว” เมืองสมุนไพรภูมิปัญญาไทย ไปสัก 2 วัน 1 คืน 

วันแรกมุ่งหน้าตรงเข้าปราจีนบุรี ไปเที่ยวหมู่บ้าน “บ้านดงบัง” อาณาจักรแห่งการปลูกพืชสมุนไพรไทยพันธุ์หายากมากมาย อย่าง เพชรสังฆาต มีสรรพคุณสมานกระดูก แล้วทำกิจกรรม D.I.Y.ทดลองปลูกในกระถางเล็ก ๆ เสร็จแล้วสามารถถือกลับบ้านกลายเป็นคำเรียกติดปากมาแล้วต้องได้ “สวนมือถือ” ระหว่างชมสวนก็มีเมนูอาหารสมุนไพรหลายชนิดให้รับประทาน อย่าง ยำผักกระสัง ผัดผักกระเฉดชะลูดน้ำไฟแดง เรื่อยไปจนถึง “นวดสปาสมุนไพร”

 ต่อจากนั้นก็แวะ “พิพิธภัณฑ์อภัยภูเบศร” เพื่อชมเรื่องราวของสมุนไพรไทยตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน แล้วก็พักค้างสัก 1 คืน

 วันที่สอง ไปเที่ยวต่อใน “โรงเรียนกาสรกสิวิทย์” ชมวิถีแห่งเกษตรและการใช้สอนควายทำนา แวะร้านกาแฟสั่งเมนูซิกเนเจอร์ อย่าง ควายคะนอง ดื่ม พร้อมกับเดินชมทุ่งนา การทำบ้านดิน มุ่งหน้าต่อไปยัง อำเภอวัฒนคร จ.สระแก้ว เพื่อชมการเลี้ยงไหม่อีรี่แห่งเดียวในเมืองไทย แล้วก็แวะ “อ่างเก็บน้ำพระปรง” สูดโอโซนบริสุทธิ์ดื่มด่ำกับธรรมชาติ ชาร์ตพลังให้เต็มที่ก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯ 

เมื่อไปถึงปราจีนบุรีและสระแก้วแล้ว ก็ต้องห้ามพลาดอุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนขึ้นชื่อ มีทั้ง หัตถกรรมจากใบลาน กกบ้านพลวง สมุนไพรเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ

 เป็นทริป More Fun เพื่อสุขภาพอย่างพอเพียง เที่ยวได้สบาย ๆ ในปราจีนบุรี และสระแก้ว สมกับที่ว่าเมืองไทย เที่ยวได้ทุกที่ มีความสุขทุกเวลา  

@วิธีลดเค็มแบบง่าย ๆ ทำให้สุขภาพแบบยั่งยืน 

ถึงแม้โซเดียมจะมีความสำคัญต่อร่างกาย แต่การบริโภคมากเกินไปกลับมีผลเสียต่อสุขภาพ การบริโภคโซเดียมสูงเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ได้แก่ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต และอัมพาต นับวันจะรุนแรงขึ้น ทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ดังนั้นจึงควรลดกินเค็มกันด้วยวิธีง่าย ๆ เพื่อสุขภาพ ดังนี้ 

1.เลือกกินอาหารสด หรืออาหารแปรรูปน้อยที่สุด 2.ลดการใช้เครื่องปรุงรสในอาหาร เช่น ผงปรุงรส น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส เต้าเจี้ยว และผงชูรส 3.หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป อาหารกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 4.ใช้รสอื่นมาทดแทน เช่น รสเปรี้ยวจากมะนาว รสเผ็ดจากพริก ทำให้สามารถลดรสชาติเค็มลง

 5.ใช้ส่วนผสมสมุนไพรและเครื่องเทศเพื่อแต่งรส และกลิ่นหอมของอาหาร 6.ปรุงอาหารด้วยตัวเองหากเป็นไปได้ 7.ชิมอาหารก่อนปรุงรสทุกครั้ง 8.ควรอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้ง เลือกอาหารที่มีโซเดียมน้อยที่สุด หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลดโซเดียม

 ฟังข่าวท้ายชั่วโมง 

ข่าวแรก “มหาดไทยขีดเส้นตายที่พัก50จังหวัดปรับให้ถูกกฎหมายก่อน9ก.ย.62”

 กระทรวงมหาดไทย ได้เร่งขีดเส้นตายผู้ประกอบการโรงแรมที่ประกอบธุรกิจโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายทั่วประเทศที่มีอยู่กว่า 20,000 แห่ง ในพื้นท่องเที่ยว 50 จังหวัด และกลุ่มที่พักที่ไม่มีใบอนุญาติประกอบธุรกิจทั้ง ประเภท ที่นำอาคาร บ้าน ที่อยู่อาศัยมาให้บริการ ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อน วันที่ 9 กันยายน 2562 เพราะเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะเข้าไปตรวจสอบการปรับปรุงอาคารตามประกาศดังกล่าว หากผ่านก็จะแจ้งไปข้อมูลไปยังฝ่ายทะเบียน และหากไม่ดำเนินการก็จะมีความผิดตามกฎหมาย พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจโรงแรม

 โดยประกาศย้ำเรื่อง การปฏิบัติตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 6/2562 ภายใน 9 กันยายน 2562 ระบุให้ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ใช้อาคารผิดประเภท ก่อนวันที่ 12 มิถุนายน 2562 รีบแจ้งปัญหาข้อขัดข้องในการฝ่าฝืนกฎหมายต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น และให้ยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณา พร้อมทั้งดำเนินการปรับปรุงระบบความปลอดภัยด้านอัคคีภัย ให้เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร 2522 และติดตั้งเครื่องดับเพลิงแบบมือถือ 1 เครื่อง ต่อพื้นที่อาคารไม่เกิน 200 ตร.ม. ทุกระยะไม่เกิน 30 เมตร แต่ไม่น้อยกว่าชั้นละ 2 เครื่อง

พร้อมยื่นเอกสารประกอบการตรวจสอบ ได้แก่ สำเนาใบอนุญาตก่อสร้าง หรือดัดแปลงอาคาร หรือสำเนาใบรับรองการก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร รวมถึงแบบแปลน เอกสารแสดงความเป็นเจ้าของอาคาร หรือสถานที่ สำเนาใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แสดงหลักฐานการเสียภาษีห้องพักให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสรรพากร รวมถึงหลักฐานการได้รับอนุญาตให้ใช้ไฟฟ้า ประปา การออกทะเบียนราษฎร และเอกสารอื่น ๆ ที่แสดงได้ว่าเป็นอาคารที่มีลักษณะตามข้อ 3 แห่งกฎกระทรวงกำหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรมแรม พ.ศ. 2559 ซึ่งใช้อาคารประกอบธุรกิจโรงแรมอยู่ก่อน 12 มิ.ย. 2562

 ข่าวที่สอง ““ศักดิ์สยามเคลียร์ปมขัดแย้งทอท.-เซ็นทรัลวิลเลจ” 

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงปัญหาข้อพิพาทระหว่าง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) กับ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) กรณีโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ โดยสั่งการให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแก้ปัญหา

ล่าสุดได้เรียกทุกฝ่ายหารือกันโดยมีทั้งสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ทอท.เร่งตรวจสอบขั้นตอนกฎหมาย กรมท่าอากาศยาน (ทย.) องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO), คณะทำงานด้านธุรกิจการบิน (AOC) และ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด(มหาชน) มาหารือกัน ซึ่งจะต้องข้อสรุปต่อไป เนื่องจากแต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลต่างกัน

 อย่างไรก็ตามทางกรมธนารักษ์ เจ้าของที่ดิน ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2562 ระบุกรณีที่เป็นประเด็นข่าวมีเอกชนรุกล้ำที่ราชพัสดุนั้นกรมท่าอากาศยานผู้ครอบครองการใช้ประโยชน์มีหน้าที่ต้องดูแลระวังรักษาแนวเขตที่ดินดังกล่าว แจ้งให้เอกชนดำเนินการรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกจากที่ราชพัสดุตามกฎหมาย ดังนั้นกรณีที่ ทอท.ในฐานะผู้ดูแลที่ราชพัสดุแทนกรมท่าอากาศยานให้เอกชนรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ราชพัสดุบริเวณดังกล่าว เป็นการดำเนินการที่เป็นไปตามกรอบอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดไว้ 

ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ททท.นครราชสีมาพลิกโฉมตลาดท่องเที่ยวปี67

  รุ่งทิพย์ บุกขุนทด  ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครราชสีมา ททท.นครสีมานำธุรกิจพลิกโฉมตลาดปี 67 เที่ยวโคราช-ชัยภูมิ ปลุกกระแส 3 วัยเที่ยวมุมใหม่เมืองย่าโม 3 มรดกโลก 10 อำเภอ จัดชุดใหญ่ Soft Power365 วัน 2 จว. 5 จุดขาย-สงกรานต์สนุกแน่ สมัคร!!สมาชิกคิงเพาเวอร์มี.ค.รับกิฟท์โวเชอร์/กะรัต/ส่วนลด THE POWER BAND# 4คิงเพาเวอร์แจก2ล้านนักดนตรีอาชีพ พลูแมนคิงเพาเวอร์ชูแพ็คเกจ Wedding แจก12รายการ2-3มี.ค. ททท.หนุน PELUPO ปักหมุดพัทยาบูมเที่ยวเทศกาลดนตรีโลก บางจากนำโมเดลสมดุลเพื่อโลกยั่งยืน ESG ส่งต่อผู้อบรมกปร. สุขทันทีนั่งรถม้าเที่ยวลำปาง-วัดพระพุทธบาทผาหนามลำพูน นายกฯจุดฝันไทยฮับบินโลกดันสุวรรณภูมิติดท็อป 20 รุก 5 ส่วน 800 บูธร่วมมหกรรมลดกระหน่ำเทศกาลเที่ยวไทยถึง 3 มี.ค. 67 วันเสาร์ที่  2 มีนาคม 2567 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen #gurutourza # รวยด้วยข่าวเสาร์อ

TCEBนำไมซ์ปี67โร้ดโชว์เทรดโชว์ทั่วโลก-จัดยกทีมประชุมรุมรักเมืองไทย

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) "TCEB" บิ๊ก TCEB ปี 67 ปั๊มยอดไมซ์โตลุยโร้ดโชว์/เทรดโชว์ทั่วเอเชีย ในประเทศจัดกระหึ่ม“ยกทีมประชุมรุมรักเมืองไทย”พ.ค.นี้   3-7 มี.ค.ประชุมโดฮาลุ้นข่าวดี !! ไทยเจ้าภาพ Korat Expo2029 ดับร้อน!!ที่คิงเพาเวอร์ช้อป4มันส์ลดแจกแลกฟรี-31มี.ค.67 คิงเพาเวอร์จัดเต็ม 3.3 BEAUTY TRIO” ช้อป 3 อย่างลด 25% ททท.นำร่องจัด AIR-MAZING ไทยฮับท่องเที่ยว/การบินปี67 บางจากแจกมี.ค.67นำปั๊มเอสโซ่เดิม & บางจากมอบ2โปรดี สุขทันทีที่เที่ยวแดนใต้นราธิวาสเมืองพหุวัฒนธรรม5พิกัด AWC ปี’66ทำ5นิวไฮ-ปี67ทุ่ม1.9หมื่นล้านเปิด18โครงการ Trip.com- ททท.ไลฟ์สตรีมขายสงกรานต์โกยต่างชาติ150ล. วันอาทิตย์ที่   3 มีนาคม 2567 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen #gurutourza # รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์ FM97  # เพ็ญรุ่งใยสามเสน # เท

เปิดใจ “พศิน ลาทูรัส”ทายาท”นารายา”พลิกโมเดลแบรนด์ไทย ถอดบทเรียนโควิดปรับมุมคิดธุรกิจรุ่งปั้นสินค้าใหม่บุกทั่วโลก

  เปิดใจ “พศิน ลาทูรัส”ทายาท”นารายา”พลิกโมเดลแบรนด์ไทย ถอดบทเรียนโควิดปรับมุมคิดธุรกิจรุ่งปั้นสินค้าใหม่บุกทั่วโลก คิงเพาเวอร์ชวนช้อปออนไลน์แบรนด์เนมลด 70%26-31 ต.ค.นี้ สนุกกับ SUPER SURPRISE ดีลพิเศษราคาดิวตี้ฟรีที่คิงเพาเวอร์ ก.ท่องเที่ยวตีปีกรับทัวร์ต่างชาติ 3 เฟส-ไฟเขียวแล้ว 10 แอร์ไลน์ ไทยจ่อดึงลองสเตย์ต่างชาติซื้ออสังหาฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิด “ TCEB” ชูไทยแลนด์ไมซ์สตาร์ตอัพปั้นนวัตกรรมใหม่5โปรเจ็กต์ หนาวนี้เที่ยว“นครพนม”ปลอดภัยมั่นใจเส้นทางสาย SHA ริมโขง วิธีเลือกกินเพื่อหลีกเลี่ยงความอ้วนควบคู่การลดโรคมากมาย ไทยสมายล์ขายตั๋วชุดเที่ยวไทยเหมาจ่าย4ใบเริ่มที่3.8พันบาท ไทยเวียตเจ็ทขายตั๋ว5บาท/เที่ยวโปร2เส้นทางใหม่ในประเทศ กรมเจ้าท่าฟุ้งแผนทำ10ท่าเรือรองรับวันสต็อปเที่ยวเจ้าพระยา   นายพศิน ลาทูรัส ซีอีโอฝ่ายพัฒนาธุรกิจ  บริษัท นารายณ์ อินเตอร์เทรด จำกัด ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2563 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง