วิจิตร ณ ระนอง”ประธานสภาท่องเที่ยวคนแรกผ่าทางรอดหลังโควิด ชี้เป้าปฏิวัติโครงสร้างใหม่เลิกพึ่งอุตทัวร์ขาเดียวเร่งดันเศรษฐกิจสมดุล
“วิจิตร ณ ระนอง”ประธานสภาท่องเที่ยวคนแรกผ่าทางรอดหลังโควิด
ชี้เป้าปฏิวัติโครงสร้างใหม่เลิกพึ่งอุตทัวร์ขาเดียวเร่งดันเศรษฐกิจสมดุล
คิงเพาเวอร์เสิร์ฟแล้วลูกชิ้นยืนกิน“ป้าณีบุรีรัมย์”ที่ไทยเทสต์ฮับรางน้ำ
“พลูแมน คิง เพาเวอร์”จัดเต็มบุฟเฟต์มื้อค่ำสุดปังทุกศุกร์-เสาร์ลด30%
ททท.ได้แรงหนุนแอร์เอเชียบินข้ามภาค15ต.ค.-แหล่งเที่ยวเปิดคึกคัก
“TCEB”มอบมาตรฐานAMVSสถานที่จัดไมซ์อาเซียนปี’67ปั้น370แห่ง
เที่ยวกาญจน์เช็คอินจุดใหม่“คาร์เฮนท์บ่อพลอย-อันซีนเขาอินทร์แขวน
กินเจตลอดเทศกาลดีต่อสุขภาพทั้งกายใจได้ประโยชน์6
อย่างด้วยกัน
“แกรนด์เมอร์เคียวเปิดใหม่เขาหลักเทโปรห้อง2,300บาทถึง22ธ.ค.นี้
ทอท.ชี้IATA-SKYTRAXหนุนแผนขยายสุวรรณภูมิใหม่3ทิศบริการบิน
“ไลม์ไลท์อเวนิวภูเก็ต”ชวนไปสัมผัสเมนูเจ 50 ร้านตลอด5-14ต.ค.นี้
ผู้ก่อตั้งและประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคนแรกของประเทศ
และเจ้าของโรงแรมอินดิโก้ เพิร์ล ภูเก็ต
วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 2564 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์”
เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0
และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์
#gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT
#PhuketSandbox #TCEB
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1730891950438189&id=100005522016696
ช่วงที่ 1 “วิจิตร ณ ระนอง” ผู้ก่อตั้งและประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคนแรกของประเทศ และเจ้าของโรงแรมอินดิโก้ เพิร์ล ภูเก็ต ชี้เป้าท่องเที่ยวทั้งประเทศปฏิวัติใหม่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หันทำโครงสร้าง “เศรษฐกิจสมดุล” ลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมขาเดียว ผ่านบทเรียนวิกฤตโควิด-19 จากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์สู่นโยบายเปิดประเทศ 120 วัน “ภาคธุรกิจ”ต้องยกเครื่องบริการวิถีใหม่ก้าวสู่ตลาดยั่งยืน ด้าน “นักท่องเที่ยวทั่วโลก” ส่วนแบ่งเหลือเล็กลง รัฐ เอกชน ต้องมีกลยุทธ์ใหม่ทำตลาดแบบกระจายตัว อย่างเร็วหลังปี’66 อาจได้เห็นแสงสว่างจริง
นายวิจิตร ณ ระนอง เจ้าของโรงแรม เพิร์ล อินดิโก้ ภูเก็ต และอดีตประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคนแรก เปิดเผยว่า เจ้าของกิจการที่จะรับมือกับสถานการณ์วิกฤตซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถคาดได้ว่าจะจบลงเมื่อไร แล้วรัฐบาลมีนโยบายปลดล็อกนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยลดระยะเวลาการเข้าภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ลงจาก 14 เหลือ 7 วัน แล้วสามารถเดินทางไปเที่ยวพื้นที่อื่นได้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเป็นสิ่งจูงใจเพิ่มจำนวนมากขึ้น เพราะลดอุปสรรคที่ทำให้คนไม่ตัดสินใจ
โดยจะต้องทำควบคู่กับการนำเสนอข้อมูลเชิงรุกเพื่อสร้างความมั่นใจตามแนวทางของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำการตลาดแบบเจาะจง “จุดหมายปลายทาง” เชิญชวนให้เข้ามารำลึกถึงแหล่งท่องเที่ยวที่เคยชื่นชอบอยู่ในความประทับใจ ยังคงเป็นกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศได้
การทำ
“ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ในมุมมองของผมเอง ถือเป็นความสำเร็จอย่างมาก
เพราะการที่รัฐบาลประกาศทำโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” ก่อนย่อมมีผลดี
ทำให้ได้ศึกษาปรับปรุงพัฒนาระบบขั้นตอน เพราะถึงแม้จะเปิดเมืองแล้ว
ก็ไม่ได้หมายความว่านักท่องเที่ยวทั่วโลกจะตัดสินใจเดินทางเข้ามาทันที
จะต้องเตรียมตัวหลายขั้นตอนกว่าจะเข้าออกจากประเทศต้นทางมายังปลายทางในไทย
ประเมินว่าโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” กว่าจะเริ่มเห็นผลชัดเจนได้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ไตรมาสขึ้นไป อีกทั้งการเลือกภูเก็ตถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดด้วยปัจจัย 1.เป็นเมืองเกาะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ 2.ประชากรในพื้นที่มีจำนวนไม่มาก โอกาสฉีดวัคซีนให้ครบเป็นภูมิคุ้มกันหมู่ทำได้รวดเร็ว ถือเป็นจุดแข็งในการทำโครงการนำร่อง 3.สามารถใช้เป็นโมเดลต้นแบบเพื่อขยายผลนำไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ
ประการสำคัญ
สามารถเชื่อมโยงต่อไปถึงนโยบาย “เปิดประเทศ 120 วัน”
ปัจจัยแรก เมื่อคนพื้นที่ฉีดวัคซีนได้ตามเกณฑ์แล้วย่อมไม่ต้องกลัวอันตราย จากการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่แล้ว ย่อมการันตีได้ถึงแม้จะติดเชื้อก็จะไม่ทำให้เสียชีวิต ผ่อนหนักเป็นเบาได้ ป้องกันความปลอดภัยของประชาชนได้
ปัจจัยที่ 2 ผลต่อเศรษฐกิจหากไม่ลงมือทำก็จะยิ่งสร้างความลำบากต่อการประกอบอาชีพและจ้างงาน ทำให้เอกชน ผู้ประกอบการต่าง ๆ ประสบปัญหาสร้าง “วิกฤติซ้ำซ้อน” ไปในอีกลักษณะหนึ่ง
ปัจจัยที่
3 หากทำอะไรมากจนเกินขอบเขตเกินไปไม่มีความสมดุลระหว่างความปลอดภัยกับเศรษฐกิจแล้ว
ก็จะยิ่งซ้ำเติมให้เกิดวิกฤตทั้งคู่ แต่จะเกิดวิกฤตที่แตกต่างจากปัจจุบัน
เป็นวิกฤตซ้ำซ้อนต่อไป
ผมในฐานะนักธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมายาวนาน มองว่าโครงการ “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” จะเป็น “สะพานเชื่อม” ไปสู่นโยบายการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ กระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ได้ อีกทั้งรัฐบาลเองก็พยายามหา “วัคซีน” มาให้ได้มากที่สุด เพื่อกระจายฉีดให้ประชาชนตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ทำให้เปิดประเทศได้ เศรษฐกิจฟื้นตัว จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
นายวิจิตร
กล่าวว่า จากวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่ผู้ประกอบการ
สอนให้ทุกภาคส่วนไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท “ต้องสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจ”
ไว้ด้วยตลอดเวลา อย่าไปเชื่อแต่เพียงว่าจะไม่เกิดวิกฤต เพราะปัจจุบันเมื่อดูจาก
“โครงสร้างเศรษฐกิจ” ของประเทศเราเอง มีบางจังหวัดที่เห็นชัดคือ “ภูเก็ต”
พึ่งพาการท่องเที่ยวมากถึง 80-90 % พอมีวิกฤตโควิดซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทำให้ “เครื่องจักรเดินไม่ได้” ธุรกิจ แรงงาน ในพื้นที่ รวมถึงประเทศ
พากันเดือดร้อนไปด้วยกัน เพราะภูเก็ตเป็นเครื่องจักรตัวใหญ่ทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นหลังโควิดควรต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ให้สอดคล้องกับความเป็นจริง 4 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย
1.ต้องปรับสัดส่วนการพึ่งพาท่องเที่ยวหรืออย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป จะต้องมีตัวเสริมเป็นเสมือนร่มชูชีพ หากร่มใหญ่ไม่กางก็ยังมีร่มเล็กประคองช่วยได้
2.ปรับแนวทางและวิถีการให้บริการอย่างสอดคล้องกับวิถีใหม่ เพื่อจะอยู่กับโควิดไปตลอดได้ จะต้องปรับตัวเองให้ปลอดภัยมากสุด พร้อมกับต้องดูแลนักท่องเที่ยวที่เข้ามายังพื้นที่ โดยเฉพาะ การประชุม หรือจัดงาน ที่มีคนเข้าร่วมจำนวนมาก ต้องมีมาตรการป้องกันอย่างรัดกุมด้านความปลอดภัยด้านสุขอนามัย
3.เทคโนโลยีจะเป็นตัวแปรเปลี่ยนพฤติกรรมของนักเดินทางให้หันไปใช้เครื่องมือดังกล่าวมากขึ้น
เกี่ยวกับความไม่จำเป็นต้องเดินทางมาเจอกัน ดังนั้นผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ
ก็ต้องปรับตามความเป็นจริงด้วย
4.การประเมินสถานการณ์หรือคาดคะเน “จำนวนนักท่องเที่ยวแต่ละเซกเมนท์” ต้องหันมาใช้เครื่องมือที่วัดได้ถึง วิถีใหม่ New Normal ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพอย่างแม่นยำในการวางแผนยุทธศาสตร์แต่ละปีในอนาคต
นายวิจิตร กล่าวว่า เห็นสัญญาณปลายปี 2564 มีกระแสตอบรับจากท่องเที่ยว “ตลาดต่างประเทศ” ที่จะเข้าภูเก็ตค่อนข้างสดใสมากขึ้น แตกต่างจากช่วงแรกที่เพิ่งเปิดโครงการแซนด์บ็อกซ์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 เพราะช่วงเริ่มแรกทั้งรัฐบาลกลางและจังหวัดภูเก็ตได้ปรับเงื่อนไขอยู่เป็นระยะ ๆ จนกระทั่งทำให้นักท่องเที่ยววางแผนไม่ได้และยกเลิกการเดินทางไป จนกระทั่งตอนนี้กติกาทุกอย่างเริ่มนิ่งก็ทำให้ “ความมั่นใจในการวางแผนเดินทาง” มีมากขึ้น
ขณะนี้ “ยอดจองห้องพัก” ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม 2564 ตลาดต่างประเทศจองเข้าพักโรงแรมภูเก็ตหนาตามากขึ้น แต่ก็ยังไม่ดีเท่ากับปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 แนวโน้มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคงจะต้องรอการฟื้นตัวหลังปี 2565 ไปแล้ว และปี 2566 โอกาสที่รายได้และนักท่องเที่ยวจะกลับมาใกล้เคียงปี 2562 อีกครั้ง ภายใต้เงื่อนไขต้องไม่เกิดเหตุการณ์เซอร์ไพรส์ขึ้นมาอีก
หากจะถอดบทเรียนจากวิกฤตโควิด-19 แบ่งได้ 2 ด้าน คือ ด้านที่ 1 นักท่องเที่ยว มองไปข้างหน้าอีก 3-5 ปี นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เคยเป็นลูกค้าของไทยก็อาจจะยังไม่พร้อมเดินทาง เพราะเหตุผลกระทบทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับผลกระทบต้องตกงาน “กำลังซื้อหลัก” จะเหลือเฉพาะผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบและยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวได้อยู่ ด้านที่ 2 “ผู้ให้บริการท่องเที่ยว” ต้องเรียนรู้โดยปรับโครงสร้างให้สมดุล อย่าพึ่งพาหรือเทเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว ต้องมองหาสาขาเศรษฐกิจเข้ามาค้ำยัน
ดังนั้นการวางแผนด้านซัพพลาย-สินค้า จะต้องเปลี่ยนไป โดยจะต้องสอดคล้องกับ “ดีมานต์-ผู้บริโภค/กำลังซื้อ/ตลาด ซึ่งทุกฝ่ายทั้งรัฐบาล หน่วยงานเกี่ยวข้องภาครัฐ ธุรกิจ เอกชน จะได้ใช้โอกาสนี้ในการ “เร่งเพิ่มขีดความสามารถรองรับการท่องเที่ยว” ของพื้นที่แต่ละจุดหมายปลายทาง (destination) ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง 1.สาธารณูปโภค โครงสร้างพื้นฐาน 2.ความสมดุล 3.สนามบินกับแผนรองรับผู้โดยสาร
ถึงเวลาที่จะทำให้เกิด “ความสมดุล” สอดคล้องกับเทรนด์อนาคตของการท่องเที่ยวแบบอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการบริหารจัดการเรื่องสำคัญให้ได้คือ “ขีดความสามารถพื้นที่ท่องเที่ยวเพื่อรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวอย่างสมดุล” หรือ Carrying capacity
นายวิจิตรกล่าวว่า สุดท้ายอยากจะฝากถึงทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สำหรับ “สถานการณ์ปัจจุบัน” ต้องรีบเปลี่ยนแปลงรูปแบบการให้บริการ กับโครงสร้างการทำตลาดต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงสร้างเศรษฐกิจแล้ว ควรกระจายตลาดออกไปให้มากยิ่งขึ้น อย่าให้เกิดการกระจุกตัวอยู่กับตลาดใดตลาดหนึ่ง
ส่วนสิ่งที่จะฝากการเตรียมพร้อมใน “อนาคต” พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวคนส่วนใหญ่ในสังคมโลก จะตื่นตัวหันมาสนใจเดินทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในลักษณะ Health and Wellness Tourism ซึ่งตอนนี้รัฐบาล กับ ททท.เดินมาถูกทางแล้ว แต่จะต้องทำให้สอดคล้องกับเทรนด์การเดินทางวิถีใหม่ จึงต้องร่วมมือนำองค์ประกอบเหล่านี้ช่วยกันวางแผนรองรับไว้ควบคู่การส่งเสริมการตลาดอย่างมีทิศทาง
ภายใต้องคาพยพหลักคือ
ความพร้อม 5 ด้าน ได้แก่ รัฐบาล/ผู้นำ นโยบายประเทศ สถานประกอบการ
บุคลากรในอาชีพ โครงสร้างพื้นฐานที่รัฐจะต้องจัดหาให้ประเทศ
เพื่อให้การวางแผนทำให้วิสัยทัศน์เกิดขึ้นเป็นจริงขึ้นมาได้
ข่าวที่ 1 คิงเพาเวอร์เสิร์ฟแล้วลูกชิ้นยืนกิน“ป้าณีบุรีรัมย์”ที่ไทยเทสต์ฮับรางน้ำ
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ #KingPower ชวนมาเติมความแซ่บ โดยไม่ต้องไปไกลถึงบุรีรัมย์ก็แซ่บได้ เมื่อไทยเทสต์ฮับ : Thai Taste Hub ยกร้าน “ป้าณีลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์” มาเสิร์ฟทุกคนให้ได้ลองชิมถึงใจกลางกรุงที่ “คิง เพาเวอร์ รางน้ำ” ชั้น 3 โซนเอ็กซเพรส มีครบทั้งลูกชิ้นหมู ไส้กรอกแดง นุ่ม เด้ง สดใหม่ พร้อมน้ำจิ้มพริกเผาต้นตำรับสูตรเฉพาะของร้าน สามารถมานั่งรับประทานอาหารที่ร้านตั้งแต่ 11.00 – 19.00 น.
หรือสั่งผ่านบริการฟูดเดลิเวอรี่ตั้งแต่
10.00 – 19.00 น. ทางแกร็บฟู้ด และโรบินฮู้ด
สอบถามเพิ่มเติมที่ คิง เพาเวอร์ คอนแทร็ค เซนเตอร์ 1631
ทั้งนี้
“คิง เพาเวอร์”
ปฏิบัติมาตรการดูแลป้องกันตามที่ภาครัฐกำหนดอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด
และพร้อมให้ความร่วมมือดำเนินการตามมาตรการยกระดับการควบคุมโรค เพื่อให้สังคมไทยผ่านวิกฤติโควิด-19
ไปด้วยกัน
ข่าวที่ 2 “พลูแมน คิง เพาเวอร์”จัดเต็มบุฟเฟต์มื้อค่ำสุดปังทุกศุกร์-เสาร์ลด30%
ห้องอาหารควิซีน อันปลั๊ก โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ พร้อมแล้วบริการ “บุฟเฟต์อาหารทะเลและบาร์บีคิวมื้อค่ำ” ทุกวันศุกร์และเสาร์ 17.00 – 19.00 น. พิเศษ !! สมาชิก คิง เพาเวอร์ และผู้จองออนไลน์ล่วงหน้า รับส่วนลดทันที 30% เหลือเพียง 1,050 บาท สุทธิ/คน จากราคาเต็ม 1,499 บาท เด็กอายุไม่เกิน 5 ปี รับประทานอาหารฟรี และเด็กอายุ 6-11 ปี รับส่วนลด 50% จากราคาเต็ม ติดต่อห้องอาหาร โทร. 0 2680 9999
ทางห้องควิซีน อันปลั๊ก ได้ยกมาทั้งทะเลหลากหลายเมนูซีฟู้ดมาให้ได้เลือกรับประทานแบบสดใหม่ในแต่ละวัน ทั้งปูอลาสก้า ปูทะเลสีน้ำตาล กั้งทะเล หอยนางรม และหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ รวมไปถึงมุมบาร์บีคิว เลือกรับประทานอย่างเต็มอิ่มกับ กุ้งแม่น้ำเผา เนื้อวากิวย่าง ไก่ย่างออร์แกนิก
พร้อมอาหารเลิศรสทั่วทุกมุมโลกอีกกว่า
50 เมนู ทั้งโซนอาหารญี่ปุ่น ซูชิหน้าปลาแซลมอน ไข่หวาน และซาซิมิ ที่มีทั้ง ปลาแซลมอน
ปลาโทโร่ ปลาหมึก พร้อมข้าวปั้น ข้าวห่อสาหร่าย โซนอาหารอิตาเลียน มีพิซซ่าอบร้อน ๆ
จากเตาและพาสต้าทำสดใหม่ รวม อาหารไทย อาหารอีสาน อาหารจีน และอาหารนานาชาติ ปิดท้ายด้วยขนมหวาน
เค้กนานาชนิด ไอศกรีม ผลไม้ตามฤดูกาลและอีกมากมาย
ข่าวที่ 3 ททท.ได้แรงหนุนแอร์เอเชียบินข้ามภาค15ต.ค.-แหล่งเที่ยวเปิดคึกคัก
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ รายงานว่า ไทยแอร์เอเชีย ได้เปิดเที่ยวบินข้ามภาคสู่หัวหิน ไป-กลับ ทุกวันศุกร์และอาทิตย์ เชียงใหม่-หัวหิน เริ่ม 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป พร้อมโปรโมชั่นการกลับมาอีกครั้งทุกที่นั่งลด 30% รหัสเที่ยวบิน FD7901 หัวหิน - เชียงใหม่ ออกจากหัวหิน 10.35 น. เที่ยวบิน FD7900 เชียงใหม่ - หัวหิน ออกจากเชียงใหม่ 08.45 น. จองเลยที่ www.airasia.com
ส่วนแหล่งท่องเที่ยวในหัวหิน ทยอยเปิดต้อนรับความคึกคัก นอกจากชายหาดแล้ว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติไฮไลต์ที่ “อุทยานแห่งชาติหาดวนกร” นักท่องเที่ยวสามารถไปตั้งแคมป์หรือกางเต็นท์ได้ ค่ากางเต็นท์ 30 บาท/หลัง ค่าเช่าเต็นท์ 225 บาท/หลัง พักได้หลังละ 2-3 คน และค่าเช่าเครื่องนอน 60 บาท/ชุด
สำหรับค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน คนไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท หากนำรถยนต์เข้าไปด้วยคิด 30 บาท/คัน รถจักรยานยนต์ 20 บาท/คัน สอบถามข้อมูลได้ที่อุทยานแห่งชาติหาดวนกร จ.ประจวบคีรีขันธ์ โทรสอบถามได้ที่ .063-142 1121 ,032-510 663
ระหว่างวันนี้ -4 ตุลาคม 2564 ททท.ประจวบคีรีขันธ์ ได้จัดสัมมนาออนไลน์ โชว์เคสต้อนรับการเตรียมจัด HuaHin Hop Fest 2021 ที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงอีกครั้งหัวหิน เริ่มต้นด้วย เรื่องแรก "สเน่ห์สถาปัตย์เก่า มาเล่าใหม่" จากมุมมองของนักโบราณคดี นักสถาปัตย์ และ ที่จะหยิบเรื่องราวเดิม เพิ่มมุมมองใหม่ ให้กับมรดกทางสถาปัตยกรรมน่าภูมิใจ สร้างคุณค่าส่งผ่านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวสามารถมาหมุดเช็คอินได้มากกว่าภาพถ่ายเท่านั้น หากแต่เรื่องราวที่น่าสนใจอยู่มากมาย
เรื่องที่ 2 "Huahin Art Awake ! " หัวหิน ถิ่นศิลปะ จากชุมชนกลุ่มสร้างสรรค์งานศิลปะ ขยายผล และ สวมใส่นวัตกรรม ให้งานศิลปะ มีคุณค่า มีชีวิต สู่สายตาเครือข่ายระดับนานาชาติ ผ่านประสบการณ์ Co Creation เพิ่มมูลค่าโดยยังคงอัตลักษณ์เมือง ผสมผสานความร่วมสมัยที่จะถ่ายทอดสู่คนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว
เรื่องที่
3 "Huahin จะกลายเป็น World
Music City ได้หรือไม่?
ชายหาดแห่งเสียงดนตรีที่สร้างความสุขให้ผู้คนมาอย่างยาวนาน
ข่าวที่ 4 ททท.อัพใหม่เราเที่ยวด้วยกัน-ทัวร์เที่ยวไทยเฮจองสิทธิอื้อ8ต.ค.64
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการที่อยู่ภายใต้การดูแลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โครงการแรก "เราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 โครงการ 2 ทัวร์เที่ยวไทย วงเงินสนับสนุนจากรัฐบาลรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ขณะนี้พร้อมเปิดให้นักท่องเที่ยวในประเทศจองที่พักได้แล้วตั้งแต่ 8 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป เมื่อจองสำเร็จแล้วนำสิทธิไปใช้ได้ถึง มกราคม 2565 รวมทั้งให้ ททท.ดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมีขั้นตอนการลงทะเบียนดังนี้
โครงการที่ 1 “เราวเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” รัฐบาลสนับสนุนเงินแก่ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว 5,000 ล้านบาท มีดังนี้
1.ผู้ประกอบการ ลงทะเบียน “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3” ได้ระหว่าง 24 กันยายน - 1 ตุลาคม 2564
2.ประชาชน เริ่มจองที่พักได้ตั้งแต่ 8 ตุลาคม 2564-23 มกราคม 2565 โดยเริ่มเข้าพักได้ตั้งแต่ 15 ตุลาคม 2564 และใช้สิทธิได้ไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2565
สามารถลงทะเบียนได้ที่ทาง www.เราเที่ยวด้วยกัน.com
3.รัฐบาลสนับสนุนค่าใช้จ่ายหลัก 3 ส่วน ดังนี้
3.1.รัฐสนับสนุนค่าโรงแรม 40% ไม่เกิน 3,000 บาท/ ห้อง/คืน
3.2 สนับสนุนคูปองอาหาร 600 บาท/คืน
3.3 สนับสนุนค่าตั๋วเครื่องบิน 40% ไม่เกิน 2,000 บาท หรือ 3,000 บาท
ดูตามเงื่อนไขของแต่ละจังหวัด
โครงการที่ 2
“ทัวร์เที่ยวไทย” รัฐบาลสนับสนุนงบประมาณ 5,000 ล้านบาท ให้บริษัทนำเที่ยวจัดแพกเกจขายในประเทศ
และรัฐสมทบเงินให้ 40% ของราคาแพ็คเกจท่องเที่ยว แต่ไม่เกิน 5,000
บาท/คน
รวมทั้งได้ปรับปรุงรายละเอียดใหม่ 2 เรื่อง คือ
1.การเดินทางท่องเที่ยวข้ามจังหวัดสามารถเที่ยวได้ทุกวัน จากเดิมให้เฉพาะวันธรรมดา คือวันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี ของแต่ละสัปดาห์
2.เพิ่มรายการนำเที่ยว 30 รายการ/บริษัท จากเดิมให้เพียง
15 รายการ/บริษัท โดย ททท. เป็นผู้ทำแพลตฟอร์มลงทะเบียนรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว
ข่าวที่ 5 “TCEB”มอบมาตรฐานAMVSสถานที่จัดไมซ์อาเซียนปี’67ปั้น370แห่ง
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้เป็นประธานประชุมรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียน : AMVS -ASEAN MICE Venue Standard ที่ฝ่ายพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ทีเส็บจัดขึ้น ขณะนี้มีสถานประกอบการได้การรับรองผ่านมาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียนเรียบร้อยแล้ว 128 แห่ง ตั้งเป้าปี 2567 วางแผนตรวจประเมินให้ได้อีกเท่าตัวไม่ต่ำกว่า 300 แห่ง
ส่วนการพิจารณารับรองมาตรฐานช่วงเดือนกันยายน 2564 ทีเส็บได้ใช้เวทีการประชุมร่วมกับหลายหน่วยงานสำคัญคณะกรรมการรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียน ร่วมกันรับรอง ประกอบด้วย ผู้แทนกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผู้อำนวยการสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ นายกสมาคมจัดแสดงสินค้าไทย (TEA) สมาคมโรงแรมไทย (THA) สมาคมส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ TICA และผู้แทนสมาคม EMA รวมถึงมูลนิธิมาตรฐานโรงแรมไทย
พร้อมกับมอบใบรับรองมาตรฐาน AMVS ให้ผู้ประกอบการ แบ่งได้ 2 ประเภท คือ 1. AMVS - Meeting Room ผ่านการรับรอง 46 แห่ง และ 2. AMVS - Exhibition Venue ผ่านการรับรอง 1 แห่ง
ช่วงที่ 2 เที่ยวไทยไปได้ทุกวัน ทริปนี้แนะนำ “กาญจนบุรี” กับ 3 จุดเช็คอินใหม่ “คาร์เฮนท์ บ่อพลอย” ตะลึงกับประติมากรรมรถยนต์กลางที่ราบธรรมชาติ
ตื่นตากับ “เขาอินทร์แขวน” Unseen New Series แห่งใหม่ และ “สังขละบุรี” ด่านเจดีย์ 3 องค์เปิดแล้วจร้า ทางด้านสุขภาพ “กินเจดีต่อใจและกายได้ประโยชน์ถึง 6 อย่าง” พลาดได้ไงกับข่าวดี ๆ “แกรนด์เมอร์เคียว” เปิดใหม่ที่เขาหลัก
บางสัก มีโปรห้องพักเหลือ 2,300 บาท/ห้อง/คืน ถึง 22 ธ.ค.นี้ “ทอท.งัดข้อมูลไออต้า-สกายแทร็กซ์” รุกขยายสุวรรณภูมิใหม่ 3 ทิศ รับการบินฟื้นตัว2 ปีหน้า และ “ไลม์ไลน์ภูเก็ต” รวม 50 ร้านเจรสเด็ดมาไว้ในห้าง แวะไปชิมกันได้ตั้งแต่ 5-14 ต.ค.นี้
เที่ยวไทย -กาญจน์มุมใหม่ “คาร์เฮนท์”บ่อพลอย-อันซีนเขาอินทร์แขวน
โลกของการท่องเที่ยวหลังโควิดมีปรากฏการณ์แปลกใหม่ชวนให้ออกเดินทางอีกครั้ง โดยเฉพาะ “กาญจนบุรี” ตอนนี้มีจุดเช็คอินตื่นตาตื่นใจ
จุดเช็คอินแรก ประติกรรมริมทาง “คาร์เฮนท์” ตั้งอยู่ติดถนนสาย 3086 ด้านหน้าสนามกอล์ฟกรังด์ปรีซ์ (Grand Prix Golf Club) ตรงตำบลช่องด่าน ผู้ที่เดินทางไปท่องเที่ยวเมืองกาญจน์ผ่านทาง อ.บ่อพลอย - อ.หนองปรือ อย่าลังเลแวะเข้าชมฟรีได้ทันทีทุกัน
“คาร์เฮนท์”
บ่อพลอย เป็นการนำซากรถยนต์เก่าหลากหลายยี่ห้อมาจัดวางเรียงซ้อนกันในลักษณะต่าง ๆ
ล้อมรอบเป็นวงกลม เกิดเป็นงานประติกรรมทางธรรมชาติบนที่ราบกลางแจ้งสวยงามแปลกตา
เป็นไอเดียของ
“ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา” เจ้าของเครือบริษัท กรังค์ปรีซ์ ที่บุกเบิกการจัดงาน
บางกอก อินเตอร์ เนชั่นแนล หรือ “มอเตอร์โชว์” มาอย่างยาวนานในเมืองไทยจนทั่วโลกให้การยอมรับ
พร้อม ๆ กับได้ริเริ่มสร้างจุดเช็คอินแหล่งท่องเที่ยวใหม่ “คาร์เฮนท์”
ประติมากรรมที่มีความโดดเด่นไม่แพ้ “สโตนเฮนท์” แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอังกฤษเลยทีเดียว
พิกัด : https://goo.gl/maps/9VC1sVVXmYBzVXXM7
จุดเช็คอินที่ 2 “เขาอินทร์แขวน" ตั้งอยู่ภายใน วัดเขาช่องเสด็จ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี เป็น Unseen New Series แห่งใหม่ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงผจญภัย ให้ชวนกันมาปีนขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อชมวิว 360 องศา ที่มีหินรูปร่างคล้ายพระธาตุไจที่โย่ของเมียนมา
จุดเช็คอินที่ 3 “สังขละบุรี” ตอนนี้คำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ประกาศให้แฟนคลับหรือสาวกที่ชื่นชอบวิถีชีวิตกลางหุบเขาธรรมชาติ เดินทางไปเที่ยวได้ตามปกติแล้ว สามารถเข้าถึง “หมู่บ้านพระเจดีย์สามองค์” หมู่ที่ 9 ตำบลหนองลู อำเภอสังขละบุรี และเปิดให้ใช้เป็นช่องทางการนำเข้า-ส่งออกสินค้า และสินค้าผ่านแดนทุกประเภท ณ จุดผ่อนปรนทางการค้าด่านพระเจดีย์สามองค์(จุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว)
ตอนนี้ใครไม่ไป “กาญจนบุรี” สักครั้ง อาจจะตกเทรนด์ได้ ลองดู 1 ใน 3 จุดเช็คอิน ไว้เป็นทางเลือก เมื่อมีเวลาออกเที่ยวได้ทันที
สุขภาพ -กินเจตลอดเทศกาลดีทั้งกายและใจได้ถึง 6 อย่างด้วยกัน
อีกเพียง 3 วันก็จะเข้าสู่เทศกาลกินเจ 2564 แล้ว ปีนี้ตรงกับวันที่ 6 ตุลาคม – 14 ตุลาคม 2564 รวมเป็นเวลา 9 วัน บางคนอาจจะเริ่มล้างท้องตั้งแต่ 5 ตุลาคม นี้ การกินเจมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจถึง 9 อย่างด้วย คือ
1.ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมด เพราะช่วงกินเจจะช่วยชำระสารพิษที่ตกค้างอยู่ภายในร่างกายเพราะสารอาหารจากพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ
2.เมื่อรับประทานอาหารเจหรืองดเนื้อสัตว์เป็นเวลานาน ร่างกายจะปรับตัวให้ชินมากขึ้น 07’เสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาว มีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส ร่างกายแข็งแรงรู้สึกมีสุขภาพดี
3.อวัยวะหลักสำคัญภายในแข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์
4.ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่าง ๆ เนื่องจากซึ่งสารอาหารในพืชผัก จะช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่าง ๆ ได้
5.การกินเจทำให้เกิดความเมตตา เกิดความสงบสุขุม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่เกิดอาการโมโหง่าย จะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้บารมีธรรมสูงขึ้นเรื่อย ๆ
6.หยุดการสร้างบาป เวรกรรม ทำให้ไม่เกิดการอาฆาต พยาบาท จึงปราศจากศัตรูทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดมุ่งทำร้ายกัน มีผลดีต่อใจตามความเชื่อทางศาสนานั่นเอง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “แกรนด์เมอร์เคียวเปิดใหม่เขาหลักเทโปรห้องเหลือ2,300บาทถึง22ธ.ค.นี้
โธมัส รัพกี้ ผู้จัดการทั่วไป แกรนด์เมอร์เคียว เขาหลัก บางสัก เปิดเผยว่า ได้เปิดบริการแกรนด์ เมอร์เคียว เปิดให้บริการแล้วที่ เขาหลัก มีห้องพัก 195 ห้อง ที่ชวนให้นึกถึงหมู่บ้านริมแม่น้ำแบบดั้งเดิมของไทย ชายฝั่งทะเลอันดามันในจังหวัดพังงา เปิดให้บริการเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนริมชายหาดอันเป็นเอกลักษณ์และเงียบสงบ
มีโปรโมชั่นจองได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2564การเข้าพักตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง 22 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เพื่อเพลิดเพลินกับการเข้าพัก “ห้องซูพีเรียร์” ในราคาเริ่มต้นที่ 2,300 บาทสุทธิต่อคืน พร้อมอาหารเช้าและเครดิตอาหารและเครื่องดื่มมูลค่า 500 บาท
บริการ “ห้องอาหาร” 1.พาทิโอ (Patio) เปิดบริการตลอดทั้งวัน พร้อมเสิร์ฟอาหารเอเชียและอาหารนานาชาติหลากหลายรายการ พร้อมเคาน์เตอร์ Live Cooking Station 2.ห้องอาหารริมทะเล กรีน แมงโก้ (Green Mango) ให้บริการอาหารไทยภาคใต้ต้นตำรับโดยใช้สูตรที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เมนูซิกเนเจอร์จะเสิร์ฟในปิ่นโต เพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวและเพื่อนๆ และ 3.โซค พูล บาร์ (Soak Pool Bar) คือ บาร์ริมสระว่ายน้ำที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนและสังสรรค์ ให้บริการเครื่องดื่มและของว่างมากมาย
“กิจกรรม” มีให้เลือกมากมายตอบสนองความต้องการของผู้เข้าพักได้หลากหลาย คือ มีสระว่ายน้ำ 2 สระพร้อมวิวสวนและทะเล ครอบครัวที่มีเด็กเล็กสามารถเพลิดเพลินไปกับคิดส์ คอร์เนอร์ (Kids Corner) และสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก ผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกายสามารถเพลิดเพลินกับการออกกำลังกายเพื่อความสดชื่นได้ที่ฟิตเนส
“ทรีทเมนท์” ที่ปราณ สปา (Pran Spa) จะมอบความผ่อนคลายอย่างเต็มเปี่ยม ทรีทเมนท์ต่างๆ ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการที่เฉพาะเจาะจงผ่านผ่านการใช้พลังในการรักษาของเทคนิคที่มุ่งเน้นผลลัพธ์ และส่วนผสมจากธรรมชาติที่เป็นผลผลิตจากท้องถิ่น Energy Recharge คือ หนึ่งในทรีทเมนท์ซิกเนเจอร์ของปราณ สปา ช่วยคลายความเมื่อยล้าด้วยการนวดอโรมาเทอราพีและการประคบเกลือหิมาลายันอุ่นเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงาน ความหอมของเกรปฟรุ๊ต ขิง และกานพลูจะช่วยบรรเทาปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
รีสอร์ทแห่งนี้มีมุมธุรกิจ
(Business Corner) ให้บริการคอมพิวเตอร์ ปริ๊นเตอร์
และบริการทางธุรกิจอื่น ๆ ห้องประชุมขนาด 260 ตารางเมตรของรีสอร์ทสามารถรองรับแขกได้ถึง
100 ท่าน เหมาะสำหรับทั้งงานประชุม งานเลี้ยงส่วนตัว และงานเลี้ยงขององค์กร
ข่าวที่สอง ทอท.ชี้IATA-SKYTRAXหนุนแผนขยายสุวรรณภูมิใหม่3ทิศบริการบิน
บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” รายงานว่า ผลจากมติที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการเพิ่มขีดความสามารถอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
(ทภส.) ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล
รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีแนวทางให้ ทอท.ว่าจ้างสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ
(International Air Transport Association: IATA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนพัฒนาท่าอากาศยาน
ให้ประเมินระดับการให้บริการ (Level of Service: LoS) ควบคู่ทำการศึกษาแผนแม่บทฉบับเดิมและฉบับปรับปรุงปัจจุบัน
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของอาคารผู้โดยสารสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
เนื่องจากผลการศึกษาของ IATA สอดคล้องกับผลประเมินการจัดอันดับท่าอากาศยานของ Skytrax มีจุดบริการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกในสุวรรณภูมิที่ยังอยู่ระดับต่ำกว่ามาตรฐาน ส่งผลต่อความพึงพอใจและความสะดวกสบายของผู้ใช้บริการในพื้นที่ โดยแบ่งปัญหาได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1: สิ่งอำนวยความสะดวกไม่เพียงพอ (Under-provided) หรือเข้าขั้นวิกฤต ทาง IATA ระบุเป็นพื้นที่สีแดงและจำเป็นต้องปรับปรุง ได้แก่
1.1 ชานชาลารับ-ส่งผู้โดยสาร (Curbside) ขาเข้าและขาออก ประสบปัญหาความแออัด เนื่องจากมีความยาวจำกัดเพียง 620 เมตร สวนทางความต้องการใช้งานมีมากถึง 812 เมตร หรือเกินขีดความสามารถกว่า 30 %
1.2 จุดตรวจหนังสือเดินทาง (ขาเข้า-ตรวจคนเข้าเมือง) และจุดตรวจค้น (เที่ยวบินภายในประเทศ)
กลุ่มที่ 2: สิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสม (Sub-optimum) ถูกจัดเป็นพื้นที่สีส้มและจำเป็นต้องได้รับการบริหารจัดการ ได้แก่ เคาน์เตอร์เช็กอิน จุดตรวจหนังสือเดินทาง (ตรวจคนเข้าเมือง) จุดตรวจค้น (เที่ยวบินระหว่างประเทศ และเปลี่ยนเที่ยวบิน) จำนวนหลุมจอดพร้อมใช้งาน
ดังนั้น AOT จึงต้องแก้ไขปัญหาจุดบริการ และพัฒนาศักยภาพสุวรรณภูมิ ตามจะแผนพัฒนาพื้นที่ส่วนต่อขยายสนามบินสุวรรณภูมิครอบคลุมทั้ง 3 ทิศ “เหนือ-ตะวันออก-ตะวันตก” เพื่อทำให้เกิดความสมดุลพร้อมทั้งบริเวณภายในโซนก่อนขึ้นเครื่องบิน (Airside) และโซนบริการด้านหน้าก่อนผ่านระบบตรวจการเดินทาง (Landside) เตรียมพร้อมรองรับผู้โดยสารอนาคตระยะยาวปีละ 120 ล้านคน ทำให้สุวรรณภูมิ กลับมาเป็นประตูสู่ประเทศไทย สนามบินชั้นนำของโลกได้อีกครั้งต่อไป ประกอบด้วย
ส่วนที่ 1
พื้นที่ส่วนต่อขยาย “ด้านทิศเหนือ : North Expansion” เพื่อเพิ่มเติมพื้นที่ให้บริการที่สำคัญ เช่น ชานชาลารับส่งผู้โดยสาร อาคารจอดรถ
ปรับปรุงระบบจราจร พื้นที่เคาน์เตอร์เช็กอิน จุดตรวจค้น จุดตรวจหนังสือเดินทาง
และสายพานรับกระเป๋า
เพื่อเตรียมความพร้อมให้บริการผู้โดยสารภายใต้วิถีชีวิตแบบใหม่
(Transport New Normal)หลังผลสถานการณ์โควิด-19 จะต้องเพิ่มมาตรการ เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) การตรวจคัดกรองโรค การแยกพื้นที่ระบบปรับอากาศและระบายอากาศ
นำระบบเทคโนโลยีอัตโนมัติต่าง ๆ มาให้บริการ อาทิ Self Service Check-in,
Self Service Bag drop, Passenger Validation, Self-Boarding Gate, Automated
Biometric Identification
ส่วนที่ 2 จะพัฒนา “พื้นที่ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก : East Expansion” การก่อสร้างอาคารต่อขยายจากอาคารผู้โดยสารหลังปัจจุบัน
เพิ่มพื้นที่อาคารผู้โดยสารให้ได้ราว 66,000 ตารางเมตร เบื้องต้นวางแผนจะใช้พื้นที่ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออก “รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ”
เพิ่มพื้นที่รองรับเช็กอินล่วงหน้า หรือ Early Check-in เพื่อให้บริการผู้โดยสารที่มาถึงก่อนเวลาเปิดเคาน์เตอร์ตรวจตั๋วโดยสารสายการบิน
แก้ปัญหาผู้โดยสารความแออัด
ส่วนที่ 3 “ส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันตก : West Expansion” ทอท.อยู่ระหว่างศึกษาควบคู่การพัฒนาเพื่อเพิ่มพื้นที่ผู้โดยสารโล่งขึ้น
สามารถรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศในอนาคตปีละ 30 ล้านคน
ข่าวที่สาม
“ไลม์ไลท์อเวนิวภูเก็ต”ชวนไปสัมผัสเมนูเจ
50 ร้านตลอด5-14ต.ค.นี้
“ไลม์ไลท์ อเวนิว ภูเก็ต” เชิญชวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปภูเก็ต
แวะเข้างาน “พอดีกับชีวิตในเมือง”
ถนนดีบุก ใจกลางเมืองภูเก็ต เพื่อร่วมสืบสานประเพณีถือศีลกินผัก ระหว่าง
5-14 ตุลาคม 2564 เวลา 11.00-20.00 ภายในงานได้เปิดพื้นที่ฟรีให้ผู้ประกอบการกว่า
50 ร้าน มาจำหน่ายอาหารเจ และสินค้าต่างๆ มากมาย โดยมีพื้นที่ขายปลอดภัย ส่วนพ่อค้าแม่ขายได้รับการฉีดวัคซีนแล้วครบแล้ว
3 เข็ม
ร้านค้าภายในรังสรรค์เมนูอาหารเจอร่อยๆ
แบบไม่จำเจให้ทุกท่านได้อิ่มบุญ อิ่มท้อง อาทิ ร้านอาหารในฟู้ดคอร์ท ตู้กับข้าว
ครัวข้าวผัดพริกเกลือ ดีบุก้า Day and Night ลูกชิ้นปลาโกจ้า
กาก้าเดอะวาฟเฟิ้ล ร้านเครื่องดื่มต่างๆ Rock&Baby / Mellow Yellow /
Buddy Teddy / Milk Land / Refresh.tropicalcafe
ยกทัพมาสมทบด้วย ปลาท่องโก๋ “การบินไทย” น้ำเต้าหู้ Soy 4 Milk เบเกอรี่แสนอร่อยจาก The Port หมี่ไทยเจจาก ครัวบ้านอามะ (MomCafe’) ก๋วยเตี๋ยวหลอด บ้านอาแมน ผักออแกนิคจาก servesook และอาหารเจอร่อยๆ มากมายอิ่มบุญ อิ่มท้อง ที่ไลม์ไลท์ อเวนิว ภูเก็ต วิถีปลอดภัยแบบ Normal ตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย และขอความร่วมมือชำระเงินโดยการสแกนจ่าย ลดการสัมผัส สวมหน้ากาก หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่าง ปลอดภัยตลอดประเพณีถือศีลกินผักที่ไลม์ไลท์ อเวนิว ภูเก็ต สอบถามเพิ่มโทร. 076 682900 หรือ 092 1295468 Line/FB/IG :@limelightphuket
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น