ผู้นำรีเจนต์รุกโรงเรียนโรงแรมRHSเทรนด์ใหม่
ชูสอนปฏิบัติไทย-เทศทำงานได้ทั่วอาเซียน
โหลดแอพUTUช้อปเพลินรับเพียบที่คิงเพาเวอร์
ททท.บุกเบิก9เส้นทางเที่ยวให้ผู้พิการ-สูงวัย
บางจากเร่งเปิด200ปั๊มขายไฮพรีเมี่ยมดีเซลเอส
โคห์เลอร์นำสุขภัณฑ์รักษ์โลกบูมอสังหาไทย
ไปป่าพรุผืนสุดท้าย “ศูนย์ฯสิรินธร”นราธิวาส
บินไทยชูโปรโมชั่นตั๋วเข้าถวายอาลัยต.ค.นี้
AAPAชี้แอร์ไลน์ทั่วเอเชีย7เดือนตลาดโตแรง
ชวนกันวิ่ง Run for Dek Thai 2017วันที่ 1 ต.ค.
สวัสดีวันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังมือถือเลือก FM 97.0 อ่านใน www.facebook.com/penroongyaisamsaen ฟังทาง youtube พิมพ์ รวยด้วยข่าว 97.0-วัน/เดือน/ปี #gurutourza #thailandfest #AmazingThailand
ช่วงที่ 1 คุณปิยะมานต์ เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการโรงเรียนการโรงแรม และกรรมการผู้จัดการโรงแรมรีเจนท์ ชะอำ อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการถึงทิศทางใหม่ที่จะพัฒนาธุรกิจโรงแรมควบคู่กับการเปิดโรงเรียนผลิตบุคลากรยุคไฮเทคซึ่งเน้นภาคปฏิบัติจริงป้อนสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการปลุกนักท่องเที่ยวให้หันมาใช้บริการที่พักซึ่งจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางประเทศศูนย์กลางเครือข่ายตลาดท่องเที่ยวคุณภาพของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง
คุณปิยะมานต์เปิดเผยว่าเครือโรงแรมรีเจนท์ ดำเนินธุรกิจมาเกือบ 40 ปี ค้นพบว่าผู้ประกอบการโรงแรมประสบปัญหารับนักเรียนที่เพิ่งเข้ามาทำงาน แต่กลับกลายเป็นต้องมาเริ่มสอนทุกอย่างใหม่ทั้งหมด เพราะหลักสูตรจะเน้นผลิตคนมาเป็น “ผู้บริหาร” ทั้ง ๆ ที่ในอุตสาหกรรมขาดแคลน “ผู้ปฏิบัติ” ในภาวะการณ์ปัจจุบันธุรกิจโดยรวมขาดแคลนผู้ทำงานในภาคปฏิบัติเป็นอย่างมาก
ดังนั้นจึงทุ่มลงทุนก่อตั้งโรงเรียนการโรงแรม เพื่อเป็นต้นแบบและตัวอย่างของการเรียนการสอนเพื่อผลิตคนเข้าทำงานในภาคปฏิบัติ คือ “รีเจนท์ ชะอำ ฮอสพิทาลิตี้ สกูล” (Regent Cha-am Hospitality School : RHS) เป็นการศึกษานอกระบบขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ
โดยได้กำหนดหลักสูตรให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เรียน 4 หลักสูตรด้วยกัน 1.แผนกห้องพัก 2.บริการเครื่องดื่มและอาหาร 3.การครัว และ 4.แผนกต้อนรับ ระยะเวลาเรียน 9 เดือน แบ่งการเรียนเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ช่วง 3 เดือนแรก เน้นวิชาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการโรงแรม บวกกับแนวทางตามแผนกที่ได้เลือกไว้
ระยะที่ 2 อีก 3 เดือน ทำงานในโรงแรมรีเจนท์ ชะอำ ช่วงเสาร์-อาทิตย์ เพื่อสัมผัสปัญหาจริง จากวันช่วงวันธรรมดาก็นำปัญหามาแลกเปลี่ยนสอบถามจากอาจารย์ผู้สอนเพื่อแก้ปัญหาที่ประสบพบมา
ระยะที่ 3 ช่วงสุดท้ายเดือนที่ 7-8-9 ประสานกับเครือข่ายภาคีพันธมิตรทั้งในหัวหิน ชะอำ ภูเก็ต กรุงเทพฯ รับนักเรียนในหลักสูตรของ รีเจนท์ ชะอำ ฮอสพิทาลิตี้ สกูล ไปฝึกงานภาคปฏิบัติที่มีปัจจัยแวดล้อมหลากหลาย เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนการสอนจากสนามจริง
สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครเรียน เปิดโอกาสให้คนในวัยระหว่าง 17-35 ปี เลือกมาเรียนได้ ส่วนการศึกษาต้องจบระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 “ค่าเล่าเรียน” เรียกว่าเป็นโรงเรียนในรีสอร์ต ที่มีทั้งหอพัก รีสอร์ต และสถานที่เรียน อยู่ในพื้นที่เดียวกันที่โรงแรมรีเจนท์ ชะอำ จึงกำหนดค่าเรียนไว้ระหว่าง 110,000-150,000 บาทต่อคนต่อคอร์ส ขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่แต่ละคนเลือกเรียนต่างมีความง่ายและยากกันไป หากเป็นหลักสูตรครัวอาหารราคาจะแพงเล็กน้อย ซึ่งเทรนด์ระยะนี้เมืองไทยนิยมเรียน “ทำอาหาร” เมื่อจบแล้วสามารถไปเป็นเชฟตามโรงแรมต่าง ๆ ได้
เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้ว โอกาสการทำงานจะมีสูงมาก เพราะถ้าหากไม่ต้องการเรียนต่อก็สามารถสมัครที่โรงแรมในเครือเลยก็ได้ แต่มีบางส่วนต้องการเรียนต่อก็มีมหาวิทยาลัยกรุงเทพรับเทียบโอนหน่วยกิตเรียนต่ออีก 2 ปี จะได้รับวุฒิการศึกษาปริญญาตรี หรือจะไปเรียนต่อต่างประเทศก็ได้ เพราะทาง RHS มีข้อตกลงความร่วมมือกับโรงเรียนการโรงแรม Swiss Hotels Management School :SHMS ในสวิตเซอร์แลนด์ หลักสูตรเรียน 3 ปี แต่จะได้เครดิตหากจบจากรีเจนท์ ชะอำ ฮอสพิทาลิตี้ สกูล ไปทาง SHMS จะให้เรียนต่อโดยใช้เวลาเพียง 2 ปีก็จบหลักสูตรได้
สิ่งที่พิสูจน์แล้วสำหรับผู้ที่เข้ามาเรียนในกลุ่มแรก ๆ จากวุฒิการศึกษา ม.6 พอศึกษาจบจากโรงเรียนการโรงแรมแห่งนี้ไปแล้ว สามารถได้รับเงินเดือนบวก Service Charge ไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี แต่ละเดือนได้ประมาณ 15,000 บาท เพราะแถวหัวหิน ชะอำ โรงแรมระดับ 4-5 ดาว ก็มีเซอร์วิสชาร์ตไม่ต่ำกว่าเดือนละ 5,000 บาท
จึงขอเชิญชวนให้เยาวชนมาเลือกเรียนในยามเศรษฐกิจแบบนี้ จะยิ่งเป็นผลดีต่อครอบครัวด้วย อีกทั้งทางโรงเรียน SCHS เองก็มี “ทุนการศึกษา” ให้แก่นักเรียนด้วย โดยจะต้องผ่านการสอบแบบทดสอบตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ พร้อมข้อตกลงเมื่อเรียนจบต้องทำงานกับผู้ให้ทุนก่อน 2 ปี โดยมีโรงแรม ร้านอาหาร ให้กรุงเทพฯ เข้าร่วมโครงการให้ทุนการศึกษาด้วย
โรงเรียนการโรงแรม SCHS จะเปิดรับสมัครปีละ 2 ครั้ง เดือนสิงหาคม และมกราคม ของทุกปี
สำหรับเยาวชนที่จบการศึกษาปริญญาตรีแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าตนเองต้องการประกอบอาชีพอะไร หรือส่วนหนึ่งยังหางานไม่ได้ ก็ให้มาเรียนในโรงเรียนการโรงแรมจะสามารถหางานได้ เพราะตอนนี้ก็มีกลุ่มนำร่องมาเรียนแล้วจบไปทำงานเรียบร้อย หรือจะมาเรียนเพื่อไปเปิดธุรกิจส่วนตัวอย่าง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ได้ด้วย
ส่วนสถานการณ์ของบุคลากรในอาชีพการโรงแรม ที่ผ่านมาคนจบมาเพื่อบริหาร แต่ปัจจุบันจะเน้นหนักไปทาง “อาชีวศึกษา” เพราะต้องการผลิตคนเข้าสู่หน้าที่ปฏิบัติการมากกว่าบริหาร
ขณะที่การเพิ่มความเข้มข้นในการเรียนการสอน ส่วนใหญ่มักจะสอนกันมาแแต่ภาคทฤษฎี พอรับเข้ามาทำงานแต่ละโรงแรมก็ต้องมาสอนกันใหม่ทำให้เสียเวลามาก แถมเรื่องทักษะภาษาก็ยังมีน้อยเกินไป เพราะการทำงานไม่ได้เน้นการท่องเที่ยวจำแต่มุ่งให้ทำงานบริการได้ตามมาตรฐาน
คุณปิยะมานต์ย้ำว่า อนาคตของการเรียนหลักสูตรการโรงแรมในภาคปฏิบัติอีก 3-5 ปีข้างหน้า ความต้องการในตลาดยังมีโอกาสเติบโตจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามายังไทย ปี 2560 ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน ทางสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเอเชีย แปซิฟิก (Pacific Asia Travel Association :PATA) พยากรณ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีนักท่องเที่ยวเลือกมาไทยไม่ต่ำกว่าปีละ 50 ล้านคน แต่อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภายในประเทศด้วย
รวมทั้งให้มองไปยังตลาดอาเซียนด้วย เพราะมีโรงแรมเปิดเพิ่มใหม่ทุกปี จึงเท่ากับมีโอกาสทั้งการทำงานในประเทศและในอาเซียนด้วย
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดโรงเรียนการโรงแรม รีเจนท์ ชะอำ ฮอสพิทาลิตี้ สกูล ได้ที่ www.rhs.com
คุณปิยะมานต์ประเมินสถานการณ์ของธุรกิจโรงแรม ในเรื่องการแข่งขันทางการค้าระหว่างโรงแรมแบรนด์ท้องถิ่นของไทยกับเชนโรงแรมนานาชาติที่ไหลบ่าเข้ามา ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเท่ากับ “โรงแรมผิดกฎหมาย” ซึ่งเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยเป็นเรื่องน่าห่วงมากสุด เพราะการแข่งขันของผู้ดำเนินธุรกิจถูกต้องก็ต้องมีกลยุทธ์ที่มาต่อสู้กันได้
ยกเว้นโรงแรมผิดกฎหมายไม่มีใบอนุญาต จะมีปัญหาอีกมากตามมาทั้งเรื่องความปลอดภัย ความสะอาด บริการ ดังนั้นจึงขอให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาควบคุมตรวจสอบ เพราะตอนนี้การออกใบอนุญาตก็ยืดหยุ่นกติกาบางอย่างลงไปแล้ว รวมทั้งนักท่องเที่ยวช่วยกันเลิกใช้บริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการห้องพักได้เข้ามาอยู่ “อุตสาหกรรม” และ “แข่งขัน” กันอย่างถูกต้อง
ส่วนข้อแนะนำสำหรับผู้ใช้บริการโรงแรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้สังเกตถึงห้องพัก อย่างแรก จดทะเบียนเป็นสมาชิกสมาคมโรงแรมไทย ซึ่งเก่าแก่ตั้งมากว่า 50 ปี ที่มีใบประกาศให้โรงแรมทั่วประเทศ และในเว็บไซต์ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็มีข้อมูลรายชื่อโรงแรมที่ถูกต้องตามกฎหมายระบุไว้
ขณะที่ “ราคาห้องพัก” ซึ่งเป็นแรงดึงดูดให้คนเลือกใช้โรงแรมผิดหรือถูกกฎหมายนั้น ขึ้นอยู่ความดีมานต์และซัพพลาย แต่สิ่งสำคัญต้องคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยตลอดการพักผ่อนเป็นหลัก
ภาพรวมการลงทุนโรงแรมในไทยเป็นไปตามแนวโน้มการขยายตัวทางการท่องเที่ยวคนไทยและนานาชาติ แต่จากข้อมูลที่ได้รับในอนาคตอีก 5 ปีการลงทุนจะเพิ่มแบบถดถอยลงเหลือเพียง 5-6 % ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งเป็นโอกาสเพิ่มทั้งจำนวนคนเข้าพักและจำนวนห้องพัก ซึ่งมีผลทำให้เกิดการเปิดโรงแรมที่ผิดกฎหมายเพิ่มตามไปด้วย
ดังนั้นคนไทยควรจะหันมาใส่ใจทั้งเรื่อง “การเลือกเรียนการโรงแรม” เพื่อจบไปประกอบอาชีพได้จริง และควรร่วมมือกันเลือกใช้บริการที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางเครือข่ายเชื่อมโยงการท่องเที่ยวอาเซียนที่มีคุณภาพและยั่งยืน
ข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “โหลดแอพUTUช้อปแหลกที่คิงเพาเวอร์”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ผู้นำร้านค้าดิวตี้ฟรี ชวนโหลดแอพลิเคชั่น UTU แล้วสะสมแต้มจากการช้อปได้หลายต่อ ตั้งแต่วันนี้ -31 ธันวาคม 2560 เพียงลงทะเบียน รับแต้มสูงสุด 500 UTU Thai Points หรือเข้าไปช้อปออนไลน์ที่ www.Kingpower.com ต่อที่ 1 รับ 300 UTU Thai Points ทุก ๆ การช้อป 3,000 บาทขึ้นไปแต่จะรับได้สูงสุดไม่เกิน 1,500 UTU Thai Points ต่อ 1 เซลล์สลิป ต่อที่ 2 รับ 500 UTU Thai Pointsเพียงช็อป ที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา ทุกๆ 5,000 บาทขึ้นไป สูงสุดไม่เกิน 2,500 UTU Thai Points ต่อ 1 เซลล์สลิป และ แต้ม 1,000 UTU Points แลกเป็น Cash Back เข้าบัตรวีซ่าได้ 200 บาท ขั้นตอนการสมัครสมาชิก UTU
ขั้นตอนการใช้งานเพื่อสะสม UTU Points จากการใช้จ่ายที่ คิง เพาเวอร์
1.ดาวน์โหลด App ” UTU” ผ่าน App Store หรือ Google Play Store กดดาวน์โหลด และติดตั้งไว้บนโทรศัพท์มือถือ
2.สมัครสมาชิก และลงทะเบียนบัตร Visa กรอกข้อมูลต่างๆ จากนั้นไปที่ เมนู ‘My Cards/บัตรของฉัน’ และทำการกรอกชื่อผู้ถือบัตร,หมายเลขบัตร,วันหมดอายุบัตร และเลขสามตัวด้านหลังบัตร จากนั้นเข้าขั้นตอนของการยืนยันตัวตนผ่านระบบ Verified By Visa และรอรับรหัส OTP จากธนาคาร (ขั้นตอนนี้ อย่าปิดหน้าต่างใดๆ ขณะทำรายการ)**เมื่อยืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว ด้านหลังเลข 4 ตัวท้ายของบัตรเครดิต จะขึ้นตัวอักษรสีเขียว คำว่า ‘Cash Back’ ถือว่ายืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว
3.ชำระเงิน ใช้บัตร VISA ที่ลงทะเบียนไว้บน UTU ชำระเงินตามปกติ (หน้าร้านรูดบนเครื่อง EDC ของ ธนาคารกรุงเทพ)
4.การได้รับคะแนน UTU Point เมื่อทำรายการชำระเงินเสร็จสิ้น คะแนน UTU Point จะปรากฏขึ้นบน App UTU โดยอัตโนมัติ (แคชเชียร์ชาร์จบัตรลูกค้าตามปกติ ไม่มีขั้นตอนใดๆ เพิ่มเข้ามา)
5.การแลก UTU Points เป็น Cash Back เมื่อลูกค้ากลับมาชำระเงินที่ คิง เพาเวอร์ อีกครั้ง ลูกค้าจะได้รับข้อความแจ้งเตือนบน App ให้แลก UTU Points เป็น Cash Back หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-017-2828 หรือสอบถาม 1631
ข่าวที่ 2 “ททท.นำร่อง9เส้นทางทัวร์คนพิการ-ผู้สูงวัย”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. เตรียมเปิดตัวโครงการ "Tourism for all 9 เส้นทางท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล" เพื่อขยายการรองรับตลาดนักท่องเที่ยวที่มีความบกพร่องทางร่างกาย 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรก นักท่องเที่ยวผู้พิการ (Disable Traveler) มีทุกวัยทั้งคนหนุ่มสาวหรือวัยกลางคนที่มีความบกพร่องทางกายจำเป็นต้องอาศัยอารยสถาปัตย์ อำนวยความสะดวกให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว กลุ่มที่ 2 คือ ผู้สูงวัย-สูงอายุ (Aging Traveler) ที่มีข้อจำกัดซึ่งจะต้องพึ่งพาผู้ร่วมเดินการเดินทางดูแลอำนวยความสะดวกและดูแล
ททท.จะนำร่องการท่องเที่ยวเพื่อกลุ่มดังกล่าว 9 เส้นทางได้แก่ ราชบุรี พัทยา กาญจนบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น อยุธยา นครราชสีมา และ กรุงเทพฯ โดยเฉพาะผู้บกพร่องทางสายตา ได้ร่วมมือกับหน่วยงานและผู้ชำนาญการจัดทำอักษรเบลล์ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กับคนธรรมดา
ประการสำคัญโครงการ Tourism for all ของ ททท.ครั้งนี้จะเป็นการบุกเบิกแนวทางยกระดับการผลักดันให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางอารยสถาปัตย์เพื่อการท่องเที่ยวของประชาคมอาเซียน ด้วยการให้ความใส่ใจดูแลผู้สูงอายุและผู้บกพร่อทางร่างกาย โดยเริ่มจากครอบครัวตนเองก่อนจะขยายผลไปสู่คนรอบข้าง
ทั้งนี้ ททท.กำหนดเปิดตัวโครงการ Tourism for all วันที่ 14 กันยายน 2560 เวลา 13.00 น. ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
ข่าวที่ 3 “บางจากเร่งเปิด200ปั๊มขายไฮพรีเมียมดีเซล4ล้านลิตร/วัน
นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2560 เพิ่มการจำหน่ายน้ำมันน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม Hi Premium Diesel S ผ่านสถานีบริการน้ำมันบางจากเพิ่มเป็น 200 แห่ง จากปัจจุบัน 120 แห่ง เพื่อสร้างยอดขายเพิ่มจาก 2 เป็น 4 ล้านลิตร/เดือน ควบคู่การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และมอบคะแนน 6 เท่า ให้สมาชิกบัตรบางจากดีเซลคลับที่เติม Hi Premium Diesel S จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.60
ปัจจุบัน น้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม ของตลาดรวมมียอดจำหน่ายรวมกัน 60 ล้านลิตร/เดือน โดย BCP มีส่วนแบ่งตลาด 5% เฉลี่ยแล้วยอดขายต่อสถานีบริการฯ อยู่ที่ 20,000 ลิตร/เดือน
สำหรับน้ำมันพรีเมียมขายต่อลิตรสูงกว่าน้ำมันดีเซลทั่วไป แต่สิ่งที่ผู้ใช้จะได้รับคือประหยัดค่าใช้จ่ายทันทีที่เติมถังแรก เนื่องจากน้ำมัน Hi Premium Diesel S ให้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบลิตรต่อลิตร บาทต่อกิโลเมตร อีกทั้งการทำสะอาดหัวฉีดด้วยมาตรฐานน้ำมัน Euro5 จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์และยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ได้นานขึ้นนั่นเอง
ข่าวที่ 4 “โคห์เลอร์นำสุขภัณฑ์รักษ์โลกป้อนอสังหาไทย”
นายเดวิด โคห์เลอร์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคห์เลอร์ ผู้นำเครื่องสุขภัณฑ์นวัตกรรมไฮเทคโนโลยีแห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ได้ลงทุนธุรกิจเรือธงในกรุงเทพฯ ด้วยการเปิดโชว์รูม KOHLER EXPERIENCE CENTER หรือ KECBKKเป็นโชว์รูมแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เดวิดยืนยันว่าพร้อมร่วมมือกับเครือข่ายระดับโลก พัฒนาสุขภัณฑ์ที่ใช้ภายในที่อยู่อาศัยโดยมุ่งเน้นไปยังเทรนด์โลกยุคใหม่ เกี่ยวกับการช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถการลดของเสียต่าง ๆ เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมใช้ผลิตภัณฑ์โคห์เลอร์ลดของเสียให้เป็นศูนย์หรือ Zero waste
ขณะนี้ทางโคห์เลอร์เดินหน้าวางแผนการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์เกรดพรีเมียมโดยเน้นให้ใช้งานเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการทำธุรกิจเพื่อคืนกำไรสู่สังคมหรือ CSR ในทั่วโลกด้วย 2 โครงการหลัก ได้แก่
1.โครงการผลิตเครื่องกรองน้ำนำไปมอบให้ตามพื้นที่ยากจนขาดแคลนน้ำดื่มในแถบอฟริกา
2.ร่วมกับสหประชาชาติ (UN) และบิลเกตต์ คิดค้นนวัตกรรมออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์ที่ใช้น้ำน้อย เพื่อยังประโยชน์ของทรัพยากรโลกไว้
ส่วนการลงทุนในประเทศไทย เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพความพร้อมในเรื่องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมจึงได้มาปักธงเปิดบริการ KOHLER Experience Center Bangkok หรือ KECBKK แห่งแรกในเมืองไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บริหารโดยบริษัท ดี.พี.เซรามิคส์ ตั้งอยู่ชั้น 1 อาคารโนเบิล รีมิกซ์ ทองหล่อ (สุขุมวิท39) บนพื้นที่กว่า 700 ตารางเมตร ออกแบบโดย บริษัท พี 49 ดีไซน์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด และ ออกแบบโดย บริษัท พี 49 ดีไซน์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด
ทั้งยังได้ออกแบบแนวคิดเพื่อให้ผู้ใช้บริการมีความรู้สึกด้วยประสบการณ์เสมือนได้ใช้ชีวิตอยู่ในอาร์ต แกลอรี่ โดยเฉพาะในเรื่องของผลิตภัณฑ์ ห้องอาบน้ำมีระบบ Showering DTV ให้คุณเพลิดเพลินกับสุนทรียภาพในการอาบน้ำอย่างเต็มที่ มีทั้งความหรูหรา เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าสมัยใหม่ ทั้งเรื่องความพิเศษของวัสดุ อุปกรณ์ สีเคลือบ และดีไซน์ผลิตภัณฑ์ด้วยเทคนิคเฉพาะ สร้างความหรูหรา เรียบ และคงทนต่อการใช้งานอย่างมีระดับ
ช่วงที่ 2 มีสถานที่ควรค่าพาหน่วยงานศึกษาดูงาน จัดสัมมนา และท่องเที่ยว ที่“ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร” ผ่าพรุผืนสุดท้ายชายแดนใต้จังหวัดนราธิวาส แล้วมาระวังเรื่องสารปนเปื้อนในผักผลไม้ ปิดท้ายด้วยข่าวตั๋วโปรโมชั่นการบินไทย และข่าวอื่น ๆ
@ ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร จ.นราธิวาส
การเดินทางสู่ “ป่าพรุผืนสุดท้ายของแผ่นดินไทย” ยังไปชายแดนภาคใต้ ตำบลทะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ทั้งผู้ศึกษาดูงานและนักท่องเที่ยวจะได้พบกับ “ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าพรุโต๊ะแดง ครอบคลุม 3 อำเภอ ตั้งแต่ตากใบ สุไหงปาดี สุไหงโก-ลก มีความยาวราว 120,000 ไร่ โดยมีผืนป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์เหลือเพียง 50,000 ไร่ ที่ยังคงมีสัตว์ป่า พรรณไม้ และลำน้ำสายสำคัญไหลผ่าน ได้แก่ คลองสุไหงปาดี แม่น้ำบางนรา และคลองโต๊ะแดง อันเป็นที่มาของชื่อป่าพรุแห่งนี้
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยและทรงงานวิจัยป่าพรุด้วยพระองค์เอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ “ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร” และทรงมีพระราชดำริให้เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ และเก็บเมล็ดพันธุ์ เป็นแหล่งค้นคว้าทางวิชการป่าไม้ ให้บริการและถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับป่าพรุให้แก่ผู้ที่สนใจ
เดือนที่เหมาะเข้าไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร จะอยู่ในช่วง กุมภาพันธ์-เมษายน ของทุกปี เพราะฝนตกน้อยทำให้เดินชมป่าพรุได้สะดวกสบาย หากมาชมช่วงเดือน พฤศจิกายน-มีนาคม ของทุกปี จะได้พบกับลูกหลุมพี ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม ผลคล้ายระกำแต่เล็กกว่า ชาวบ้านนิยมนำมาดองส่งขายไปยังมาเลเซีย หากเป็นนอกฤดูกาลจะหาลูกหลุมพีได้ยากและมีราคาสูง
สามารถพาคณะหรือองค์กรไปร่วมกันทำ “กิจกรรม” ต่าง ๆ ได้ในศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร แห่งนี้ ได้แก่
“กิจกรรมศึกษาดูงาน” มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติเป็นสะพานไม้ระยะทาง 1,200 เมตร
“กิจกรรมซีเอสอาร์” มีทั้งการปลูกป่า ฟื้นฟูบำรังรักษาพื้นที่ป่าพรุ การร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ การเพาะชำกล้าไม้เพื่อให้หน่วยอื่น ๆ นำไปปลูก
“กิจกรรมสันทนาการ” สามารถเดินป่าศึกษาธรรมชาติป่าพรุ หรือขึ้นไปชมวิวหอสูงเพื่อมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่หนาแน่นไปด้วยไม้นานาพรรณ หรือ ส่องนกซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นสวรรค์ของนักดูนกในป่าพรุที่มีอยู่หลายชนิด พันธุ์เด่น ๆ เช่น นกกกางเขนดงหางแดง นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซึ่งพบที่ป่าพรุสิรินธรในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
เรื่องราวที่น่ารู้ของ “ป่าพรุ” (Peat Swamp Forest) เกิดจากแอ่งน้ำจืดขังติดต่อกันมายาวนาน จนเกิดการสะสมของชั้นดินอินทรียวัตถุ ได้แก่ ซากพืช ซากต้นไม้ กลายเป็นดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้ำ อุ้มน้ำได้มาก
ระบบนิเวศน์ของป่าพรุคือความน่าทึ่งของธรรมชติ ที่มีระบบรากแขนงแข็งแรงแผ่ออกไปเกาะเกี่ยวดิน เพื่อจะได้ช่วยพยุงลำต้นของกันและกันให้ทรงตัวอยู่ได้ หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย
พันธุ์ไม้ที่พบในป่าพรุสิรินธรมีมากกว่า 400 ชนิด อาทิ หลุมพี หมากแดง ป่าหนันช้าง กล้วยไม้ต่าง ๆ และมีพันธุ์ปลา เช่น ปลาปากยื่น ซึ่งเป็นปลาชนิดใหม่ในโลกพบที่ป่าพรุสิรินธรเท่านั้น ปลาดุกรำพัน รูปร่างคล้ายงู อาจจะพัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เลี้ยงในแหล่งที่มีปัญหาน้ำเปรี้ยวได้ ปลากะแบะ รูปร่างประหลาดหัวแบน กว้าง ลำตัวยาวเรียว เงี่ยงมีพิษอยู่ตรงครีบหลัง ปลาเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในป่าพรุซึ่งเป็นพื้นที่หลบภัยและวางไข่ ก่อนจะแพร่ลูกหลานให้ชาวบ้านใช้เลี้ยงยังชีพสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
สนใจไปดูงานหรือท่องเที่ยว ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร นราธิวาส โทร. 081-898-0881
@ระวังภัยสารเคมีปนเปื้อนในอาหาร
สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย อธิบายว่าปัจจุบันการเลือกรับประทานผัก ผลไม้ แต่ละมื้อแต่ละวันควรจะทำความรู้จักกับสารเคมีที่อาจปนเปื้อนเป็นภัยร้ายของร่างกายเราได้
เพราะปัจจุบันอาหารสด ทั้งผักผลไม้และเนื้อสัตว์ที่สีสันดูสดใหม่น่ารับประทาน แต่อาจแอบแฝงภัยร้ายนั่นคือ “สารเคมีตกค้างในอาหาร” ที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่การเพาะปลูก เก็บเกี่ยว ขนส่ง สามารถติดมากับดิน น้ำ สิ่งแวดล้อม
และอาจมีสารเติมลงไปเพิ่มทั้งยาฆ่าแมลง ย่าฆ่าเชื้อรา สารปรุงแต่ง อาทิ สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมู สารกันราหรือกรดซาลิซิลิค สารบอแรกซ์ และอีกมากมายที่หากร่างกายได้รับอย่างต่อเนื่องในปริมาณหนึ่งอาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
ดังนั้นผู้บริโภคควรรู้จักระวังและป้องกันสารพิษตกค้างในอาหาร
1.สารเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดขึ้นจากอาหารที่มาจากพืชและสัตว์ ส่วนใหญ่พบก่อน ระหว่าง และหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ สารพิษจากเชื้อรา ได้แก่ อะฟลาท็อกซิน ฯลฯ สารพิษจากพืช ได้แก่ เห็ดพิษ มันสำปะหลัง ฯลฯ สารพิษจากสัตว์ ได้แก่ พิษในหอย ปลาทะเล ปลาปักเป้าทะเล ฯลฯ
2.สารเคมีที่เติมลงในอาหารโดยเจตนา ไม่ว่าจะเพื่อการเปลี่ยนแปลงกลิ่น สี รส การเน่าเสีย ฯลฯ หากใช้ในปริมาณที่กฎหมายกกำหนดจะปลอดภัย แต่ถ้าใช้มากเกินไปอาจเกิดอันตราย ได้แก่ สารปรุงแต่งอาหารหรือเครื่องปรุงรสอาหาร เช่น น้ำปลา น้ำส้มสายชู ผงชูรส เป็นต้น วัตถุเจือปนในอาหาร เช่น สารเร่งเนื้อแดง สารกันรา สารฟอกสีอาหาร เป็นต้น
3.สารเคมีที่เติมลงในอาหารโดยไม่ได้เจตนาหรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ อาจติดมากับอาหาร บรรจุภัณฑ์ หรือปนเปื้อนระหว่างการผลิต ได้แก่ สารเคมีทำความสะอาด โลหะจากหมึกพิมพ์ และอื่น ๆ
ฟังข่าวท้ายทายชั่วโมง
ข่าวแรก “บินไทยจัดตั๋วโปรบินถวายอาลัยตลอดต.ค.นี้
นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้จัดบัตรโดยสารราคาพิเศษในชั้นประหยัด เส้นทางไป-กลับ ภายในประเทศ จากต่างจังหวัดมายังกรุงเทพฯ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และกระบี่ ตามที่รัฐบาลกำหนดให้วันที่ 26 ตุลาคม 2560 เป็นวันหยุดราชการ เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าในต่างจังหวัดเดินทางมาร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ และพร้อมร่วมใจถวายความอาลัยในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
การบินไทยได้จัดทำตั๋วโดยสารราคาพิเศษเพื่อให้จองซื้อระหว่างวันนี้- 29 ตุลาคม 2560 สำหรับการเดินทาง 2 คนขึ้นไป เริ่มต้นที่ 1,390 บาทต่อที่นั่ง (รวมค่าธรรมเนียมและภาษีสนามบินแล้ว) เพื่อนำไปใช้ในช่วงวันที่ 10-30 ตุลาคม 2560
โดยตั๋วโดยสารจะมีเงื่อนไข อาทิ เป็นบัตรโดยสารไป-กลับ มีอายุภาย 30 ตุลาคม 2560 ต้องระบุวัน-เวลาการเดินทาง และอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงฟรี คือวัน หรือเวลาเดินทางได้ 1 ครั้ง แต่ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนเส้นทางบินหรือคืนบัตรโดยสาร และโดยสารยังได้รับไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส ตามปกติ
สามารถจองซื้อตั๋วโดยสารได้ที่ www.thaiairways.com หรือตัวแทนขายหรือ THAI Contact Center (02) 356-1111
ข่าวที่สอง "กินเที่ยวเฟี้ยวยกเกาะ@ภูเก็ต" 16-17 ก.ย.นี้
นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า เตรียมจัดงาน "กินเที่ยวเฟี้ยวยกเกาะ@ภูเก็ต" (Phuket Street Food Festival 2017) ต้อนรับการท่องเที่ยวหน้าฝน โดยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ เทศมนตรีนครภูเก็ต จัดงานขึ้นในวันที่ 16 – 17 กันยายน 2560 ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี ตัวเมืองภูเก็ต เพื่อตอกย้ำเกาะภูเก็ตจะเป็นเส้นทาง Gastronomy และภายในงานจะมีบู๊ธอาหารออกร้านนำเสนอสุดยอดเมนูที่มีชื่อเสียงของภูเก็ตมารวมอยู่ที่เดียวกันและรถขายอาหารเคลื่อนที่ (Food Truck) จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มที่แสดงถึงนวัตกรรมสร้างสรรค์ด้านอาหารไม่น้อยกว่า 50 บู๊ธ
ตลอดงานเน้นนำเสนอเมนูอาหาร อาหารพื้นเมืองภูเก็ต อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทะเล อาหารสร้างสรรค์ และอาหารถิ่นหากินยาก ให้นักท่องเที่ยวท่องเที่ยวได้ชิมกันในราคาสุดพิเศษจากโรงแรมทุกระดับ ภัตตาคาร ร้านอาหารต่างๆ ตลอดจนร้านอาหารตามตลาดนัดสไตล์แนวเก๋ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วเกาะภูเก็ตตลอดเดือนกันยายนนี้
รวมทั้งนำเสนอให้เห็นถึงหลักที่สำคัญการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมทั้งชาวไทย บาบ๋า เพอรานากัน ความหลากหลายทางศาสนาจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ที่ถ่ายทอดผ่านการทำอาหารซึ่งมีความโดดเด่นและหาทานได้เฉพาะในภูเก็ตเท่านั้น ตามที่ยูเนสโก้ได้ประกาศให้ภูเก็ตเป็น Gastronomy City ภาพลักษณ์ภูเก็ตเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านวิทยาการอาหารซึ่งเป็นหนึ่งใน 18 เมืองทั่วโลกเป็นเมืองแรกของอาเซียนและเมืองไทย
ข่าวที่ 3 “AAPAชี้แอร์ไลน์ทั่วเอเชีย7เดือนตลาดโตแรง
AAPA ชี้สายการบินภูมิภาคเอเชียตีปีกรับผู้โดยสารและคาร์โก้สดใส ตลอด ก.ค.นี้ ตั๋วบินข้ามทวีปพุ่ง 6.2 % แต่ราคาตั๋วดิ่งลง ปริมาณขนส่งสินค้าทางอากาศโตสองหลัก ได้แรงหนุนกำลังการผลิตอุตสาหกรรมโลกระดับกลางและสินค้าสำเร็จรูปฟื้นตัว
สมาคมสายการบินเอเชียแปซิฟิก (Association of Asia Pacific Airlines :AAPA) รายงานว่าปริมาณการเดินทางทางอากาศตลอดเดือนกรกฎาคมปี 2560 สายการบินในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกให้บริการจัดส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศราว 27.7 ล้านคน
สะท้อนถึงขยายตัวของตลาดในระดับปานกลางเพิ่มขึ้น 3.4% เป็นผลมาจากการเดินทางระยะยาวข้ามทวีปเพิ่มขึ้น 6.2% รายได้ของผู้โดยสารกิโลเมตร (RPK) กำลังการผลิตที่นั่งเพิ่มขึ้น 6.8% ส่งผลให้ค่าโดยสารผู้โดยสารระหว่างประเทศลดลง 0.5%
ขณะที่ความต้องการขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศเพิ่มเป็นสองหลัก 10.9% เพราะคำสั่งซื้อใหม่จากประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะในยุโรป ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทำค่าเฉลี่ยได้ 66.0 % สูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน 3.8 % และกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 4.4%
นายแอนดริว เฮิร์ดแมน ผู้อำนวยการ AAPA กล่าวว่า ตลอด 7 เดือนแรกปีนี้ ระหว่างมกราคม-กรกฎาคม 2560 สายการบินในภูมิภาคเอเชียมีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 182 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.3% แต่การแข่งขันยังห้ำหั่นกันรุนแรง เนื่องจากผู้โดยสารระหว่างประเทศยังมองหาตั๋วราคาถูกและ การเชื่อมต่อเครือข่ายเพิ่มขึ้น ส่วนตลาดคาร์โก้ได้รับอานิสงส์จากปริมาณการผลิตตลอด 7 เดือนเพิ่มขึ้น 10.4% เพราะภาวะธุรกิจโลกเริ่มผงกหัวในเชิงบวก ภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีใบสั่งทางธุรกิจใหม่ ๆ ในหมวดสินค้าขั้นกลางและสำเร็จรูปเติบโตตามไปด้วย
ข่าวที่ 4 “ชวนกันไปวิ่งRun for Dek Thai 2017” 1ต.ค.นี้
สมาคมสตรีอเมริกันแห่งประเทศไทย (American Women’s Club of Thailand) ชวนวิ่ง Run for Dek Thai 2017 วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2560 เริ่ม 17.00 น. เพื่อระดมทุนการศึกษาเพื่อนักเรียนไทยที่ด้อยโอกาสของมูลนิธิ EDF เพราะเล็งเห็นถึงการศึกษาคือปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้เยาวชนไทยที่ด้อยโอกาสได้มีอนาคตที่สดใส สามารถช่วยเหลือตนเองเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติในอนาคต
โดยเปิดให้เลือกวิ่งการกุศลในระยะทางประเภท 2.5 กิโลเมตร 5 กิโลเมตร 7.5 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร นักวิ่งที่วิ่งเข้าเส้นชัยอย่างน้อย 2.5 กิโลเมตร จะได้รับเหรียญที่ระลึก สำหรับ Bib เบอร์วิ่ง แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่
1.Bib ‘Sook Jai’ (สุขใจ หรือ Happy) ราคา 350 บาท ผู้ร่วมวิ่งจะได้รับเสื้อวิ่งที่สามารถเขียนบริเวณด้านหลังว่าต้องการวิ่งเพื่อใครพร้อม Bib หมายเลขวิ่ง
2.Bib ‘Jai Dee’ (ใจดี หรือ Good heart) ราคา 1,000 บาท สำหรับนักวิ่งที่ต้องการบริจาคเงินเพิ่มให้สมาคมฯ โดยผู้ร่วมวิ่งจะได้รับเสื้อวิ่งที่สามารถเขียนบริเวณด้านหลังว่าต้องการวิ่งเพื่อใครพร้อม Bib หมายเลขวิ่ง
สำหรับงาน Run for Dek Thai 2017 จัดในธีมซูเปอร์ฮีโร่ (Super Hero) โดยนักวิ่งที่แต่งกายเข้าธีมสามารถร่วมลุ้นรางวัลได้ด้วย
สมัครร่วมวิ่งได้ด้วยตนเองที่คลับเฮ้าส์ สมาคมสตรีอเมริกันในประเทศไทย สุขุมวิท 38 จันทร์-ศุกร์ 10.00-15.00 น. หรือ http://www.awcthailand.org/map และ http://awcthailand.org/register_runfordekthai
ชูสอนปฏิบัติไทย-เทศทำงานได้ทั่วอาเซียน
โหลดแอพUTUช้อปเพลินรับเพียบที่คิงเพาเวอร์
ททท.บุกเบิก9เส้นทางเที่ยวให้ผู้พิการ-สูงวัย
บางจากเร่งเปิด200ปั๊มขายไฮพรีเมี่ยมดีเซลเอส
โคห์เลอร์นำสุขภัณฑ์รักษ์โลกบูมอสังหาไทย
ไปป่าพรุผืนสุดท้าย “ศูนย์ฯสิรินธร”นราธิวาส
บินไทยชูโปรโมชั่นตั๋วเข้าถวายอาลัยต.ค.นี้
AAPAชี้แอร์ไลน์ทั่วเอเชีย7เดือนตลาดโตแรง
ชวนกันวิ่ง Run for Dek Thai 2017วันที่ 1 ต.ค.
สวัสดีวันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2560 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz.ในรายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” (ฟังมือถือเลือก FM 97.0 อ่านใน www.facebook.com/penroongyaisamsaen ฟังทาง youtube พิมพ์ รวยด้วยข่าว 97.0-วัน/เดือน/ปี #gurutourza #thailandfest #AmazingThailand
ช่วงที่ 1 คุณปิยะมานต์ เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการโรงเรียนการโรงแรม และกรรมการผู้จัดการโรงแรมรีเจนท์ ชะอำ อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการถึงทิศทางใหม่ที่จะพัฒนาธุรกิจโรงแรมควบคู่กับการเปิดโรงเรียนผลิตบุคลากรยุคไฮเทคซึ่งเน้นภาคปฏิบัติจริงป้อนสู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการปลุกนักท่องเที่ยวให้หันมาใช้บริการที่พักซึ่งจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางประเทศศูนย์กลางเครือข่ายตลาดท่องเที่ยวคุณภาพของภูมิภาคอาเซียนอย่างแท้จริง
ปิยะมานต์ เตชะไพบูลย์ ประธานโรงเรียนการโรงแรม RHS และกรรมการผู้จัดการโรงแรมรีเจนท์ ชะอำ |
คุณปิยะมานต์เปิดเผยว่าเครือโรงแรมรีเจนท์ ดำเนินธุรกิจมาเกือบ 40 ปี ค้นพบว่าผู้ประกอบการโรงแรมประสบปัญหารับนักเรียนที่เพิ่งเข้ามาทำงาน แต่กลับกลายเป็นต้องมาเริ่มสอนทุกอย่างใหม่ทั้งหมด เพราะหลักสูตรจะเน้นผลิตคนมาเป็น “ผู้บริหาร” ทั้ง ๆ ที่ในอุตสาหกรรมขาดแคลน “ผู้ปฏิบัติ” ในภาวะการณ์ปัจจุบันธุรกิจโดยรวมขาดแคลนผู้ทำงานในภาคปฏิบัติเป็นอย่างมาก
ดังนั้นจึงทุ่มลงทุนก่อตั้งโรงเรียนการโรงแรม เพื่อเป็นต้นแบบและตัวอย่างของการเรียนการสอนเพื่อผลิตคนเข้าทำงานในภาคปฏิบัติ คือ “รีเจนท์ ชะอำ ฮอสพิทาลิตี้ สกูล” (Regent Cha-am Hospitality School : RHS) เป็นการศึกษานอกระบบขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ
โดยได้กำหนดหลักสูตรให้เยาวชนรุ่นใหม่ได้เรียน 4 หลักสูตรด้วยกัน 1.แผนกห้องพัก 2.บริการเครื่องดื่มและอาหาร 3.การครัว และ 4.แผนกต้อนรับ ระยะเวลาเรียน 9 เดือน แบ่งการเรียนเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ช่วง 3 เดือนแรก เน้นวิชาความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการโรงแรม บวกกับแนวทางตามแผนกที่ได้เลือกไว้
ระยะที่ 2 อีก 3 เดือน ทำงานในโรงแรมรีเจนท์ ชะอำ ช่วงเสาร์-อาทิตย์ เพื่อสัมผัสปัญหาจริง จากวันช่วงวันธรรมดาก็นำปัญหามาแลกเปลี่ยนสอบถามจากอาจารย์ผู้สอนเพื่อแก้ปัญหาที่ประสบพบมา
ระยะที่ 3 ช่วงสุดท้ายเดือนที่ 7-8-9 ประสานกับเครือข่ายภาคีพันธมิตรทั้งในหัวหิน ชะอำ ภูเก็ต กรุงเทพฯ รับนักเรียนในหลักสูตรของ รีเจนท์ ชะอำ ฮอสพิทาลิตี้ สกูล ไปฝึกงานภาคปฏิบัติที่มีปัจจัยแวดล้อมหลากหลาย เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนการสอนจากสนามจริง
สำหรับคุณสมบัติของผู้สมัครเรียน เปิดโอกาสให้คนในวัยระหว่าง 17-35 ปี เลือกมาเรียนได้ ส่วนการศึกษาต้องจบระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 “ค่าเล่าเรียน” เรียกว่าเป็นโรงเรียนในรีสอร์ต ที่มีทั้งหอพัก รีสอร์ต และสถานที่เรียน อยู่ในพื้นที่เดียวกันที่โรงแรมรีเจนท์ ชะอำ จึงกำหนดค่าเรียนไว้ระหว่าง 110,000-150,000 บาทต่อคนต่อคอร์ส ขึ้นอยู่กับหลักสูตรที่แต่ละคนเลือกเรียนต่างมีความง่ายและยากกันไป หากเป็นหลักสูตรครัวอาหารราคาจะแพงเล็กน้อย ซึ่งเทรนด์ระยะนี้เมืองไทยนิยมเรียน “ทำอาหาร” เมื่อจบแล้วสามารถไปเป็นเชฟตามโรงแรมต่าง ๆ ได้
เมื่อเรียนจบหลักสูตรแล้ว โอกาสการทำงานจะมีสูงมาก เพราะถ้าหากไม่ต้องการเรียนต่อก็สามารถสมัครที่โรงแรมในเครือเลยก็ได้ แต่มีบางส่วนต้องการเรียนต่อก็มีมหาวิทยาลัยกรุงเทพรับเทียบโอนหน่วยกิตเรียนต่ออีก 2 ปี จะได้รับวุฒิการศึกษาปริญญาตรี หรือจะไปเรียนต่อต่างประเทศก็ได้ เพราะทาง RHS มีข้อตกลงความร่วมมือกับโรงเรียนการโรงแรม Swiss Hotels Management School :SHMS ในสวิตเซอร์แลนด์ หลักสูตรเรียน 3 ปี แต่จะได้เครดิตหากจบจากรีเจนท์ ชะอำ ฮอสพิทาลิตี้ สกูล ไปทาง SHMS จะให้เรียนต่อโดยใช้เวลาเพียง 2 ปีก็จบหลักสูตรได้
สิ่งที่พิสูจน์แล้วสำหรับผู้ที่เข้ามาเรียนในกลุ่มแรก ๆ จากวุฒิการศึกษา ม.6 พอศึกษาจบจากโรงเรียนการโรงแรมแห่งนี้ไปแล้ว สามารถได้รับเงินเดือนบวก Service Charge ไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรี แต่ละเดือนได้ประมาณ 15,000 บาท เพราะแถวหัวหิน ชะอำ โรงแรมระดับ 4-5 ดาว ก็มีเซอร์วิสชาร์ตไม่ต่ำกว่าเดือนละ 5,000 บาท
จึงขอเชิญชวนให้เยาวชนมาเลือกเรียนในยามเศรษฐกิจแบบนี้ จะยิ่งเป็นผลดีต่อครอบครัวด้วย อีกทั้งทางโรงเรียน SCHS เองก็มี “ทุนการศึกษา” ให้แก่นักเรียนด้วย โดยจะต้องผ่านการสอบแบบทดสอบตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ พร้อมข้อตกลงเมื่อเรียนจบต้องทำงานกับผู้ให้ทุนก่อน 2 ปี โดยมีโรงแรม ร้านอาหาร ให้กรุงเทพฯ เข้าร่วมโครงการให้ทุนการศึกษาด้วย
โรงเรียนการโรงแรม SCHS จะเปิดรับสมัครปีละ 2 ครั้ง เดือนสิงหาคม และมกราคม ของทุกปี
สำหรับเยาวชนที่จบการศึกษาปริญญาตรีแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าตนเองต้องการประกอบอาชีพอะไร หรือส่วนหนึ่งยังหางานไม่ได้ ก็ให้มาเรียนในโรงเรียนการโรงแรมจะสามารถหางานได้ เพราะตอนนี้ก็มีกลุ่มนำร่องมาเรียนแล้วจบไปทำงานเรียบร้อย หรือจะมาเรียนเพื่อไปเปิดธุรกิจส่วนตัวอย่าง ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ได้ด้วย
ส่วนสถานการณ์ของบุคลากรในอาชีพการโรงแรม ที่ผ่านมาคนจบมาเพื่อบริหาร แต่ปัจจุบันจะเน้นหนักไปทาง “อาชีวศึกษา” เพราะต้องการผลิตคนเข้าสู่หน้าที่ปฏิบัติการมากกว่าบริหาร
ขณะที่การเพิ่มความเข้มข้นในการเรียนการสอน ส่วนใหญ่มักจะสอนกันมาแแต่ภาคทฤษฎี พอรับเข้ามาทำงานแต่ละโรงแรมก็ต้องมาสอนกันใหม่ทำให้เสียเวลามาก แถมเรื่องทักษะภาษาก็ยังมีน้อยเกินไป เพราะการทำงานไม่ได้เน้นการท่องเที่ยวจำแต่มุ่งให้ทำงานบริการได้ตามมาตรฐาน
คุณปิยะมานต์ย้ำว่า อนาคตของการเรียนหลักสูตรการโรงแรมในภาคปฏิบัติอีก 3-5 ปีข้างหน้า ความต้องการในตลาดยังมีโอกาสเติบโตจากจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามายังไทย ปี 2560 ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน ทางสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเอเชีย แปซิฟิก (Pacific Asia Travel Association :PATA) พยากรณ์ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีนักท่องเที่ยวเลือกมาไทยไม่ต่ำกว่าปีละ 50 ล้านคน แต่อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการภายในประเทศด้วย
รวมทั้งให้มองไปยังตลาดอาเซียนด้วย เพราะมีโรงแรมเปิดเพิ่มใหม่ทุกปี จึงเท่ากับมีโอกาสทั้งการทำงานในประเทศและในอาเซียนด้วย
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดโรงเรียนการโรงแรม รีเจนท์ ชะอำ ฮอสพิทาลิตี้ สกูล ได้ที่ www.rhs.com
คุณปิยะมานต์ประเมินสถานการณ์ของธุรกิจโรงแรม ในเรื่องการแข่งขันทางการค้าระหว่างโรงแรมแบรนด์ท้องถิ่นของไทยกับเชนโรงแรมนานาชาติที่ไหลบ่าเข้ามา ยังไม่น่าเป็นห่วงมากเท่ากับ “โรงแรมผิดกฎหมาย” ซึ่งเปิดให้บริการเพิ่มขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยเป็นเรื่องน่าห่วงมากสุด เพราะการแข่งขันของผู้ดำเนินธุรกิจถูกต้องก็ต้องมีกลยุทธ์ที่มาต่อสู้กันได้
ยกเว้นโรงแรมผิดกฎหมายไม่มีใบอนุญาต จะมีปัญหาอีกมากตามมาทั้งเรื่องความปลอดภัย ความสะอาด บริการ ดังนั้นจึงขอให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาควบคุมตรวจสอบ เพราะตอนนี้การออกใบอนุญาตก็ยืดหยุ่นกติกาบางอย่างลงไปแล้ว รวมทั้งนักท่องเที่ยวช่วยกันเลิกใช้บริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการห้องพักได้เข้ามาอยู่ “อุตสาหกรรม” และ “แข่งขัน” กันอย่างถูกต้อง
ส่วนข้อแนะนำสำหรับผู้ใช้บริการโรงแรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้สังเกตถึงห้องพัก อย่างแรก จดทะเบียนเป็นสมาชิกสมาคมโรงแรมไทย ซึ่งเก่าแก่ตั้งมากว่า 50 ปี ที่มีใบประกาศให้โรงแรมทั่วประเทศ และในเว็บไซต์ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็มีข้อมูลรายชื่อโรงแรมที่ถูกต้องตามกฎหมายระบุไว้
ขณะที่ “ราคาห้องพัก” ซึ่งเป็นแรงดึงดูดให้คนเลือกใช้โรงแรมผิดหรือถูกกฎหมายนั้น ขึ้นอยู่ความดีมานต์และซัพพลาย แต่สิ่งสำคัญต้องคำนึงถึงมาตรฐานความปลอดภัยตลอดการพักผ่อนเป็นหลัก
ภาพรวมการลงทุนโรงแรมในไทยเป็นไปตามแนวโน้มการขยายตัวทางการท่องเที่ยวคนไทยและนานาชาติ แต่จากข้อมูลที่ได้รับในอนาคตอีก 5 ปีการลงทุนจะเพิ่มแบบถดถอยลงเหลือเพียง 5-6 % ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งเป็นโอกาสเพิ่มทั้งจำนวนคนเข้าพักและจำนวนห้องพัก ซึ่งมีผลทำให้เกิดการเปิดโรงแรมที่ผิดกฎหมายเพิ่มตามไปด้วย
ดังนั้นคนไทยควรจะหันมาใส่ใจทั้งเรื่อง “การเลือกเรียนการโรงแรม” เพื่อจบไปประกอบอาชีพได้จริง และควรร่วมมือกันเลือกใช้บริการที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางเครือข่ายเชื่อมโยงการท่องเที่ยวอาเซียนที่มีคุณภาพและยั่งยืน
ข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “โหลดแอพUTUช้อปแหลกที่คิงเพาเวอร์”
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ผู้นำร้านค้าดิวตี้ฟรี ชวนโหลดแอพลิเคชั่น UTU แล้วสะสมแต้มจากการช้อปได้หลายต่อ ตั้งแต่วันนี้ -31 ธันวาคม 2560 เพียงลงทะเบียน รับแต้มสูงสุด 500 UTU Thai Points หรือเข้าไปช้อปออนไลน์ที่ www.Kingpower.com ต่อที่ 1 รับ 300 UTU Thai Points ทุก ๆ การช้อป 3,000 บาทขึ้นไปแต่จะรับได้สูงสุดไม่เกิน 1,500 UTU Thai Points ต่อ 1 เซลล์สลิป ต่อที่ 2 รับ 500 UTU Thai Pointsเพียงช็อป ที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา ทุกๆ 5,000 บาทขึ้นไป สูงสุดไม่เกิน 2,500 UTU Thai Points ต่อ 1 เซลล์สลิป และ แต้ม 1,000 UTU Points แลกเป็น Cash Back เข้าบัตรวีซ่าได้ 200 บาท ขั้นตอนการสมัครสมาชิก UTU
ขั้นตอนการใช้งานเพื่อสะสม UTU Points จากการใช้จ่ายที่ คิง เพาเวอร์
1.ดาวน์โหลด App ” UTU” ผ่าน App Store หรือ Google Play Store กดดาวน์โหลด และติดตั้งไว้บนโทรศัพท์มือถือ
2.สมัครสมาชิก และลงทะเบียนบัตร Visa กรอกข้อมูลต่างๆ จากนั้นไปที่ เมนู ‘My Cards/บัตรของฉัน’ และทำการกรอกชื่อผู้ถือบัตร,หมายเลขบัตร,วันหมดอายุบัตร และเลขสามตัวด้านหลังบัตร จากนั้นเข้าขั้นตอนของการยืนยันตัวตนผ่านระบบ Verified By Visa และรอรับรหัส OTP จากธนาคาร (ขั้นตอนนี้ อย่าปิดหน้าต่างใดๆ ขณะทำรายการ)**เมื่อยืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว ด้านหลังเลข 4 ตัวท้ายของบัตรเครดิต จะขึ้นตัวอักษรสีเขียว คำว่า ‘Cash Back’ ถือว่ายืนยันตัวตนสำเร็จแล้ว
3.ชำระเงิน ใช้บัตร VISA ที่ลงทะเบียนไว้บน UTU ชำระเงินตามปกติ (หน้าร้านรูดบนเครื่อง EDC ของ ธนาคารกรุงเทพ)
4.การได้รับคะแนน UTU Point เมื่อทำรายการชำระเงินเสร็จสิ้น คะแนน UTU Point จะปรากฏขึ้นบน App UTU โดยอัตโนมัติ (แคชเชียร์ชาร์จบัตรลูกค้าตามปกติ ไม่มีขั้นตอนใดๆ เพิ่มเข้ามา)
5.การแลก UTU Points เป็น Cash Back เมื่อลูกค้ากลับมาชำระเงินที่ คิง เพาเวอร์ อีกครั้ง ลูกค้าจะได้รับข้อความแจ้งเตือนบน App ให้แลก UTU Points เป็น Cash Back หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-017-2828 หรือสอบถาม 1631
ข่าวที่ 2 “ททท.นำร่อง9เส้นทางทัวร์คนพิการ-ผู้สูงวัย”
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. เตรียมเปิดตัวโครงการ "Tourism for all 9 เส้นทางท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล" เพื่อขยายการรองรับตลาดนักท่องเที่ยวที่มีความบกพร่องทางร่างกาย 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรก นักท่องเที่ยวผู้พิการ (Disable Traveler) มีทุกวัยทั้งคนหนุ่มสาวหรือวัยกลางคนที่มีความบกพร่องทางกายจำเป็นต้องอาศัยอารยสถาปัตย์ อำนวยความสะดวกให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว กลุ่มที่ 2 คือ ผู้สูงวัย-สูงอายุ (Aging Traveler) ที่มีข้อจำกัดซึ่งจะต้องพึ่งพาผู้ร่วมเดินการเดินทางดูแลอำนวยความสะดวกและดูแล
ททท.จะนำร่องการท่องเที่ยวเพื่อกลุ่มดังกล่าว 9 เส้นทางได้แก่ ราชบุรี พัทยา กาญจนบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น อยุธยา นครราชสีมา และ กรุงเทพฯ โดยเฉพาะผู้บกพร่องทางสายตา ได้ร่วมมือกับหน่วยงานและผู้ชำนาญการจัดทำอักษรเบลล์ให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษาเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กับคนธรรมดา
ประการสำคัญโครงการ Tourism for all ของ ททท.ครั้งนี้จะเป็นการบุกเบิกแนวทางยกระดับการผลักดันให้ไทยเป็นประเทศศูนย์กลางอารยสถาปัตย์เพื่อการท่องเที่ยวของประชาคมอาเซียน ด้วยการให้ความใส่ใจดูแลผู้สูงอายุและผู้บกพร่อทางร่างกาย โดยเริ่มจากครอบครัวตนเองก่อนจะขยายผลไปสู่คนรอบข้าง
ทั้งนี้ ททท.กำหนดเปิดตัวโครงการ Tourism for all วันที่ 14 กันยายน 2560 เวลา 13.00 น. ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
ข่าวที่ 3 “บางจากเร่งเปิด200ปั๊มขายไฮพรีเมียมดีเซล4ล้านลิตร/วัน
นายสมชัย เตชะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี 2560 เพิ่มการจำหน่ายน้ำมันน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม Hi Premium Diesel S ผ่านสถานีบริการน้ำมันบางจากเพิ่มเป็น 200 แห่ง จากปัจจุบัน 120 แห่ง เพื่อสร้างยอดขายเพิ่มจาก 2 เป็น 4 ล้านลิตร/เดือน ควบคู่การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย และมอบคะแนน 6 เท่า ให้สมาชิกบัตรบางจากดีเซลคลับที่เติม Hi Premium Diesel S จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.60
ปัจจุบัน น้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม ของตลาดรวมมียอดจำหน่ายรวมกัน 60 ล้านลิตร/เดือน โดย BCP มีส่วนแบ่งตลาด 5% เฉลี่ยแล้วยอดขายต่อสถานีบริการฯ อยู่ที่ 20,000 ลิตร/เดือน
สำหรับน้ำมันพรีเมียมขายต่อลิตรสูงกว่าน้ำมันดีเซลทั่วไป แต่สิ่งที่ผู้ใช้จะได้รับคือประหยัดค่าใช้จ่ายทันทีที่เติมถังแรก เนื่องจากน้ำมัน Hi Premium Diesel S ให้การเผาไหม้ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น และเมื่อเปรียบเทียบลิตรต่อลิตร บาทต่อกิโลเมตร อีกทั้งการทำสะอาดหัวฉีดด้วยมาตรฐานน้ำมัน Euro5 จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์และยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ได้นานขึ้นนั่นเอง
ข่าวที่ 4 “โคห์เลอร์นำสุขภัณฑ์รักษ์โลกป้อนอสังหาไทย”
นายเดวิด โคห์เลอร์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โคห์เลอร์ ผู้นำเครื่องสุขภัณฑ์นวัตกรรมไฮเทคโนโลยีแห่งสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ได้ลงทุนธุรกิจเรือธงในกรุงเทพฯ ด้วยการเปิดโชว์รูม KOHLER EXPERIENCE CENTER หรือ KECBKKเป็นโชว์รูมแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เดวิดยืนยันว่าพร้อมร่วมมือกับเครือข่ายระดับโลก พัฒนาสุขภัณฑ์ที่ใช้ภายในที่อยู่อาศัยโดยมุ่งเน้นไปยังเทรนด์โลกยุคใหม่ เกี่ยวกับการช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถการลดของเสียต่าง ๆ เพื่อดูแลสิ่งแวดล้อมใช้ผลิตภัณฑ์โคห์เลอร์ลดของเสียให้เป็นศูนย์หรือ Zero waste
ขณะนี้ทางโคห์เลอร์เดินหน้าวางแผนการผลิตเครื่องสุขภัณฑ์เกรดพรีเมียมโดยเน้นให้ใช้งานเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการทำธุรกิจเพื่อคืนกำไรสู่สังคมหรือ CSR ในทั่วโลกด้วย 2 โครงการหลัก ได้แก่
1.โครงการผลิตเครื่องกรองน้ำนำไปมอบให้ตามพื้นที่ยากจนขาดแคลนน้ำดื่มในแถบอฟริกา
2.ร่วมกับสหประชาชาติ (UN) และบิลเกตต์ คิดค้นนวัตกรรมออกแบบเครื่องสุขภัณฑ์ที่ใช้น้ำน้อย เพื่อยังประโยชน์ของทรัพยากรโลกไว้
ส่วนการลงทุนในประเทศไทย เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพความพร้อมในเรื่องการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมจึงได้มาปักธงเปิดบริการ KOHLER Experience Center Bangkok หรือ KECBKK แห่งแรกในเมืองไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บริหารโดยบริษัท ดี.พี.เซรามิคส์ ตั้งอยู่ชั้น 1 อาคารโนเบิล รีมิกซ์ ทองหล่อ (สุขุมวิท39) บนพื้นที่กว่า 700 ตารางเมตร ออกแบบโดย บริษัท พี 49 ดีไซน์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด และ ออกแบบโดย บริษัท พี 49 ดีไซน์ แอนด์ แอสโซซิเอทส์ จำกัด
ทั้งยังได้ออกแบบแนวคิดเพื่อให้ผู้ใช้บริการมีความรู้สึกด้วยประสบการณ์เสมือนได้ใช้ชีวิตอยู่ในอาร์ต แกลอรี่ โดยเฉพาะในเรื่องของผลิตภัณฑ์ ห้องอาบน้ำมีระบบ Showering DTV ให้คุณเพลิดเพลินกับสุนทรียภาพในการอาบน้ำอย่างเต็มที่ มีทั้งความหรูหรา เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าสมัยใหม่ ทั้งเรื่องความพิเศษของวัสดุ อุปกรณ์ สีเคลือบ และดีไซน์ผลิตภัณฑ์ด้วยเทคนิคเฉพาะ สร้างความหรูหรา เรียบ และคงทนต่อการใช้งานอย่างมีระดับ
ช่วงที่ 2 มีสถานที่ควรค่าพาหน่วยงานศึกษาดูงาน จัดสัมมนา และท่องเที่ยว ที่“ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร” ผ่าพรุผืนสุดท้ายชายแดนใต้จังหวัดนราธิวาส แล้วมาระวังเรื่องสารปนเปื้อนในผักผลไม้ ปิดท้ายด้วยข่าวตั๋วโปรโมชั่นการบินไทย และข่าวอื่น ๆ
@ ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร จ.นราธิวาส
การเดินทางสู่ “ป่าพรุผืนสุดท้ายของแผ่นดินไทย” ยังไปชายแดนภาคใต้ ตำบลทะลุวอเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ทั้งผู้ศึกษาดูงานและนักท่องเที่ยวจะได้พบกับ “ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าพรุโต๊ะแดง ครอบคลุม 3 อำเภอ ตั้งแต่ตากใบ สุไหงปาดี สุไหงโก-ลก มีความยาวราว 120,000 ไร่ โดยมีผืนป่าที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์เหลือเพียง 50,000 ไร่ ที่ยังคงมีสัตว์ป่า พรรณไม้ และลำน้ำสายสำคัญไหลผ่าน ได้แก่ คลองสุไหงปาดี แม่น้ำบางนรา และคลองโต๊ะแดง อันเป็นที่มาของชื่อป่าพรุแห่งนี้
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนพระทัยและทรงงานวิจัยป่าพรุด้วยพระองค์เอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อ “ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร” และทรงมีพระราชดำริให้เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ และเก็บเมล็ดพันธุ์ เป็นแหล่งค้นคว้าทางวิชการป่าไม้ ให้บริการและถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับป่าพรุให้แก่ผู้ที่สนใจ
เดือนที่เหมาะเข้าไปเยี่ยมชมศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร จะอยู่ในช่วง กุมภาพันธ์-เมษายน ของทุกปี เพราะฝนตกน้อยทำให้เดินชมป่าพรุได้สะดวกสบาย หากมาชมช่วงเดือน พฤศจิกายน-มีนาคม ของทุกปี จะได้พบกับลูกหลุมพี ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม ผลคล้ายระกำแต่เล็กกว่า ชาวบ้านนิยมนำมาดองส่งขายไปยังมาเลเซีย หากเป็นนอกฤดูกาลจะหาลูกหลุมพีได้ยากและมีราคาสูง
สามารถพาคณะหรือองค์กรไปร่วมกันทำ “กิจกรรม” ต่าง ๆ ได้ในศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร แห่งนี้ ได้แก่
“กิจกรรมศึกษาดูงาน” มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติเป็นสะพานไม้ระยะทาง 1,200 เมตร
“กิจกรรมซีเอสอาร์” มีทั้งการปลูกป่า ฟื้นฟูบำรังรักษาพื้นที่ป่าพรุ การร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ การเพาะชำกล้าไม้เพื่อให้หน่วยอื่น ๆ นำไปปลูก
“กิจกรรมสันทนาการ” สามารถเดินป่าศึกษาธรรมชาติป่าพรุ หรือขึ้นไปชมวิวหอสูงเพื่อมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่หนาแน่นไปด้วยไม้นานาพรรณ หรือ ส่องนกซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นสวรรค์ของนักดูนกในป่าพรุที่มีอยู่หลายชนิด พันธุ์เด่น ๆ เช่น นกกกางเขนดงหางแดง นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซึ่งพบที่ป่าพรุสิรินธรในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
เรื่องราวที่น่ารู้ของ “ป่าพรุ” (Peat Swamp Forest) เกิดจากแอ่งน้ำจืดขังติดต่อกันมายาวนาน จนเกิดการสะสมของชั้นดินอินทรียวัตถุ ได้แก่ ซากพืช ซากต้นไม้ กลายเป็นดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้ำ อุ้มน้ำได้มาก
ระบบนิเวศน์ของป่าพรุคือความน่าทึ่งของธรรมชติ ที่มีระบบรากแขนงแข็งแรงแผ่ออกไปเกาะเกี่ยวดิน เพื่อจะได้ช่วยพยุงลำต้นของกันและกันให้ทรงตัวอยู่ได้ หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย
พันธุ์ไม้ที่พบในป่าพรุสิรินธรมีมากกว่า 400 ชนิด อาทิ หลุมพี หมากแดง ป่าหนันช้าง กล้วยไม้ต่าง ๆ และมีพันธุ์ปลา เช่น ปลาปากยื่น ซึ่งเป็นปลาชนิดใหม่ในโลกพบที่ป่าพรุสิรินธรเท่านั้น ปลาดุกรำพัน รูปร่างคล้ายงู อาจจะพัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เลี้ยงในแหล่งที่มีปัญหาน้ำเปรี้ยวได้ ปลากะแบะ รูปร่างประหลาดหัวแบน กว้าง ลำตัวยาวเรียว เงี่ยงมีพิษอยู่ตรงครีบหลัง ปลาเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในป่าพรุซึ่งเป็นพื้นที่หลบภัยและวางไข่ ก่อนจะแพร่ลูกหลานให้ชาวบ้านใช้เลี้ยงยังชีพสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
สนใจไปดูงานหรือท่องเที่ยว ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติ ป่าพรุสิรินธร นราธิวาส โทร. 081-898-0881
@ระวังภัยสารเคมีปนเปื้อนในอาหาร
สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย อธิบายว่าปัจจุบันการเลือกรับประทานผัก ผลไม้ แต่ละมื้อแต่ละวันควรจะทำความรู้จักกับสารเคมีที่อาจปนเปื้อนเป็นภัยร้ายของร่างกายเราได้
เพราะปัจจุบันอาหารสด ทั้งผักผลไม้และเนื้อสัตว์ที่สีสันดูสดใหม่น่ารับประทาน แต่อาจแอบแฝงภัยร้ายนั่นคือ “สารเคมีตกค้างในอาหาร” ที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่การเพาะปลูก เก็บเกี่ยว ขนส่ง สามารถติดมากับดิน น้ำ สิ่งแวดล้อม
และอาจมีสารเติมลงไปเพิ่มทั้งยาฆ่าแมลง ย่าฆ่าเชื้อรา สารปรุงแต่ง อาทิ สารเร่งเนื้อแดงในเนื้อหมู สารกันราหรือกรดซาลิซิลิค สารบอแรกซ์ และอีกมากมายที่หากร่างกายได้รับอย่างต่อเนื่องในปริมาณหนึ่งอาจอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
ดังนั้นผู้บริโภคควรรู้จักระวังและป้องกันสารพิษตกค้างในอาหาร
1.สารเคมีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เกิดขึ้นจากอาหารที่มาจากพืชและสัตว์ ส่วนใหญ่พบก่อน ระหว่าง และหลังเก็บเกี่ยว ได้แก่ สารพิษจากเชื้อรา ได้แก่ อะฟลาท็อกซิน ฯลฯ สารพิษจากพืช ได้แก่ เห็ดพิษ มันสำปะหลัง ฯลฯ สารพิษจากสัตว์ ได้แก่ พิษในหอย ปลาทะเล ปลาปักเป้าทะเล ฯลฯ
2.สารเคมีที่เติมลงในอาหารโดยเจตนา ไม่ว่าจะเพื่อการเปลี่ยนแปลงกลิ่น สี รส การเน่าเสีย ฯลฯ หากใช้ในปริมาณที่กฎหมายกกำหนดจะปลอดภัย แต่ถ้าใช้มากเกินไปอาจเกิดอันตราย ได้แก่ สารปรุงแต่งอาหารหรือเครื่องปรุงรสอาหาร เช่น น้ำปลา น้ำส้มสายชู ผงชูรส เป็นต้น วัตถุเจือปนในอาหาร เช่น สารเร่งเนื้อแดง สารกันรา สารฟอกสีอาหาร เป็นต้น
3.สารเคมีที่เติมลงในอาหารโดยไม่ได้เจตนาหรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ อาจติดมากับอาหาร บรรจุภัณฑ์ หรือปนเปื้อนระหว่างการผลิต ได้แก่ สารเคมีทำความสะอาด โลหะจากหมึกพิมพ์ และอื่น ๆ
ฟังข่าวท้ายทายชั่วโมง
ข่าวแรก “บินไทยจัดตั๋วโปรบินถวายอาลัยตลอดต.ค.นี้
นางอุษณีย์ แสงสิงแก้ว รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้จัดบัตรโดยสารราคาพิเศษในชั้นประหยัด เส้นทางไป-กลับ ภายในประเทศ จากต่างจังหวัดมายังกรุงเทพฯ ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต และกระบี่ ตามที่รัฐบาลกำหนดให้วันที่ 26 ตุลาคม 2560 เป็นวันหยุดราชการ เพื่อให้ประชาชนทุกหมู่เหล่าในต่างจังหวัดเดินทางมาร่วมน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ และพร้อมร่วมใจถวายความอาลัยในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
การบินไทยได้จัดทำตั๋วโดยสารราคาพิเศษเพื่อให้จองซื้อระหว่างวันนี้- 29 ตุลาคม 2560 สำหรับการเดินทาง 2 คนขึ้นไป เริ่มต้นที่ 1,390 บาทต่อที่นั่ง (รวมค่าธรรมเนียมและภาษีสนามบินแล้ว) เพื่อนำไปใช้ในช่วงวันที่ 10-30 ตุลาคม 2560
โดยตั๋วโดยสารจะมีเงื่อนไข อาทิ เป็นบัตรโดยสารไป-กลับ มีอายุภาย 30 ตุลาคม 2560 ต้องระบุวัน-เวลาการเดินทาง และอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงฟรี คือวัน หรือเวลาเดินทางได้ 1 ครั้ง แต่ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนเส้นทางบินหรือคืนบัตรโดยสาร และโดยสารยังได้รับไมล์สะสมรอยัล ออร์คิด พลัส ตามปกติ
สามารถจองซื้อตั๋วโดยสารได้ที่ www.thaiairways.com หรือตัวแทนขายหรือ THAI Contact Center (02) 356-1111
ข่าวที่สอง "กินเที่ยวเฟี้ยวยกเกาะ@ภูเก็ต" 16-17 ก.ย.นี้
นายนรภัทร ปลอดทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยว่า เตรียมจัดงาน "กินเที่ยวเฟี้ยวยกเกาะ@ภูเก็ต" (Phuket Street Food Festival 2017) ต้อนรับการท่องเที่ยวหน้าฝน โดยร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานภูเก็ต สมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ เทศมนตรีนครภูเก็ต จัดงานขึ้นในวันที่ 16 – 17 กันยายน 2560 ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี ตัวเมืองภูเก็ต เพื่อตอกย้ำเกาะภูเก็ตจะเป็นเส้นทาง Gastronomy และภายในงานจะมีบู๊ธอาหารออกร้านนำเสนอสุดยอดเมนูที่มีชื่อเสียงของภูเก็ตมารวมอยู่ที่เดียวกันและรถขายอาหารเคลื่อนที่ (Food Truck) จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่มที่แสดงถึงนวัตกรรมสร้างสรรค์ด้านอาหารไม่น้อยกว่า 50 บู๊ธ
ตลอดงานเน้นนำเสนอเมนูอาหาร อาหารพื้นเมืองภูเก็ต อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารทะเล อาหารสร้างสรรค์ และอาหารถิ่นหากินยาก ให้นักท่องเที่ยวท่องเที่ยวได้ชิมกันในราคาสุดพิเศษจากโรงแรมทุกระดับ ภัตตาคาร ร้านอาหารต่างๆ ตลอดจนร้านอาหารตามตลาดนัดสไตล์แนวเก๋ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วเกาะภูเก็ตตลอดเดือนกันยายนนี้
รวมทั้งนำเสนอให้เห็นถึงหลักที่สำคัญการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมทั้งชาวไทย บาบ๋า เพอรานากัน ความหลากหลายทางศาสนาจนเกิดเป็นเอกลักษณ์ที่ถ่ายทอดผ่านการทำอาหารซึ่งมีความโดดเด่นและหาทานได้เฉพาะในภูเก็ตเท่านั้น ตามที่ยูเนสโก้ได้ประกาศให้ภูเก็ตเป็น Gastronomy City ภาพลักษณ์ภูเก็ตเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านวิทยาการอาหารซึ่งเป็นหนึ่งใน 18 เมืองทั่วโลกเป็นเมืองแรกของอาเซียนและเมืองไทย
ข่าวที่ 3 “AAPAชี้แอร์ไลน์ทั่วเอเชีย7เดือนตลาดโตแรง
AAPA ชี้สายการบินภูมิภาคเอเชียตีปีกรับผู้โดยสารและคาร์โก้สดใส ตลอด ก.ค.นี้ ตั๋วบินข้ามทวีปพุ่ง 6.2 % แต่ราคาตั๋วดิ่งลง ปริมาณขนส่งสินค้าทางอากาศโตสองหลัก ได้แรงหนุนกำลังการผลิตอุตสาหกรรมโลกระดับกลางและสินค้าสำเร็จรูปฟื้นตัว
สมาคมสายการบินเอเชียแปซิฟิก (Association of Asia Pacific Airlines :AAPA) รายงานว่าปริมาณการเดินทางทางอากาศตลอดเดือนกรกฎาคมปี 2560 สายการบินในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิกให้บริการจัดส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศราว 27.7 ล้านคน
สะท้อนถึงขยายตัวของตลาดในระดับปานกลางเพิ่มขึ้น 3.4% เป็นผลมาจากการเดินทางระยะยาวข้ามทวีปเพิ่มขึ้น 6.2% รายได้ของผู้โดยสารกิโลเมตร (RPK) กำลังการผลิตที่นั่งเพิ่มขึ้น 6.8% ส่งผลให้ค่าโดยสารผู้โดยสารระหว่างประเทศลดลง 0.5%
ขณะที่ความต้องการขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศเพิ่มเป็นสองหลัก 10.9% เพราะคำสั่งซื้อใหม่จากประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะในยุโรป ค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทำค่าเฉลี่ยได้ 66.0 % สูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน 3.8 % และกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 4.4%
นายแอนดริว เฮิร์ดแมน ผู้อำนวยการ AAPA กล่าวว่า ตลอด 7 เดือนแรกปีนี้ ระหว่างมกราคม-กรกฎาคม 2560 สายการบินในภูมิภาคเอเชียมีผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 182 ล้านคน เพิ่มขึ้น 5.3% แต่การแข่งขันยังห้ำหั่นกันรุนแรง เนื่องจากผู้โดยสารระหว่างประเทศยังมองหาตั๋วราคาถูกและ การเชื่อมต่อเครือข่ายเพิ่มขึ้น ส่วนตลาดคาร์โก้ได้รับอานิสงส์จากปริมาณการผลิตตลอด 7 เดือนเพิ่มขึ้น 10.4% เพราะภาวะธุรกิจโลกเริ่มผงกหัวในเชิงบวก ภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีใบสั่งทางธุรกิจใหม่ ๆ ในหมวดสินค้าขั้นกลางและสำเร็จรูปเติบโตตามไปด้วย
ข่าวที่ 4 “ชวนกันไปวิ่งRun for Dek Thai 2017” 1ต.ค.นี้
สมาคมสตรีอเมริกันแห่งประเทศไทย (American Women’s Club of Thailand) ชวนวิ่ง Run for Dek Thai 2017 วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม 2560 เริ่ม 17.00 น. เพื่อระดมทุนการศึกษาเพื่อนักเรียนไทยที่ด้อยโอกาสของมูลนิธิ EDF เพราะเล็งเห็นถึงการศึกษาคือปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้เยาวชนไทยที่ด้อยโอกาสได้มีอนาคตที่สดใส สามารถช่วยเหลือตนเองเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติในอนาคต
โดยเปิดให้เลือกวิ่งการกุศลในระยะทางประเภท 2.5 กิโลเมตร 5 กิโลเมตร 7.5 กิโลเมตร และ 10 กิโลเมตร นักวิ่งที่วิ่งเข้าเส้นชัยอย่างน้อย 2.5 กิโลเมตร จะได้รับเหรียญที่ระลึก สำหรับ Bib เบอร์วิ่ง แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่
1.Bib ‘Sook Jai’ (สุขใจ หรือ Happy) ราคา 350 บาท ผู้ร่วมวิ่งจะได้รับเสื้อวิ่งที่สามารถเขียนบริเวณด้านหลังว่าต้องการวิ่งเพื่อใครพร้อม Bib หมายเลขวิ่ง
2.Bib ‘Jai Dee’ (ใจดี หรือ Good heart) ราคา 1,000 บาท สำหรับนักวิ่งที่ต้องการบริจาคเงินเพิ่มให้สมาคมฯ โดยผู้ร่วมวิ่งจะได้รับเสื้อวิ่งที่สามารถเขียนบริเวณด้านหลังว่าต้องการวิ่งเพื่อใครพร้อม Bib หมายเลขวิ่ง
สำหรับงาน Run for Dek Thai 2017 จัดในธีมซูเปอร์ฮีโร่ (Super Hero) โดยนักวิ่งที่แต่งกายเข้าธีมสามารถร่วมลุ้นรางวัลได้ด้วย
สมัครร่วมวิ่งได้ด้วยตนเองที่คลับเฮ้าส์ สมาคมสตรีอเมริกันในประเทศไทย สุขุมวิท 38 จันทร์-ศุกร์ 10.00-15.00 น. หรือ http://www.awcthailand.org/map และ http://awcthailand.org/register_runfordekthai
เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน ผู้ดำเนินรายการข่าว-บล็อกเกอร์ ท่องเที่ยว-การบิน |
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น