ททท.จัดทัพใหญ่TATAP2020ลุย4ภารกิจปี’63
ผุด1ภูมิภาค1โปรเจ็กต์ชู60ปีแห่งท่องเที่ยวไทย
คิงเพาเวอร์คว้ารางวัลCSRเอเชียย้ำพลังคนไทย
ดิวตี้ฟรีเชียงใหม่-ภูเก็ต-หาดใหญ่มีคิงเพาเวอร์ ท
ทท.สำเร็จเกินคาดTTM+2019เมืองรองฉลุย
บางจากร่วมชุมชนพัฒนาพื้นที่สีเขียวบางกะเจ้า
MOreFunสนุกทุกมุมบ้านคลองเขื่อนฉะเชิงเทรา
รัฐระดมฉีดวัคซีนฟรี7โรคเสี่ยงหวัดใหญ่เริ่มมิ.ย.
สุวรรณภูมิปิดลานจอดรถสร้างใหม่รอใช้มิ.ย.63 ฮื
อฮา!! 28สนามบินห้ามแหนมเนืองขึ้นเครื่อง
ไทยเจ้าภาพACMECSบูมท่องเที่ยว5ชาติ3ลุ่มน้ำ
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน 2562 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97 #รวยด้วยข่าว #เที่ยวกับกู๋ #TTM2019 #TATPATTAYA #MoreFunตะวันออก #60ปีแห่งการท่องเที่ยว
ช่วงที่ 1 ห้ามพลาดฟัง “ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หลังจบงาน TTM+2019 ททท.เร่งจัดทัพใหญ่ TATAP 2020 เดินหน้า 4 ภารกิจท่องเที่ยวแห่งชาติ 1.เสนอแนวคิดทุ่มลงทุนเปิดไทยแลนด์ พาวิลเลี่ยน ในมหกรรมโอลิมปิก โตเกียว 2020 ที่ญี่ปุ่นยาว 1 เดือน 2.ปลุก 5 ภูมิภาคปั้น 1 ภูมิภาค 1 โปรเจ็กต์ ขอสำนักงานทั่วโลกชี้เป้าพฤติกรรมตลาดจับคู่ขายโปรดักซ์ตรงใจ 3.พลิกโฉมสื่อสารการตลาดในประเทศและทั่วโลก 4.จัดฉลอง 60 ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย ชวนทุกคนร่วมภาคภูมิใจในความสำเร็จที่สามารถดึงทั่วโลกเข้ามาเที่ยวได้ทะลุ 40 ล้านคน
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่ปงระเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การขับเคลื่อนแผนงนสื่อสารตลาดครึ่งปีหลัง ยังคงต้องให้เข้าเป้าหมายรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท อัตรการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่ม 10 % พื้นทีหลัก “ตลาดต่างประเทศ” จะพุ่งเป้าต่อเนื่องไปจนถึงปี 2563 ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีนเกินปีละ 10 ล้านคน อินเดีย ต้องการเห็นนักท่องเที่ยว 2 ล้านคนเศษ และอาเซียนรวม 9 ประเทศ กว่า 10 ล้านคน โดยได้นำเสนอในงาน Thailand Travel Mart Plus 2019 : TTM +2019 กับสื่อนานาชาติจะบริหารความเสี่ยงอย่างทั่วถึงโดยไม่พึ่งตลาดใดตลาดหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีความเปราะบาง ในมุมการสื่อสารจะใช้ Amazing Thailand เป็นหัวหอกสำคัญภายใต้ Open to the New Shades โดยสร้างกลยุทธ์ให้นักท่องเที่ยวสามารถออกแบบการเดินทางพักผ่อนของตนเองได้ในลักษณะ Unique Traveller “ตลาดในประเทศ” ต้องการส่วนแบ่งการตลาดรายได้เกิน 33 % ของทั้งหมดปี 2562 -2563 พุ่งเป้าขยายฐานกระจายเม็ดเงินลงสู่ 55 เมืองรอง จะนำพายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีตามนโยบายรัฐบาล ยังคงใช้ อะเมซิ่ง ไทยเท่ อย่างเข้มข้นต่อไป สำหรับความคล้ายคลึงกันของในประเทศและต่างประเทศมีความหลากหลายเป็นจุดเปลี่ยนตรงกันคือนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติสามารถออกแบบการเดินทางด้วยตนเองได้ Unique Traveller เพราะนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม แต่ละเซ็กเมนท์ เช่น การท่องเที่ยวทะเล การเที่ยวธรรมชาติป่าเขา คนหนุ่มสาวกับคนเกษียณแล้วก็ไปเที่ยวแต่ในมุมซึ่งแปลกแตกต่างกันไป คนรุ่นใหม่หรือ New Gen อาจจะเลือกนั่งรถทัวร์ไปเที่ยว ส่วนกลุ่มสูงวัยหรือ Senior Active เลือกนั่งเครื่องบินไปเที่ยว จากนั้นก็เช่ารถขับ พักโรงแรมดี ๆ ตามงบประมาณที่พร้อมจ่าย เพื่อค้นหาประสบการณ์ท่องเที่ยวชุมชน ทำให้แคมเปญสื่อสารการตลาด อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ กับ อะเมซิ่ง ไทยเท่ ในมุมลึกเจาะตรงเป้าหมาย เพิ่มความเข้มข้น โดยนำเสนอให้ชัดเจน ด้วยการสร้างภาพจำใหม่เลิกให้ต่างชาติมองไทยเป็นเพียงประเทศท่องเที่ยวของคนจำนวนใหญ่หรือ Mass Tourism ทั้งที่มีมุมเฉพาะซึ่งจะต้องดึงประเด็นออกมา โดยเตรียมสร้างความรู้สึกร่วมเรื่องการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ เพราะถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องพูดเรื่องนี้อย่างมีพลัง วางแผนจะสื่อสารให้เข้าถึงทั้ง 2 กลุ่ม คือ Supply และ Demand size ตัวอย่าง การกล่าวถึงเมืองรอง จะต้องย้ำชัดถึงขีดความสามารถทางการรองรับมีความเหมาะสมกับนักท่องเที่ยวกลุ่มพฤติกรรมใด เช่น ยุโรป เอเชีย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และอื่น ๆ ต้องการท่องเที่ยวลักษณะใด ททท.จะต้องโฟกัสชัดเจนทั้งพื้นที่ กิจกรรม โปรดักซ์ ดังนั้นในการประชุมแผนการตลาดการท่องเที่ยว ททท.ประจำปี 2563 : TAT Action Plan 2020 :TATAP 2020 จะนำเสนอแนวทางใหม่โดยได้หารือกับสำนักงานในประเทศและต่างประเทศทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว จะเปลี่ยนรูปแบบพื้นที่ในประเทศจะต้องคิดทำการสื่อสาร 1 ภูมิภาค 1 โปรเจ็กต์ ทั้ง ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ส่วนต่างประเทศก็ต้องทำ 1 สำนักงาน 1 โปรเจ็กต์ ในแต่ละทวีป และแต่ละสำนักงาน แต่ละประเทศ ถึงลักษณะพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อสื่อสารสู่สาธารณะให้ตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง เช่น นักท่องเที่ยวจีน ต้องย้ำเน้นเส้นทางเที่ยวสวนผลไม้ ดังนั้นภูมิภาคตะวันออกต้องคิดมา 1 โปรเจ็กต์ ญี่ปุ่น ชื่นชอบของที่ระลึก ท่องเที่ยวศิลปะร่วมสมัยภูมิภาคภาคเหนือ อย่าง แพร่ น่าน เชียงใหม่ ก็ต้องไปสร้างสรรค์มา 1 โปรเจ็กต์ แต่ละภูมิภาคจะต้องช่วยกันดึงจิตวิญญาณของสินค้ามานำเสนอให้ตรงใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยว ผ่านสินค้า กิจกรรม เพราะขณะนี้มีกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่สนใจเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ภารกิจของฝ่ายสื่อสารการตลาดจะเชื่อมโยงกับทุกภูมิภาค ซึ่งดูแลพื้นที่ โปรดักซ์ท่องเที่ยว แล้วนำงบประมาณเข้าไปสร้างความยิ่งใหญ่ให้คนรับรู้อย่างกว้างขวาง เพราะจะได้เปิดพื้นที่เป้าหมายได้ตรงจุด อ้างอิงพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นหลัก นายธเนศวร์กล่าวว่า ปี 2563 จะเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ในโอกาสที่ ททท.นำการท่องเที่ยวเมืองไทยก้าวสู่ปีที่ 60 เตรียมทำแคมเปญคู่ขนานกับอะเมซิ่ง ไทยเท่ เน้นตลาดการขายเป็นหลัก แต่แคมเปญสื่อสารการตลาดด้านการประชาสัมพันธ์จะมุ่งเน้นทางจิตใจให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมกับการท่องเที่ยวของประเทศครบ 60 ปี ไม่เฉพาะของ ททท.แต่คือความภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ จากจุดเริ่มก่อตั้ง ททท. เมื่อปี 2503 นำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวจำนวนไม่ถึงหลัก 1 ล้านคน กระทั่งปี 2563 สามารถนำเข้ามาได้ 39-40 ล้านคน ททท.จะทำมากกว่าให้คนไทยทั้งชาติมีส่วนร่วมภาคภูมิใจกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่จะต้องหาวิธีลุกขึ้นมาช่วยกันดูแล รักษา สิ่งแวดล้อม รณรงค์ทำให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ โดยเฉพาะ คนไทยต้องปฏิบัติเป็นตัวอย่างเมื่อเดินทางเข้าไปเที่ยวในเมืองหลักและ 55 เมืองรอง ต้องตระหนักและลงมือทำช่วยกันลดละเลิกทิ้งพลาสติกหรือทำลายสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเคารพวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น แล้ว ททท.เองจะผลิตเครื่องมือสื่อสารให้คนเข้าใจอย่างลึกซึ้งปลุกกระแสจูงใจให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังนั้นงานจัดฉลอง 60 ปี จะประชาสัมพันธ์โดยเดินหน้าภายใต้แนวคิดชื่อโครงการ “60 ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย” ไม่ได้จำกัดเฉพาะเป็นอายุของ ททท.แต่ขอให้คนทั้งประเทศมีส่วนร่วมภาคภูมิใจความเป็นประเทศไทยไปด้วยกัน นายธเนศวร์กล่าวว่าปี 2563 จะมี เวลด์อีเวนต์มหกรรมกีฬาของโลกคือ Olmpic Tokyo 2020 ที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปร่วมกว่า 10 ล้านคน ด้วยประสบการณ์ของ ททท.เคยเข้าร่วมเวิลด์ เอ็กซโป มาหลายงานแล้ว จึงมีแนวคิดที่จะเสนอการลงทุนเปิด Thailand Pavillion ขึ้นในโอลิมปิกครั้งนี้ แล้วนำข้อมูลการท่องเที่ยวเมืองหลัก เมืองรอง ต่าง ๆ เข้าร่วมเสนอเนื้อหาไว้ในพาวิลเลี่ยนและสามารถอยู่ได้ต่อเนื่อง 1 เดือน จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เมืองไทยได้เป็นอย่างดี ผ่านไปยังนักท่องเที่ยวที่หมุนเวียนเข้าสู่ญี่ปุ่น เมื่อปี 2561 ญี่ปุ่นมาท่องเที่ยวเมืองไทยกว่า 1.6 ล้านคน ประการสำคัญการเปิดไทยแลนด์ พาวิลเลี่ยน ในโตเกียว โอลิมปิก 2020 จะเป็นแรงกระเพิ่มการขยายฐานตลาดทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติทั่วโลกที่เดินทางเข้าไปชมงานดังกล่าว ซึ่งจะเป็นโชว์เคสประเทศไทยอย่างมีพลังในมหกรรมโอลิมปิกปีหน้า ขั้นตอนที่จะสรุปเพื่อเดินหน้าโครงการลงทุน Thailand Pavillion นั้นจะนำเสนอรายละเอียดทั้งหมดในการประชุมแผนการตลาดภายในเวทีของ ททท.ประจำปี 2563 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่าง 1-4 กรกฎาคม 2562 ที่จังหวัดอุดรธานี จากนั้นผู้นำ ททท.จะแถลงสู่สาธารณะถึงทิศทางการตลาดปีหน้าโดยจะมีแผนการรักษานักท่องเที่ยวไว้ให้ได้ด้วยในช่วงโอลิมปิก 2020 ควรจะต้องเตรียมความพร้อมไว้ด้วยเช่นกัน ฟังข่าวต้นชั่วโมง ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์” คว้ารางวัลสุดยอดเอเชียปี’62” นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่า ล่าสุด Enterprise Asia องค์กรอิสระผู้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมแบบองค์รวมในเอเชีย ได้คัดเลือกให้ คิง เพาเวอร์ ผู้บุกเบิกทำโครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ขึ้นรางวัลสาขาความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นเลิศระดับเอเชีย หรือ Asia Responsible Enterprise Awards 2019 ทางด้าน Social Empowerment การสร้างชุมชน สร้างสังคมเข้มแข็งอย่างยั่งยืนด้วยพลังคนไทย ตามรายงานปี 2562 มีผู้ผ่านเข้ารับคัดเลือกกว่า 200 โครงการ จากภูมิภาคเอเชีย 14 ประเทศ ซึ่งตามกฎจะต้องผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายอุตสาหกรรม หลายประเทศ และใช้เวลาตัดสินเฟ้นหาผู้ชนะนานกว่า 3 เดือน การที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ สามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าวมาได้ จึงนับเป็นความภาคภูมิใจในฐานะผู้ประกอบการคนไทย ที่ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือเป็นอย่างดีมาตลอดจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน คู่ค้า ชุมชน ประชาชน ซึ่งเชื่อมั่นในศักยภาพ และพลังของคนไทย เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้วก็สามารถทำให้สำเร็จได้ รวมทั้งเป็นแรงผลักดันให้คิง เพาเวอร์ สร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ ที่มีประโยชน์ และทำสิ่งดีๆ เพื่อชุมชน เพื่อสังคมต่อไป โดยกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้รับรางวัลในสาขา Social Empowerment จากความสำเร็จของ “โครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” อันเกิดจากการใช้พลังเล็ก ๆ มุ่งมั่นตั้งใจทำประโยชน์คืนสู่สังคมจนกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ได้ ก่อเกิดเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านกีฬา-SPORT POWER 2.ด้านดนตรี -MUSIC POWER 3.ด้านชุมชน-COMMUNITY POWER 4.ด้านการศึกษาและสาธารณสุข – EDUCATION & HEALTH POWER ข่าวที่ 2 “คิงเพาเวอร์ลุ้นดิวตี้ฟรีภูเก็ต-เชียงใหม่-หาดใหญ่10มิ.ย.นี้” นายวิชัย บุญยู้ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายการพัฒนาธุรกิจ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) ”ทอท.”เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2562 ผลการยื่นซองคุณสมบัติเพื่อดำเนินการร้านค้าปลอดอากร(duty free)สนามบินภูมิภาค ของ ทอท.3 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ มีเอกชนมายื่น 3 ราย (จากทั้งหมดที่ซื้อซองไป 4 ราย ) โดยมีรายชื่อกลุ่ม คิง เพาเวอร์ อยู่ด้วย ตามกำหนดจะเปิดซอง วันที่10 มิถุนายน นี้ เพื่อเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณารายได้ วันที่ 12 มิถุนายน และบอร์ด ทอท.ในวันที่ 19 มิถุนายน 2562 พร้อมกันกับรายชื่อของ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี และ คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ที่ชนะคะแนนเข้าดำเนินการพื้นที่ร้านค้าดิวตี้ฟรีและเชิงพาณิชย์สุวรรณภูมิ ซึ่งเปิดซองครบไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยล่าสุดได้มีเอกชนทั้งผู้ที่ได้รับการประกาศชนะคะแนนสูงสุดในสุวรรณภูมิ คือ บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ไทำหนังสือมายังคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก เพื่อขอคำชี้แจงรายละเอียดคะแนนที่ได้เป็นผู้ชนะ ทางเทคนิคด้านต่าง ๆ ทั้ง แนวคิด การออกแบบ แผนการตลาด เพื่อรวบรวมไว้เป็นฐานข้อมูลพัฒนาการประมูลของคิงเพาเวอร์ในครั้งต่อ ๆ ไป สำหรับพื้นที่ส่งมอบสินค้าดิวตี้ฟรี หรือ Pick up Counter จะทำให้เสร็จสิ้นช่วงต้นปี 2563 ขณะนี้อยู่ระหว่าพิจารณา 2 แนวทาง ได้แก่ 1.ทอท.เปิดให้บริการเองจากนั้นบริษัเอกชนมาเช่าตามสัดส่วนเพื่อไว้จัดส่งสินค้า หรือ 2. เปิดพื้นที่ในสนามบินให้ส่งมอบสินค้าร่วมกันตามรูปแบบ common use เหมือนสนามบินภูมิภาคปัจจุบัน ข่าวที่ 3 “ททท.รุกใช้TTM+2019บุกตลาดคนรวย6ทวีป” นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในการจัดงาน Thailand Travel Mart Plus 2019 : TTM+2019 ระหว่าง 5-7 มิถุนายน 2562 ที่โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ พัทยา มีการตอบรับของกลุ่มผู้ซื้อจากทั่วโลก 51 ประเทศ 351 ราย โดยมีกลุ่มใหม่มาร่วมงานครั้งแรกมากถึง 40 % ในการเจรจาธุรกิจกับผู้ขายของไทย 351 ราย ซึ่งเป็นทั้งกลุ่มเมืองหลักและเวทีแจ้งเกิดเมืองรอง ได้ช่วยขยายผลให้ผู้ซื้อจากทั่วโลกเห็นภาพลักษณ์ใหม่พัทยา ซึ่ง ททท.พร้อมใช้กลยุทธ์ Hook and HUB กระจายการท่องเที่ยวเชื่อมโยงเมืองหลักชลบุรีสู่เมืองรองใน ระยอง จันทบุรี ตราด และสร้างสมดุลใหม่ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ การหาลูกค้าใหม่ (market) เจาะพื้นที่ท่องเที่ยวใหม่ (supply) และนำเสนอขายสินค้าท่องเที่ยวใหม่ (Product) โดยมีตลาดใหม่ ๆ เข้ามาไทย ได้แก่ 1.ประเทศกลุ่ม CIS แยกตัวจากรัสเซีย 2.ยุโรปตะวันออก อาทิ สาธารณรัฐเช็ค โปแลนด์ และยุโรปใต้ อาทิ สเปน 3.แอฟริกาใต้ ไฮไลต์จาก 4 เมือง ได้แก่ โจฮันเนสเบอร์ก เออร์เบิร์น เคปทาวน์ และพอร์ตอลิซาเบธ 4.ละตินอเมริกา อย่างบราซิล ตามเป้าหมายปี 2562 ทั้ง 4 ทวีป จะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น 12 % ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายรอบด้านทั้งเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ค่าเงินบาทแข็ง การแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ที่หันมาบุกท่องเที่ยว ดังนั้น ททท.จึงวางกลยุทธ์ไล่เก็บตั้งแต่ตลาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ เน้นเจาะเซ็กเมนท์คุณภาพมีกำลังซื้อสูง ขณะนี้ลุยขยายฐานเจาะใหม่ 4 ตลาด ได้แก่ 1. ตลาดกลุ่มหรูหรา : Luxury เจาะกลุ่มนักแล่นยอร์ชที่มีไลเซ่น แต่ไม่มีทะเล เดินทางเข้ามาขับเรือท่องเที่ยว แต่ละครั้งแต่ละคนใช้จ่ายเงินขั้นต่ำ 100,000 บาทขึ้นไป ขณะนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวกำลังมาบุกเที่ยวภูเก็ต เชื่อมโยงสู่ กระบี่ พังงา โดยเตรียมผสมผสานนั่งเรือประมงสัมผัสวิถีชีวิตอันดามัน ควบคู่เตรียมความปูพรมทำให้ไทยเป็น Port of Turn Around สอดคล้องกับการลงทุนของเอกชนด้วย เช่น ภูเก็ต มีท่าเรือ ยอร์ช เฮเว่น รองรับนักเล่นยอร์ชที่มีไลเซ่นได้ 2.กลุ่มกำลังซื้อ เลสเบี้ยน-เกย์-เพศสภาพ-แปลงเพศ : LGBT โดยเฉพาะในบราซิล มีประชากร 300 ล้านคน ในจำนวนนี้มีกลุ่มดังกล่าวอยู่มากถึง 30 ล้านคน หากกระตุ้นให้มาเที่ยวเมืองไทยเพียง 1 % รายได้เพิ่มทันที ช่วงมิถุนายน 2562 นี้จะเป็นเดือน Gay Prime ทาง ททท.พร้อมที่จะดูแลตลาดนี้เทียบเท่านักท่องเที่ยวปกติโดยไม่ได้แบ่งแยกเพศเนื่องจากตลาดกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการตัดสินใจเลือกไปท่องเที่ยวเที่ยวประเทศที่มีความพร้อม 3 เรื่อง คือ 1.มีกฎหมายรองรับ GLBT 2. มีแหล่งเอนเตอร์เทนเมนท์สอดคล้องกับความต้องการ 3.ประชาชนในประเทศยินดีต้อนรับ ซึ่งไทยมีคุณสมบัติครบ ในวันที่ 30 กันยายน 2562 จะมีการจัดงาน Gay Symposium Bangkok 2019 ขึ้นที่โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ ตลอดงานจะมีตัวแทนบริษัทกลุ่มตลาดเกย์ มาจัดกิจกรรมการสัมมนา และเจรจาธุรกิจ พร้อมนำกูรูที่มีความเชี่ยวชาญการต้อนรับตลาด GLBT มาให้คำแนะนำเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการไทย 3.Wellness Holidays เป็นเทรนด์ใหม่มาแรงอยู่ตอนนี้โดยโรงแรมจะมีบริการ ผู้จัดการฝ่ายกีฬาพานักท่องเที่ยวไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับดูแลสุขภาพ ซึ่งโรงแรมหลายพื้นที่ในไทยทำมาระยะหนึ่งแล้ว กลุ่มนี้จะเข้ามาแทนที่ Spa Medical เพื่อเน้นป้องกันมากกว่าการเข้ามารักษา 4.ตลาดโรแมนซ์ เชิญชวนให้คู่รักมาท่องเที่ยวเมืองไทย แนวโน้มจะเป็นอีกตลาดที่มีสดใส นางศรีสุดากล่าวว่าความท้าทายขณะนี้คือตลาดทั้ง 4 ทวีป ก็มีบางตลาดต้องเร่งแก้ไขปิดจุดอ่อน อย่าง สหราชอาณาจักร เผชิญเรื่อง Brexit ต้องรับมือหาทางออกโดยทำโครงการ Thailand for More ระหว่างพฤษภาคม-สิงหาคม 2562 หรือจับมือกับกรมตำรวจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งได้รับสวัสดิการเดินทางต่างประเทศเลือกนำเงินมาเที่ยวเมืองไทย ส่วนตะวันออกกลางอย่าง อิหร่าน ต้องยอมรับสภาพเพราะการถูกสหรัฐอเมริกาแซงซั่นไม่สามารถเข้าไปทำอะไรได้มากนัก ทั้งนี้ได้แบ่งระดับปัญหาของตลาดเป็น 4 ระดับ คือ 1.ป่วยหนัก จะอยู่ในกลุ่มตะวันออกกลาง 2.เหนื่อย จะอยู่ในกลุ่มสหราชอาณาจักร สแกนดิเนเวียซึ่งหันมาให้ความสำคัญกับการไม่เดินทางโดยเครื่องบินระยะไกลซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อม จะเที่ยวใกล้ ๆ แทน 3.ตีตื้น อย่างฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส ยุโรปใต้ เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ 4.เติบโต ยังคงเป็นรัสเซียมีขนาดใหญ่นิยมมาเที่ยวเมืองไทย @เอเชีย แปซิฟิกแก้เกมแข่งเดือด-จีน อินเดีย CLMV ยังแรง นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ กล่าวว่า ได้หารือกับ ททท.ทุกสำนักงานตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ให้ระวังเรื่องการแข่งขัน จะต้องเพิ่มความเข้มข้นโดยคิดกลยุทธ์ทำการตลาดเชิงรุกโดยเน้นทั้งสร้างความแตกต่างกับประเทศคู่แข่งอื่น ๆ และการท่องเที่ยวในประเทศนั้น ๆ เพราะตอนนี้เทรนด์สำคัญของโลกคือทุกประเทศหันมาปลุกกระแสคนหันมาเที่ยวในประเทศตนเองเพิ่มขึ้นชัดเจน ส่วนกลุ่มเป้าหมายตลาดคุณภาพก็จะคล้ายคลึงกับยุโรป เล็งใน 4 เซ็กเมนท์หลัก ได้แก่ 1.หรูหรา : Luxury 2.ดูแลสุขภาพและกีฬา : Wellness & Sport 3.คู่รัก คู่แต่งงาน Romance 4.รักษารับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม : Green tourism ปี 2562 ตลาดหลักมาแรงยังเป็น จีน อินเดีย มีทั้งกลุ่มครอบครัว ไมซ์ และตลาดดาวรุ่ง CLMV-กัมพูชา-สปป.ลาว-เมียนมา-เวียดนาม นิยมมาใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ขณะนี้ทางวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมจับมือกับ ททท.เจาะเซ็กเมนท์สุขภาพร่วมกับ ททท.เติบโตเพิ่มขึ้นในปีต่อไป @จ่อเสนอลงทุนเปิดไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนในโอลิมปิก2020 ขณะที่ “นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท.กล่าวว่าได้จัดงาน ภายใต้ TTM+2019 ภายใต้ New Shades of Emerging Destination ได้ผนวกแนวทางการขับเคลื่อนไทยเป็นประเทศยอดนิยมอย่างยั่งยืน หรือ Prefered Destination รุกเจาะตลาดนักท่องเทียวกลุ่มคุณภาพผ่านประสบการณ์การท่องเที่ยวท้องถิ่นและการท่องเทียวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ ด้วยโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้ง Thailand in Style, Reduce Plastic Waste การจัดทำสารคดี The Seasons ควบคู่กับโครงการส่เสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด เพิ่มทางเลือกและสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวได้ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ด้วยแคมเปญที่ผ่านมามีทั้ง 12 เมืองต้องห้าม...พลาด และ 12 เมืองต้องห้ามพลาด พลัส โดยภาพรวมได้วางกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์สื่อสารการตลาดภายใต้ 3 แนวทาง ABC ได้แก่ 1.การท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง (Aditional) 2.ส่งเสริมเมืองรองใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ (Brand New) 3.การรวมเมืองรองเข้าด้วยกัน (Combined) ส่งผลให้ปี 2561 มีเมืองรองหลายจังหวัดเติบโตสูงขึ้น เช่น เชียงราย ตราด สุโขทัย หนองคาย แม่ฮ่องสอน ตรัง ส่วนเป้าหมายปี 2562 เร่งส่งเสริมให้ต่างชาติใช้จ่ายเงินเที่ยวเมืองไทยรวม 2.21 ล้านล้านบาท หลังจากปี 2561 เดินทางเที่ยวเมืองรอง 6 ล้านคน-ครั้ง เติบโต 4.95 % ปี 2563 ททท.เตรียมเสนอแนวคิดลงทุนเปิด Thailand Pavillion ในงานมหกรรมโอลิมปิก โตเกียว 2020 จัดที่ญี่ปุ่น ระหว่าง 24 กรกฎาคม – 9 สิงหาคม 2563 นำข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลัก เมืองรอง ไปแนะนำผู้เข้าร่วมงานกีฬาระดับโลกให้รู้จักและหันมาสนใจท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นต่อไป ข่าวที่ 4 “บางจากฯผนึกชุมชนพัฒนาพื้นที่สีเขียวคุ้งบางกะเจ้า” นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานวางแผนยุทธศาสตร์และพัฒนาความยั่งยืนองค์กร นำคณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยโค้ชเป้ ภัททพล เงินศรีสุข ผู้ฝึกสอน น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ นักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย และนักกีฬาเยาวชนจากโรงเรียนบ้านทองหยอด ร่วมกับเพื่อนบ้านในตำบลบางน้ำผึ้ง ร่วมปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างความสมบูรณ์ สู่สิ่งแวดล้อม บนพื้นที่ 19.71 ไร่ ตำบลบางน้ำผึ้ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโครงการ Our Khung BangKachao ซึ่งบางจากดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมให้ความสำคัญต่อการดำเนินโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับชุมชนมาอย่างต่อเนื่องก้าวสู่ปีที่ 35 ในโครงการนี้ได้สนับสนุน "ปุ๋ยบางจาก..รักษ์โลก" ที่ผลิตจากเศษอาหารที่ห้องอาหารของบริษัท บางจากฯ เพื่อกำจัดและลดปริมาณขยะเศษอาหาร โดยบรรจุในถุงมันสำปะหลังที่ย่อยสลายได้ด้วยการกลบฝัง จึงไม่เป็นการสร้างขยะเพิ่มเติม เพื่อใช้ผสมดินก่อนนำต้นไม้ลงปลูกในครั้งนี้ด้วย ช่วงที่ 2 การเดินทางเป็นความสนุกที่ไม่มีวันสิ้นสุด ออกไป More Fun กันที่ “บ้านคลองเขื่อน ฉะเชิงเทรา” ครบเครื่องทุกเรื่องราววิถีเกษตร อาหาร วัด สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ ส่วนหน้าฝนต้องดูแลสุขภาพ “ฉีดวัคซีนฟรี7โรคเสี่ยงไข้หวัดใหญ่” ช่วงมิ.ย.นี้ ข่าวต้องรู้ก็มี “สุวรรณภูมิ” ปิดลานจอดสร้างใหม่รอใช้อีกครั้งมิ.ย.63 “ฮือฮา ห้ามแหนมเนืองขึ้นเครื่อง” 28 สนามบิน และ “ไทยรับเป็นเจ้าภาพACMECS” โปรโมตท่องเที่ยวเศรษฐกิจ 3 ลุ่มน้ำ 11-16 มิ.ย.นี้ @MoreFunบ้านคลองเขื่อนฉะเชิงเทรา ฤดูฝนนี้ออกไปสนุกกับเส้นทางการท่องเที่ยวท้องทุ่งนา วิถีความเป็นอยู่ที่มีมาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ในเมืองรองที่ “บ้านคลองเขื่อน” จ.ฉะเชิงเทรา ชุมชนซึ่งยึดอาชีพเกษตรกรรมปลูกข้าวหาเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก รองมาบางส่วนมีอาชีพทำการประมงหล่อเลี้ยงชีวิต เปิดพื้นที่ชวนคนไป “ท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรม” ด้วยฉะเชิงเทราอยู่ใกล้กรุงเทพ สามารถเดินทางได้ง่าย เหมาะกับผู้คนที่ชื่นชอบเดินทางเที่ยวระยะใกล้ ชอบพักผ่อนอยู่กับธรรมชาติ พอไปถึงชุมชนบ้านคลองเขื่อน ฉะเชิงเทรา นอกจากนาข้าวแล้ว ยังจะได้ชิมมะพร้าวน้ำหอม มะม่วงที่มีถึง 40 กว่าสายพันธุ์ ผักพื้นบ้าน เช่น ตะไคร้ พริก มะกรูด และพืชผักหลากหลายชนิด เป็นผลมาจากช่วงนาข้าวในประเทศมีจำนวนมากแถมราคาในตลาดถูกลงมาก ชุมชนจึงหาวิธีใหม่ปรับลดพื้นที่การทำนามาเป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวทางของรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2557 เป็นต้นมา โดยใช้หลักผสมผสานการปลูกข้าวในนาที่ใช้น้ำน้อย พร้อมกับปลูกพืชอื่นร่วมไปด้วยเพื่อการหารายได้เพิ่มขึ้น ระหว่างรอรอบฤดูกาลทำนาของปี (โดย 1 ปี จะดำเนินการปลูกข้าว 2 รอบ) สถานที่ที่นักท่องเที่ยวสนใจเป็นพิเศษรอบ ๆ ก็มีให้เลือกหลากหลาย ไฮไลต์คือ “ฐานเรียนรู้การเกษตร” ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านเกษตรกรรมนาไร่ และสวนผลไม้ การสร้างบ้านดิน วิถีชีวิตชาวบ้านริมแม่น้ำบางปะกง และเรียนรู้การปลูกหญ้าแฝกเพื่อใช้เป็นแนวทางป้องกันปัญหาการเกิดน้ำท่วมอีกด้วย มีศูนย์การเรียนรู้แบ่งออกเป็นศูนย์ย่อย ๆ อีกมากมาย เช่น กลุ่มเรียนรู้วิสาหกิจ และอื่น แถมในชุมชนยังมีบริการโฮมสเตย์ชาวบ้านในท้องถิ่นนำที่พักมาต้อนรับนักท่องเที่ยวได้พักค้างคืนได้ด้วย หรือจะเดินทางต่อเพื่อไป ชมและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอุทยานพระพิฆเนศองค์ยืน วัดสำคัญต่าง ๆ ได้ถึง 10 แห่ง อาทิ กราบไหว้หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ที่วัดใหม่กรมยาน ที่เกาะรัด ต. บางตลาด อ.คลองเขื่อน จ.สมุทรปราการ หลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว มณฑปวัดบ้านกล้วย 200 ปี ซึ่งมีประวัติศาสตร์ที่คนจีนมาสร้างและเก็บพระสำคัญไว้ในมณฑป ส่วนการช้อปสามารถหาซื้อหาสินค้าที่ระลึก และอาหารพื้นบ้านคาว – หวาน ทางการเกษตร อาทิ ข้าว มะม่วง มะพร้าวน้ำหอม กระยาศาสตร์ ขนมไทยพื้นบ้าน รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ต่อยอดจากวัสดุทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นสินค้าโอท็อป 4 หมู่บ้าน ที่องค์การพัฒนาชุมชนเข้ามาให้ความรู้ อาทิ กะลามะพร้าวน้ำหอม ซึ่งนำมามาพัฒนาเป็นของใช้หลากหลายรูปแบบ เรื่อยไปจนถึง สำหรับสินค้า และอาหารการกินทั้งคาวหวานที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อหา 5 ชนิดต้องห้ามพลาด ได้แก่ 1.ข้าว ชนิดต่าง ๆ มีทั้ง ข้าวหอมขาว ข้าวกล้อง ข้าวหอมนิล ซึ่งอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างดีเพราะปลูกในเขตชลประทาน 2. มะพร้าวน้ำหอม มะม่วง 3. กระยาศาสตร์ 4. กาละแม 5.กล้วยกรอบ More Fun ชุมชนบ้านคลองเขื่อน เป็นอีกวิถีชีวิตสามารถไปเที่ยวได้ทุกวัน ทุกเวลา @ฉีดวัคซีนฟรี 7 กลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่ช่วงมิ.ย.62 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนใน 7 กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรี โดยเป็นวัคซีนแบบ 3 สายพันธุ์ เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบบ่อยในไทย ซึ่งมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันอาการรุนแรงและลดการเสียชีวิตได้ เริ่มให้บริการ 1 มิ.ย. นี้ ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนใกล้บ้านที่ร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข จะให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวฟรี ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยขอรับบริการวัคซีนได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนที่ร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 สิงหาคม 2562 ตามวันและสถานที่ดังกล่าว หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 ปีนี้เตรียมวัคซีนไว้ถึง 4 ล้านโด๊ส เพื่อบริการ 2 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ได้แก่ 1.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์มากกว่า 4 เดือน 2.เด็ก อายุ 6 เดือน-2 ปี 3.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค คือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด 4.ผู้สูงอายุ มากกว่า 65 ปี 5.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 6.โรคธาลัสซีเมีย และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) และ 7.โรคอ้วน น้ำหนักตัวมากกว่า 100 กก./ BMI มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตรม. ฟังข่าวท้ายชั่วโมง ข่าวแรก “สุวรรณภูมิปิดลานจอดสร้างใหม่รอใช้มิ.ย.63” นายอนันต์ หวังชิงชัย รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายบำรุงรักษา) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า สนามบินสุวรรณภูมิจะปิดให้บริการที่จอดรถด้านตะวันออก (ลานจอดรถโซน 1) ตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2562 เวลา 08.00 น. เพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถด้านทิศตะวันออก ตามแผนโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่งอาคารสำนักงานสายการบิน จะแล้วเสร็จเดือนธันวาคม 2563 และที่จอดรถจะแล้วเสร็จเดือนมิถุนายน 2563 โดยจะมีจุดจอดรถด้านทิศตะวันออกเป็นอาคารสูง 5 ชั้น พื้นที่ใช้สอยรวมทั้งหมด 35,190 ตร.ม. และพื้นที่จอดรถได้อีก 1,011 คัน ก่อนปิดยังคงเปิดให้บริการช่องทางขาออกเพื่อระบายรถที่จอดค้างจนถึง 24 มิถุนายน 2562 เวลา 08.00 น. ระหว่างที่ปิดพื้นที่เพื่อก่อสร้างดังกล่าว จึงสามารถใช้อาคารและลานจอดรถยนต์ 2, 3 และ 4 ซึ่งอยู่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารได้ตามปกติมีปริมาณรองรับรถยนต์ได้ 4,857 คัน รวมถึงโซนอื่น ๆ รอบสนามบินก็จอดได้เช่นกัน คือ 1.ลานจอดรถยนต์ 5 ด้านข้างโรงแรมโนโวเทล จอดได้ 455 คัน 2.ลานจอดรถ 6 และ 7 ด้านหน้าฝั่งตรงข้ามโนโวเทลสุวรรณภูมิจอดได้ 782 คัน 3.ลานจอดรถยนต์ระยะยาว (Long Term Parking) โซน A และ C ที่อยู่ใกล้กับศูนย์การขนส่งสาธารณะ (Bus Terminal) จอดได้ 1,341 คัน พร้อมทั้งมีให้มีรถ Shuttle bus วิ่งให้บริการรับ – ส่ง ผู้โดยสารระหว่างลานจอดรถยนต์ ไปอาคารผู้โดยสารตลอด 24 ชั่วโมง ข่าวที่สอง “ฮือฮา!!28สนามบินไทยห้ามแหนมเนืองขึ้นเครื่อง” นางอัมพวัน วรรณโก อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เปิดเผยว่า ได้ทำการประชุมซักซ้อมสนามบินภูมิภาคในการกำกับดูแความดูแลทั้ง 28 แห่ง ให้ปฏิบัติงานด้านการบินให้เป็นไปตามกฎประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) เรื่อง หลักเกณฑ์การตรวจค้นของเหลว เจล สเปรย์ที่จะนำขึ้นบนห้องโดยสารอากาศยานหรือนำเข้าไปในเขตหวงห้ามของสนามบินสาธารณะ พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นระเบียบฉบับใหม่ของ กพท. ที่เตรียมประกาศบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป ห้ามมิให้ผู้โดยสารนำของเหลวปริมาณมากกว่า100 มิลลิลิตร ถือติดตัวขึ้นเครื่องบิน แต่อนุญาตให้โหลดใต้ท้องเครื่องเท่านั้น และบรรจุในภาชนะอย่างมิดชิด สินค้าอย่างแรกคือ “แหนมเนือง” เพราะมีปริมาตรน้ำจิ้มแหนมเนืองที่บรรจุรวมอยู่ในชุดอาหาร 1 ถุง ขนาดมากถึง 400 มิลลิลิตร จึงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนคำจำกัดความเรื่องหลักเกณฑ์การตรวจค้นของเหลว เจล สเปรย์ ที่จะนำขึ้นบนเครื่อง หรือนำเข้าไปในเขตหวงห้ามของสนามบินสาธารณะ พ.ศ. 2562 นั้น จะรวมไปถึง อาหารจำพวกที่มีของเหลว เช่น ต้ม แกง น้ำพริก น้ำจิ้มต่าง ๆ น้ำเครื่องดื่ม ซุป น้ำเชื่อม แยม สตูว์ ซอส น้ำพริก หรืออาหารที่อยู่ในซอส มาสคารา ลิปสติกส์ ลิปบาล์ม ที่มีปริมาตรมากกว่า100 มิลลิลิตร ก็จะต้องโหลดใต้ท้องเครื่องบินเพียงอย่างเดียว ข่าวที่สาม “ไทยเจ้าภาพACMECS3ลุ่มน้ำท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ” นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ไทยได้เลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว อิรวดี-เจ้าพระยา- แม่โขง ครั้งที่ 4 (การประชุมท่องเที่ยว ACMECS) ระหว่าง 11-15 มิถุนายน 2562 ณ โรงแรม เดอะริเวอรี่ บายกะตะธานี จังหวัดเชียงราย โดยจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวและระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสท่องเที่ยว ACMECS ของสมาชิก 5 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์เวียดนาม และไทย ภายใต้แนวคิด “The River of Life” มหานที 3 สาย อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง เพื่อร่วมกันพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและการลงทุน ตลอดจนการวางแผนกลยุทธ์ในกลุ่ม ACMECS ให้ก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในระดับสากล จนนำไปสู่การบรรลุตามเจตนารมณ์ “Five Countries, One Destination” นำแลนด์มาร์กสถานที่สำคัญของประเทศสมาชิกACMECS มาเสนอ เช่น Angkor Wat & Angkor Thom, Ho Chi Minh City Hall, Grand Palace Thailand, Kyaiktyo Pagoda, PhaThat Lung สาระสำคัญในการประชุมเพื่อเป็นเวทีให้รัฐมนตรีท่องเที่ยว ACMECS ยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามแผนแม่บท ACMECS (ปี 2562-2566 )อย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “Building ACMECS CONNECT by 2023 โดยรัฐมนตรีท่องเที่ยว ACMECS จะให้การรับรองตราสัญลักษณ์การท่องเที่ยว ACMECS เพื่อใช้ในการส่งเสริมประชาสัมพันธ์และการตลาดท่องเที่ยวในประเทศสมาชิกต่อไป ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0
ผุด1ภูมิภาค1โปรเจ็กต์ชู60ปีแห่งท่องเที่ยวไทย
คิงเพาเวอร์คว้ารางวัลCSRเอเชียย้ำพลังคนไทย
ดิวตี้ฟรีเชียงใหม่-ภูเก็ต-หาดใหญ่มีคิงเพาเวอร์ ท
ทท.สำเร็จเกินคาดTTM+2019เมืองรองฉลุย
บางจากร่วมชุมชนพัฒนาพื้นที่สีเขียวบางกะเจ้า
MOreFunสนุกทุกมุมบ้านคลองเขื่อนฉะเชิงเทรา
รัฐระดมฉีดวัคซีนฟรี7โรคเสี่ยงหวัดใหญ่เริ่มมิ.ย.
สุวรรณภูมิปิดลานจอดรถสร้างใหม่รอใช้มิ.ย.63 ฮื
อฮา!! 28สนามบินห้ามแหนมเนืองขึ้นเครื่อง
ไทยเจ้าภาพACMECSบูมท่องเที่ยว5ชาติ3ลุ่มน้ำ
ต้อนรับเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน 2562 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังได้ทางมือถือ และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen และบล็อกเกอร์ #gurutourza #สวท97 #รวยด้วยข่าว #เที่ยวกับกู๋ #TTM2019 #TATPATTAYA #MoreFunตะวันออก #60ปีแห่งการท่องเที่ยว
ช่วงที่ 1 ห้ามพลาดฟัง “ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หลังจบงาน TTM+2019 ททท.เร่งจัดทัพใหญ่ TATAP 2020 เดินหน้า 4 ภารกิจท่องเที่ยวแห่งชาติ 1.เสนอแนวคิดทุ่มลงทุนเปิดไทยแลนด์ พาวิลเลี่ยน ในมหกรรมโอลิมปิก โตเกียว 2020 ที่ญี่ปุ่นยาว 1 เดือน 2.ปลุก 5 ภูมิภาคปั้น 1 ภูมิภาค 1 โปรเจ็กต์ ขอสำนักงานทั่วโลกชี้เป้าพฤติกรรมตลาดจับคู่ขายโปรดักซ์ตรงใจ 3.พลิกโฉมสื่อสารการตลาดในประเทศและทั่วโลก 4.จัดฉลอง 60 ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย ชวนทุกคนร่วมภาคภูมิใจในความสำเร็จที่สามารถดึงทั่วโลกเข้ามาเที่ยวได้ทะลุ 40 ล้านคน
นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านตลาดสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่ปงระเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การขับเคลื่อนแผนงนสื่อสารตลาดครึ่งปีหลัง ยังคงต้องให้เข้าเป้าหมายรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท อัตรการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่ม 10 % พื้นทีหลัก “ตลาดต่างประเทศ” จะพุ่งเป้าต่อเนื่องไปจนถึงปี 2563 ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีนเกินปีละ 10 ล้านคน อินเดีย ต้องการเห็นนักท่องเที่ยว 2 ล้านคนเศษ และอาเซียนรวม 9 ประเทศ กว่า 10 ล้านคน โดยได้นำเสนอในงาน Thailand Travel Mart Plus 2019 : TTM +2019 กับสื่อนานาชาติจะบริหารความเสี่ยงอย่างทั่วถึงโดยไม่พึ่งตลาดใดตลาดหนึ่งเพียงอย่างเดียว เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีความเปราะบาง ในมุมการสื่อสารจะใช้ Amazing Thailand เป็นหัวหอกสำคัญภายใต้ Open to the New Shades โดยสร้างกลยุทธ์ให้นักท่องเที่ยวสามารถออกแบบการเดินทางพักผ่อนของตนเองได้ในลักษณะ Unique Traveller “ตลาดในประเทศ” ต้องการส่วนแบ่งการตลาดรายได้เกิน 33 % ของทั้งหมดปี 2562 -2563 พุ่งเป้าขยายฐานกระจายเม็ดเงินลงสู่ 55 เมืองรอง จะนำพายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีตามนโยบายรัฐบาล ยังคงใช้ อะเมซิ่ง ไทยเท่ อย่างเข้มข้นต่อไป สำหรับความคล้ายคลึงกันของในประเทศและต่างประเทศมีความหลากหลายเป็นจุดเปลี่ยนตรงกันคือนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติสามารถออกแบบการเดินทางด้วยตนเองได้ Unique Traveller เพราะนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม แต่ละเซ็กเมนท์ เช่น การท่องเที่ยวทะเล การเที่ยวธรรมชาติป่าเขา คนหนุ่มสาวกับคนเกษียณแล้วก็ไปเที่ยวแต่ในมุมซึ่งแปลกแตกต่างกันไป คนรุ่นใหม่หรือ New Gen อาจจะเลือกนั่งรถทัวร์ไปเที่ยว ส่วนกลุ่มสูงวัยหรือ Senior Active เลือกนั่งเครื่องบินไปเที่ยว จากนั้นก็เช่ารถขับ พักโรงแรมดี ๆ ตามงบประมาณที่พร้อมจ่าย เพื่อค้นหาประสบการณ์ท่องเที่ยวชุมชน ทำให้แคมเปญสื่อสารการตลาด อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ กับ อะเมซิ่ง ไทยเท่ ในมุมลึกเจาะตรงเป้าหมาย เพิ่มความเข้มข้น โดยนำเสนอให้ชัดเจน ด้วยการสร้างภาพจำใหม่เลิกให้ต่างชาติมองไทยเป็นเพียงประเทศท่องเที่ยวของคนจำนวนใหญ่หรือ Mass Tourism ทั้งที่มีมุมเฉพาะซึ่งจะต้องดึงประเด็นออกมา โดยเตรียมสร้างความรู้สึกร่วมเรื่องการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ เพราะถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องพูดเรื่องนี้อย่างมีพลัง วางแผนจะสื่อสารให้เข้าถึงทั้ง 2 กลุ่ม คือ Supply และ Demand size ตัวอย่าง การกล่าวถึงเมืองรอง จะต้องย้ำชัดถึงขีดความสามารถทางการรองรับมีความเหมาะสมกับนักท่องเที่ยวกลุ่มพฤติกรรมใด เช่น ยุโรป เอเชีย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และอื่น ๆ ต้องการท่องเที่ยวลักษณะใด ททท.จะต้องโฟกัสชัดเจนทั้งพื้นที่ กิจกรรม โปรดักซ์ ดังนั้นในการประชุมแผนการตลาดการท่องเที่ยว ททท.ประจำปี 2563 : TAT Action Plan 2020 :TATAP 2020 จะนำเสนอแนวทางใหม่โดยได้หารือกับสำนักงานในประเทศและต่างประเทศทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว จะเปลี่ยนรูปแบบพื้นที่ในประเทศจะต้องคิดทำการสื่อสาร 1 ภูมิภาค 1 โปรเจ็กต์ ทั้ง ภาคตะวันออก ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ส่วนต่างประเทศก็ต้องทำ 1 สำนักงาน 1 โปรเจ็กต์ ในแต่ละทวีป และแต่ละสำนักงาน แต่ละประเทศ ถึงลักษณะพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อสื่อสารสู่สาธารณะให้ตรงตามความต้องการอย่างแท้จริง เช่น นักท่องเที่ยวจีน ต้องย้ำเน้นเส้นทางเที่ยวสวนผลไม้ ดังนั้นภูมิภาคตะวันออกต้องคิดมา 1 โปรเจ็กต์ ญี่ปุ่น ชื่นชอบของที่ระลึก ท่องเที่ยวศิลปะร่วมสมัยภูมิภาคภาคเหนือ อย่าง แพร่ น่าน เชียงใหม่ ก็ต้องไปสร้างสรรค์มา 1 โปรเจ็กต์ แต่ละภูมิภาคจะต้องช่วยกันดึงจิตวิญญาณของสินค้ามานำเสนอให้ตรงใจพฤติกรรมนักท่องเที่ยว ผ่านสินค้า กิจกรรม เพราะขณะนี้มีกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่สนใจเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก ภารกิจของฝ่ายสื่อสารการตลาดจะเชื่อมโยงกับทุกภูมิภาค ซึ่งดูแลพื้นที่ โปรดักซ์ท่องเที่ยว แล้วนำงบประมาณเข้าไปสร้างความยิ่งใหญ่ให้คนรับรู้อย่างกว้างขวาง เพราะจะได้เปิดพื้นที่เป้าหมายได้ตรงจุด อ้างอิงพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นหลัก นายธเนศวร์กล่าวว่า ปี 2563 จะเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ในโอกาสที่ ททท.นำการท่องเที่ยวเมืองไทยก้าวสู่ปีที่ 60 เตรียมทำแคมเปญคู่ขนานกับอะเมซิ่ง ไทยเท่ เน้นตลาดการขายเป็นหลัก แต่แคมเปญสื่อสารการตลาดด้านการประชาสัมพันธ์จะมุ่งเน้นทางจิตใจให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมกับการท่องเที่ยวของประเทศครบ 60 ปี ไม่เฉพาะของ ททท.แต่คือความภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ จากจุดเริ่มก่อตั้ง ททท. เมื่อปี 2503 นำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเที่ยวจำนวนไม่ถึงหลัก 1 ล้านคน กระทั่งปี 2563 สามารถนำเข้ามาได้ 39-40 ล้านคน ททท.จะทำมากกว่าให้คนไทยทั้งชาติมีส่วนร่วมภาคภูมิใจกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่จะต้องหาวิธีลุกขึ้นมาช่วยกันดูแล รักษา สิ่งแวดล้อม รณรงค์ทำให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ โดยเฉพาะ คนไทยต้องปฏิบัติเป็นตัวอย่างเมื่อเดินทางเข้าไปเที่ยวในเมืองหลักและ 55 เมืองรอง ต้องตระหนักและลงมือทำช่วยกันลดละเลิกทิ้งพลาสติกหรือทำลายสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการเคารพวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น แล้ว ททท.เองจะผลิตเครื่องมือสื่อสารให้คนเข้าใจอย่างลึกซึ้งปลุกกระแสจูงใจให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจัง ดังนั้นงานจัดฉลอง 60 ปี จะประชาสัมพันธ์โดยเดินหน้าภายใต้แนวคิดชื่อโครงการ “60 ปีแห่งการท่องเที่ยวไทย” ไม่ได้จำกัดเฉพาะเป็นอายุของ ททท.แต่ขอให้คนทั้งประเทศมีส่วนร่วมภาคภูมิใจความเป็นประเทศไทยไปด้วยกัน นายธเนศวร์กล่าวว่าปี 2563 จะมี เวลด์อีเวนต์มหกรรมกีฬาของโลกคือ Olmpic Tokyo 2020 ที่ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ซึ่งจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไปร่วมกว่า 10 ล้านคน ด้วยประสบการณ์ของ ททท.เคยเข้าร่วมเวิลด์ เอ็กซโป มาหลายงานแล้ว จึงมีแนวคิดที่จะเสนอการลงทุนเปิด Thailand Pavillion ขึ้นในโอลิมปิกครั้งนี้ แล้วนำข้อมูลการท่องเที่ยวเมืองหลัก เมืองรอง ต่าง ๆ เข้าร่วมเสนอเนื้อหาไว้ในพาวิลเลี่ยนและสามารถอยู่ได้ต่อเนื่อง 1 เดือน จะช่วยสร้างภาพลักษณ์เมืองไทยได้เป็นอย่างดี ผ่านไปยังนักท่องเที่ยวที่หมุนเวียนเข้าสู่ญี่ปุ่น เมื่อปี 2561 ญี่ปุ่นมาท่องเที่ยวเมืองไทยกว่า 1.6 ล้านคน ประการสำคัญการเปิดไทยแลนด์ พาวิลเลี่ยน ในโตเกียว โอลิมปิก 2020 จะเป็นแรงกระเพิ่มการขยายฐานตลาดทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติทั่วโลกที่เดินทางเข้าไปชมงานดังกล่าว ซึ่งจะเป็นโชว์เคสประเทศไทยอย่างมีพลังในมหกรรมโอลิมปิกปีหน้า ขั้นตอนที่จะสรุปเพื่อเดินหน้าโครงการลงทุน Thailand Pavillion นั้นจะนำเสนอรายละเอียดทั้งหมดในการประชุมแผนการตลาดภายในเวทีของ ททท.ประจำปี 2563 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่าง 1-4 กรกฎาคม 2562 ที่จังหวัดอุดรธานี จากนั้นผู้นำ ททท.จะแถลงสู่สาธารณะถึงทิศทางการตลาดปีหน้าโดยจะมีแผนการรักษานักท่องเที่ยวไว้ให้ได้ด้วยในช่วงโอลิมปิก 2020 ควรจะต้องเตรียมความพร้อมไว้ด้วยเช่นกัน ฟังข่าวต้นชั่วโมง ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์” คว้ารางวัลสุดยอดเอเชียปี’62” นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่า ล่าสุด Enterprise Asia องค์กรอิสระผู้สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ และสังคมแบบองค์รวมในเอเชีย ได้คัดเลือกให้ คิง เพาเวอร์ ผู้บุกเบิกทำโครงการ “คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” ขึ้นรางวัลสาขาความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นเลิศระดับเอเชีย หรือ Asia Responsible Enterprise Awards 2019 ทางด้าน Social Empowerment การสร้างชุมชน สร้างสังคมเข้มแข็งอย่างยั่งยืนด้วยพลังคนไทย ตามรายงานปี 2562 มีผู้ผ่านเข้ารับคัดเลือกกว่า 200 โครงการ จากภูมิภาคเอเชีย 14 ประเทศ ซึ่งตามกฎจะต้องผ่านเกณฑ์การคัดเลือกจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายอุตสาหกรรม หลายประเทศ และใช้เวลาตัดสินเฟ้นหาผู้ชนะนานกว่า 3 เดือน การที่กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ สามารถคว้ารางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าวมาได้ จึงนับเป็นความภาคภูมิใจในฐานะผู้ประกอบการคนไทย ที่ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมือเป็นอย่างดีมาตลอดจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน คู่ค้า ชุมชน ประชาชน ซึ่งเชื่อมั่นในศักยภาพ และพลังของคนไทย เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้วก็สามารถทำให้สำเร็จได้ รวมทั้งเป็นแรงผลักดันให้คิง เพาเวอร์ สร้างสรรค์กิจกรรมดีๆ ที่มีประโยชน์ และทำสิ่งดีๆ เพื่อชุมชน เพื่อสังคมต่อไป โดยกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้รับรางวัลในสาขา Social Empowerment จากความสำเร็จของ “โครงการ คิง เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย” อันเกิดจากการใช้พลังเล็ก ๆ มุ่งมั่นตั้งใจทำประโยชน์คืนสู่สังคมจนกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ได้ ก่อเกิดเป็นกิจกรรมเพื่อสังคมทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่ 1.ด้านกีฬา-SPORT POWER 2.ด้านดนตรี -MUSIC POWER 3.ด้านชุมชน-COMMUNITY POWER 4.ด้านการศึกษาและสาธารณสุข – EDUCATION & HEALTH POWER ข่าวที่ 2 “คิงเพาเวอร์ลุ้นดิวตี้ฟรีภูเก็ต-เชียงใหม่-หาดใหญ่10มิ.ย.นี้” นายวิชัย บุญยู้ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายการพัฒนาธุรกิจ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) ”ทอท.”เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2562 ผลการยื่นซองคุณสมบัติเพื่อดำเนินการร้านค้าปลอดอากร(duty free)สนามบินภูมิภาค ของ ทอท.3 แห่ง ได้แก่ เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ มีเอกชนมายื่น 3 ราย (จากทั้งหมดที่ซื้อซองไป 4 ราย ) โดยมีรายชื่อกลุ่ม คิง เพาเวอร์ อยู่ด้วย ตามกำหนดจะเปิดซอง วันที่10 มิถุนายน นี้ เพื่อเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณารายได้ วันที่ 12 มิถุนายน และบอร์ด ทอท.ในวันที่ 19 มิถุนายน 2562 พร้อมกันกับรายชื่อของ คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี และ คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ ที่ชนะคะแนนเข้าดำเนินการพื้นที่ร้านค้าดิวตี้ฟรีและเชิงพาณิชย์สุวรรณภูมิ ซึ่งเปิดซองครบไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา โดยล่าสุดได้มีเอกชนทั้งผู้ที่ได้รับการประกาศชนะคะแนนสูงสุดในสุวรรณภูมิ คือ บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ไทำหนังสือมายังคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก เพื่อขอคำชี้แจงรายละเอียดคะแนนที่ได้เป็นผู้ชนะ ทางเทคนิคด้านต่าง ๆ ทั้ง แนวคิด การออกแบบ แผนการตลาด เพื่อรวบรวมไว้เป็นฐานข้อมูลพัฒนาการประมูลของคิงเพาเวอร์ในครั้งต่อ ๆ ไป สำหรับพื้นที่ส่งมอบสินค้าดิวตี้ฟรี หรือ Pick up Counter จะทำให้เสร็จสิ้นช่วงต้นปี 2563 ขณะนี้อยู่ระหว่าพิจารณา 2 แนวทาง ได้แก่ 1.ทอท.เปิดให้บริการเองจากนั้นบริษัเอกชนมาเช่าตามสัดส่วนเพื่อไว้จัดส่งสินค้า หรือ 2. เปิดพื้นที่ในสนามบินให้ส่งมอบสินค้าร่วมกันตามรูปแบบ common use เหมือนสนามบินภูมิภาคปัจจุบัน ข่าวที่ 3 “ททท.รุกใช้TTM+2019บุกตลาดคนรวย6ทวีป” นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในการจัดงาน Thailand Travel Mart Plus 2019 : TTM+2019 ระหว่าง 5-7 มิถุนายน 2562 ที่โอเชียน มารีน่า ยอร์ช คลับ พัทยา มีการตอบรับของกลุ่มผู้ซื้อจากทั่วโลก 51 ประเทศ 351 ราย โดยมีกลุ่มใหม่มาร่วมงานครั้งแรกมากถึง 40 % ในการเจรจาธุรกิจกับผู้ขายของไทย 351 ราย ซึ่งเป็นทั้งกลุ่มเมืองหลักและเวทีแจ้งเกิดเมืองรอง ได้ช่วยขยายผลให้ผู้ซื้อจากทั่วโลกเห็นภาพลักษณ์ใหม่พัทยา ซึ่ง ททท.พร้อมใช้กลยุทธ์ Hook and HUB กระจายการท่องเที่ยวเชื่อมโยงเมืองหลักชลบุรีสู่เมืองรองใน ระยอง จันทบุรี ตราด และสร้างสมดุลใหม่ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ การหาลูกค้าใหม่ (market) เจาะพื้นที่ท่องเที่ยวใหม่ (supply) และนำเสนอขายสินค้าท่องเที่ยวใหม่ (Product) โดยมีตลาดใหม่ ๆ เข้ามาไทย ได้แก่ 1.ประเทศกลุ่ม CIS แยกตัวจากรัสเซีย 2.ยุโรปตะวันออก อาทิ สาธารณรัฐเช็ค โปแลนด์ และยุโรปใต้ อาทิ สเปน 3.แอฟริกาใต้ ไฮไลต์จาก 4 เมือง ได้แก่ โจฮันเนสเบอร์ก เออร์เบิร์น เคปทาวน์ และพอร์ตอลิซาเบธ 4.ละตินอเมริกา อย่างบราซิล ตามเป้าหมายปี 2562 ทั้ง 4 ทวีป จะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้น 12 % ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายรอบด้านทั้งเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ค่าเงินบาทแข็ง การแข่งขันของประเทศต่าง ๆ ที่หันมาบุกท่องเที่ยว ดังนั้น ททท.จึงวางกลยุทธ์ไล่เก็บตั้งแต่ตลาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ เน้นเจาะเซ็กเมนท์คุณภาพมีกำลังซื้อสูง ขณะนี้ลุยขยายฐานเจาะใหม่ 4 ตลาด ได้แก่ 1. ตลาดกลุ่มหรูหรา : Luxury เจาะกลุ่มนักแล่นยอร์ชที่มีไลเซ่น แต่ไม่มีทะเล เดินทางเข้ามาขับเรือท่องเที่ยว แต่ละครั้งแต่ละคนใช้จ่ายเงินขั้นต่ำ 100,000 บาทขึ้นไป ขณะนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวกำลังมาบุกเที่ยวภูเก็ต เชื่อมโยงสู่ กระบี่ พังงา โดยเตรียมผสมผสานนั่งเรือประมงสัมผัสวิถีชีวิตอันดามัน ควบคู่เตรียมความปูพรมทำให้ไทยเป็น Port of Turn Around สอดคล้องกับการลงทุนของเอกชนด้วย เช่น ภูเก็ต มีท่าเรือ ยอร์ช เฮเว่น รองรับนักเล่นยอร์ชที่มีไลเซ่นได้ 2.กลุ่มกำลังซื้อ เลสเบี้ยน-เกย์-เพศสภาพ-แปลงเพศ : LGBT โดยเฉพาะในบราซิล มีประชากร 300 ล้านคน ในจำนวนนี้มีกลุ่มดังกล่าวอยู่มากถึง 30 ล้านคน หากกระตุ้นให้มาเที่ยวเมืองไทยเพียง 1 % รายได้เพิ่มทันที ช่วงมิถุนายน 2562 นี้จะเป็นเดือน Gay Prime ทาง ททท.พร้อมที่จะดูแลตลาดนี้เทียบเท่านักท่องเที่ยวปกติโดยไม่ได้แบ่งแยกเพศเนื่องจากตลาดกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับการตัดสินใจเลือกไปท่องเที่ยวเที่ยวประเทศที่มีความพร้อม 3 เรื่อง คือ 1.มีกฎหมายรองรับ GLBT 2. มีแหล่งเอนเตอร์เทนเมนท์สอดคล้องกับความต้องการ 3.ประชาชนในประเทศยินดีต้อนรับ ซึ่งไทยมีคุณสมบัติครบ ในวันที่ 30 กันยายน 2562 จะมีการจัดงาน Gay Symposium Bangkok 2019 ขึ้นที่โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ ตลอดงานจะมีตัวแทนบริษัทกลุ่มตลาดเกย์ มาจัดกิจกรรมการสัมมนา และเจรจาธุรกิจ พร้อมนำกูรูที่มีความเชี่ยวชาญการต้อนรับตลาด GLBT มาให้คำแนะนำเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการไทย 3.Wellness Holidays เป็นเทรนด์ใหม่มาแรงอยู่ตอนนี้โดยโรงแรมจะมีบริการ ผู้จัดการฝ่ายกีฬาพานักท่องเที่ยวไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับดูแลสุขภาพ ซึ่งโรงแรมหลายพื้นที่ในไทยทำมาระยะหนึ่งแล้ว กลุ่มนี้จะเข้ามาแทนที่ Spa Medical เพื่อเน้นป้องกันมากกว่าการเข้ามารักษา 4.ตลาดโรแมนซ์ เชิญชวนให้คู่รักมาท่องเที่ยวเมืองไทย แนวโน้มจะเป็นอีกตลาดที่มีสดใส นางศรีสุดากล่าวว่าความท้าทายขณะนี้คือตลาดทั้ง 4 ทวีป ก็มีบางตลาดต้องเร่งแก้ไขปิดจุดอ่อน อย่าง สหราชอาณาจักร เผชิญเรื่อง Brexit ต้องรับมือหาทางออกโดยทำโครงการ Thailand for More ระหว่างพฤษภาคม-สิงหาคม 2562 หรือจับมือกับกรมตำรวจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งได้รับสวัสดิการเดินทางต่างประเทศเลือกนำเงินมาเที่ยวเมืองไทย ส่วนตะวันออกกลางอย่าง อิหร่าน ต้องยอมรับสภาพเพราะการถูกสหรัฐอเมริกาแซงซั่นไม่สามารถเข้าไปทำอะไรได้มากนัก ทั้งนี้ได้แบ่งระดับปัญหาของตลาดเป็น 4 ระดับ คือ 1.ป่วยหนัก จะอยู่ในกลุ่มตะวันออกกลาง 2.เหนื่อย จะอยู่ในกลุ่มสหราชอาณาจักร สแกนดิเนเวียซึ่งหันมาให้ความสำคัญกับการไม่เดินทางโดยเครื่องบินระยะไกลซึ่งทำลายสิ่งแวดล้อม จะเที่ยวใกล้ ๆ แทน 3.ตีตื้น อย่างฮอลแลนด์ ฝรั่งเศส ยุโรปใต้ เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ 4.เติบโต ยังคงเป็นรัสเซียมีขนาดใหญ่นิยมมาเที่ยวเมืองไทย @เอเชีย แปซิฟิกแก้เกมแข่งเดือด-จีน อินเดีย CLMV ยังแรง นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ กล่าวว่า ได้หารือกับ ททท.ทุกสำนักงานตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ให้ระวังเรื่องการแข่งขัน จะต้องเพิ่มความเข้มข้นโดยคิดกลยุทธ์ทำการตลาดเชิงรุกโดยเน้นทั้งสร้างความแตกต่างกับประเทศคู่แข่งอื่น ๆ และการท่องเที่ยวในประเทศนั้น ๆ เพราะตอนนี้เทรนด์สำคัญของโลกคือทุกประเทศหันมาปลุกกระแสคนหันมาเที่ยวในประเทศตนเองเพิ่มขึ้นชัดเจน ส่วนกลุ่มเป้าหมายตลาดคุณภาพก็จะคล้ายคลึงกับยุโรป เล็งใน 4 เซ็กเมนท์หลัก ได้แก่ 1.หรูหรา : Luxury 2.ดูแลสุขภาพและกีฬา : Wellness & Sport 3.คู่รัก คู่แต่งงาน Romance 4.รักษารับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม : Green tourism ปี 2562 ตลาดหลักมาแรงยังเป็น จีน อินเดีย มีทั้งกลุ่มครอบครัว ไมซ์ และตลาดดาวรุ่ง CLMV-กัมพูชา-สปป.ลาว-เมียนมา-เวียดนาม นิยมมาใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ขณะนี้ทางวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมจับมือกับ ททท.เจาะเซ็กเมนท์สุขภาพร่วมกับ ททท.เติบโตเพิ่มขึ้นในปีต่อไป @จ่อเสนอลงทุนเปิดไทยแลนด์พาวิลเลี่ยนในโอลิมปิก2020 ขณะที่ “นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ” รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท.กล่าวว่าได้จัดงาน ภายใต้ TTM+2019 ภายใต้ New Shades of Emerging Destination ได้ผนวกแนวทางการขับเคลื่อนไทยเป็นประเทศยอดนิยมอย่างยั่งยืน หรือ Prefered Destination รุกเจาะตลาดนักท่องเทียวกลุ่มคุณภาพผ่านประสบการณ์การท่องเที่ยวท้องถิ่นและการท่องเทียวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ ด้วยโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้ง Thailand in Style, Reduce Plastic Waste การจัดทำสารคดี The Seasons ควบคู่กับโครงการส่เสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง 55 จังหวัด เพิ่มทางเลือกและสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวได้ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิต ด้วยแคมเปญที่ผ่านมามีทั้ง 12 เมืองต้องห้าม...พลาด และ 12 เมืองต้องห้ามพลาด พลัส โดยภาพรวมได้วางกลยุทธ์ประชาสัมพันธ์สื่อสารการตลาดภายใต้ 3 แนวทาง ABC ได้แก่ 1.การท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองรอง (Aditional) 2.ส่งเสริมเมืองรองใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ (Brand New) 3.การรวมเมืองรองเข้าด้วยกัน (Combined) ส่งผลให้ปี 2561 มีเมืองรองหลายจังหวัดเติบโตสูงขึ้น เช่น เชียงราย ตราด สุโขทัย หนองคาย แม่ฮ่องสอน ตรัง ส่วนเป้าหมายปี 2562 เร่งส่งเสริมให้ต่างชาติใช้จ่ายเงินเที่ยวเมืองไทยรวม 2.21 ล้านล้านบาท หลังจากปี 2561 เดินทางเที่ยวเมืองรอง 6 ล้านคน-ครั้ง เติบโต 4.95 % ปี 2563 ททท.เตรียมเสนอแนวคิดลงทุนเปิด Thailand Pavillion ในงานมหกรรมโอลิมปิก โตเกียว 2020 จัดที่ญี่ปุ่น ระหว่าง 24 กรกฎาคม – 9 สิงหาคม 2563 นำข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลัก เมืองรอง ไปแนะนำผู้เข้าร่วมงานกีฬาระดับโลกให้รู้จักและหันมาสนใจท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นต่อไป ข่าวที่ 4 “บางจากฯผนึกชุมชนพัฒนาพื้นที่สีเขียวคุ้งบางกะเจ้า” นายเกียรติชาย ไมตรีวงษ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานวางแผนยุทธศาสตร์และพัฒนาความยั่งยืนองค์กร นำคณะผู้บริหารและพนักงาน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยโค้ชเป้ ภัททพล เงินศรีสุข ผู้ฝึกสอน น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ นักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย และนักกีฬาเยาวชนจากโรงเรียนบ้านทองหยอด ร่วมกับเพื่อนบ้านในตำบลบางน้ำผึ้ง ร่วมปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียว สร้างความสมบูรณ์ สู่สิ่งแวดล้อม บนพื้นที่ 19.71 ไร่ ตำบลบางน้ำผึ้ง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคล พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในโครงการ Our Khung BangKachao ซึ่งบางจากดำเนินธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืนไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมให้ความสำคัญต่อการดำเนินโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับชุมชนมาอย่างต่อเนื่องก้าวสู่ปีที่ 35 ในโครงการนี้ได้สนับสนุน "ปุ๋ยบางจาก..รักษ์โลก" ที่ผลิตจากเศษอาหารที่ห้องอาหารของบริษัท บางจากฯ เพื่อกำจัดและลดปริมาณขยะเศษอาหาร โดยบรรจุในถุงมันสำปะหลังที่ย่อยสลายได้ด้วยการกลบฝัง จึงไม่เป็นการสร้างขยะเพิ่มเติม เพื่อใช้ผสมดินก่อนนำต้นไม้ลงปลูกในครั้งนี้ด้วย ช่วงที่ 2 การเดินทางเป็นความสนุกที่ไม่มีวันสิ้นสุด ออกไป More Fun กันที่ “บ้านคลองเขื่อน ฉะเชิงเทรา” ครบเครื่องทุกเรื่องราววิถีเกษตร อาหาร วัด สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ ส่วนหน้าฝนต้องดูแลสุขภาพ “ฉีดวัคซีนฟรี7โรคเสี่ยงไข้หวัดใหญ่” ช่วงมิ.ย.นี้ ข่าวต้องรู้ก็มี “สุวรรณภูมิ” ปิดลานจอดสร้างใหม่รอใช้อีกครั้งมิ.ย.63 “ฮือฮา ห้ามแหนมเนืองขึ้นเครื่อง” 28 สนามบิน และ “ไทยรับเป็นเจ้าภาพACMECS” โปรโมตท่องเที่ยวเศรษฐกิจ 3 ลุ่มน้ำ 11-16 มิ.ย.นี้ @MoreFunบ้านคลองเขื่อนฉะเชิงเทรา ฤดูฝนนี้ออกไปสนุกกับเส้นทางการท่องเที่ยวท้องทุ่งนา วิถีความเป็นอยู่ที่มีมาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย ในเมืองรองที่ “บ้านคลองเขื่อน” จ.ฉะเชิงเทรา ชุมชนซึ่งยึดอาชีพเกษตรกรรมปลูกข้าวหาเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก รองมาบางส่วนมีอาชีพทำการประมงหล่อเลี้ยงชีวิต เปิดพื้นที่ชวนคนไป “ท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรม” ด้วยฉะเชิงเทราอยู่ใกล้กรุงเทพ สามารถเดินทางได้ง่าย เหมาะกับผู้คนที่ชื่นชอบเดินทางเที่ยวระยะใกล้ ชอบพักผ่อนอยู่กับธรรมชาติ พอไปถึงชุมชนบ้านคลองเขื่อน ฉะเชิงเทรา นอกจากนาข้าวแล้ว ยังจะได้ชิมมะพร้าวน้ำหอม มะม่วงที่มีถึง 40 กว่าสายพันธุ์ ผักพื้นบ้าน เช่น ตะไคร้ พริก มะกรูด และพืชผักหลากหลายชนิด เป็นผลมาจากช่วงนาข้าวในประเทศมีจำนวนมากแถมราคาในตลาดถูกลงมาก ชุมชนจึงหาวิธีใหม่ปรับลดพื้นที่การทำนามาเป็นเกษตรทฤษฎีใหม่ตามแนวทางของรัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2557 เป็นต้นมา โดยใช้หลักผสมผสานการปลูกข้าวในนาที่ใช้น้ำน้อย พร้อมกับปลูกพืชอื่นร่วมไปด้วยเพื่อการหารายได้เพิ่มขึ้น ระหว่างรอรอบฤดูกาลทำนาของปี (โดย 1 ปี จะดำเนินการปลูกข้าว 2 รอบ) สถานที่ที่นักท่องเที่ยวสนใจเป็นพิเศษรอบ ๆ ก็มีให้เลือกหลากหลาย ไฮไลต์คือ “ฐานเรียนรู้การเกษตร” ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงด้านเกษตรกรรมนาไร่ และสวนผลไม้ การสร้างบ้านดิน วิถีชีวิตชาวบ้านริมแม่น้ำบางปะกง และเรียนรู้การปลูกหญ้าแฝกเพื่อใช้เป็นแนวทางป้องกันปัญหาการเกิดน้ำท่วมอีกด้วย มีศูนย์การเรียนรู้แบ่งออกเป็นศูนย์ย่อย ๆ อีกมากมาย เช่น กลุ่มเรียนรู้วิสาหกิจ และอื่น แถมในชุมชนยังมีบริการโฮมสเตย์ชาวบ้านในท้องถิ่นนำที่พักมาต้อนรับนักท่องเที่ยวได้พักค้างคืนได้ด้วย หรือจะเดินทางต่อเพื่อไป ชมและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอุทยานพระพิฆเนศองค์ยืน วัดสำคัญต่าง ๆ ได้ถึง 10 แห่ง อาทิ กราบไหว้หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ที่วัดใหม่กรมยาน ที่เกาะรัด ต. บางตลาด อ.คลองเขื่อน จ.สมุทรปราการ หลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว มณฑปวัดบ้านกล้วย 200 ปี ซึ่งมีประวัติศาสตร์ที่คนจีนมาสร้างและเก็บพระสำคัญไว้ในมณฑป ส่วนการช้อปสามารถหาซื้อหาสินค้าที่ระลึก และอาหารพื้นบ้านคาว – หวาน ทางการเกษตร อาทิ ข้าว มะม่วง มะพร้าวน้ำหอม กระยาศาสตร์ ขนมไทยพื้นบ้าน รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ต่อยอดจากวัสดุทางธรรมชาติ ซึ่งเป็นสินค้าโอท็อป 4 หมู่บ้าน ที่องค์การพัฒนาชุมชนเข้ามาให้ความรู้ อาทิ กะลามะพร้าวน้ำหอม ซึ่งนำมามาพัฒนาเป็นของใช้หลากหลายรูปแบบ เรื่อยไปจนถึง สำหรับสินค้า และอาหารการกินทั้งคาวหวานที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อหา 5 ชนิดต้องห้ามพลาด ได้แก่ 1.ข้าว ชนิดต่าง ๆ มีทั้ง ข้าวหอมขาว ข้าวกล้อง ข้าวหอมนิล ซึ่งอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างดีเพราะปลูกในเขตชลประทาน 2. มะพร้าวน้ำหอม มะม่วง 3. กระยาศาสตร์ 4. กาละแม 5.กล้วยกรอบ More Fun ชุมชนบ้านคลองเขื่อน เป็นอีกวิถีชีวิตสามารถไปเที่ยวได้ทุกวัน ทุกเวลา @ฉีดวัคซีนฟรี 7 กลุ่มเสี่ยงไข้หวัดใหญ่ช่วงมิ.ย.62 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เชิญชวนประชาชนใน 7 กลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ฟรี โดยเป็นวัคซีนแบบ 3 สายพันธุ์ เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบบ่อยในไทย ซึ่งมีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันอาการรุนแรงและลดการเสียชีวิตได้ เริ่มให้บริการ 1 มิ.ย. นี้ ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนใกล้บ้านที่ร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข จะให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวฟรี ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยขอรับบริการวัคซีนได้ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐ และสถานพยาบาลเอกชนที่ร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึง 31 สิงหาคม 2562 ตามวันและสถานที่ดังกล่าว หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 ปีนี้เตรียมวัคซีนไว้ถึง 4 ล้านโด๊ส เพื่อบริการ 2 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ได้แก่ 1.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์มากกว่า 4 เดือน 2.เด็ก อายุ 6 เดือน-2 ปี 3.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค คือ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน และผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด 4.ผู้สูงอายุ มากกว่า 65 ปี 5.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 6.โรคธาลัสซีเมีย และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ) และ 7.โรคอ้วน น้ำหนักตัวมากกว่า 100 กก./ BMI มากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตรม. ฟังข่าวท้ายชั่วโมง ข่าวแรก “สุวรรณภูมิปิดลานจอดสร้างใหม่รอใช้มิ.ย.63” นายอนันต์ หวังชิงชัย รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (สายบำรุงรักษา) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท.” เปิดเผยว่า สนามบินสุวรรณภูมิจะปิดให้บริการที่จอดรถด้านตะวันออก (ลานจอดรถโซน 1) ตั้งแต่ 17 มิถุนายน 2562 เวลา 08.00 น. เพื่อก่อสร้างอาคารสำนักงานสายการบินและที่จอดรถด้านทิศตะวันออก ตามแผนโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฟส 2 ซึ่งอาคารสำนักงานสายการบิน จะแล้วเสร็จเดือนธันวาคม 2563 และที่จอดรถจะแล้วเสร็จเดือนมิถุนายน 2563 โดยจะมีจุดจอดรถด้านทิศตะวันออกเป็นอาคารสูง 5 ชั้น พื้นที่ใช้สอยรวมทั้งหมด 35,190 ตร.ม. และพื้นที่จอดรถได้อีก 1,011 คัน ก่อนปิดยังคงเปิดให้บริการช่องทางขาออกเพื่อระบายรถที่จอดค้างจนถึง 24 มิถุนายน 2562 เวลา 08.00 น. ระหว่างที่ปิดพื้นที่เพื่อก่อสร้างดังกล่าว จึงสามารถใช้อาคารและลานจอดรถยนต์ 2, 3 และ 4 ซึ่งอยู่ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารได้ตามปกติมีปริมาณรองรับรถยนต์ได้ 4,857 คัน รวมถึงโซนอื่น ๆ รอบสนามบินก็จอดได้เช่นกัน คือ 1.ลานจอดรถยนต์ 5 ด้านข้างโรงแรมโนโวเทล จอดได้ 455 คัน 2.ลานจอดรถ 6 และ 7 ด้านหน้าฝั่งตรงข้ามโนโวเทลสุวรรณภูมิจอดได้ 782 คัน 3.ลานจอดรถยนต์ระยะยาว (Long Term Parking) โซน A และ C ที่อยู่ใกล้กับศูนย์การขนส่งสาธารณะ (Bus Terminal) จอดได้ 1,341 คัน พร้อมทั้งมีให้มีรถ Shuttle bus วิ่งให้บริการรับ – ส่ง ผู้โดยสารระหว่างลานจอดรถยนต์ ไปอาคารผู้โดยสารตลอด 24 ชั่วโมง ข่าวที่สอง “ฮือฮา!!28สนามบินไทยห้ามแหนมเนืองขึ้นเครื่อง” นางอัมพวัน วรรณโก อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) เปิดเผยว่า ได้ทำการประชุมซักซ้อมสนามบินภูมิภาคในการกำกับดูแความดูแลทั้ง 28 แห่ง ให้ปฏิบัติงานด้านการบินให้เป็นไปตามกฎประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย(กพท.) เรื่อง หลักเกณฑ์การตรวจค้นของเหลว เจล สเปรย์ที่จะนำขึ้นบนห้องโดยสารอากาศยานหรือนำเข้าไปในเขตหวงห้ามของสนามบินสาธารณะ พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นระเบียบฉบับใหม่ของ กพท. ที่เตรียมประกาศบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2562 เป็นต้นไป ห้ามมิให้ผู้โดยสารนำของเหลวปริมาณมากกว่า100 มิลลิลิตร ถือติดตัวขึ้นเครื่องบิน แต่อนุญาตให้โหลดใต้ท้องเครื่องเท่านั้น และบรรจุในภาชนะอย่างมิดชิด สินค้าอย่างแรกคือ “แหนมเนือง” เพราะมีปริมาตรน้ำจิ้มแหนมเนืองที่บรรจุรวมอยู่ในชุดอาหาร 1 ถุง ขนาดมากถึง 400 มิลลิลิตร จึงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ส่วนคำจำกัดความเรื่องหลักเกณฑ์การตรวจค้นของเหลว เจล สเปรย์ ที่จะนำขึ้นบนเครื่อง หรือนำเข้าไปในเขตหวงห้ามของสนามบินสาธารณะ พ.ศ. 2562 นั้น จะรวมไปถึง อาหารจำพวกที่มีของเหลว เช่น ต้ม แกง น้ำพริก น้ำจิ้มต่าง ๆ น้ำเครื่องดื่ม ซุป น้ำเชื่อม แยม สตูว์ ซอส น้ำพริก หรืออาหารที่อยู่ในซอส มาสคารา ลิปสติกส์ ลิปบาล์ม ที่มีปริมาตรมากกว่า100 มิลลิลิตร ก็จะต้องโหลดใต้ท้องเครื่องบินเพียงอย่างเดียว ข่าวที่สาม “ไทยเจ้าภาพACMECS3ลุ่มน้ำท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ” นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ไทยได้เลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยว อิรวดี-เจ้าพระยา- แม่โขง ครั้งที่ 4 (การประชุมท่องเที่ยว ACMECS) ระหว่าง 11-15 มิถุนายน 2562 ณ โรงแรม เดอะริเวอรี่ บายกะตะธานี จังหวัดเชียงราย โดยจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวและระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสท่องเที่ยว ACMECS ของสมาชิก 5 ประเทศ คือ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์เวียดนาม และไทย ภายใต้แนวคิด “The River of Life” มหานที 3 สาย อิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง เพื่อร่วมกันพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและการลงทุน ตลอดจนการวางแผนกลยุทธ์ในกลุ่ม ACMECS ให้ก้าวสู่ความเป็นหนึ่งในระดับสากล จนนำไปสู่การบรรลุตามเจตนารมณ์ “Five Countries, One Destination” นำแลนด์มาร์กสถานที่สำคัญของประเทศสมาชิกACMECS มาเสนอ เช่น Angkor Wat & Angkor Thom, Ho Chi Minh City Hall, Grand Palace Thailand, Kyaiktyo Pagoda, PhaThat Lung สาระสำคัญในการประชุมเพื่อเป็นเวทีให้รัฐมนตรีท่องเที่ยว ACMECS ยืนยันความมุ่งมั่นในการดำเนินการตามแผนแม่บท ACMECS (ปี 2562-2566 )อย่างเต็มรูปแบบและมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ “Building ACMECS CONNECT by 2023 โดยรัฐมนตรีท่องเที่ยว ACMECS จะให้การรับรองตราสัญลักษณ์การท่องเที่ยว ACMECS เพื่อใช้ในการส่งเสริมประชาสัมพันธ์และการตลาดท่องเที่ยวในประเทศสมาชิกต่อไป ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น