ผ่าปมร้อน!!ทำไม “คมนาคม”ยก3สนามมบิน "อุดร-บุรีรัมย์-กระบี่"ให้ ทอท.เปิดน่านฟ้าอีสานเร่งผ่องถ่ายผู้โดยสารสุวรรณภูมิ+ดอนเมือง
ผ่าปมร้อน!!ทำไม “คมนาคม”ยก3สนามมบินใหม่ภูมิภาคให้ ทอท.
เบื้องลึก“ธุรกิจ-เงินทุน-ตลาด”ตัวช่วยเปิดน่านฟ้าอีสานเชื่อมต่างชาติ
เร่งผ่องถ่ายผู้โดยสารสุวรรณภูมิ+ดอนเมืองไป”อุดร-บุรีรัมย์-กระบี่”
“คิงเพาเวอร์”แจกทริปหรูเที่ยวเมืองไทย
“ช้อปมั่งคั่งโชคมั่งมีปีขาล”
ช้อปคิงเพาเวอร์ReadyGoTravel+แอดไลน์เพิ่มFirsterลุ้นรับหมื่น
พูลแมนคิงเพาเวอร์อัดโปรใหญ่ห้องพัก+บุฟเฟต์ซีฟู้ด+นวดเลอสปา
ททท.ปั้นโมเดลต้นแบบโควิดฟรีอีเวนต์บูมเทศกาลดนตรี3จังหวัด
บางจากฯมั่นใจดัน“บีบีจีไอ”แฟลกชิพหลักนำธุรกิจสีเขียวโตยั่งยืน
ตราดชวนเที่ยวอันซีน“เกาะขายหัวเราะ”ทัวร์วงแหวนทะเลอ่าวไทย
สุดยอด!!การฝึกหายใจวิธีเพิ่มออกซิเจนในเลือดช่วยทำให้อายุยืน
“รมว.พิพัฒน์”ลุ้นหลังสงกรานต์รุกศบค.เลิกTHAILANDPASS1มิ.ย.
2แอร์ไลน์“สิงคโปร์+สกู๊ต”ชิงทัวร์โลก1เม.ย.ยกเลิกใส่หน้ากาก-โควิด
วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2565 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #AOT #ทำไมต้องทอทบริหาร3สนามบินภูมิภาค #Unseenเกาะขายหัวเราะ
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้…https://fb.watch/b_lXpiBjsA/
ช่วงที่ 1 ผ่าปมธุรกิจสนามบินกับ “ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” ทำไม!? คมนาคม ต้องยก 3 สนามบินภูมิภาค
“อุดรธานี-บุรีรัมย์-กระบี่” ให้ ทอท.บริหาร ถอดรหัส 3 ตัวแปร
“ธุรกิจ+เงินลงทุน+การตลาด” ถึงเวลาต้องเดินหน้ายกระดับห้วงอากาศปั้น
“ฮับการบินประเทศไทย” แห่งใหม่ “น่านฟ้าอีสาน” ยืนหนึ่งทำไฮเทคแอร์พอร์ตตามเกณฑ์ TSA อเมริกา EASA ยุโรป ด้วยกลยุทธ์ผ่องถ่าย
“ผู้โดยสารทั่วโลก” จากสุวรรณภูมิ ดอนเมือง ลุยเจรจาแอร์โลน์สอินเตอร์ เปิดบินตรงต่างจังหวัด
ใช้ประโยชน์ Set Zero หลังโควิดสร้างประโยชน์ชาติ
นำเศรษฐกิจไทยผงาดครั้งใหม่ 3-5 ปีหน้า
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” เปิดเผยว่า การวางแผนยุทธศาสตร์พัฒนาสนามบินของประเทศปี 2565 ตามภูมิศาสตร์ของโลกไทยมีที่ตั้งดีอยู่แล้ว ซึ่งได้รับความสนใจจากการบินนานาชาติมาใช้บริการจนทำให้เส้นทางบนห้วงอากาศแออัดด้วยเหมือนกัน ไม่ได้แออัดเฉพาะบนพื้นดิน หรือภายในอาคารผู้โดยสารเท่านั้น
ปัจจุบัน
ทอท.รับผิดชอบบริหารสนามบินนานาชาติอยู่ 6
แห่ง ได้แก่ ตรงกลางใน “กรุงเทพฯ” 2 สนามบิน คือ สุวรรณภูมิ
ดอนเมือง “ภาคเหนือ” มีเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง (Hub)
และแม่ฟ้าหลวงเชียงราย “ภาคใต้” ภูเก็ต เป็นฮับ หาดใหญ่ (สงขลา)
ผลจาก
“ความแออัด” เหนือน่านฟ้าไทยในแต่ละภาค ทางกระทรวงคมนาคมจึงตั้งคำถามกับหน่วยงานต่าง
ๆ ว่า ถ้าเช่นนั้นสามารถจะขยายได้หรือไม่ คำตอบคือคงจะขยายลำบากแล้ว จึงเป็น
“ที่มา” ว่า ทำไมเราไม่หา “ห้วงอากาศใหม่”
ในเครื่องบินได้ใช้บินแล้วหน่วยงานเกี่ยวข้องก็ไปพัฒนาห้วงอากาศที่ยังว่างอยู่ให้เกิดประโยชน์
ซึ่งไปพบว่า “ห้วงอากาศที่ยังว่าง” 1.บริเวณอีสานเหนือ คือ “อุดรธานี” เป็นประตูเชื่อมโยง (gateway) การบินระหว่างไทยกับ สสป.ลาว 2.บริเวณอีสานใต้ คือ “บุรีรัมย์” เป็นเกตเวย์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้ด้วย
ยังไม่รวมถึง
“สนามบินนานาชาติกระบี่” สถานการณ์ปกติมีผู้โดยสารทางอากาศเข้าภาคใต้มีปีละประมาณ 18 ล้านคน แต่ขีดความสามารถของสนามบินนานาชาติภูเก็ตของ
ทอท.รองรับได้ปีละ 12 ล้านคน
ตอนนี้จึงถือว่าศูนย์กลางการบินหรือฮับทางภาคใต้แออัดหนาแน่นมากจนระเบิดแล้ว
จำเป็นจะต้องหาฮับใหม่มาเสริมภูเก็ตอีกแห่ง
โดยภาพรวม “ยุทธศาสตร์การบินของประเทศไทย” มีความได้เปรียบประเทศในภูมิภาคอาเซียน เพียงแต่ตอนนี้ “ฮับการบิน” แออัดหนาแน่นจนตันแล้ว ทาง ทอท./AOT จึงร่วมกับ “กรมท่าอากาศยาน :ทย.” และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม เพื่อหาทางออกให้อุตสาหกรรมการบินประเทศไทย
ด้วยเหตุและปัจจัยดังกล่าว
จึงเป็นที่มาของกระแสร้อนตอนนี้
หลังจากมติที่ประชุมคณะกรรมการการประชุมเพื่อติดตามผลการมอบสนามบินของกรมท่าอากาศยาน
(ทย.) ที่มี นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
เป็นประธานเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 ให้ ทอท.รับโอนสนามบินจาก ทย.3 แห่ง ได้แก่
อุดรธานี บุรีรัมย์ กระบี่ ไปบริหารจัดการต่อไป
ดร.นิตินัย ย้ำว่า การติดกระดุมเม็ดแรกเรื่องนโยบายของประเทศที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมการบินอย่างไร ตามโจทย์
ข้อที่ 1 สนามบินภูมิภาคทั้ง 3 แห่ง อุดรธานี บุรีรัมย์ กระบี่ จะเป็นกุญแจไขปัญหา “ความแออัดการจราจรในห้วงอากาศใหม่” ซึ่งเป็นการปักหมุดทางยุทธศาสตร์ของเรา เพื่อดึงดูดให้เป็นฮับของภูมิภาค
ข้อที่ 2 ทำไมจะต้องเป็น ทอท./AOT เข้ามาพัฒนาหรือบริหารสนามบินในห้วงอากาศใหม่ทั้ง 3 แห่ง อย่างแรก ทย.เองก็มีศักยภาพเป็นเสมือนลูกพ่อเดียวกันโดยมีสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ทำหน้าที่หน่วยกำกับดูแลกฎเกณฑ์การบริหารจัดการสนามบิน ซึ่งทั้ง ทย.และ ทอท.อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน หมายความว่า “มาตรฐานความปลอดภัย” ทั้ง ทย.และ ทอท.ใครก็ได้ดูแล โดยมี กพท.คอยตรวจตราความเรียบร้อยแล้ว
แต่ประเด็นเรื่องนี้อยู่ตรง
“โมเดลธุรกิจ -business model”
เรื่องของ “การทำตลาด” จึงเป็นเหตุให้ทางกระทรวงคมนาคมชี้เป้ามายัง ทอท.
โดยมีทางด้านซัพพลายหรือผู้ให้บริการ ตัวอย่างตอนนี้ลักษณะการให้บริการเดินทางแก่ผู้โดยสารระหว่างประเทศ
ที่บินจากทั่วโลกจะต้องบินมาลงยังสนามบินกลางในกรุงเทพฯ คือ “สุวรรณภูมิ”
แล้วก็ต้องต่อเที่ยวบินอีกครั้งไปยังจังหวัดปลายทางอื่น ๆ เช่น อุดรธานี
คำถามคือ “แล้วทำไมจึงไม่มีเที่ยวบินตรง” เข้าอุดรธานี หรือจังหวัดอื่น ๆ แต่ “เงื่อนไข” การพัฒนาสนามบินให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลเพื่อดึงความสนใจให้สายการบินนานาชาติมาบินขึ้น-ลง แต่ละสนามบินในประเทศไทยได้ จะมี “หน่วยงานความมั่นคงระหว่างประเทศ” จากยุโรปกับอเมริกา
ประกอบด้วย หน่วยงานแรก สำนักงานความปลอดภัยด้านการขนส่งสหรัฐ หรือ TSA -Transportation Security Administration ของสหรัฐอเมริกา และ หน่วยงานที่ 2 สำนักงานความปลอดภัยด้านการบินยุโรป (EASA -European Aviation Safety Agency จะต้องยอมรับในมาตรฐานความปลอดภัยภายในสนามบินพันธมิตรที่มีสายการบินมาใช้บริการมีเทคโนโลยีชั้นสูงที่หน่วยงานข้างต้นรับรองด้วย
เช่น “อุปกรณ์” TC สแกนหรือยัง ซึ่งสามารถมองเห็นภาพได้หลายมิติ สแกนแล้วมองเห็นระเบิดได้ชัดเจนขึ้น ไม่ใช่มีแค่ AC สแกน เพราะอาจจะมองไม่เห็นระเบิดก็ได้ หรือ พอเครื่องลงพอจะแตะรันเวย์ส มี Visual Guidance ไปยังหลุมจอดเครื่องบินหรือเปล่า ถ้าหากไม่มี หน่วยงานดังกล่าวก็จะติติงมายังเจ้าของสนามบินนั้น ๆ หรืออาจจะโดน “ธงแดง” ซึ่งประเทศไทยเราเคยโดนมาแล้ว หรือหากเครื่องบินที่มาลงยังสนามบินใดที่ไม่มีอุปกรณ์เหล่านี้ ก็ไม่สามารถบินเข้าประเทศของเขาได้
รายละเอียดข้างต้นจึงเหตุผลว่า “ทำไมจึงต้องมีเที่ยวบินตรงไปอุดรธานี” ซึ่งชาวต่างชาตินิยมไปจำนวนมาก ถ้าจะดึงสายการบินมาลงให้ได้ ก็จำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ตามมาตรฐานของหน่วยงานความปลอดภัยของยุโรป อเมริกา
ส่วน “เงินลงทุน” เพื่อนำมาซื้อเทคโนโลยีติดตั้งในสนามบินภูมิภาคของไทย ให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยของ TSA และ EASA มีช่องทางหลัก 1.ถ้า ทย.รับผิดชอบบริหารก็ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน 2.ถ้าโอนให้ ทอท.บริหารก็ให้ไปทำมาหากินเอง ซึ่งก็จะต้องตอบผู้ถือหุ้นในฐานะบริษัทจำกัดมหาชนอีกเช่นกันว่า เมื่อ ทอท.ไปรับโอนสนามบินใหม่มาแล้วจะทำมาหากินไหวหรือเปล่า
ทอท.จึงต้องให้ความมั่นใจว่ามีแบล็คอัพดี คือ “ลูกค้าหรือผู้โดยสาร” ปัจจุบันมี “ผู้โดยสาร” ผ่านเข้าออกสนามบินในเมืองไทย 39 แห่ง ลูกค้าจากต่างประเทศอยู่ในมือ ทอท.มากสุดถึง 85 % โดยมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิกับดอนเมือง ประมาณกว่า 70 % ของทั้งหมด ส่วนที่เหลืออีก 30 % กระจายไปยังสนามบินอื่น
ตอกย้ำว่า “ทอท.” มีศักยภาพด้าน “อุปสงค์” หากต้องรับผิดชอบบริหารสนามบินใหม่ทั้ง 3 แห่ง ทอท.สามารถให้อินเซนทีฟเที่ยวบินตัดน่านฟ้าแทนที่จะบินลงสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ตัดน่านฟ้าไปลงสนามบินอุดรธานีได้โดยตรง เป็นเรื่อง “การบริหารความต้องการใช้ปริมาณจราจรทางอากาศ” หรือ Demand Management อย่างมีประสิทธิภาพ
ดร.นิตินัย สรุปย้ำอีกครั้งว่า 1.เรื่องมาตรฐานความปลอดภัยในการบริหารสนามบินแต่ละจังหวัด ทอท.กับ ทย.เป็นลูกพ่อเดียวกัน กพท. 2.ทางฝั่งอุปทานเราสามารถ “ประหยัดงบประมาณแผ่นดิน” ได้ เพราะ ทอท.สามารถหาเงินมาลงทุนเทคโนโลยีต่าง ๆ เองได้ เมื่อหาเงินมาลงแล้วมี “ความเสี่ยง” แต่น้อย เนื่องจาก ทอท.ถือส่วนแบ่งผู้โดยสารต่างประเทศอยู่จำนวนมหาศาล จึงสามารถกระจายนักเดินทางไปลงสนามบินใหม่ อุดรธานี บุรีรัมย์ หรือกระบี่ ได้
ทั้งหมดนี้เป็น “เหตุผล” ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเน้นเรื่องภาพรวมการบริหารจัดการสนามบินของประเทศ จึงเป็นที่มาให้ ทอท.ต้องรับโอน 3 สนามบินดังกล่าว
จากนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมก็ปล่อยมือให้ทางปลัดกระทรวงคมนาคม พิจารณาว่า “ควรจะเป็นใครหรือหน่วยงานใด” บริหาร โดยคำนึงถึงตัวแปรอันเป็นปัจจัยสำคัญคือ “ดีมานต์ผู้โดยสาร” ทอท.จึงต้องรับผิดชอบเพราะมีลูกค้าอยู่ในมือมากที่สุด
ด้วย 4 เหตุผลสำคัย คือ 1.ทอท.มีศักยภาพหาเงินมาลงทุนเองได้คุ้มค่ากว่าการนำงบประมาณแผ่นดินมาใช้พัฒนา 2.สามารถติดตั้งเครื่องมืออุปกรณ์ทางเทคโนโลยี และอื่น ๆ ได้ตามเกณฑ์ของ TSA และ EASA 3.ทางการตลาดมีผู้โดยสารอยู่ในมือมากที่สุด สามารถกระจายความหนาแน่นไปยังฮับใหม่ได้ 4.สามารถสร้างแม่เหล็กดึงดูดสายการบินนานาชาติมาใช้บริการได้
ดร.นิตินัย กล่าวว่าไม่ว่า ทอท.หรือ ทย.เป็นผู้รับผิดชอบ สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ “พัฒนาสนามบินเป็นฮับภูมิภาค” โดยต้องลงทุนอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีมหาศาล ไม่เช่นนั้นประเทศไทยก็จะขาดความสามารถทางการแข่งขัน เป็นเรื่องที่มาก่อนจะถึงเรื่อง “ทอท.ฮุบหรือไม่ฮุบ” สนามบินภูมิภาค ประเด็นแรก คือประเทศไทยควรจะต้อง “เดินทางไปทางทิศไหน”
แล้ว “คมนาคม” ก็ได้พิจารณาเรียบร้อยแล้วว่าทั้ง 3 สนามบินดังกล่าว ด้วย 2 เหตุผล คือ 1.จะต้องยกระดับเป็นฮับเติบโตสู้กับภูมิภาคในโลกภายนอกให้ได้ ถ้าไม่มีเหตุผลข้อนี้เรื่องต่าง ๆ ก็จะไม่เกิด ก็ปล่อยให้หน่วยงานเดิมบริหารต่อไป 2.เมื่อ ทอท.รับมาดูแลในฐานะรัฐวิสาหกิจที่จะต้องสนองนโยบายรัฐบาล บวกกับจะต้องไม่ส่งผลกระทบกับผู้ถือหุ้นด้วย
ประเด็นสำคัญมากอีกจะต้องตอบคำถามให้ได้ชัดเจนคือ “การใช้เงินลงทุนอีกมหาศาลจะถึงจุดคุ้มทุนเมื่อไร” ในการนำมาพัฒนาสนามบินภูมิภาค
ดร.นิตินัยยืนยันว่า 1.ทอท.ถือลูกค้ามหาศาลของประเทศอยู่ในมือ สามารถกระจายลูกค้าไปตามสาขาสนามบินต่าง ๆ อย่างไร ตามแผนใช้เงินพัฒนาการลงทุนใหม่เพิ่ม เฟสที่ 1 ต้องลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีตามมาตรฐานสากลที่ TSA กับ EASA ระบุความต้องการ เบื้องต้นอาจจะไม่ได้เงินจำนวนมาก และไม่จำเป็นจะต้องขยายสนามบิน
จากนั้นโอนลูกค้าจากสนามบินในกรุงเทพฯ ผ่องถ่ายไปใช้สนามบินทางอีสานได้เลย เฟส 2 พอมีลูกค้าปริมาณมากพอแล้วจึงจะพิจารณาการขยายหรือไม่ ภารกิจนี้หากไม่ใช่ ทอท.เป็นผู้ดำเนินการ ก็ยากเหมือนกันเพราะหากไม่มีลูกค้าอยู่ในมือ
ผลลัพธ์ที่ตามมา “สนามบินสุวรรณภูมิกับดอนเมือง” จะมีที่ว่างเพิ่มขึ้น หลังจากผ่องถ่ายผู้โดยสารจากส่วนกลางตรงไปสนามอื่น เป็นโอกาสให้ ทอท.สามารถ “ทำการตลาดเชิงรุก” หาลูกค้าใหม่มาเติมให้ประเทศไทยในภาพใหญ่ได้อีก ส่วนอุดรธานี บุรีรัมย์ กระบี่ ก็แบ่งลูกค้าที่มีอยู่ไป แล้วค่อย ๆ เพิ่มบริการส่วนอื่นต่อไป
กลยุทธ์ดังกล่าว ทอท.สามารถเสริมนโยบายรัฐบาลดึงเที่ยวบินและนักเดินทางต่างชาติเข้าประเทศเพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น จึงไม่กลัวเรื่องจุดคุ้มทุนด้วยศักยภาพการทำตลาดมีลูกค้ามาเพิ่มจะช่วยได้อย่างมาก
ตามไทม์ไลน์ ทอท.จะรับโอน 3 สนามบินภูมิภาคอย่างสมบูรณ์ได้ 1.หลังที่ประชุมกรรมการมีมติเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 21 มีนาคม
2.ทางกระทรวงคมนาคมจะนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เห็นชอบช่วงเมษายน นี้ 3.ต้นเดือนกรกฎาคม นี้
ทอท.จะเข้าไปซ้อนการทำงานกับ ทย.ในสนามบินใหญ่ กระบี่ อุดรธานี ช่วง 3 เดือน กรกฎาคม-กันยายน 2565 พอหลังจากนั้น
ทอท.ก็เข้าบริหารเต็มตัว
4.ระยะต่อไปอีก 2-3 ปีหน้า
จะเป็นการบริหารดีมานต์ตอบโจทย์การหาลูกค้าเพิ่มเข้าสนามบิน ด้วยการลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยตามเกณฑ์สากล
ต่อด้วย “การขยายตึกอาคารผู้โดยสาร” ในช่วงที่ธุรกิจกำลังฟื้นหลังโควิด-19 เป็นจังหวะพอดีที่จะผ่องถ่ายผู้โดยสารจากกรุงเทพฯ
ไปสนามบินอื่นได้สะดวกมากขึ้น
โดยเฉพาะการจัด “ตารางเวลาบิน/Time Slot” ก็สามารถจัดไปลงสนามบินอุดรธานี ได้เลย
เป็นโอกาสดีใช้ช่วงนี้ Set Zero ไปด้วย
ตามพยากรณ์ของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA)
ระบุอีก 2 ปีการบินโลกจะกลับสู่ปกติ
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ ทอท.จะผ่องถ่ายผู้โดยสารสู่ภูมิภาค จากนั้นปี 2569-70 ก็จะทำการตลาดเชิงรุกเต็มรูปแบบ
สัดส่วนการแบ่ง “ผู้โดยสาร” กับ “ตารางเวลาบิน” จากสุวรรณภูมิ และดอนเมือง ไปยังอุดรธานี โดย ทอท.มีโปรไฟล์ข้อมูล “ผู้โดยสารในระบบการขายร่วมหรือ Codeshare ของสายการบินนานาชาติ” จากแต่ละประเทศที่ขึ้นลงแต่ละเที่ยวบิน รวมทั้งมีแท็กกระเป๋าซึ่งพร้อมโลจิสติกส์สู่สนามบินปลายทางในประเทศได้เลย ซึ่งทีมการตลาดสนามบินนำตัวเลขต่าง ๆ มาใส่โมเดลตามข้อมูลปัจจุบันที่โค้ดแชร์ผู้โดยสารส่งต่อให้สายการบินในประเทศรับไปส่ง
ทาง ทอท.จะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนี้แล้วบินไปเจรจากับสายการบินเป้าหมายได้ทันทีที่พร้อมเพื่อตกลงให้อินเซ็นทีฟแก่สายการบินนั้น ๆ เช่น ลุฟท์ฮันซ่า (เยอรมัน) เพราะ ทอท.ทำโมเดลไปให้สายการบินเรียบร้อยแล้วเรื่อง 1.ต้นทุนค่าน้ำมัน 2.จำนวนผู้โดยสาร ถ้าไม่คุ้มก็จะไม่ไปเจรจากับสายการบิน ปัจจุบัน ทอท.ใช้โมเดลนี้อยู่ด้วย ซึ่งเหมือนกับการเปิดเส้นทางบินของแอร์ไลน์เป๊ะ ทอท.ใช้ข้อมูลเดียวกันนี้ด้วยเหมือนกัน
เพียงแต่ ทอท.ทำการบ้านคำนวณไว้ก่อน ตัวอย่าง บินอุดรธานี ตอนนี้ก็ทำข้อมูลไว้บ้างแล้ว โดยใช้ฐานข้อมูลปกติ หากไม่ล้มหายตายจากตอนโควิด ทอท.รู้เลยว่าพอสถานการณ์การบินฟื้นขึ้นจะรู้ได้ทันทีถึงต้นทุนค่าใช้จ่ายของสายการบินต่าง ๆ ประวัติศาสตร์เคยมีผู้โดยสารบินเส้นทางนี้กี่คน เพื่อจูงใจให้สายการบินเปิดบินตรงสู่สนามบินภูมิภาคแห่งใหม่
สำหรับ “ขั้นตอน” การเจรจาเพื่อดึงดูดให้สายการบินต่างชาติเลือกบินตรงไปอุดรธานี บุรีรัมย์ หรือกระบี่ แทนที่จะมาลงสุวรรณภูมิ จะทำคู่ขนานกันไป 2 เรื่อง ได้แก่ 1.จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน โดยจะต้องทำจัดซื้อจัดจ้างติดตั้งอุปกรณ์ทางเทคโนโลยีตรวจมาตรฐานความปลอดภัยตามเกณฑ์สากลให้พร้อมก่อน เพราะไม่เช่นนั้นต่างชาติก็คงไม่ยอมบินมาอย่างแน่นอน 2.เดินหน้าเจรจากับสายการบินเป้าหมาย โดยตรวจสอบข้อมูลว่าเป็นแอร์ไลน์สที่ยังดำเนินธุรกิจอยู่จนถึงปัจจุบัน
ดร.นิตินัยกล่าวทิ้งท้ายว่า การลงทุนพัฒนาสนามบินนานาชาติของประเทศ ในฐานะที่ผมเองเป็นคนไทย เมื่อมองย้อนกลับมาสิ่งแรกต้องคำนึงถึง “ผลประโยชน์ชาติ” เป็นหลัก เพราะปี 2566 ผมก็หมดวาระ หลังจากนั้นก็อยากเห็นความเจริญของสนามบิน
กระดุมเม็ดแรก เพียงช่วยกันคิดว่า ระหว่าง อุดรธานี บุรีรัมย์ กระบี่ ควรจะเป็นฮับการบินภูมิภาคหรือเปล่า ถ้าหากยังไม่ทำให้เป็นฮับก็สู้โลกภายนอกไม่ได้ เพราะน่านฟ้าเหนือ ใต้ แน่นไปหมดแล้ว หากด่านแรกไม่ผ่านก็คงอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร
กระดุมเม็ดที่ 2 หากเห็นตรงกันแล้วว่า ต้องการให้ยกระดับ 3 สนามบินเป็นฮับแล้วจึงมองหาว่า “องค์กรใดควรลงมาทำ” พร้อมกับตอบคำถามเรื่องลูกค้าอยู่ในมือใครมากที่สุด เพื่อจะได้สู้กับคู่แข่งได้
วันนี้การเดินหน้าพัฒนาสนามบินภูมิภาค
หลังสถานการณ์โควิด-19 เป็นจังหวะที่ดี ในการ Set Zero จะเอาอย่างไรก็ต้องตัดสินใจกันให้ดี
เป็นสิ่งที่อยากฝากคนไทยทั้งประเทศไว้ให้คิดกันถึงประโยชน์สูงสุดของชาติในอนาคตข้างหน้าที่จะก้าวต่อไปสู้กับโลกภายนอก
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 “คิงเพาเวอร์”แจกทริปหรูเที่ยวไทยช้อปมั่งคั่งโชคมั่งมีปีขาล
“คิง เพาเวอร์” ผู้นำธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยวแถวหน้าของเมืองไทยก้าวไกลสู่ตลาดโลก ที่พร้อมจะให้ ผู้ที่วางแผนการเดินทางสามารถซื้อสินค้าดิวตี้ฟรีแบบมีไฟลต์บินได้ หรือผู้ที่ยังไม่มีโปรแกมไปต่างประเทศก็สามารถเลือกช้อปสินค้าแบบไม่มีไฟลต์บินในรูปแบบ โฮม เดลิเวอรี่ ได้เช่นกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา “คิง เพาเวอร์” ได้จัดกิจกรรมสร้างประสบการณ์ดี ๆ ตอบแทนลูกค้าคนสำคัญผ่านแคมเปญต่าง ๆ ต่อเนื่อง รวมถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็ได้จัดแคมเปญ “HAPPY CHINESE NEW YEAR ช้อปมั่งคั่ง โชคมั่งมี สุขสันต์ปีขาล” ภายใต้แนวคิด “HAVE THE LUCKIEST TRIP การเดินทางใหม่ให้โชค” เปิดให้ได้ช้อปสินค้าแบรนด์เนมคุณภาพ เตรียมตัวต้อนรับการออกเดินทางไปต่างประเทศอีกครั้งหลังจากต้องห่างหายไปนาน
ทริปนี้ “คุณศิลักณ์ อินทภาษี” ผู้อำนวยการส่วนงานบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าและบริการสมาชิก กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ นำทีมล่องเรือสุดเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมทั้งให้การต้อนรับนักช้อป 14 คน ผู้ผ่านการคัดเลือกรับโชคท่องเที่ยวไทย “ล่องเรือสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ไหว้พระเสริมดวงรับพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์” จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดินทางไป ไหว้พระเสริมดวงรับพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จัดขึ้นโดยเฉพาะเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล รับโชคลาภ แก้ปีชง
โดยมี “อ.ช้าง ทศพร ศรีตุลา” และ “อ.ชิษณุพงศ์ ฐิตะลักขณะ” อดีตข้าราชการ นักวิชาการชำนาญการกรมศิลปากร มาบอกเล่าเกร็ดความรู้สำคัญทางประวัติศาสตร์และความสำคัญของชุมชนริมฝั่งแม่น้ำน้อยและวิถีชีวิต ตลอดจนเรื่องราวของประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา พร้อมรับประทานอาหารไทยโบราณที่ร้านสุริยันจันทรา
สมาชิก “คิง เพาเวอร์” มีความสุขกับการเดินทางล่องเจ้าพระยาเสริมมงคล อีกทั้งยังเป็นอีกช่องทางช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และสร้างความประทับใจในประสบการณ์ท่องเที่ยวเมืองไทย ตามสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และเส้นทางสายบุญถึง 5 สถานที่ด้วยกัน คือ
สถานที่แรก “วัดบางนมโค สักการะหลวงพ่อปาน” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของ จ.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะวัดที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของประเทศเลยทีเดียว
สถานที่ 2 “วัดบางปลาหมอ” แวะสักการะ “หลวงปู่สุ่น” พระผู้เป็นอาจารย์ของ 2 เกจิอาจารย์ชื่อดัง หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
สถานที่ 3 "วัดหน้าพระเมรุชาชิการาม" นำสมาชิกพร้อมใจกันนมัสการ “พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลี รีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ” พระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยหล่อสำริดขนาดใหญ่ ในวัดเก่าแก่สมัยอยุธยา ซึ่งเป็นเพียงวัดเดียวในเขตเมืองพระนครศรีอยุธยาที่ไม่ถูกทำลายเมื่อครั้งเสียกรุง
เชื่อกันว่าข้าศึกได้ใช้วัดหน้าพระเมรุเป็นที่ตั้งทัพ จึงทำให้สิ่งก่อสร้างและสถาปัตยกรรมตามแบบอยุธยาและพระพุทธรูปเก่าแก่ทั้งหลายยังคงสภาพดีมาจนปัจจุบัน ประการสำคัญปัจจุบันวัดนี้เลื่องชื่อด้านเสริมดวงด้วยการที่ผู้คนนิยมไปสักการะ “ท้าวเวสสุวรรณ” ด้วย
สถานที่ 4 “วัดพนัญเชิงวรวิหาร” พาไปขอพรจากพระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต หรือ “เจ้าพ่อซำปอกง” พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัด เพื่อให้ทุกคนได้ขอพรเสริมความมั่นคงในชีวิต ทำให้ชีวิตราบรื่น มีความสุขสมหวัง ได้พบเจอแต่ความเจริญก้าวหน้าในชีวิตต่อไปอย่างยาวนาน
สถานที่ 5 “ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก” ขอพรเรื่องความรักและหน้าที่การงาน
จากนั้นทุกคนยังมีโอกาสร่วมทำ “พิธีแก้ปีชง เสริมดวงรับปีขาล” กับองค์เทพไท้ส่วยเอี๊ย เสริมโชคลาภกับองค์เทพไฉ่ซิงเอี๊ย โดยจะมี อ.ช้างเป็นผู้นำพิธี พร้อมทั้งแนะนำวิธีรับพลังมงคล ปิดท้ายสบาย ๆ ด้วยการนั่งจิบน้ำชายามบ่ายก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน
“อ.ช้าง ทศพร” กล่าวแนะนำผู้ร่วมทริปมงคลครั้งนี้กับ
คิง เพาเวอร์ ว่า สำหรับคนเกิดปีชง (ปีวอก) เป็นปีที่ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
รวมถึง คนเกิดปีขาล ปีกุน ปีมะเส็ง ต้องระวังการดำเนินชีวิตมากขึ้น ดังนั้นจึงแนะนำ
ปี 2565 ขอให้ทุกคน
หมั่นทำบุญเป็นประจำ เกี่ยวกับโรงพยาบาลหรือมูลนิธิที่ช่วยผู้ที่เดือดร้อน
และขอพรเทพเจ้าไท่ส่วยเอี้ยตามวัดจีนหรือศาลเจ้าต่าง ๆ เพื่อช่วยคุ้มครองดวงชะตาให้แคล้วคลาดปลอดภัย
ประสบความสำเร็จสมหวังด้านการงานต่าง ๆ
ตลอดปี
ข่าวที่ 2 ช้อปคิงเพาเวอร์ของอร่อยReadygoTravel+แอดไลน์เพิ่มFirsterลุ้นรับหมื่น
คิง เพาเวอร์ นำเสนอ “READY GO TRAVEL!” เพิ่มความสนุกให้ทุกการเดินทาง ด้วยขนมของกินเล่นแสนอร่อย คัดสรรจากวัตถุดิบชั้นดีหลากหลายแบรนด์ดังทั้งของไทยและนำเข้าจากต่างประเทศ มาเลือกรสชาติที่ถูกใจแล้วพกพาความอร่อยพร้อมลุยไปทุกซัมเมอร์ทริปได้แล้ววันนี้ ที่ คิง เพาเวอร์ ทุกสาขา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ณ จุดขาย หรือที่ King Power Contact Centre 1631
ต้อนรับแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์น้องใหม่ ที่มาแรงที่สุดในตอนนี้! แอดไลน์เป็นเพื่อนกับ “FIRSTER LIFESTYLE” รับสิทธิ์รับรางวัลสุดพิเศษ รวมมูลค่ากว่า 10,000 บาทร่วมสนุกคลิกเลย https://bit.ly/3ueJOPD
ง่าย
ๆ แค่คลิกแอดไลน์ @firsterlifestyle พร้อมทำแบบสอบถามสั้น
ๆ ! ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันนี้ - 28 มีนาคม 2565!ประกาศผลผู้โชคดี 30 มีนาคม 2565 เพื่อรับสิทธิ์เป็นเจ้าของรางวัลสุดพิเศษ
3 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 10,000 บาท คำตอบโดนใจทีมงานมากที่สุดรับไปเลย
รางวัลที่ 1 : หูฟัง JBL Under Armour True Wireless Streak รางวัลที่ 2 : กล้องอินสแตนท์ FUJIFILM Instax Mini 40 รางวัลที่ 3 : แก้วมัค CHUMS Camper Mug Cup Large
ข่าวที่ 3 พูลแมนคิงเพาเวอร์อัดโปรใหญ่ห้องพัก+บุฟเฟต์ซีฟู้ด+นวดเลอสปา
โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ ในเครือกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดโปรแรง #FLASHSALE คูปองราคาพิเศษต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ เปิดขายแล้วตั้งแต่วันนี้ – 3 เมษายน 2565 ซื้อแล้วนำคูปองไปใช้ได้ถึง 31 สิงหาคม นี้ ให้สิทธิ์สมาชิกบัตร คิง เพาเวอร์ รับส่วนลดเพิ่ม 10% คลิกซื้อเลยที่ https://bit.ly/3ukKHpE สอบถามเพิ่มเติม โทร 02 680 9999
จัดแคมเปญ stacation ให้พัก “ห้องซูพีเรีย” สามารถอัพเกรดเป็นดีลักซ์ได้
แพกเกจ ราคา 2,599 บาทสุทธิ/ห้อง/คืน รวมอาหารเช้า
พร้อมสิทธิประโยชน์เต็มรูปแบบ
ได้แก่
1.เลือกของแถมระหว่างอาหารเช้าเมื่อมาถึง หรือชุดน้ำชายามบ่าย 2.เช็คอิน 08.00 น. และเช็คเอาท์ 16.00 น.3.ใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน ลด 40% เหลือเพียง 1,599.40 บาทสุทธิ 4.เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี พักฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มกรณีไม่ขอเตียงเสริม
ชำระเพิ่มเฉพาะค่าอาหารเช้า เด็กอายุ 6-11 ปี ราคา 350 บาทสุทธิ/คน
2.ซื้อคูปองรับประทานซีฟู้ดและบาร์บีคิวบุฟเฟต์ ที่ห้องอาหารควิซีน อันปลั๊ก ซื้อ 10 แถม 1 ทุกวันพฤหัสบดี – วันอาทิตย์ ราคา 1,100 บาทสุทธิ/คน รวมน้ำดื่ม 1 ขวดต่อคูปอง ฟรีเด็กอายุ 0-5 ปี และลด 50% ราคาปกติ เด็กอายุ 6-11 ปี
3.เลอสปา (Le SPA) ซื้อ 5 แถม 1 ครั้ง ราคา 890 บาทสุทธิ/ครั้ง โปรแกรมดูแลสุขภาพนวดตัว 1 ชั่วโมง เลือกนวดน้ำมันอโรม่า หรือนวดไทย ก็ได้
ข่าวที่ 4 ททท.ปั้นโมเดลต้นแบบโควิดฟรีอีเวนต์บูมเทศกาลดนตรี3จังหวัด
นายอภิชัย ฉัตรเฉลิมกิจ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ได้ใช้กลยุทธ์การจัด “เทศกาลดนตรีโชคดีมีสุข : Lucky day Music Festival” กระตุ้นการท่องเที่ยวช่วงปลายมีนาคม-ต้นเมษายน 2565 นำร่องเพื่อเป็นต้นแบบสำหรับการจัดกิจกรรม Covid Free Event ให้พื้นที่อื่นทั่วประเทศ รวมทั้งมุ่งกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น ควบคู่กับการช่วยผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว สินค้าชุมชน ร้านอาหาร และศิลปินท้องถิ่น และสร้างความเชื่อมั่นให้คนออกมาเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างมั่นใจภายหลังช่วงการฉีดวัคซีนอีกด้วย
วางแผนจัด “เทศกาลดนตรีโชคดีมีสุข : Lucky day Music Festival” ตามเมืองท่องเที่ยว 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ 1.ประจวบคีรีขันธ์ จะจัดระหว่าง 25-27 มีนาคม 2565 บริเวณลานกิจกรรมบริเวณ สวนหลวงราชินี 19 ไร่ 2.ระยอง จะจัดระหว่าง 1-3 เมษายน 2565 ที่สนามกีฬากลางจังหวัดระยอง 3.เพชรบุรี จัดไปเรียบร้อยแล้ว ระวห่าง 18-20 มีนาคม 2565 ณ ลานกิจกรรมหน้าโรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ
ภายในงานจัดให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวนำสินค้าชุมชน อาหารขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัดมาขาย จังหวัดละกว่า 50 บูธ รวมกว่า 150 ร้านค้า แล้วยังให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลุ้นรับกว่า 700 รางวัล ในทุกใช้จ่ายเงินภายในงานครบทุก 100 บาท/ครั้ง รับคูปองสอยดาว ลุ้นรับรางวัล เช่น มอเตอร์ไซค์ เครื่องใช้ไฟฟ้า บัตรห้องพักจากผู้ประกอบการท่องเที่ยว คูปองแทนเงินสดในงาน และอีกมากมาย
ส่วนกิจกรรมความบันเทิงบนเวทีเพื่อมอบความสุขให้นักท่องเที่ยวทุกคน
ททท.พาเหรดเหล่าศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ การแสดงศิลปินท้องถิ่น และโชว์วัฒนธรรมตื่นตาตื่นใจ
อย่าง “ซานิ นิภาภรณ์” นักร้องสาวเสียงดี สุดแซ่บและสุดฮา “ทอม อิศรา”
นักร้องเสียงดีเจ้าของเพลงฮิตมากมาย และ “วง PAUSE” การกลับมาของวงดนตรีที่เราคิดถึง
ที่มาพร้อมกับ เฟ้น – ประภาพ นักร้องคนใหม่มากความสามารถ มาสร้างความคึกคักตลอดงาน
สำหรับกิจกรรมงาน “เทศกาลดนตรีโชคดีมีสุข : Lucky day Music Festival” ของ ททท.แต่ละพื้นที่ จัดขึ้นภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย Safe & Fun Covid Free Setting ตามมาตราการสาธารณสุขจังหวัด ด้วยขั้นตอนตั้งแต่
1.คัดกรองผู้เข้าร่วมงานตั้งแต่ประตูเข้างานโดยมีการตรวจวัดอุณหภูมิ แสดงการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม หรือผลการตรวจ ATK (Rapid Antigen Test Kit) เป็นลบไม่เกิน 72 ชั่วโมง โดยมีเอกสารรับรองผลมาแสดง
2.ศิลปิน เจ้าหน้าที่ ร้านค้า หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนผู้สนับสนุนการจัดงานต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเช่นเดียวกัน หากไม่สามารถแสดงเอกสารได้ก็ต้องผ่านการตรวจ ATK ที่จุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้านหน้าทางเข้างาน
3.ตลอดกการเข้าชมงานทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ และเว้นระยะห่างเสมอ
4.พื้นที่คอนเสิร์ตห้ามนำอาหารและน้ำดื่มเข้ามาในงาน
ยกเว้นรับประทานในโซนอาหารที่จัดเตรียมไว้
ข่าวที่ 5 -บางจากฯมั่นใจดัน“บีบีจีไอ”แฟลกชิพหลักนำธุรกิจสีเขียวโตยั่งยืน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทบางจากฯ กล่าวว่า กลุ่มบางจากฯ ดำเนินธุรกิจด้วยการนำนวัตกรรมสีเขียวเข้ามาพัฒนาธุรกิจ สร้างความยั่งยืน เป็นผู้นำโมเดล Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG วันนี้ในฐานะผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานที่ได้วางเป้าหมาย “ความเป็นกลางทางคาร์บอน Carbon Neutrality” ไว้ในปี 2573 (ค.ศ. 2030) และตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ Net Zero ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050)
ดังนั้นการ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนธุรกิจสีเขียว” จึงยิ่งทวีความสำคัญ โดยมี “บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน” ที่บางจากมั่นใจจะเป็นแฟล็กชิพสร้างการเติบโตและสร้างรายได้อย่างเข็มแข็ง เพราะเป็นหนึ่งในธุรกิจ New S-Curve เสริมสร้างธุรกิจสีเขียวด้วยไบโอเทคโนโลยี เป็นคำตอบที่สำคัญมากที่จะผลักดันให้ทั่วโลกลดการบริโภคสินค้าที่ผลิตมาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
“ในขณะที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องภาวะโลกร้อน สัดส่วนของเชื้อเพลิงชีวภาพก็ยังต้องมีหรือมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น เชื้อเพลิงชีวภาพจึงเป็นธุรกิจสำคัญและยังมีอนาคต ระหว่างนี้ บีบีจีไอ ซึ่งเป็นผู้นำด้านเชื้อเพลิงชีวภาพรายใหญ่ของประเทศได้เพิ่มเติมจุดแข็งด้วยการปรับเปลี่ยนจากธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพหรือ Bio-Based Products มุ่งเน้นที่ HVP (High Value Bio-based Products - ผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง) ด้วยเทคโนโลยี SynBio เพื่อตอบโจทย์การเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของกลุ่มบางจากฯ”
สำหรับ บมจ.บางจาก ถือเป็นองค์กรแรก ๆ ของประเทศไทยที่แนะนำเทคโนโลยี SynBio ให้เป็นที่รู้จักตั้งแต่ปี 2562 ผ่านการจัดสัมมนาประจำปีในหัวข้อ “SynBio Forum 2019” และได้ตั้งเป้าให้บีบีจีไอเป็นผู้นำทัพในการดำเนินธุรกิจนี้ ที่ได้รับการขนานนามว่าธุรกิจเปลี่ยนโลก
สำหรับ “SynBio” เป็นนวัตกรรมสีเขียวที่สำคัญ เปรียบเสมือนการทำฟาร์มในห้องแล็บ ช่วยให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร สามารถลดพื้นที่การทำปศุสัตว์ได้ และมีผลโดยตรงกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าต่อยอดจากสินค้าเกษตรอันเป็นรากฐานของประเทศ แต่ยังเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญที่มีศักยภาพเติบโตได้อีกมาก สอดรับกับแนวโน้มความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ดูแลสุขภาพ ซึ่งขยายตัวมากขึ้นกว่าเดิมทั่วทั้งโลกภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19เริ่มคลี่คลายลงอีกด้วย”
ช่วงที่ 2 หนีร้อนลงทะเลไปเที่ยว “ตราด” เช็คอินด่วนที่ “เกาะขายหัวเราะ” Unseen News Series สุดฮ็อต แวะคลายร้อนวงแหวนทะเลอ่าวไทย “เกาะหมาก” โลว์คาร์บอน “เกาะกระดาด” สวนมะพร้าวบ้านกวางธรรมชาติ จากนั้นก็ลองฟัง “สุดยอด!!วิธีหายใจเพิ่มออกซิเจนช่วยอายุยืน” แล้วห้ามพลาด ข่าวท้ายชั่วโมง “ข่าวแรก” รมว.พิพัฒน์ รัชกิจประการ ลุยหลังสงกรานต์รุก ศบค.เลิกใช้ THAILAND PASS ตั้งแต่ 1 มิ.ย.65 ข่าวที่สอง “สิงคโปร์แอร์ควงสายการบินสกู๊ต” ชิงตลาดทั่วโลกด้วยกลยุทธ์ประกาศเลิกสวมหน้ากากและไม่ตรวจโควิดแล้ว
หนีร้อนลงทะเลไปเที่ยวแหล่ง Unseen News Series กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ไป“จังหวัดตราด” ล่องเรือขึ้น “เกาะขายหัวเราะ” สักครั้งในชีวิต ตอนนี้กำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มหลายวัย
แถม “ตราด” มีทะเลอ่าวไทยอีกหลายเกาะสวย ๆ ให้ไปพักผ่อน นอนกินลม ชมทะเล มีอาหารทะเลสด อร่อย และการใช้ชีวิตโลว์คาร์บอนได้ด้วย
หมุดหมายหลักคือการเดินทางไปเช็คอิน “เกาะขายหัวเราะ” ด้วยการขับรถไปจอดตรงท่าเรือ “กรมหลวง“ อำเภอแหลมงอบ นั่งเรือประมาณชั่วโมงเศษ เพื่อนอนพักค้างแรม “เกาะหมาก” สัก 2 คืน สูดโอโซนบริสุทธิ์บนดินแดนที่ได้ชื่อว่าคาร์บอนต่ำหรือ Low Carbon
สิ่งที่ต้องห้ามพลาดคือการสั่งเมนูเด็ดมีแห่งเดียวในประเทศไทย คือ “ปลาย่ำสวาท” อาหารขึ้นชื่อประจำจังหวัดตราด เชฟนิยมนำมาทำปลาดิบซาซิมิเพื่อให้ได้รสชาติแบบไม่ต้องผ่านเครื่องปรุงใดๆ รสชาติละมุนลิ้น แต่ก็สามารถดีไซน์เป็นเมนูอื่น ๆ ได้ด้วย
ช่วงเวลาที่เหมาะจะไป “เกาะขายหัวเราะ” ตั้งแต่พฤศจิกายน-พฤษภาคม ของทุกปี เพราะสิ่งสำคัญคือ “ระดับน้ำ” จะต้องลด ส่วนใหญ่จะเป็นตอนเช้า 10.00-12.00 น. ซึ่งจะเห็นสันทรายผุดขึ้นมาคล้ายทะเลแหวก นักท่องเที่ยวจะได้เดินเท้าตรงเกาะนกใน เกาะนกนอก ซึ่งเป็นแนวเชื่อมไปถึง “เกาะขายหัวเราะ” ได้
หากเป็นช่วงน้ำขึ้น ชาวเรือหรือมัคคุเทศก์จะแนะนำให้นั่งเรือจากเกาะกระดาด เพื่อไปเกาะขายหัวเราะได้อีกเส้นทาง
ทะเลอ่าวไทยจังหวัดตราด มีวงแหวนเที่ยวเกาะใกล้ได้ด้วย นอกจาก “เกาะหมาก” โลว์คาร์บอนแล้ว นั่งเรือไปอีกประมาณ 10 นาที จะพบ “เกาะกระดาด” ของเอกชนพื้นที่เกือบพันไร่ มีท่าเรือให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมได้ เป็นทริป “นั่งรถไถหรือรถอีกแต็ก” ฝ่าดงมะพร้าวและฝูงกวางธรรมชาติที่อาศัยอยู่บนเกาะ เพื่อไปนั่งชีลริมทะเล ซึ่งมี “ต้นมะพร้าวเอน” เป็นสัญลักษณ์ให้เช็คอินชวนเพื่อน ๆ คนอื่นมาเที่ยวแบบบอกต่อกันไป
มาเที่ยว “เกาะขายหัวเราะ” เมืองไทย ประสบการณ์เหมือนได้เห็นของจริง ซึ่งสมัยก่อนเคยเห็นแต่บนปกหนังสือขายหัวเราะเท่านั้น และตราดยังมีเกาะเป็นวงแหวนในทะเลอ่าวไทยให้ดับร้อนตลอดซัมเมอร์นี้
สุขภาพ -สุดยอด!!ฝึกหายใจวิธีเพิ่มออกซิเจนในเลือดช่วยทำให้อายุยืน
หนังสือ “ชีวจิต” แนะนำวิธี “ฝึกหายใจเพิ่มออกซิเจนในเลือดช่วยอายุยืน” เพราะการฝึกหายใจ หรือ Breathing Exercise เป็นหนึ่งในวิธีช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือด และขับสารพิษออกจากปอดโดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงมีแนวทางที่ดีมาแนะนำ
สำหรับ “มือใหม่หัดฝึก” ให้เลือกสถานที่เพื่อทำในที่มีอากาศบริสุทธิ์ ทำวันละหลาย ๆ รอบ ถ้ามีโอกาสทำตาม 3 ขั้นตอน คือ 1.หายใจเข้า 4 วินาที 2.กลั้นหายใจ 4 วินาที 3.หายใจออก 8 วินาที
ส่วน “ผู้ที่ชำนาญแล้ว” ให้ทำเป็นเซต เซ็ตละ 20 นาที ทำทั้งหมด 2 เซ็ต ทำตาม 3 ขั้นตอน เช่นกัน 1.หายใจเข้า 8 วินาที 2.กลั้นหายใจ 8 วินาที และ 3.หายใจออก 8 วินาที
ด้วยวิธีง่าย
ๆ เพียงเท่านี้ แค่รู้หลักการหายใจนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ก็จะทำให้
“อายุยืนยาว” ได้ แต่จะต้องตามขั้นตอนอย่างสม่ำเสมอทุกวัน
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก –“รมว.พิพัฒน์”ลุ้นหลังสงกรานต์รุกศบค.เลิกTHAILANDPASS 1มิ.ย.65
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ภายในเดือนเมษายน 2565 เตรียมเสนอที่ประชุม “คณะกรรมการบริหารศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.)” พิจารณา จะเสนอให้ยกเลิกระบบไทยแลนด์ พาสส์ -Thailand Pass ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นระบบที่ประเทศไทยนำมาใช้ให้นักเดินทางจากต่างประเทศทั่วโลกเข้าเมืองไทย
ข้อเสนอยกเลิกใช้ Thailand Pass ดังกล่าว เนื่องจากท่องเที่ยวมีสัญญาณดีขึ้นตามลำดับสามารถกลับสู่ภาวะปกติใกล้เคียงปี 2562 ซึ่งไทยมีต่างชาติเข้ามาเที่ยวปีละเกือบ 40 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศเกือบ 2 ล้านล้านบาท และปี 2565 ตั้งเป้าไว้ 7 ล้านคน ฟื้นรายได้กลับมา 30 %ของปี 2562 หรือประมาณ 6 แสนล้านบาท และคาดการณ์จะใช้เวลาประมาณ 2 ปี ภายในปี 2567 นำรายได้จากท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาให้ครบ 100 %
แต่การเสนอ ศบค.เพื่อยกเลิกใช้ Thailand Pass ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังคงต้องมีขั้นตอนสำคัญดำเนินการควบคู่กันไป 3 เรื่อง คือ
เรื่องที่ 1 จะต้องให้ทางกระทรวงสาธารณสุขเห็นชอบด้วยอีกครั้ง
เรื่องที่ 2 จะต้องประเมินผลสถานการณ์โควิดหลังวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ โดยมีเงื่อนไขสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่ 1.จะต้องไม่มียอดผู้ติดเชื้อและยอดผู้เสียชีวิตที่รุนแรงเพิ่มขึ้น 2.สามารถรักษาระดับยอดผู้ติดเชื้อไว้ได้ไม่เกินวันละ 50,000-60,000 คน โดยจะนับเฉพาะยอดรวมผลตรวจ ATK เป็นบวกเท่านั้น 3.มียอดผู้เสียชีวิตไม่เกินวันละ 100 คน
เรื่องที่ 3 เมื่อทุกอย่างเข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไข ยอดผู้ติดเชื้อจากโควิด-19 สามารถควบคุมได้ตามเป้าหมาย ทางกระทรวงจะขอให้ ศบค.ยกเลิก RT-PCR เริ่มวันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป ในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาถึงเมืองไทยในวันแรก แล้วเปลี่ยนไปตรวจ ATK จากสถานพยาบาลรับรองผลการตรวจแทน ในวันที่ 5 ของการเดินทางมาไทยเมื่อผลตรวจเป็นลบ ก็อนุญาตให้นักท่องเที่ยวคนนั้น ๆ เดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ได้
ข่าวที่สอง -2แอร์ไลน์“สิงคโปร์+สกู๊ต”ชิงทัวร์โลก1เม.ย.เลิกใส่หน้ากาก&ตรวจโควิด
สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ส (SIA) และสายการบินสกู๊ต รายงานว่า ตั้งแต่ 1 เมษายน 2565 ทั้ง 2 สายการบินพร้อมเปิดให้ผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้โดยไม่ต้องกักตัว เมื่อไปถึงก็ไม่ต้องตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามข้อกำหนดเดิมเรื่องการกักตัว เป็นมาตรการใหม่ครั้งนี้สอดรับกับนโยบายรัฐบาลสิงคโปร์เพิ่งประกาศผ่อนคลายระเบียบการเดินทางเข้าประเทศเมื่อเร็ว ๆ นี้
ขณะนี้สิงคโปร์
แอร์ไลน์สและสกู๊ต มีบริการบิน ไป-กลับ สิงคโปร์สู่ทั่วโลก 34 ประเทศ 97 เส้นทาง
โดยยังคงให้ผู้เดินทางที่ฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วต้องเข้ารับการตรวจก่อนออกเดินทาง และปฏิบัติตามข้อกำหนดตามวีซ่าที่มีอยู่
อีกทั้งสิงคโปร์แอร์ไลน์สและสกู๊ต จะปลดล็อกผู้โดยสารที่จองเที่ยวบิน VTL ก่อนและหลังวันที่ 1 เมษายน 2565 สามารถเดินทางได้ตามปกติ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการจอง
ซึ่งทางกลุ่ม SIA ยินดีสนับสนุนมาตรการล่าสุดของประเทศ ที่ผ่อนคลายระเบี ยบการเดินทางสา หรับการเข้าสิงคโปร์ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เป็นจุดหมายท่องเที่ยวชั้นนำ และศูนย์กลางการเดินทางทางอากาศที่สำคัญ เพื่อให้ลูกค้าของ 2 สายการบินสามารถวางแผนเดินทางพักผ่อนพักผ่อน พบเจอครอบครัวและคนที่รักได้อย่างสบายใจมีความคล่องตัว
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น