วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

“Carbon Markets Club-MEX”ผนึกตลาดคาร์บอนมาเก๊า-ไทย ลุยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

 Carbon Markets Club-MEX”ผนึกตลาดคาร์บอนมาเก๊า-ไทย

เพิ่มศักยภาพตลาดคาร์บอนเอเชีย-ดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

 


เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT  #เที่ยวกับกู๋ #ตลาดคาร์บอนไทยมาเก๊า #CMC

Carbon Markets Club ผนึกทำ MOU แพลตฟอร์ม MEX ตลาดคาร์บอนนานาชาติมาเก๊า รุกเชื่อมโยงเพิ่มศักยภาพตลาดคาร์บอน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในเอเชีย

นางกลอยตา ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจากฯ และประธาน Carbon Markets Club (CMC) เปิดเผยว่า CMC ลงนามข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ (MOU) กับตลาดคาร์บอนนานาชาติมาเก๊าหรือ Macao International Carbon Emission Exchange (MEX) มุ่งสร้างการเชื่อมโยง ความโปร่งใส และศักยภาพของตลาดคาร์บอนในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

            CMC เป็นเครือข่ายอิสระก่อตั้งโดย บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ 9 องค์กรพันธมิตรเมื่อปี 2564 เพื่อส่งเสริมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตและใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) พร้อมกับสร้างความตระหนักรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ความร่วมมือในครั้งนี้จะเชื่อมโยงบทบาท MEX ในฐานะ “แพลตฟอร์มซื้อขายคาร์บอนระดับนานาชาติ” หลายส่วนด้วยกันคือ 1.เชื่อมโยงเครือข่ายโครงการคาร์บอนของ CMC ในไทย 2.เพิ่มโอกาสซื้อขายคาร์บอนเครดิตแบบข้ามพรมแดน 3.การวิจัยร่วม 4.พัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยยึดหลักประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย



นางกลอยตา ย้ำว่า ตลาดคาร์บอนของไทยกำลังเติบโตต่อเนื่อง เมื่อได้ร่วมกับ MEX จะช่วยการเชื่อมโยงโครงการ T-VER ของไทยสู่ตลาดระดับนานาชาติ ยินดีมากที่ได้ร่วมมือกันพัฒนาศักยภาพในระดับภูมิภาค โดยเฉพาะภายใต้กรอบ Article 6 สอดคล้องกับเป้าหมาย CMC มุ่งส่งเสริมให้เกิดตลาดคาร์บอนที่เข้มแข็ง โปร่งใส และยั่งยืน ทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย”

            สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ได้สะท้อนความมุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดคาร์บอนในภูมิภาคเอเชียให้มีความเชื่อมโยง โปร่งใส ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น โดยมีแพลตฟอร์มของทั้งสององค์กรช่วยขยายโอกาสทางการตลาดให้ผู้ประกอบการทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะด้านการซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภูมิภาค

รวมถึงทั้งสองฝ่ายยังจะร่วมกันดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพด้านความรู้ (capacity building) ภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศตาม Article 6 เพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานตลาดคาร์บอนระดับสากล

Ms. Meng Meng ผู้จัดการทั่วไป ตลาดคาร์บอนนานาชาติมาเก๊า (MEX) กล่าวว่า นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาตลาดคาร์บอนของภูมิภาคเอเชียให้เกิดความเชื่อมโยงและมีสภาพคล่องมากยิ่งขึ้น ทางMEX มุ่งมั่นพัฒนาแพลตฟอร์มในระดับสากล เมื่อร่วมมือกับ CMC จะเพิ่มโอกาสให้โครงการคาร์บอนเครดิต T-VER ของไทยที่มีคุณภาพสูง เข้าถึงผู้ซื้อในตลาดต่างประเทศ พร้อมนำสินทรัพย์สิ่งแวดล้อม เช่น GEC (Green Energy Certificate) หรือใบรับรองพลังงานสีเขียว ซึ่งเป็นหลักฐานยืนยันการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 100% เข้าสู่ตลาดเมืองไทย สร้างการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

            นายรวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) และคาร์บอนเครดิต (T-VER) ถือเป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงได้ร่วมกันพัฒนาตลาดการซื้อขายและส่งเสริมการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Offsets) จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเกิดเป็นรูปธรรม หัวใจสำคัญครั้งนี้คือการสร้างตลาดที่มีความน่าเชื่อถือ โปร่งใส มีประสิทธิภาพ เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในภูมิภาคเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

เริ่มแล้ว“Kraam International Symposium 2025”ผ้าไทยใส่ให้สนุก-ททท.บูมMust Buy

 เปิดยิ่งใหญ่งาน“Kraam International Symposium 2025

น้อมนำแนวพระดำริผ้าไทยใส่ให้สนุก-ททท.บูมMust Buy


เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT  #เที่ยวกับกู๋ #KraamInternationalSymposium2025 #ผ้าไทยใส่ให้สนุก

มหาดไทยจัดใหญ่งาน “Kraam International Symposium 2025” 19-22 พ.ย.นี้ ดึงกูรูแฟชั่นระดับโลกร่วมยกระดับหัตถศิลป์ไทย น้อมนำแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก แฟชั่นแห่งความยั่งยืน” ททท.เร่งกระตุ้นนักท่องเที่ยว Must Buy ช้อปเสน่ห์ผ้าไทยสินค้ามูลค่าสูง

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีนารีรัตนราชกัญญา เสด็จทรงเปิดงาน Global Forum on Arts & Craftsmanship – Hands Across Culture : Kraam International Symposium 2025 เมื่อ 19 พฤศจิกายน 2568 ที่ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ กรุงเทพมหานคร

Kraam International Symposium 2025จัดโดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ภายใต้โครงการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ผ้าย้อมคราม เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่สากล 2568 โดยน้อมนำแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” และ “Sustainable Fashion : แฟชั่นแห่งความยั่งยืน” ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา มาเป็นแนวทางขับเคลื่อน  "HANDS ACROSS CULTURE" ที่ได้รวมดีไซเนอร์ บรรณาธิการ และกูรูแฟชั่นระดับโลก มาขยายผลสู่การยกระดับหัตถศิลป์ไทยระดับนานาชาติ ระหว่าง 19 - 22 พฤศจิกายน 2568 ที่เอ็มสกาย ชั้น 14 เอ็มทาวเวอร์ ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ กรุงเทพมหานคร


งานนี้มีผู้เชี่ยวชาญจาก Musée des Arts Décoratifs (ปารีส) Victoria & Albert Museum (ลอนดอน) และทีม Vogue จาก 3 ประเทศ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์เกี่ยวกับ “อนาคตของงานคราฟต์ไทยในโลกแฟชั่นร่วมสมัย” พร้อมเวิร์กช็อป “ย้อมครามดั้งเดิม” ถ่ายทอดความละเอียดประณีตของช่างไทยอย่างแท้จริง

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า มองหัตถศิลป์ไทยมีเสน่ห์มากกว่า “สวยงาม” คือ “สินค้ามูลค่าสูง” ที่นักท่องเที่ยวต้องซื้อ (Must Buy) เพราะผลงานแต่ละชิ้นเต็มไปด้วยเรื่องราว ความหมาย และภูมิปัญญาที่หาไม่ได้จากที่อื่น งานครามและคราฟต์ไทยที่ต้องซื้อให้ได้ครั้งนี้ ได้แก่

ผ้าย้อมครามแฟชั่นร่วมสมัย

ผ้าไหม–ผ้าฝ้ายลายไทยพรีเมียม

งานออกแบบของใช้–ของตกแต่งที่ถ่ายทอดลวดลายท้องถิ่น

ของฝากคุณภาพสูงจากชุมชนไทย

เป็นผลิตภัณฑ์พร้อมตอบโจทย์นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง (High-Value Travelers) ผู้กำลังมองหาของใช้ที่ “มีความหมาย มีเอกลักษณ์ และมีคุณค่าทางวัฒนธรรม” และต่อยอดเป็นประสบการณ์ท่องเที่ยว สะท้อน “ตัวตนของประเทศไทย” พร้อมก้าวสู่จุดหมายปลายทางโดดเด่นด้วยงานออกแบบ วัฒนธรรม และสินค้าคุณภาพสูง นำพาการท่องเที่ยวไทยก้าวสู่ยุคใหม่อย่างสง่างามและยั่งยืน




ซิตี้ลิงค์แอร์ อินโดฯบินปฐมฤกษ์จาการ์ตา-กรุงเทพ12ธ.ค.68 ททท.ลุยตลาด4แบบสิ้นปี68ไฟลต์เพิ่ม3.7%

 ซิตี้ลิงค์แอร์ อินโดฯบินปฐมฤกษ์จาการ์ตา-กรุงเทพ12 ธ.ค.68

ททท.ลุยตลาดร่วม4แบบขานรับสิ้นปี68เที่ยวบินโตกว่า3.7%

City Link Airline อินโดนีเซีย จะเปิดบินแบบประจำ จาการ์ตา-กรุงเทพฯ ทุกวัน เริ่ม 12 ธ.ค.68 

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT  #เที่ยวกับกู๋ #CityLinkAirline #อินโดนีเซีย

“ซิตี้ ลิงค์ แอร์ไลน์” อินโดนีเซีย” ลุยเปิดบินปฐมฤกษ์ “จาการ์ตา–กรุงเทพฯ” เริ่ม  12 ธ.ค.68 บริการแบบประจำทุกวัน 7 เที่ยว/สัปดาห์ ยอดจองตั๋วล่วงหน้าดีมากเกิน 80 % ททท.จาการ์ตา อินโดนีเซีย รุกทำตลาดร่วมเชิงกลยุทธ์ 4 แบบ ขานรับสิ้นปี’68 อินโดนีเซียบินมาไทยรวมกว่า 1.14 ล้านที่นั่ง โต 3.7 %


นิติ วงษ์วิชาสวัสดิ์ ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานจาการ์ตา อินโดนีเซีย

นายนิติ วงษ์วิชาสวัสดิ์ ผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานจาการ์ตา เปิดเผยว่า สายการบิน ซิตี้ลิงค์  อินโดนีเซีย (Citilink Airline)  เตรียมเปิดให้บริการบินตรงแบบประจำ ไป-กลับ จาการ์ตา(อินโดนีเซีย–กรุงเทพฯ (ไทย) อย่างเป็นทางการเริ่ม 12 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป ทุกวัน หรือ 7 เที่ยว/สัปดาห์ ด้วยเครื่องบินแอร์บัส  A320 รองรับผู้โดยสาร 180 ที่นั่ง เส้นทางใหม่นี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพเชื่อมต่อการเดินทางภายในภูมิภาคเอเชีย ช่วยสนับสนุนภาพรวมการท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ปี 2569 พร้อมฟื้นตลาดการท่องเที่ยวเข้าเมืองไทยเต็มรูปแบบ เพิ่มการเชื่อมต่อตลาดอาเซียนสำคัญอย่าง อินโดนีเซีย ซึ่งมีบทบาทสำคัญรักษาการเติบโต และสร้างโอกาสใหม่ทางการตลาดในอนาคต

ตามรายงานจาก ซิตี้ลิงค์ แอร์ไลน์ ยืนยันผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวมีกระแสตอบรับจากยอดจองล่วงหน้าก่อนวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ทำได้ดีมาก เที่ยวบินปฐมฤกษ์มีอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (Load Factor) เกือบ 80%สะท้อนสัญญาณตลาดนักท่องเที่ยวอินโดนีเซียฟื้นตัว และความสนใจมาไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ททท. สำนักงานจาการ์ตา ร่วมกับทางซิติ ลิงค์ แอร์ไลน์ส สนับสนุนการเปิดเส้นทางดังกล่าวและกระตุ้นอุปสงค์การเดินทางวางแผนจัดทำแผนการตลาดร่วมเชิงกลยุทธ์ 4 รูปแบบ ดังนี้

จัดทำแคมเปญประชาสัมพันธ์ร่วมกัน (Co-Promotion)

            ผนึกความทำการตลาดดิจิทัลร่วมแบรนด์

            นำเสนอแพ็กเกจส่งเสริมการขายร่วมกับตัวแทนท่องเที่ยวและพันธมิตรแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA)

จัดทำแฟมทริปนำสื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์เดินทางาสำรวจเส้นทาง สินค้า และบริการท่องเที่ยวเพื่อสร้างการรับรู้จุดขายเมืองไทย

กิจกรรมทั้งหมดได้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มมองเห็นเส้นทาง (Route Visibility) กระตุ้นยอดการจอง เสริมความสามารถทางการแข่งขันเมืองไทยในตลาดอินโดนีเซีย โดยเฉพาะการเข้าถึงเป้าหมาย กลุ่มนักท่องเที่ยววัยรุ่น และกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ


ขณะนี้ “ความสามารถรองรับผู้โดยสาร” (Seat Capacity) ตลาดยังคงเติบโตต่อเนื่อง ปี 2567 มีจำนวนที่นั่งเที่ยวบินรวม 1,108,656 ที่นั่ง จากต้นทาง 3 เมือง ได้แก่ จาการ์ตา เมดาน เดนปาซาร์ เข้าสู่กรุงเทพฯ และภูเก็ต คาดภายในสิ้นปี 2568 จะมีจำนวนที่นั่งเที่ยวบินเพิ่มเป็น 1,149,762 ที่นั่ง เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนเพิ่มขึ้น 3.71%

สถานการณ์ “จำนวนที่นั่งเที่ยวบินขยายตัว” มีปัจจัยสนับสนุนจากเริ่มเข้าสู่ฤดูการเดินทางหรือไฮซีซั่น โดยมี 1.ไทย ไลออน แอร์ เปิดเส้นทางใหม่ ไป-กลับ เดนปาซาร์และสุราบายา 2.แอร์ เอเชีย เปิดบินตรง ไป-กลับ เมดาน–ภูเก็ต และ 3.ซิตี้ลิงค์ แอร์ไลน์ เตรียมเปิดเส้นทางบินใหม่เพิ่ม ไป-กลับ จาการ์ตา–กรุงเทพฯ เริ่ม 12 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป


ซิตี้ ลิงค์ แอร์ไลน์ เปิดบินบริการครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ไทยเป็นอีกจุดหมายปลายทางระยะใกล้ที่จะได้รับความนิยมที่สุดในกลุ่มนักท่องเที่ยวอินโดนีเซีย เพราะการเดินทางเข้าถึงสะดวก พร้อมกับทำการตลาดสนับสนุนอย่างเป็นระบบ เพิ่มสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน

ททท.มั่นใจการเปิดบินเส้นทางใหม่จะมีส่วนสำคัญช่วยกระตุ้นความต้องการเดินทางตลอดทั้งปี เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ปลุกกระแสการเดินทางซ้ำ ยกระดับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทยกับอินโดนีเซียต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ


ปัจจุบัน “อินโดนีเซีย” ยังคงเป็นตลาดสำคัญของไทย สถิติตั้งแต่ 1 มกราคม – 19 พฤศจิกายน 2568 นักท่องเที่ยวอินโดนีเซียมาไทย 696,880 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน 9.78% มีวันพักเฉลี่ย 5 วัน ใช้จ่ายเงินเฉลี่ยเกือบ 30,000 บาท/คน/ทริป เป็นตลาดระดับ Medium-Stay / Medium-Spend ที่มีศักยภาพการเดินทางซ้ำสูง โดยเฉพาะพื้นที่ยอดนิยมในเมืองท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต ซึ่งกำลังเร่งทำการตลาดเชิงรุกเพื่อเพิ่มจำนวนและรายได้ในปีต่อไปอย่างเต็มที่


วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

กรมท่องเที่ยวนำไทยปิดจ็อบAFM 2025โกย 5.1พันล้าน ปี’69-70กองถ่ายทำหนังโลกแห่มาไทย

กรมท่องเที่ยวนำไทยปิดจ็อบAFM 2025โกย 5.1พันล้าน

ปี’69-70กองถ่ายทำหนังโลกแห่มาไทยขึ้นฮับแห่งเอเชีย

กรมการท่องเที่ยวทำสำเร็จในงานAFM 2025 ตลอด 5 วันดึงกองถ่ายเลือกมาไทยเงินสะพัด 5,170 ล้านบาท

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT  #เที่ยวกับกู๋ #AFM2025 #ไทยฮับกองถ่ายหนังโลก

กรมการท่องเที่ยวนำไทยปิดจ็อบงานเทรด AFM2025 ในแอลเอ ปังสุด ๆ 5 วัน ดึงความสนใจกองถ่ายทำหนังระดับโลกเฮเลือกมาไทย คาดสร้างรายได้สะพัดกว่า 5,170 ล้านบาท พร้อมนำไทยก้าวสู่ฮับถ่ายทำภาพยนตร์แห่งเอเชีย

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า การเข้าร่วมงาน“American Film Market 2025” (AFM2025) ตลอด 5 วัน ที่นครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา ระหว่าง 15-20 พฤศจิกายน 2568 ได้รับความสนใจต่อเนื่องมีผู้ประกอบการกว่า 200 ราย เข้ามาสอบถามข้อมูลคูหาประเทศไทยถึงรายละเอียดการนำกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเข้ามาในเมืองไทย มี 21 ราย ระบุชัดเจนมีแผนเลือกมาถ่ายทำในไทยช่วงปี 2570-2571 คาดจะสร้างรายได้เข้าประเทศตามเป้าหมายที่ตั้งไว้สูงสุดถึง 5,170 ล้านบาท (ประมาณ 156 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และพร้อมที่จะทำผลักดันไทยเป็นประเทศศูนย์กลางการถ่ายทำภาพยนตร์แห่งภูมิภาคเอเชีย


ปี 2568 ถึงแม้บรรยภายในงานจะมีจำนวนผู้เยี่ยมชมคูหาประเทศไทยลดลงจากในสหรัฐอเมริกาเกิดเหตุการณ์ government shutdown กระทบการเดินทางภายในสหรัฐเอง แต่งานยังมีกระแสสร้างผลเชิงบวกอย่างโดดเด่น ทางกรมการท่องเที่ยวสามารถสร้างโอกาสสำคัญเข้าพบผู้บริหารสตูดิโอยักษ์ใหญ่ของฮอลิวูดได้ถึงทั้ง 6 แห่ง แล้วผู้สร้างภาพยนตร์ยังได้การตอบรับที่ดีด้วยการมองหาโลเคชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ใหม่ ๆ ในเอเชีย


อธิบดีจาตุรนต์ กล่าวว่า ทางกรมการท่องเที่ยวพร้อมทำประชาสัมพันธ์ต่อเนื่องผ่านงานโร้ดโชว์ และเทศกาลภาพยนตร์ระดับนานาชาติ ตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะแหล่งถ่ายทำระดับโลก พร้อมผลักดันให้เม็ดเงินการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นในอนาคต นำเสนอแม่เหล็กดึงดูดกองถ่ายเพื่อนำรายได้เข้าประเทศด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ 1.มาตรการอินเซนทีฟ คืนเงินให้กองถ่ายนานาชาติ 30 % 2.ศักยภาพของไทยครอบคลุมเรื่อง ทีมงานมืออาชีพ 3.โลเคชั่นที่มีความหลากหลาย 4.ต้นทุนการผลิตอย่างคุ้มค่า  พร้อมที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการถ่ายทำภาพยนตร์แห่งภูมิภาคเอเชีย





“บางจาก-ออมสุขฯ”ยกระดับผู้นำธ.ก.ส.รับมือยุคโลกเปลี่ยนก้าวสู่ “ธนาคารที่ยั่งยืน”

“บางจาก-ออมสุขฯ”ยกระดับผู้นำธ.ก.ส.รับมือยุคโลกเปลี่ยน

เดินหน้าปลดล็อกเกษตรกรไทย3เรื่องก้าวสู่ “ธนาคารที่ยั่งยืน”


    
บางจากกับออมสุขวิสาหกิจเพื่อสังคมร่วมเพิ่มศักยภาพ“ผู้นำ ธ.ก.ส.”รับมือยุคโลกเปลี่ยนก้าวสู่“ธนาคารยั่งยืน”

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #บางจาก #ธกสธนาคารที่ยั่งยืน

บางจากฯ ผนึก ออมสุขวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่วมเพิ่มศักยภาพ “ผู้นำ ธ.ก.ส.”รับมือยุคโลกเปลี่ยน ดัน “ธนาคารยั่งยืน” ปลดล็อกเกษตรกรไทยหลุดพ้นความท้าทายใหม่ 3 เรื่อง “ความเสี่ยงภูมิอากาศ-มาตรฐานคาร์บอน-ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก”

นางกลอยตา ณ กลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “Growing Sustainability Together” ในหลักสูตร Smart Director 2 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่โรงแรมทีเค แจ้งวัฒนะ เพื่อเพิ่มศักยภาพผู้บริหารให้พร้อมรองรับธุรกิจเติบโตก้าวสู่ “ธนาคารที่ยั่งยืน” ในจังหวะภาคการเกษตรไทยต้องเผชิญความท้าทายใหม่ 3 ด้าน คือ 1.ความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ 2.การแข่งขันด้านมาตรฐานคาร์บอนของตลาดโลก 3.ความจำเป็นในการบริหารการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยสำคัญของประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้น

            นางกลอยตา กล่าวว่า โลกภาคการเกษตรกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว จากแรงกดดันทางภูมิอากาศ ความสำคัญในการใช้ข้อมูล บทบาทของเทคโนโลยี และมาตรฐานตลาดที่เข้มงวดขึ้น ส่วนเกษตรกรไทยต้องเผชิญความเสี่ยงทางภูมิอากาศรุนแรงขึ้นทั้งจากฤดูกาลผันผวน ภัยแล้ง น้ำท่วม ศัตรูพืช กฎเกณฑ์ด้านคาร์บอนของประเทศคู่ค้าเข้มงวดมากขึ้น ผู้บริหาร “ธ.ก.ส.ยุคใหม่” จึงต้องก้าวสู่บทบาท “ผู้นำการเปลี่ยนผ่าน” (Transition Leader) โดยใช้ข้อมูลและเทคโนโลยี ช่วยวิเคราะห์ความเสี่ยงและสนับสนุนเกษตรกรเร่งปรับตัว ลดการปล่อยคาร์บอนภาคการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับมาตรฐานสินค้าให้สอดรับกับตลาดปัจจุบัน


“บทบาทผู้นำการเปลี่ยนผ่าน” ไม่ใช่เพียงนำองค์กรเติบโตด้านธุรกิจ แต่ต้องเดินหน้าสร้างสมดุลระหว่างโลก สิ่งแวดล้อม และผู้คน โดยใช้นวัตกรรมตอบโจทย์การแข่งขันและคุณค่าต่อชุมชน ยึดหลัก “ส่งมอบ-ส่งต่อ-ส่งกลับ” ให้มากกว่าสิ่งที่ได้รับ (Regeneration) โดยกรอบสำคัญเชิงกลยุทธ์คื ESG การบริหารความเสี่ยง การจัดสรรงบลงทุน ตั้งแต่ระดับผู้บริหารถึงพนักงาน เพื่อสร้างผลลัพธ์เชิงบวกต่อภาคเกษตรไทยในระยะยาว

“นางสาวศศมน ศุพุทธมงคล” ผู้จัดการอาวุโสโครงการเพื่อสังคม และผู้จัดการออมสุขวิสาหกิจเพื่อสังคม ร่วมสะท้อนประสบการณ์การทำงานกับสหกรณ์การเกษตรและเกษตรกรทั่วประเทศ โดยยกตัวอย่างความร่วมมือการดำเนินงานแล้ว เช่น ติดตั้งระบบโซลาร์ในเครือข่ายสหกรณ์ลดโลกร้อน นำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนและจัดหาช่องทางการตลาด การเปลี่ยนผ่านสามารถเกิดขึ้นได้จริงเมื่อมีข้อมูลที่ถูกต้อง เทคโนโลยีเหมาะสม และตลาดรองรับ ซึ่งหลายสหกรณ์มีศักยภาพและความพร้อมต่อยอด แต่ยังต้องการการสนับสนุนเพิ่ม ด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ และทางเลือกด้านเงินทุนที่สอดคล้องกับความต้องการ ทำให้เกิดความมั่นใจการปรับตัวเมื่อเห็นตัวอย่างความสำเร็จต่อเนื่อง ดังนั้น ธ.ก.ส.มีเครือข่ายชุมชนทั่วประเทศจึงมีบทบาทความสำคัญ ครอบคลุมด้านการลดความเสี่ยง เสริมข้อมูล และการเชื่อมต่อโอกาสสู่ตลาดใหม่



            ล่าสุดผู้บริหารบางจากฯ และออมสุขวิสาหกิจเพื่อสังคม ได้ร่วมต้อนรับและแบ่งปันประสบการณ์ ให้คณะนักบริหารจากหลักสูตร SMART Banker ของ ธ.ก.ส. ทำโครงการยกระดับความรู้และผลิตภาพบุคลากรให้ทันกับธุรกิจใหม่ โดยสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) มีนางขนิษฐา ตันตระกูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนัก สำนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ธ.ก.ส. นำทีมมาศึกษาดูงานในหัวข้อ “บางจากฯ บทบาทในการสนับสนุนเกษตรกร และชุมชน” องค์กรชั้นนำโดดเด่นด้านสนับสนุนเกษตรกร และชุมชน ที่สร้างผลลัพธ์เชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม

 

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

ส.ขี่ม้าโปโล-2ผู้บริหารคิงเพาเวอร์เปิดวีเอสสปอร์ตคลับรับซีเกมส์ปี’68ขอทำประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองครั้ง33

ส.ขี่ม้าโปโล-2ผู้บริหารคิงเพาเวอร์เปิดวีเอสสปอร์ตคลับรับซีเกมส์ปี’68

นำทีมชาติไทยโชว์ฟอร์มเจ๋ง-ขอทำประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองครั้ง33

 

สมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทยเปิดตัวนักกีฬาทีมชาตินำโดย "อัยยวัฒน์-อภิเชษฐ์" ศรีวัฒนประภา 2 ผู้บริหารคิงเพาเวอร์

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT  #เที่ยวกับกู๋ #ขี่ม้าโปโลทีมชาติไทย #Seagame2025

สมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย แท็กทีม “อัยยวัฒน์-อภิเชษฐ์” ศรีวัฒนประภา 2 ผู้บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์นำนักกีฬาทีมชาติ ประกาศความพร้อมตั้งเป้าสร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ในไทย วันนี้เปิดบ้าน “สนามวีเอส สปอร์ตคลับฯ” โชว์ฟอร์มเต็มที่ หนุนไทยผงาดศูนย์กลางขี่ม้าโปโลระดบภูมิภาค

 


สมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย  เริ่มแล้วนำเสนอมหกรรมงาน “Exhibition Match: Road to SEA Games 2025” ประกาศความพร้อมขี่ม้าโปโลทีมชาติไทยก่อนเข้าร่วมการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพช่วงเดือนธันวาคม 2568 โดยมี นายแพทย์ไพโรจน์ บุญคงชื่น นายกสมาคมฯ พร้อมด้วย มร.ลูคัส ลูฮาน หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย และทัพนักกีฬาทีมชาติ นำโดย “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” และอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา” ซึ่งเป็นสองผู้บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์  ด้วย เข้าร่วมงานและสาธิตการแข่งขันขี่ม้าโปโล ที่ “สนามวีเอส สปอร์ตคลับ แอนด์ สยามโปโลปาร์ค” อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

นายแพทย์ไพโรจน์ บุญคงชื่น นายกสมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เข้ามารับตำแหน่งช่วงสำคัญการเตรียมทีมสู่ซีเกมส์ 2568  จึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสจะยกระดับกีฬาขี่ม้าโปโลไทย ซึ่งทางสมาคมมีเป้าหมายชัดเจนจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางกีฬาขี่ม้าโปโลระดับภูมิภาค” ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 การแข่งขัน ด้านที่ 2 มาตรฐานสนาม ด้านที่ 3 การพัฒนานักกีฬาเยาวชน เพื่อวางรากฐานความแข็งแกร่งและมั่นคงให้วงการโปโลไทย และมุ่งมั่นสร้างผลงานในซีเกมส์ครั้งนี้ “ตั้งเป้า” จะคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันให้ได้ 2 ประเภท ได้แก่ Handicap 2–4 Goals และ 4-6 Goals

โดยสมาคมฯ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อพัฒนาบุคลากร ม้า และสนามแข่งขันให้ได้มาตรฐานสากล สะท้อนถึงความพร้อมอย่างสมศักดิ์ศรีของไทยในการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ และต่อยอดพัฒนาวงการขี่ม้าโปโลไทยก้าวไกลสู่ระดับสากลต่อไป

“นายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา” นักกีฬาขี่ม้าโปโลทีมชาติไทย กล่าวว่า ขณะนี้ทุกคนในทีมภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนทีมชาติไทย รวมทั้งมีเป้าหมายเดียวกันคือ จะต้องรวมพลังกัน “คว้าเหรียญทองซีเกมส์” ครั้งนี้ในเมืองไทย นักกีฬาทุกคนต่างมุ่งมั่นตั้งใจเก็บตัวฝึกซ้อม พัฒนาความสามารถของตนเองพร้อมลงสนามแข่งขัน วันนี้ 18 พฤศจิกายน 2568 ใช้โอกาสสำคัญอุ่นเครื่องปรับจังหวะและเพิ่มความมั่นใจก่อนลงสนามจริง จึงขอแรงใจจากพี่น้องชาวไทยทุกคนร่วมส่งแรงเชียร์ทีมนักกีฬาขี่ม้าโปโลไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์ ครั้งที่ 33 สร้างความภูมิใจให้คนไทยทั้งประเทศ

 




วันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 สมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย ได้เปิดตัวนักกีฬาทีมชาติไทยชุดซีเกมส์อย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา, อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา, ณัฐพงศ์ ประทุมลี, ธนาศิลป์ เชื้อวังคำ, สาธิต วงค์กระโซ่, ศุภชัย สุคำภา และไพทูรย์ คำตา พร้อมทั้งจัดการแข่งขันอุ่นเครื่องแมตช์พิเศษระหว่าง “Thailand A พบกับ Thailand B” เพื่อแสดงศักยภาพ ความพร้อม และทีมเวิร์กของนักกีฬาไทยสู่สายตาผู้ชมทั้งประเทศ

ติดตามเกี่ยวกับกีฬาขี่ม้าโปโลเพิ่มได้ที่ Facebook / Instagram: Thailand Polo Association และรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่านทาง YouTube: Thailand Polo Association Official




 

“Carbon Markets Club-MEX”ผนึกตลาดคาร์บอนมาเก๊า-ไทย ลุยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

  “ Carbon Markets Club - MEX ”ผนึกตลาดคาร์บอนมาเก๊า-ไทย เพิ่มศักยภาพตลาดคาร์บอนเอเชีย-ดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ   เรื่องโดย... # เพ็ญรุ่ง...