“กิตติพงศ์ กิตติขจร”นำสุวรรณภูมิบินฤดูหนาวปี68/69โตกว่า11%
งัด4มาตรการดูแลผู้โดยสาร-จราจรตลอดเทศกาลหยุดยาวปีใหม่
ตั้งศูนย์OCC-แอร์พอร์ตแอมบาสเดอร์-ทีมตรวจความปลอดภัย
อัพเดทแผนลงทุนEast-South-รันเวย์4หนุนปี’73รับ120ล้านคน/ปี
“อัยยวัฒน์-อภิเชษฐ์”นำขี่ม้าโปโลคว้าเหรียญทองแรกซีเกมส์#33
คิงเพาเวอร์“THE POWER GIFTIVAL”ช้อปคราฟท์ไทย-4ม.ค.69
Festiveคิงเพาเวอร์รางน้ำจัดเต็มLucky Fansช้อปของขวัญ11วัน
ททท.ร่วมTourism For All Expo 2025หนุนเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล
กลุ่มบางจากเปิดBCPT FZCO ดูไบลุยเทรดน้ำมันตลาดอินเตอร์
บางจากถอนBSRCลุยส่งหุ้นใหม่เทรดแล้วชูบริหาร One Team
เที่ยวฟินสวนดอกไม้ดอยสูงเชียงใหม่“ยิ่งยง-กู๋เนียร์ไฮเดนเยีย”
5 ผักผลไม้กินแล้วอายุยืนมีงานวิจัยช่วยป้องกันได้สารพัดโรค
TCEBทำสำเร็จปี68นำไทยคว้าสิทธิ์จัดไมซ์โลกหมื่นล้าน30งาน
อพท.ทำสำเร็จนำมาตรฐานยั่งยืน STMS เทียบชั้นโลก GSTC
วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม 2568 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 อ่านในwww.facebook.com/penroongyaisamsen #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #บางจาก #เที่ยวสวนดอกไม้แม่ริม
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://www.facebook.com/share/v/17cd6umBqq/
ช่วงที่ 1 สัมภาษณ์ !! “กิตติพงศ์ กิตติขจร” ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อัพเดทตารางบินฤดูหนาวปี68/69 แอร์ไลน์สต่างชาติเข้าไทยคึกคัก เที่ยวบินโตขึ้น 11.15 % ธ.ค.นี้ ผู้โดยสารแตะ 2 แสนคน/วัน ทำแผนรับเทศกาลวันหยุดยาว 7 วัน ส่งท้ายปี68 ต้อนรับปีใหม่ 69 รับมือปริมาณคนและจราจรหน้าสนามบิน 4 มาตรการเด่น ตั้งแล้ว 1.“OCC” เซ็นเตอร์ปฏิบัติการอำนวยความสะดวกครบวงจร 2.จัดทีมแอร์พอร์ต แอมบาสเดอร์ ช่วยผู้โดยสารขาออกใช้ระบบเช็คอินอัตโนมัติ ไบโอเมตริก รวมทั้งขานรับนโยบาย รมว.คมนาคม 3.จัดระเบียบ “รถแท็กซี่-รถผ่านแอป” 4.จัดทีมในนอกเครื่องแบบตรวจเข้มพิเศษมาตรฐานความปลอดภัย พร้อมอัพเดทแผนขยายสุวรรณภูมิ 3 ส่วน “East Expansion”ปี 70 ก่อสร้าง “South Terminal+รันเวย์4”เปิดปี 73 เพิ่มพื้นที่รองรับ 120 ล้านคน/ปี
นายกิตติพงศ์
กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย
จำกัด (มหาชน) “AOT” เปิดเผยว่า สถานการณ์ตารางบินฤดูหนาวตั้งแต่ปลายตุลาคม
2568-29 มีนาคม 2569 ช่วงเดือนธันวาคมนี้มีผู้โดยสารทางอากาศผ่านเข้าออกใกล้
200,000 คน/วัน มีปริมาณเที่ยวบินเกือบ 1,000 เที่ยว/วัน และตลอดตารางบินฤดูหนาว 2568/2569 จะมีเที่ยวบินรวม
185,000 เที่ยว เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน 11.15
% แบ่งเป็น “เที่ยวบินระหว่างประเทศ” กว่า 140,000 เที่ยว “เที่ยวบินภายในประเทศ” ปริมาณใกล้เคียงกัน 45,000 เที่ยว
สำหรับ “สายการบิน” ให้บริการทั้งเที่ยวเชิงพาณิชย์ และเที่ยวบินขนส่งสินค้ารวมแล้วมีทั้งหมด 142 สายการบิน รวมทั้งมีข่าวดีเพราะมีสายการบินนานาชาติรายใหญ่กลับมาบินแบบประจำ ได้แก่ “ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส” สหรัฐอเมริกา เคยหยุดบินเข้าสุวรรณภูมิตั้งแต่ปี 2558 ผ่านมาแล้ว 10 ปี ขณะนี้เริ่มกลับมาบินอีกครั้ง เส้นทาง ลอสแองเจลิส-ฮ่องกง-กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) บริการ 7 เที่ยว/สัปดาห์ แล้วยังมีใหม่ ๆ อีก 4-5 แอร์ไลน์ส โดยมีบางสายการบินมาจากเมืองแมนเชสเตอร์ของอังกฤษเพิ่มจากฮีตโทรว์ กรุงลอนดอน บินตรงสู่สุวรรณภูมิ หรืออิสราเอล คาซัคสถาน และอื่น ๆ
โดยภาพรวมแล้วปี 2568-2569 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีสัญญาณที่ดีจากสายการบินทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ประการสำคัญยังคงเป็นท่าอากาศยานที่ครองตำแหน่ง “แชมป์โลก” ที่มีสายการบินนานาชาติเลือกมาใช้บริการมากที่สุดเกินกว่า 142 สายการบิน/ปี แล้วยังมีโอกาสจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงทำให้สามารถรักษาอันดับไว้ได้เป็นอย่างดี
ขณะที่
“ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” ยังคงยึดหลักปฏิบัติความปลอดภัยตามมาตรฐานสากลของ
องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO :International Civil Aviation
Organization ซึ่งเป็นหน่วยงานพิเศษของสหประชาชาติ (UN) มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานและวางกฎระเบียบสากลด้านการบินพลเรือน
เน้นทำให้การบินทั่วโลกมีความปลอดภัย เป็นระเบียบ มีประสิทธิภาพ โดยทำงานร่วมกับ
193 ประเทศสมาชิก
ล่าสุดเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2568 ทางเจ้าหน้าที่ ICAO เพิ่งจะมาตรวจวิธีปฏิบัติงานความปลอดภัยทั้งหมดในสุวรรณภูมิหลังจากมีสายการบินจากสหรัฐอเมริกาเปิดบินตรง ก็จะยิ่งต้องเพิ่มความเข้มงวดด้านความปลอดภัยมากที่สุดด้วย โดยได้ทำการตรวจตั้งแต่ขั้นตอนการเช็คอินผู้โดยสาร ระบบสัมภาระกระเป๋าที่ต้องโหลดขึ้นเครื่อง และสินค้าขนส่งทางอากาศ (Cargo) ซึ่งทุกอย่างที่สุวรรณภูมิปฏิบัติอยู่เป็นมาตรฐานเดิมถูกต้องครบทุกอย่าง จึงได้การรับรองผ่านเรียบร้อยแล้ว
ผอ.กิตติพงศ์ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมรองรับฤดูการเดินทางวันหยุดยาวช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทางสุวรรณภูมิเริ่มแผนปฏิบัติการแล้วตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป โดยได้จัดตั้ง “Operation Command Center :OCC” จัดเจ้าหน้าที่มาประจำศูนย์แห่งนี้เป็นห้องรวมพนักงานเวรต่าง ๆ ของสนามบิน อำนวยความสะดวกความปลอดภัย เคาน์เตอร์เช็คอิน การเข้าออกของรถยนต์ภายในสนามบิน ซึ่งจะต้องยอมรับกรณี “ปริมาณจราจรรถหนาแน่น” บริเวณถนนด้านหน้าอาคารผู้โดยสารหลัก เพราะหลังจากเปิดบริการอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ SAT-1 ผลที่ตามมาคือมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจำนวนมาก แต่มีพื้นที่รองรับรถอยู่แห่งเดียวตรงอาคารผู้โดยสารหลัก
ตอนนี้ยอมรับว่าปริมาณจราจรรถยนต์บริเวณดังกล่าวค่อนข้างติดขัด
สิ่งที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะต้องเร่งทำทันทีนับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป 4 มาตรการหลัก คือ
1.อำนวยความสะดวกการจราจรด้านหน้าอาคารให้ได้มากที่สุด
2.จัดทีม Airport Ambassador เป็นพนักงานให้บริการ “ผู้โดยสารขาออก” คอยให้คำแนะนำผู้โดยสารใช้ระบบเช็คอินเอกสารหนังสือเดินทางผ่านเครื่องอัตโนมัติ “ไบโอเมตริก” เพื่อช่วยบางสายการบินที่มีคิวเช็คอินตรงบริเวณเคาน์เตอร์ค่อนข้างยาว
3.มาตรการความปลอดภัย ย้ำเน้นเป็นพิเศษจะต้องใช้ “เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย” ทั้งในและนอกเครื่องซึ่งมีจำนวนมากเป็นพิเศษ จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกับทางทีมของหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยข่าวกรอง ในช่วงเทศกาลเดินทางหนาแน่น ต้องทำอย่างเข้มมากด้วย
4.การจัดบริการรถสาธารณะ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้นำนโยบายของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มาปฏิบัติอย่างเต็มที่ ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อจัดระเบียบ รถสาธารณะ แท็กซี่ โดยขอความร่วมมือจัดเจ้าหน้าที่มาทำงานร่วมกับคนของสนามบิน โดยเฉพาะ “รถแท็กซี่มิเตอร์” ต้องมีตัวแทนจัดคนมาดูแลให้เพียงพอ ภายในรถจะต้องสะอาดปลอดภัย เช่นเดียวกันกับ “รถเรียกผ่านแอปพลิเคชั่น” ไม่ว่าจะเป็น Grab หรือแบรนด์อื่น ๆ ก็ต้องทำในลักษณะเดียวกัน
เพราะปัจจุบันผู้ใช้บริการสมัครใจใช้รถผ่านแอปพลิเคชั่นจำนวนเพิ่มมากขึ้นเป็นเทรนด์ใหม่ของสนามบิน ทางสุวรรณภูมิจึงได้วางแผนลงทุนขยายพื้นที่จุดจอดรถที่เรียกผ่านแอปพลิเคชั่นไว้รองรับในอนาคตภายในปี 2569 จะก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อยแยกออกจากแท็กซี่มิเตอร์อย่างชัด เป็นจุดพักรอตั้งอยู่บริเวณ 2 แห่ง ได้แก่ 1.ด้านข้างอาคารจอดรถยนต์จะมีพื้นที่สนามเป็นช่องจอดรถแท็กซี่เรียกผ่านแอปพลิเคชั่น 2.พื้นที่จุดต่ออาคารทางด้านทิศตะวันออก (West Expansion เดิม ซึ่งยกเลิกการขยายพื้นที่ไปแล้ว)
ผอ.กิตติพงศ์ กล่าวว่า แผนขยายพื้นที่ส่วนต่อขยายภายในพื้นที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายในปีงบประมาณ 2570 การอนุมัติงบประมาณลงทุนจะต้องเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 East Expansion จะต้องเปิดใช้งานได้ภายในปี 2573 จะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 70 ล้านคน/ปี จากปัจจุบัน 45 ล้านคน/ปี บวกกับ ส่วนที่ 2 South Terminal ขณะนี้การออกแบบดราฟภาพวาดจำลองเสร็จเรียบร้อยแล้วสวยงาม จะอยู่บริเวณติดฝั่งถนนบางนา-ตราด และส่วนที่ 3 ทางวิ่งหรือรันเวย์ที่ 4 เมื่อทั้งสองส่วนหลังแล้วเสร็จปี 2575 จะทำให้สุวรรณภูมิมีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารด้ากที่สุดถึง 120 ล้านคน/ปี
ระหว่างการเริ่มหรือรอขยายการก่อสร้างพื้นที่ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิช่วงปี 2569-2570 แนะนำให้ผู้โดยสารปรับตัว
เรื่องที่ 1 วางแผนการเดินทางมาถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องออก เนื่องจากสภาพขณะนี้ปริมาณจราจรตั้งแต่ด่านทับช้างมาถึงสุวรรณภูมิค่อนข้างแออัดแล้ว เริ่มตั้งแต่ช่วงเทศกาล “คริสต์มาส 2568 จนถึงปีใหม่ 2569
เรื่องที่ 2 ควรลองใช้ระบบเช็คอินการเดินทางขาออกด้วยเครื่องตรวจอัตโนมัติ “ไบโอเมตริก” ซึ่งมีความพร้อมและเพียงพอ ถ้าผู้โดยสารได้ใช้ครั้งแรกจะรับรู้ได้ถึงความสะดวกสบายทุกขึ้นตอน เมื่อผ่านการเช็คตั๋วโดยสาร ไปยังจุดสแกนร่างกายเพื่อตรวจอุปกรณ์ติดตัวทั้งหมด ระบบจะจดจำใบหน้าอัตโนมัติโดยไม่ต้องนำพาสปอร์ตหรือโชว์เอกสารซ้ำ เมื่อผ่านเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมืองก็จะผ่านอย่างรวดเร็ว ไปจนถึงห้องรอขึ้นเครื่องตอนผ่านประตูขึ้นเครื่องก็จะเดินขึ้นไปได้เลย ขณะนี้ ทอท.ได้ประชาสัมพันธ์กับสายการบินต่าง ๆ
ขณะนี้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ทดลองนำระบบไมโอเมตริกมาใช้ได้ประมาณ 5-6 เดือน ประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก และมีเจ้าหน้าที่บริการแอร์พอร์ต แอมบาสเดอร์ คอยแนะนำวิธีใช้อยู่ตลอด ปัจจุบันมีสายการบินต่าง ๆ ร่วมมือใช้ระบบนี้แล้วประมาณ 50 % ยังเหลืออีก 50 % เนื่องจากตรงเคาน์เตอร์เช็คอินของแต่ละสายการบินจะต้องเพิ่มบริการอีก 1 ขั้นตอน คือ “การถ่ายรูปผู้โดยสาร” เพื่อสแกนผ่านไบโอเมตริก
ผอ.กิตติพงศ์ กล่าวว่าเชิญชวนผู้โดยสารช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีเก่า 2568 ต่อเนื่องปีใหม่ 2569 จะเปิดบริการ “ลานจอดระยะยาว” ให้ผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางหลายวันได้จอดรถในพื้นที่เหมาะสมจอดฟรี ตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2568-5 มกราคม 2569 ซึ่งจะมีบริการรถบัสจากหน้าสนามบินไปยังลานจอดดังกล่าวทุก 15 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง ตอกย้ำถึงความพร้อมของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่จะมอบความประทับใจให้กับนักเดินทาง ผู้โดยสาร และผู้ใช้บริการทุกคน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1-“อัยยวัฒน์-อภิเชษฐ์”นำขี่ม้าโปโลคว้าเหรียญทองแรกซีเกมส์ครั้ง33
สองพี่น้อง “อัยยวัฒน์-อภิเชษฐ์” ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการบริหาร กับผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่ด้านการสนับสนุนองค์กร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ สวมเสื้อทีมชาติไทยสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญนำทีม “คว้าเหรียญทองแรก” ประเภท Handicap 2-4 Goals ในกีฬา “ขี่ม้าโปโล” ซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัด ระหว่างวันที่ 9-20 ธันวาคม 2568
“อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” หนึ่งในกำลังสำคัญของทีมชาติไทย เปิดเผยหลังคว้าเหรียญทองแรกว่า ตั้งใจเต็มที่ในทุกแมทช์การแข่งขันขี่ม้าโปโลซีเกมส์ ทำเพื่อ “คุณพ่อ-วิชัย ศรีวัฒนประภา” เพราะท่านเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันกีฬานี้มาตลอด ทำให้มีโอกาสนำทีมมายืนในจุดนี้ได้ การรอคอย 15 ปี ทำสำเร็จแล้ว
แล้ว “ขี่ม้าโปโล” ยังถือเป็นกีฬาใหม่ในศึกซีเกมส์ จึงอยากเชิญชวนแฟนกีฬาชาวไทยช่วยกันติดตามและส่งแรงเชียร์เพิ่มมากขึ้น เกมชิงชนะเลิศประเภทแรกกับทีมชาติบรูไน เมื่อเย็นวันที่ 10 ธันวาคม 2568 ที่สนาม “วีเอส สปอร์ตคลับ แอนด์ สยามโปโลปาร์ค” อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ทีมชาติไทยทุกคนตั้งใจทำเต็มที่เพื่อสร้างผลงานให้คนไทยและประเทศชาติภาคภูมิใจ
ในนามนักกีฬาของสมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย ขอเชิญแฟนกีฬาชาวไทยร่วมส่งกำลังใจเชียร์ทัพนักกีฬาขี่ม้าโปโลทีมชาติไทยชุดนี้ พร้อมจะลุยซีเกมส์ ชิงเหรียญทองที่ 2 ประเภท Handicap 4–6 Goals เริ่มรอบแรก 13 ธันวาคม มีกำหนดชิงชนะเลิศวันที่ 19 ธันวาคม 2568
ส่วน “ผลการแข่งขันชิงเหรียญทองแรก” ประเภท Handicap 2–4 Goals ในซีเกมส์ ครั้งที่ 33 เมื่อเย็นวันที่ 10 ธันวาคม 2568 ทีมชาติไทยโชว์ผลงานอันงดงาม ทำให้เสียงเพลงชาติไทยดังกึกก้องสนามวีเอส สปอร์ต คลับ แอนด์ สยามโปโลปาร์ค และทั่วประเทศ ด้วยการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่ดวลกันอย่างดุเดือดสนุกสนานแล้วก็สามารถเอาชนะทีมชาติบรูไน ด้วยสกอร์ 7.5 : 0 ประตู
สำหรับทีมผู้เล่นชุดหลักของไทยรอบชิงชนะเลิศเหรียญทองแรก ประกอบด้วย อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา, อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา, ธนาศิลป์ เชื้อวังคำ และ ณัฐพงศ์ ประทุมลี โดยทีมไทยมี ณัฐพงศ์ โชว์ฟอร์มโดดเด่นยิงคนเดียว 4 ประตู อัยยวัฒน์ ยิงเพิ่ม 2 ประตู และ อภิเชษฐ์ ทำประตูปิดท้ายก่อนหมดเวลาอีก 1 ประตู พาไทยครองเกมเหนือชั้นก่อนคว้าเหรียญทองประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ
“ขี่ม้าโปโลทีมชาติไทย”
ลงสนามแข่งขันระดับ Handicap
4–6 Goals จะพบกับ ทีมชาติบรูไน นัดแรก 13 ธันวาคม
2568 สนามวีเอส สปอร์ตคลับ แอนด์ สยามโปโลปาร์ค (VSSC)
รับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง YouTube:
Thailand Polo Association
ร่วมเป็นพลังเชียร์ทีมชาติไทยคว้าเหรียญทองที่ 2 มาครองให้สำเร็จอีกครั้ง
ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ซีเกมส์ให้โลกจำ
ข่าวที่ 2 -คิงเพาเวอร์“THE POWER GIFTIVAL”ช้อปคราฟท์ไทย-4ม.ค.69
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ชวนฉลองเทศกาลความสุข “KING POWER CELEBRATION 2026 THE POWER GIFTIVAL” ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เริ่มตั้งแต่วันนี้-4 มกราคม 2568 มุ่งสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนไทยและยกระดับคุณค่างานคราฟต์หรือหัตถกรรมท้องถิ่นสู่ความยั่งยืน ผ่านมหกรรม “Giftival Market” และ “Thai Workshop” ภายใต้แนวคิด “เรียนรู้–ลงมือทำ–เข้าใจคุณค่า” ผสานหลักคิด Circular Design ตอบโจทย์ “เทรนด์ของขวัญปีใหม่” ด้วยคุณค่าเสน่ห์ไทย พร้อมกับนำเสนอไฮไลท์ “ต้นคริสต์มาสสไตล์ไทยโมเดิร์น” ตกแต่งด้วยผ้าขาวม้าและผลิตภัณฑ์คราฟต์จากชุมชนทั่วประเทศกว่า 10,000 ชิ้น โชว์พลังเชื่อมโยงวัฒนธรรม ชุมชน และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในช่วงเทศกาลปลายปี 2568
“คิง เพาเวอร์” ให้ความสำคัญกับการยกระดับชุมชนไทยที่ยั่งยืนด้วยการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นอย่างมีคุณค่า พัฒนาทักษะด้านการออกแบบร่วมสมัย สร้างรายได้กลับสู่ท้องถิ่น และเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ บนพื้นที่จริงภายในงาน Giftival Market เป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าได้เลือกซื้อของขวัญอัตลักษณ์ไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นรูปธรรม
ปีนี้ใช้ “ต้นคริสต์มาสแห่งการเชื่อมโยง” เป็นสัญลักษณ์ถ่ายทอดความร่วมมือระหว่าง คิง เพาเวอร์ กับชุมชน ผ่านงานฝีมือจากหลายจังหวัดกว่า 10,000 ชิ้น เช่น ตุงไส้หมูและตุงไส้หมูแวววาวจากเชียงใหม่ ตุงผ้า 12 นักษัตรและผ้าขาวม้าจากราชบุรี ตุ๊กตาม้าจากมหาสารคาม ล้วนสะท้อนถึงภูมิปัญญา และทักษะฝีมืออันละเอียดประณีตของชุมชนไทยอย่างทรงพลัง
ปี 2568 คิง เพาเวอร์ เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสคราฟท์ไทยจากแหล่งกำเนิดภูมิปัญญา ผ่าน “Thai Workshop” ระหว่างวันที่ 18–28 ธันวาคม 2568 เวลา 12:00–17:00 น. โดยมีผู้ประกอบการร่วมถ่ายทอดทักษะอย่างใกล้ชิดของแบรนด์ยอดนิยมจาก 6 ชุมชน ได้แก่
1.แบรนด์ Pahkahmah Thailand ชวนประดิษฐ์ “ม้าโชคดี” จากเศษผ้าขาวม้า 2.แบรนด์ Nineshop99 ทำเพ้นท์พวงกุญแจ 3. ดอยซิลเวอร์ จังหวัดน่าน ทำเครื่องประดับเงินกับช่างฝีมือ 4.แบรนด์ PRIMA PEARL โชว์การประกอบสร้อยไข่มุก 5.แบรนด์ เชียงใหม่ ศิลาดล ถ่ายทอดการเพ้นท์เซรามิกศิลาดล 6.แบรนด์บ้านช้างดีไซน์ ชลบุรี นำเสนอการประดิษฐ์เครื่องประดับหิน
หัวใจสำคัญงานปีนี้เปิดพื้นที่ให้ชุมชนได้ “เล่าเรื่องด้วยตัวเอง” เพราะเสียงจากผู้ประกอบการสะท้อนถึงผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนที่จับต้องได้ ทั้ง Giftival Market และ Thai Workshop จึงเป็นพื้นที่สร้างโอกาสเชื่อมงานฝีมือไทยเข้ากับตลาดจริง สร้างช่องทางตรงให้ชุมชนเข้าถึงผู้บริโภค เพิ่มรายได้ พัฒนาทักษะการออกแบบ และต่อยอดคุณค่าทางวัฒนธรรม และช่วยผลักดันคราฟท์ไทยให้ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ด้วยเทรนด์ความยั่งยืนอย่างลงตัว
มหกรรมงาน “KING POWER CELEBRATION 2026 THE POWER GIFTIVAL” พร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อน “โซเชียล อิมแพ็ค” ให้เกิดขึ้นจริง สอดคล้องกับสิ่งที่ คิง เพาเวอร์ ทำมาตลอดกว่า 30 ปี ทั้งการคัดสรรสินค้าไทยเข้าสู่ร้านค้า การจัดพื้นที่ให้ชุมชนได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ การให้คำปรึกษาและพัฒนาสินค้าร่วมสมัยและได้มาตรฐาน ตลอดจนยกระดับผู้ประกอบการก้าวสู่ตลาดสากล ผ่านองค์ความรู้ด้านการออกแบบ บรรจุภัณฑ์ การตลาด มุ่งสนับสนุนทุกชุมชนเติบโตอย่างยั่งยืน
ไฮไลต์สำคัญ “คิง เพาเวอร์” เปิดช่องทางและโอกาสให้ “ชุมชน” นำสินค้ามาร่วมเสนอขายผ่านทั้งออฟไลน์และออนไลน์ และวิเคราะห์ยอดขายเพื่อพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ได้ส่งเสริม “ผู้ประกอบการไทย” กว่า 351 ราย ให้มีโอกาสนำเสนอผลงานโดยตรงต่อผู้บริโภค สามารถผลักดันสินค้าไทยหลากหลายประเภท ตั้งแต่ อาหาร สุขภาพและความงาม แฟชั่น แอ็กเซสซอรี่ ของตกแต่งบ้านและของที่ระลึก มาวางขายในร้านค้าดิวตี้ฟรี ร้านแท็กซ์ฟรี บริเวณคอมเพล็กซ์ คิง เพาเวอร์ และสนามบินหลัก ๆ ทั้ง สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต
ตอกย้ำถึง
“ความยั่งยืนต้องเกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน” โดย “คิง เพาเวอร์”พร้อมเดินหน้าผลักดันคราฟท์ไทยและสินค้าชุมชนเติบโตในตลาดกว้างมากขึ้น
พร้อมผลักดันการเรียนรู้และพัฒนาผู้ประกอบการต่อเนื่องต่อไป
ทำให้เสน่ห์ภูมิปัญญาไทยครองใจตลาดทั่วโลก
ข่าวที่ 3-Festiveที่คิงเพาเวอร์รางน้ำLucky Fansช้อปของขวัญ11วัน
คิง เพาเวอร์ จัดอลังปังแน่นอน “FESTIVE” ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ มอบความสุขต่อเนื่อง 11 วัน
ส่งท้ายปี ระหว่าง 18-28 ธันวาคม 2568 คึกคักไม่มีเหงา! กับเหล่า SECRET
SANTA FAMILY รวมตัวพร้อมใจกันมาแจกความสุข
การันตีความสนุกแบบเวอร์เตรียมตัวไปช้อปของขวัญและร่วมสนุกเป็น 1 ใน 50 LUCKY FANS
สมาชิก POWER PASS ร่วมสนุกกับการช้อปสินค้าภายใน คิง เพาเวอร์
ยอดซื้อทุก 500 บาท จะเท่ากับการได้ร่วมสนุก 1 สิทธิ์
ลำดับที่ 1-10 ได้สิทธิ์ รับของที่ระลึกและถ่ายรูปกับศิลปิน และของ Giftival Box จากคิงเพาเวอร์
ลำดับที่ 11-25 ได้สิทธิ์ ถ่ายรูปโลพารอยด์พร้อมลายเซนต์ศิลปิน พร้อมของ Giftival
Box จากคิงเพาเวอร์
ลำดับที่ 26-50 ได้สิทธิ์ ถ่ายรูปหมู่กับศิลปิน และของ Giftival Box จากคิงเพาเวอร์
● วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม 2568 พบกับศิลปินในดวงใจ เต ตะวัน, นิว ฐิติภูมิ และโพก้าซัง
● วันที่
25 ธันวาคม 2568
พบกับ ปอนด์ ณราวิชญ์, ภูวิน ภูวินทร์ และเพิ่มพูน
ห้ามพลาด !! สนุกกับกิจกรรมอื่น ๆ ภายในงานอีกมากมาย อย่างเช่น
● ช้อปครบ
25,000 บาท/ใบเสร็จ ได้คนละ 1 สิทธิ์/วัน
จะได้คีบตู้โอเวอร์ไซต์ลุ้นของรางวัลใหญ่แบบเวอร์
● ช้อปครบ
8,000 บาท/ใบเสร็จ รับ 1 สิทธิ์ ครบ 15,000
บาท/ใบเสร็จ หรือ 20,000 บาท/ใบเสร็จ
ช้อปครบแต่ละยอด จะได้คีบฟรีการันตีได้รางวัลแน่ มีมากวันละ 300 สิทธิ์
● สมาชิก
POWER PASS ร่วมสนุกฟรี กับการทำเวิร์คช้อปสุดพิเศษ
“คุกกี้ขิงสุดคิวท์” ตลอดงาน 18-28 ธันวาคม 2568
พบขบวนพาเหรดของขวัญสุดหรรษาที่จะมาส่งต่อความสุขเวอร์
เหมือนยกตุ๊กตาในตู้คีบให้ออกมามีชีวิตจริงตลอด 11 วันนี้
ข่าวที่ 4-ททท.ร่วมTourism For All Expo 2025หนุนเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดเผยว่า ร่วมกับมูลนิธิอารยสถาปัตย์ แถลงการจัดงาน “Thailand
Friendly Design & Tourism for All Expo 2025” หรือ
“มหกรรมอารยสถาปัตย์” ครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่
11-14 ธันวาคม 2568 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เพื่อขับเคลื่อนแนวคิด
“การเข้าถึงอย่างเท่าเทียม” Equal Access for All ขับเคลื่อนสังคมสูงวัยและยกระดับคุณภาพชีวิต
ส่งเสริมธุรกิจไมซ์และการท่องเที่ยวเพื่อทุกคน (Active Aging, Longevity,
MICE & Tourism for All) ตั้งเป้าดึงดูดคนเดินทางมาท่องเที่ยวงานกระจายรายได้ให้ผู้ประกอบการอย่างทั่วถึง
ททท.พร้อมส่งเสริมงานนี้ให้สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ
ตามคอนเซปต์ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เดินหน้ายกระดับไทยก้าวสู่ 4 เป้าหมาย คือ 1.ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ 2.เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 3.เมืองไมซ์เพื่อทุกคน
และ 4.เมืองท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล
โดยให้ความสำคัญกับการสร้างความเท่าเทียม
เป็นองค์กรที่ร่วมผลักดันประเทศไทยในอนาคตให้เป็นจุดหมายปลายแห่งการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลทุกคนต้องมาเยือน
ภายในงาน
เตรียมจัดนิทรรศการให้ความรู้ จัดประชุม สัมมนา
การแสดงสินค้าและบริการเพื่อคนทั้งมวลที่น่าสนใจ เช่น
● นิทรรศการให้ความรู้
เรื่องอารยสถาปัตย์และการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Frendly
Design and Tourism for All Learning Corner)
● การประชุมอาเซียนและนานาชาติ เพื่อการขับเคลื่อนอารยสถาปัตย์
ธุรกิจโรงแรม และการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล หรือ Friendly Design
Hotels, MICE, and To ASEAN-International Conference (FTIC)
● การแนะนำเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism
for All)
ททท.ได้เชิญผู้ประกอบการ 10 ราย ที่ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism
Awards) ครั้งที่ 15 ประจำปี 2568 มอบสิทธิประโยชน์ด้วยการให้นำสินค้ามาร่วมออกบูธประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการ
ร่วมมือกันสนับสนุนการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล
ครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของ
ททท.ด้านการพัฒนาและยกระดับศักยภาพประเทศไทย โดยผนวกการท่องเที่ยวเข้ากับเรื่องสุขภาพ
health and wellness รองรับผู้มาเยี่ยมเยือน
ร่วมสร้างคุณค่าที่ดีขึ้นก้าวไปพร้อมกันทั้งในระบบสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
ข่าวที่ 5-กลุ่มบางจากเปิดBCPT FZCO
ดูไบลุยเทรดน้ำมันตลาดอินเตอร์
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้เปิดสำนักงาน BCPT
FZCO ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BCP Trading Pte. Ltd.
(BCPT) ที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มุ่งเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจการค้าน้ำมันในเวทีโลก
ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางตำแหน่งธุรกิจการค้าน้ำมัน (Trading) เพิ่มบทบาทเชิงกลยุทธ์มากขึ้น
ในฐานะประธานกรรมการ BCPT ได้เดินทางไปเยี่ยมสำนักงาน BCPT FZCO พร้อมด้วยนางสาวกิตติมา
วงศ์แสน นายณัฐ ภู่อารีย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น
จำกัด (มหาชน) และกรรมการ BCPT พร้อมกับพบปะลูกค้าและหน่วยงานพันธมิตรในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เพื่อหารือโอกาสขยายธุรกิจในภูมิภาค เพิ่มบทบาทเชิงรุก
เสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจการค้าน้ำมัน รองรับการซื้อขายพลังงานระดับโลกเติบโตต่อเนื่อง
“BCPT
FZCO” ตั้งขึ้นในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เมื่อพฤษภาคม
2568 เพื่อเป็นฐานดำเนินงานขยายตลาดพลังงานสู่ตะวันออกกลาง แอฟริกา
เมดิเตอร์เรเนียน ลาตินอเมริกา และประเทศในซีกโลกตะวันตก กลุ่มบางจากจะใช้สำนักงานแห่งใหม่นี้ช่วยให้เข้าถึงแหล่งผลิตสำคัญ
สร้างความร่วมมือกับบริษัทน้ำมันแห่งชาติและบริษัทชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมพลังงาน
ตลอดจนเพิ่มความคล่องตัวในการจัดหา การซื้อขาย
และการบริหารโลจิสติกส์ในห่วงโซ่อุปทานระดับสากลได้อย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น
สอดคล้องตามกลยุทธ์
“Accelerating Bangchak 100x” ที่กลุ่มบริษัทบางจากประกาศเมื่อปลายเดือนกันยายน 2568 มุ่งเพิ่มความสามารถสร้างรายได้เดินหน้าเติบโตอย่างยั่งยืน
พร้อมปรับโครงสร้างธุรกิจเป็น 5 กลุ่มหลัก เริ่ม 1 มกราคม 2569
เพื่อจัดวางบทบาทให้แต่ละหน่วยธุรกิจสามารถขับเคลื่อนรายได้ได้อย่างเต็มกำลัง
และแข่งขันได้ในตลาดพลังงานโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
ภายใต้โครงสร้างใหม่
“กลุ่มธุรกิจการค้าน้ำมัน” จะยกระดับจากบทบาท “สนับสนุน” กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน
ให้เป็นหนึ่งในธุรกิจหลักสร้างรายได้และโอกาสเชิงพาณิชย์จากตลาดต่างประเทศมากขึ้น
ช่วยให้กลุ่มบริษัทบางจากมีระบบบริหารการจัดหาและการค้าพลังงานที่ยืดหยุ่น
ทันต่อความผันผวนของตลาด พร้อมต่อยอดการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ข่าวที่
6-บางจากถอนBSRCลุยส่งหุ้นใหม่เทรดแล้วชูบริหารOne Team
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท
บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัท บางจากฯ
ปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการของกลุ่มบริษัท
หลังสิ้นสุดระยะเวลาทำคำเสนอซื้อ บริษัทฯ ถือหุ้น บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด
(มหาชน) หรือ BSRC ในสัดส่วน 99.72 % พร้อมทั้งได้ดำเนินการเพิกถอนหุ้น BSRC ทั้งหมดจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
โดยมีวันซื้อขายสุดท้าย (Last Trading Day) เมื่อ11 ธันวาคม 2568 จากนั้นวันที่ 12 ธันวาคม 2568
หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ภายหลังการเพิกถอนหุ้น BSRC จากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนครั้งนี้
จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจโรงกลั่นและการตลาด
ของกลุ่มบริษัทบางจาก พร้อมสร้างโอกาสใช้ประโยชน์ Synergy ภายใต้แนวคิด “One Team” มุ่งยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานร่วมกันอย่างราบรื่นและต่อเนื่องทั้ง
2 โรงกลั่น
ผนวกแผนปรับปรุงการบริหารจัดการสถานีบริการน้ำมัน
อัตรากำลังคน ค่าใช้จ่ายดูแลสถานีบริการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องตามการปรับโครงสร้างบริหารใหม่กำลังเริ่ม
1 มกราคม 2569 รวมการบริหารกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการตลาด (Refinery
& Marketing) เข้าด้วยกันทั้ง 2 บริษัท
และแยกธุรกิจการค้าน้ำมัน (Oil Trading) เพื่อให้ธุรกิจการค้าน้ำมันเดินหน้าดำเนินงานเฉพาะด้านและบรรลุเป้าหมายการเติบโตให้สูงขึ้น
กลุ่มบริษัทบางจาก
ยังได้มุ่งสู่ความเป็นเลิศในการดำเนินงาน ยกเลิกงานซ้ำซ้อน
ลดต้นทุนจากการแทนที่ด้วยการให้บริการแบบ Shared
Services ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันโดยรวมของกลุ่มบริษัทบางจาก
คาดจะสามารถรับรู้ผลประโยชน์จากการลดค่าใช้จ่ายลงกว่า 200 ล้านบาท/ปี เพิ่มเติมจากรอบ9 เดือนแรกปี 2568 รับรู้ EBITDA Synergy ไปแล้วกว่า 5,000 ล้านบาท
ช่วงที่ 2 ได้เวลาออกเดินทางไปชมดอกไม้สวยบนดอยสูงในแม่ริม จ.เชียงใหม่
ททท.ชี้เป้าต้องห้ามพลาด 2 พิกัด “ยิ่งยงสวนดอกไม้” กับ
“กู๋เนียร์ ไฮเดรนเยีย” จะค้างคืนหรือไปใช้เย็นกลับก็ดีต่อใจทุกทริป แล้วฟัง “5ผักผลไม้กินแล้วอายุยืน” ฟังข่าวดี ๆ ข่าวแรก “TCEBทำสำเร็จปี68นำไทยคว้าไมซ์โลก 30งาน” ข่าวที่สอง
“อพท.”สร้างประวัติศาสตร์ใช้มาตรฐานท่องเที่ยวยั่งยืน STMS เทียบชั้น
GSTC
ท่องเที่ยว –เที่ยวฟินสวนดอกไม้ดอยสูงเชียงใหม่“ยิ่งยง-กู๋เนียร์ไฮเดนเยีย”
หนาวนี้เป็นช่วงเวลาที่ดอกไม้ในเมืองไทยบนดอยสูงภาคเหนืออย่าง
อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ พร้อมใจกันผลิบานสวยงามสุด ๆ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ชวนนักท่องเที่ยวได้ลองเช็คอินพื้นที่ใกล้กัน 2 สวน อ “ยิ่งยงสวนดอกไม้-กู๋เนียร์
ไฮเดรนเยีย เดินทางเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับได้
หรือค้างคืนตามรีสอร์ตบริเวณดอยม่อนแจ่มหรือพื้นที่อื่นใกล้เคียงก็ได้อีกเช่นกัน
พิกัดที่ 1 ยิ่งยงสวนดอกไม้
ดอยม่อนแจ่ม ตำบลแม่แรม อยู่บนดอยสูง มองเห็นทัศนียภาพรอบทิศ
360 องศา เป็นแหล่งพันธุ์ไม้หลักที่ทางสวนปลูกไว้ให้ชมและถ่ายภาพ
คือ “ซัลเวีย” ดอกมีสีแดงสดใส และบางช่วงเวลาจะมี “ลาเวนเดอร์” ดอกสีม่วงให้ได้ชมด้วย
ในสวนมีคาเฟ และร้านขายของชำเล็ก ๆ ให้บริการ
“เปิดให้เข้าชม” ช่วงสิงหาคม-มีนาคม ของทุกปี
เริ่มตั้งแต่ 06.00-18.00
น.
“ค่าเข้าชม” คนไทย ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 30 บาท ต่างชาติ 100 บาท บัตรค่าเข้าสวนให้นำไปใช้เป็นส่วนลดเครื่องดื่มที่คาเฟ่ของทางสวนได้
โทร. 06 1318 7181 Yingyong flower garden - ยิ่งยงสวนดอกไม้
พิกัดที่ 2 กู๋เนียร์ ไฮเดรนเยีย ดอยม่อนแจ่ม ตำบลโป่งแยง เลือกปลูกไฮเดรนเยียบริเวณไหล่เขาลดหลั่นแบบขั้นบันได
แลนด์สเคปสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ในสวนมีบริการคาเฟ่ หน้าทางเข้าสวนก็มีกิจกรรม “เวิร์คช้อป”
หมุนเวียนมาให้นักท่องเที่ยวลองทำเช่น ร้อยลูกปัด และอื่น ๆ
“เปิดเข้าชม” พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ของทุกปี ตั้งแต่ 07.30-17.00 น.
“ค่าเข้าชม”
คนละ 150 บาท
(รวมค่าบริการรถรับส่งไว้แล้ว และบัตรเข้าชมสวน 1 ใบ
สามารถนำไปใช้เป็นส่วนลดค่าอาหารและเครื่องดื่มในคาเฟ่ของทางสวนได้ 20 บาท
สุขภาพ –5ผักผลไม้กินแล้วอายุยืนมีงานวิจัยช่วยป้องกันได้สารพัดโรค
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ได้รับคุณค่า
ช่วยเสริมสร้างความสมดุลระบบภายในร่างกาย ทั้งหลอดเลือด หัวใจ สมอง
ระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ร่างกายเกิดโรคร้ายแรงได้มากขึ้น
ลองอาหารรับประทานแล้วอายุยืน 5 ชนิด
1.ผักและผลไม้หลากสี
-มีผลวิจัยยืนยันคนที่รับประทานทานผักและผลไม้มีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาว
จากสารอาหารที่มีประโยชน์ในผลไม้และผักทุกชนิดดีต่อร่างกาย เช่น ต่อต้านอนุมูลอิสระ
ช่วยขับถ่ายป้องกันท้องผูก ในผักมีกากใยสูงให้พลังงานต่ำ ช่วยลดน้ำหนักได้
2. ดาร์กช็อกโกแลต -นักโภชนาการผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนัก
ชี้ถึงการรับประทานดาร์กช็อกโกแลต 20 นาทีก่อนและ 5 นาทีหลังอาหาร ช่วยลดความอยากอาหารของคนได้ถึง 50%
รวมทั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดวิจัยพบว่าคนกินดาร์กช็อกโกแลตจะมีอายุยืนยาวกว่าคนที่ไม่ได้กิน
และมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรลดลง 36 % เพราะในเมล็ดโกโก้เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้
3. ชาเขียว -อุดมด้วยฟลาโวนอยด์มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย
ช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ช่วยควบคุมความดันโลหิต เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน
ช่วยลดความเสี่ยงเป็นมะเร็ง ลดคอเลสเตอรอล
มีผลการศึกษาวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างชาวญี่ปุ่นกว่า 40,000 คน
นาน11 ปี พบผู้ดื่มชาเขียว 5 ถ้วย/วัน
มีอัตราเสียชีวิตต่ำกว่าผู้ดื่มเพียงวันละหนึ่งแก้ว
4.กระเทียม -มีหลักฐานหลายชิ้นทางการแพทย์พบว่ามีสารประกอบ 10 ชนิด ช่วยต่อต้านมะเร็ง
พร้อมสารประกอบเสริมภูมิคุ้มกันช่วยการสลายสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น Diallyl
Sulphide จากการวิจัยพบว่าผู้ที่กินกระเทียมเป็นประจำมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารน้อยกว่าผู้ที่กินเพียงเล็กน้อยถึง
50%
5.แครนเบอร์รี่ -ผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
ต้านการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน เต็มไปด้วยสาร Phytonutrients
ยิ่งในร่างกายมีสารชนิดนี้มากก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
รวมถึงมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์พบในผลไม้สีแดงและผลเบอร์รี่
ช่วยต่อต้านโมเลกุลที่ก่อให้เกิดมะเร็ง การศึกษาของ Cornell
University ในนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
นักวิจัยได้ทดสอบสารสกัดจากแครนเบอร์รี่ในเซลล์มะเร็งเต้านมของมนุษย์พบว่าเซลล์มะเร็งเริ่มตายเมื่อเวลาผ่านไป
4 ชั่วโมง
แล้วแครนเบอร์รี่ยังช่วยเพิ่มความอร่อยให้อาหารในหลายชนิดด้วย
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก –TCEBทำสำเร็จปี68นำไทยคว้าสิทธิ์จัดไมซ์โลกหมื่นล้าน30งาน
ดร. ศุภวรรณ ตีระรัตน์
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่าตลอดปีงบประมาณ 2568 ทีเส็บนำไทยเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำความต้องการจัดงานไมซ์และเมกะอีเวนท์
ซึ่งสามารถดึงงานอีเวนท์ขนาดใหญ่ระดับนานาชาติเข้ามาจัดได้รวม 30 งาน ครอบคลุมกิจกรรมไมซ์และเมกะอีเวนท์ มีบางงานเตรียมจัดงานปี 2572 ตอกย้ำถึงพันธมิตรนานาชาติมีความเชื่อมั่นในระยะยาว
และสามารถแสดงพลังระบบนิเวศน์ไมซ์ของไทยอันแข็งแกร่ง
ด้วยวิธีบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์
“ทีเส็บ” มีผลการดำเนินงานตลอดปีงบประมาณ 2568 คว้าสิทธิ์จัดงานนานาชาติขนาดใหญ่ 30 งาน ตอบโจทย์วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์องค์กรและขีดความสามารถของไทยในฐานะเจ้าภาพจัดงานไมซ์และเมกะอีเวนท์ระดับนานาชาติ
รวมทั้งเป็นข้อพิสูจน์ของนานาชาติให้ความเชื่อมั่นเมืองไย ส่วนทีเส็บก็มีความมุ่งมั่นใช้อุตสาหกรรมไมซ์เป็นกลไกขับเคลื่อนพัฒนาวิชาชีพ
ส่งเสริมภาคธุรกิจและเศรษฐกิจเติบโตภาคธุรกิจ และยกระดับภาพลักษณ์กับบทบาทของไทยระยะยาวในเวทีโลก
ปีงบประมาณ
2568 (ตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) ภาพรวมประเทศไทยคว้าสิทธิ์เป็นเจ้าภาพจัดงานนานาชาติรวมทั้งสิ้น
30 งาน มีผู้เข้าร่วมรวม 109,000 คน
คาดจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 9,845 ล้านบาท พร้อมทั้งความสำเร็จคว้างานระดับนานาชาติในอุตสาหกรรมไมซ์ครบทุกภาคส่วน
คือ 1.การประชุม (Meetings) 2.การเดินทางเพื่อเป็นรางวัล
(Incentives) 3.การประชุมนานาชาติ (Conventions) 4.การจัดแสดงสินค้า (Exhibitions) 5.งานเมกะอีเวนท์
(Mega Events)
ปี 2569
จะจัดต่อเนื่องตลาดงาน “การประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล”
(MI) ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัด
● งานที่
1 Amway Leadership Seminar เดือนมีนาคม–เมษายน
2569 ในกรุงเทพฯ จะมีผู้เข้าร่วมจากสาธารณรัฐประชาชนจีนกว่า 10,000 คน แบ่งเป็น “การประชุมนานาชาติ (C :Convention)
กับงาน International Dragon Award Annual Conference 2027 ที่กรุงเทพฯ คาดจะมีผู้เข้าร่วมจากต่างประเทศราว 7,500 คน
● งานที่
2 แแสดงสินค้า (E :Exhibition) Gastech 2026 ที่กรุงเทพฯ คาดจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 50,000
คน
● เมกะอีเวนท์อีก
2 งาน ที่ไทยได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าภาพ ได้แก่ 1.เจ้าภาพอีเวนต์การแข่งขัน Spartan SUPER World
Championship ระหว่างปี 2569–2571 โดยจังหวัดเชียงราย คาดจะมีนักกีฬาและผู้เข้าร่วมรวม
60,000 คน จากทั่วโลก 50 ประเทศ 2.งาน Tough
Mudder ที่พัทยา คาดจะดึ’ผู้เข้าร่วมงานได้ราว
16,000 คน
รวมทั้งมีงานประชุมนานาชาติอีกหลายรายการ
แต่ละงานคาดจะดึงต่างประเทศผู้เข้าร่วมมากกว่า 1,000
คน เช่น
● งาน WBC
Annual Convention ครั้งที่ 63 และงาน WBC
Muaythai Convention ครั้งที่ 1 รวมกันจะมีผู้เข้าร่วมประมาณ 2,000 คน
● งานประชุมสหพันธ์สมาคมเภสัชกรรมแห่งเอเชีย
ครั้งที่ 31 (FAPA 2026) คาดจะมีผู้เข้าร่วมประมาณ 2,000 คน
● งานประชุม Asian
Pacific Orthodontic Congress (APOC 2028) คาดจะมีผู้เข้าร่วม
1,200 คน
● งานประชุม World
Society for Reconstructive Microsurgery 2029 (WSRM 2029) คาดจะผู้เข้าร่วมประมาณ 1,500 คน
ข่าวที่สอง –อพท.ทำสำเร็จนำมาตรฐานยั่งยืนSTMSเทียบชั้นโลกGSTC
นายศิริปกรณ์
เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
(องค์การมหาชน) “อพท.” เปิดเผยว่า
อพท.ประสบความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ด้านส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานการจัดการการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
(Sustainable Tourism Management Standard: STMS) เป็น
“มาตรฐานฉบับแรกของประเทศไทย”
ที่ได้รับรองว่าเทียบเท่ากับหลักเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวของสภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก
(Global Sustainable Tourism Council: GSTC) จึงตั้งเป้าหมายจะพลิกพลังท้องถิ่นสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโดยใช้“STMS”
บันไดทองเชื่อมไทยสู่มาตรฐานโลกในอนาคตด้วย
อพท.ได้สร้าง
STMA ขึ้นเอตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กร
ซึ่งพร้อมจะใช้มาตรฐานระดับโลกนี้
เป็นกลไกหลักบริหารจัดการการท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษของไทย
ขับเคลื่อนผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ให้ทำหน้าที่เป็นองค์กรจัดการด้านการท่องเที่ยว (Destination Management
Organization: DMO) ต้นแบบ
ตามทิศทางในอนาคต
ก้าวสู่ระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่เข้มแข็งอย่างแท้จริง
“ระยะต่อไป”
อพท.จะเร่งพัฒนามาตรฐาน STMS ให้เท่าทันทิศทางการท่องเที่ยวของโลก
และสนับสนุนให้ อปท.ในฐานะองค์กร DMO นำมาตรฐานไปใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในเชิงปฏิบัติอย่างแท้จริง
เชื่อมั่นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนคือรากฐานเมืองที่มีคุณภาพ และ
อพท.พร้อมจะทำงานเคียงข้างองค์กรท้องถิ่นทั่วประเทศ
เพื่อสร้างระบบนิเวศการท่องเที่ยวที่เข้มแข็ง เป็นธรรม และยั่งยืน
นำพาประเทศไทยก้าวสู่จุดหมายปลายทางที่เติบโตอย่างมีคุณภาพและ
“ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.






%202.jpeg)


