ผู้นำททท.เปิดไทม์ไลน์โกยเงิน1.73-2.38ล้านล้านปี’66 ยุทธการ“ล็อกเป้าตลาดโลก+SavePartner+เสิร์ฟประสบการณ์” ยุคใหม่ต่างชาติใช้เงินพุ่ง2เท่าเฉียด8หมื่นบาท/คน/ทริป
ผู้นำททท.เปิดไทม์ไลน์ท่องเที่ยวโกยเงิน1.73-2.38ล้านล้านปี’66
ยุทธการ“ล็อกเป้าตลาดโลก+SavePartner+เสิร์ฟประสบการณ์”
ยุคใหม่ต่างชาติใช้เงินเที่ยวไทยพุ่ง2เท่าเฉียด8หมื่นบาท/คน/ทริป
คิงเพาเวอร์ผนึกTrueMove H Tourist SIMช้อปทั่วไทยลด 20 %
เปิดแล้ว!!‘คริสเตียนดิออร์’บูติกนักเดินทางแห่งใหม่ในสุวรรณภูมิ
คิงเพาเวอร์ชู“GREATTravelEssentials”ช้อปออนไลน์ลด50+25%
ททท.ดันกลยุทธ์ใหม่5Newsรุกตลาดโลกใกล้ไกลโกย9.7แสนล้าน
“TCEB”ดึงยูนิซิตี้ทั่วโลกประชุมในไทย3วันสร้างเงิน660ล้านบาท
บางจากร่วมเสวนา“APEC&BusinessSustainability”หนุนBCG
ชวนสายมูทัวร์บุญวัดพระปฐมเจดีย์ชมชิมตลาดโต้รุ่ง-ดอนหวาย
ดื่มชา7ชนิดช่วยผ่อนคลายดีท็อกซ์ร่างกายป้องกันโรคดื่มได้ทุกวัน
บมจ.ดุสิตธานีเร่งระดมเงินชิงออกหุ้นกู้นักลงทุนใหญ่จ่ายดอก8%
การบินไทยผนึกMQDCเจาะลูกค้าเศรษฐีอสังหาไทย&ต่างชาติ
วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม 2565 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #TCEB #บางจาก #
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้...
ช่วงที่ 1 เปิดไทม์ไลน์ท่องเที่ยวฟื้นเศรษฐกิจกับ “ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร”
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปี’66
ประเทศไทยต้องได้ 1.73-2.38 ล้านล้านบาท ด้วย 3 อาวุธใหม่ “เปลี่ยนแนวขายหันเสิร์ฟเมนูประสบการณ์แทนโปรดักซ์แคตาล็อก+ล็อกเป้าให้โดนเซกเมนท์จริง+Save Partner พยุงพันธมิตรฟื้นธุรกิจกลับมายืนหนึ่งเคียงข้างกัน”
นำไทยก้าวสู่ประเทศท่องเที่ยว “มูลค่า/คุณค่าสูงและยั่งยืน” เร่งกระตุ้น “ตลาดต่างชาติ”
ใช้เงินเพิ่มอีกเท่าตัว เฉลี่ย 77,000 จากเดิม 47,000
บาท/คน/ทริป ส่วน “ตลาดในประเทศ” นำผู้นำ 12 สมาคมเข้าพบนายกรัฐมนตรีไฟเขียวโปรเจ็กต์
Booster Shot อนุมัติงบโด๊ปรายได้ช่วงรอยต่อปี65-66 ฟื้นเร็ว ผ่านมาตรการ A-B-C
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า
วางไทม์ไลน์การขับเคลื่อนทัพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังแถลงแผนตลาดการท่องเที่ยวปี 2566 ไปเรียบร้อยแล้ว
ตามปีงบประมาณพร้อมเริ่มเดินหน้าได้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565
เป็นต้นไป ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ 1.73 ล้านล้านบาท
และรายได้คาดการณ์แนวโน้มกรณีสถานการณ์ดีที่สุดไว้ 2.38 แสนล้านบาท
จะใช้การทำตลาดต่อเนื่องกระตุ้นหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกดีขึ้นตามลำดับ และในประเทศไทยคนรับวัคซีนป้องกันเพิ่มขึ้น
บวกกับรัฐบาลขยายปีท่องเที่ยวไทย Visit Thailand Year Amazing New Chapters
ครอบคลุมไปถึงตลอดปีหน้า 2566
ดังนั้น ททท.จะนำ “รายได้ท่องเที่ยว” ภาพรวมตลอดทั้งปี 2566 กลับสู่ระบบเศรษฐกิจประเทศให้ได้ 80 % ของสถานการณ์ปกติปี 2562 ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท โดยไม่ต้องรอเวลาจะมุ่งทำให้เดินทางได้แบบไร้ขีดจำกัดไม่ต้องรอฤดูเดินทาง (high season) อีกต่อไป และไม่ต้องเฝ้าจับตาตลาดสาธารณรัฐประชาชนจีน จะกลับมาเมื่อไร
โดยเฉพาะ “ตลาดต่างประเทศ” จะใช้กลยุทธ์ หันมามองรอบตัวใกล้ ๆ นักเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ มาเลเซีย สปป.ลาว เอเชียตะวันออก เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ซึ่งพร้อมจะเดินทางมาไทย
ขณะที่ “ยุโรป” อาจจะไม่ต้องรอไปจนถึงปลายปีนี้ เพราะรัฐบาลไทยให้มองหาประเทศอื่นซึ่งสามารถเข้ามาทันทีอย่างเช่น ตะวันออกกลาง เพื่อทำให้บรรลุเป้าหมายตามโจทย์ที่รัฐบาลมอบหมายให้ ททท.ทำ แล้วก็ต้องขอบคุณ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เดินทางไปฟื้นความสัมพันธ์กับซาอุดิอาระเบีย หลังจากนั้นปลายปีนี้ ททท.จะใช้งบประชาสัมพันธ์กระตุ้นนักเดินทางในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ทั้ง ซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ ดูไบ(สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) ททท.ทำเพิ่มเติมขึ้นมา ด้วยการสร้างการรับรู้ก่อน ต่อมาทำเรื่องสำคัญสุดภาพลักษณ์ของไทยได้ชื่อว่าเป็น Muslim Friendly Destination พยายามดึงทุกประเทศกลับมาเที่ยว
ผู้ว่าฯ
ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า การกำหนด “รายได้” ทำบนหลัก “การบริหารความเสี่ยง”
ตามตัวเลขเป้าหมาย 1.73 ล้านล้านบาท กับ
ตัวเลขคาดการณ์แนวโน้ม 2.38 ล้านล้านบาท
ซึ่งมีส่วนต่างกันอยู่ถึง 6.8 แสนล้านบาท นั้น ททท.ตั้งเป้าไว้
3 ฉากทัศน์ คือ 1.Best Case
กรณีสถานการณ์ภาพรวมดีที่สุด จะนำเข้านักท่องเที่ยว 30 ล้านคนสร้างรายได้
2.38 ล้านล้านบาท 2.Base Case กรณีฐานในสถานการณ์ปกติ
จะนำเข้านักท่องเที่ยว 18 ล้านคน 3.Worst Case กรณีสถานการณ์เลวร้ายสุด
จะนำเข้านักท่องเที่ยว 11 ล้านคน
เนื่องจากไม่สามารถรู้ได้ถึง
“แต่ละเหตุการณ์” จะเกิดขึ้นเมื่อไร เช่นตอนนี้อาจจะมีเรื่องเศรษฐกิจถดถอย
การแก้ปัญหาเงินเฟ้อในบางทวีปอาจจะส่งผลกระทบทางจิตวิทยาทำให้นักท่องเที่ยวจากประเทศเหล่านั้นชะลอการเดินทางมาไทย
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ ททท.พยายามจะทำให้ดีที่สุด
ส่วน “ปัจจัยบวก” จาก“ค่าเงินบาทอ่อน” ก็จะส่งผลดีให้เป็นหนึ่งในแรงดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างประเทศนำเงินมาแลกได้มูลค่ามากขึ้น เดินทางมาเที่ยวเมืองไทย ดูจากหลังยกเลิก Thailand Pass ไปตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565 เป็นต้นมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้าไทยวันละไม่ต่ำกว่า 30,000 – 35,000 คน
ขณะที่แผนปี
2566 ททท.ได้ชูกลยุทธ์ “High Value+Sustainable” ที่จะสามารถสร้างรายได้มากการท่องเที่ยวปกติทั่วไป
ตามหมุดหมายสอดคล้องกับแผนของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(ศสช.) และยุทธศาสตร์ชาติมุ่งสู่ “การท่องเที่ยวคุณภาพสูง”
บวกกับความตั้งใจของ
ททท.ด้วยที่อยากเห็นการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว ประเทศไทยจะไม่ต้องพึ่งพา
“จำนวนนักท่องเที่ยว” ปริมาณมาก ๆ อีกต่อไป แต่พึ่งพา “คุณภาพ” เป็นหลัก
สิ่งที่จะต้องเดินหน้าทำต่อจากนี้เป็นต้นไปตามแผนท่องเที่ยวปี 2566 คือ
เรื่องที่ 1 เปลี่ยนแนวทางวิธีส่งเสริมการขายท่องเที่ยวในตลาดโลก จาก Product Catalog เป็น Experience Menu เดิมมุ่งการขายตรงเรื่องแหล่งท่องเที่ยว เปลี่ยนเป็น “เสิร์ฟเมนูประสบการณ์ใหม่ ๆ” ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกหันมาสนใจเที่ยวเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น
เรื่องที่ 2 คัดเลือกกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายให้ตรงมากยิ่งขึ้น หรือ Segmentation เพราะ ททท.เชื่อว่า “นักท่องเที่ยวคุณภาพ” หมายถึงกลุ่มที่อยู่พำนักอยู่ในเมืองไทยนานวัน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มแรก Digital Nomad คือคนทำงานได้ทุกที่เที่ยวได้ทั่วโลก Retirement/คนเกษียนจากต่างประเทศเลือกไทยเป็นแหล่งพำนักระยะยาว Millionare/มหาเศรษฐี กลุ่มที่ 2 กลุ่มวัยต่าง ๆ อย่าง เจนวาย เจนซี (Gen Z) เบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเป็นตลาดเป้าหมายระดับไพรม์ รวมทั้งเป็นกลุ่มคนเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยบ่อย ๆ โดยไม่จำเป็นจะต้องมีจำนวนหรือปริมาณมาก ๆ
เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวดังกล่าวมาพำนักอยู่เมืองไทย จะส่งผลดีต่อการใช้จ่ายเงินครั้งละมาก ๆ เช่น เข้ามารักษาพยาบาล ดูแลสุขภาพ ฮันนีมูน ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างการทำตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศกลุ่มปกติทั่วไปโดยไม่ได้เน้นเซกเมนท์ให้ชัดเจน ตามสถิติปี 2562 มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 47,000 บาท/คน/ทริป แต่หาก ททท.เปลี่ยนกลยุทธ์หันมาทำตลาดแบบพุ่งเป้าหมายเจาะเซกเมนท์ให้ตรงตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวนานาชาติใช้จ่ายเงินในไทยได้ไม่ต่ำกว่า 60,000-77,000 บาท/คน/ทริป เกิดรายได้ใหม่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 20,000-30,000 บาท/คน/ทริป
มีตัวอย่างที่พิสูจน์ได้จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาตามมาตรการ
“ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” อยู่เมืองไทยนานวัน เฉลี่ย 67,000
บาท/คน/ทริป มีส่วนต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไปประมาณ 20,000-30,000
บาท/คน/ทริป
เช่นเดียวกันกับ
ไตรมาส 1 ปี 2565 ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวยุโรป
อเมริกา เข้ามาพำนักในไทย ค่าใช้จ่ายขยับขึ้นไปเป็น 77,000 บาท/คน/ทริป
ผู้ว่าฯ
ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ตามแผนปี 2566 ยังมีไฮไลต์เรื่อง “Save Partner” ซึ่งหมายถึงเครือข่ายพันธมิตรที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะต้องอยู่รอดปลอดภัย
ไม่ว่าจะเป็น สายการบิน บริษัทตัวแทนการท่องเที่ยว โรงแรม และอื่น ๆ ซึ่ง
ททท.เข้าใจดีหากสถานการณ์กลับสู่ปกติคลี่คลายดีขึ้นแล้ว
ททท.ต้องการคนเหล่านี้มาช่วยกันฟื้นฟูส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ประเทศไทย
ททท.จึงได้ทำเรื่อง
Save Partner ต่อเนื่องเป็น 1 ใน 3
สิ่ง โดยให้ความช่วยเหลือ กลับมาทำการตลาดร่วมกัน
แสดงความจริงใจกับพันธมิตร ตั้งแต่เกิดไวรัสโควิด-19 ไล่เรียงตามลำดับ
ช่วงที่ 1 ตอนเริ่มแพร่ระบาด
ททท.เน้นการตอกย้ำให้การท่องเที่ยวของประเทศไทยเป็น Top of Mind ของนักท่องเที่ยว ช่วงที่ 2 Kick of Sale บางพื้นที่ที่สามารถทำได้ ช่วงที่ 3 เริ่มเดินหน้าการตลาดขยายฐานกว้างมากขึ้นไปเรื่อย
ๆ
เช่น ตอนนี้สายการบินต่าง ๆ เผชิญความท้าทายเรื่อง “ตั๋วโดยสารราคาสูง” มีข้อจำกัดในการเดินทางเข้าออกประเทศ ททท.เองก็ต้องการให้สายการบินนำ “จำนวนที่นั่งผู้โดยสาร” กลับมา แล้วกระจายนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวเป้าหมาย หรือแม้แต่สายการบินในประเทศที่จะร่วมมือกันเพิ่มไทยเที่ยวไทย ก็ต้องหาวิธี คือ 1.สร้างการรับรู้ 2.ร่วมกันส่งเสริมการขายแพกเกจท่องเที่ยว 3.สนับสนุนงบประมาณทางการตลาด
สำหรับ
“ตลาดต่างประเทศ” ททท.ได้รับอานิสงหรือดอกผลจากการ Save
Partner มาตั้งแต่แรก ก่อนหน้านี้เคยมีโอกาสเดินทางไปตรวจเยี่ยม
ททท.สำนักงานนิวยอร์ก กับลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ได้พบกับ “เดลต้า แอร์ไลน์ส”
เป็นพันธมิตรทำตลาดร่วมกับ ททท.นำนักท่องเที่ยวเข้ามาไทย จากส่วนกลางของอเมริกา
บริเวณพอร์ตแลนด์ โอเรกอนซิตี้ ซอลต์เลคซิตี้/ยูทาห์
บินมาเปลี่ยนเครื่องประเทศแถบเอเชียต่อมายังไทย
เช่นเดียวกับสายการบิน
“แอร์ เอเชีย เอ็กซ์” รัฐบาลเปิดประเทศแล้ว ททท.ต้องการนักท่องเที่ยวเกาหลี
มาเล่นกอล์ฟ พำนักอยู่เมืองไทยยาว ๆ
ทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกันสนับสนุนส่งเสริมแพกเกจท่องเที่ยวไทย
ขณะที่
Save Partner กับสายการบินภายในประเทศ
ททท.ได้หารือร่วมกันที่จะระดมนำ “ที่นั่งเที่ยวบินกลับมา 1 ล้านที่นั่ง”
เพื่อให้เกิด “การกระจายตัว” โดยมีอัตราการบรรทุกเฉลี่ยอยู่ประมาณ 70 %
เพราะพฤติกรรมนักเดินทางในประเทศหลังสถานการณ์โควิดส่วนใหญ่จะใช้รถยนต์เป็นหลัก
ระยะทาง 200-300 กม.
แต่ถ้ากระตุ้นการเดินทางโดยเครื่องบินในราคาที่ผู้โดยสารรับได้
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศจะต้องทำให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวแบบกระจายตัวเพิ่มขึ้นทั้งในเมืองหลักและเมืองรอง
ผู้ว่าฯ
ยุทธศักดิ์ กล่าวถึงโครงการ “Booster Shot”
ททท.มีโอกาสนำเสนอร่วมกับภาคเอกชนท่องเที่ยว 12 สมาคม โดยตัวแทนเอกชนไทยได้รับโอกาสดีเข้าพบ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2565 นำเสนอมาตรการ A-B-C ประกอบด้วย
1.มาตรการ A-Accelerate Travel & Tourism
Spending เร่งรัดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในประเทศ
ผนวกกับมีข้อเสนอให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศ ขอยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า
รวมถึงขยายเวลา Tourist Visa , VOA :Visa on Arrival ออกไป
เพื่อให้นักท่องเที่ยวอยู่นานวันในไทยแล้วใช้จ่ายเงินมากขึ้น
2.มาตรการ B -Booster Shot หมายถึงการกระตุ้นผ่านโครงการต่าง
ๆ เพื่อนำรายได้ท่องเที่ยวช่วงปลายปีนี้กลับมาให้รวม 50 % ของปี
2562 ทั้งที่นั่งสายการบิน
อัตราเข้าพักโรงแรมเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 55 % จะต้องจัดกิจกรรม
ทำโร้ดโชว์ต่าง ๆ ตามประเด็นดังกล่าวทาง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ ททท.และเอกชนไปหารือกับทางสภาพัฒน์ต่อไป
เพราะต้องการมีงบประมาณเพิ่มเติมมาทำการตลาดท่องเที่ยวในช่วงรอยต่อปีงบประมาณ 2565
กับ 2566
3.มาตรการ C-Cost Effective เรื่องการให้โอกาสผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางด้านบริหารจัดการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับ การลดต้นทุน เพิ่มสภาพคล่อง ในช่วงเวลาที่กำลังฟื้นตัว
จะเร่งทำมาตรการหลัก ๆ เช่น 1.จะเสริมสภาพคล่องได้อย่างไร 2.การลดภาระทางภาษีบางตัวลง 3.การปรับเพิ่มทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้ง
Re+Up skill เพิ่มประสิทธิภาพหลังกลับเข้าสู่อาชีพอีกครั้ง
ทั้ง
3 มาตรการ จะอยู่ในแผน Booster Shot น่าจะมีข่าวดีภายในกลางเดือนสิงหาคม 2565 นี้
ซึ่งจะสร้างโอกาสใหม่ในการฟื้นท่องเที่ยวทำให้เศรษฐกิจกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง
สำหรับภาคเอกชน
ททท.ที่ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีโดยตรงนั้น ท่านมีความเข้าใจ ให้กำลังใจ
ให้ความสำคัญว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด
จึงต้องช่วยกันฟื้นไปด้วยกัน
ทางภาคเอกชนเองก็ต้องการจะเห็นโครงการ
Booster Shot เกิดเป็นรูปธรรม เพื่อกระตุ้น “กำลังซื้อ”
ในหลายมิติ แต่ก็ต้องยอมรับภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอาจจะไม่ได้ฟื้นทั้งหมด โครงการ
Booster shot เบื้องต้นคงจะเข้าไปเสริมธุรกิจระดับบน
ส่วนกลุ่มที่ยังไม่ได้ฟื้นมากนักก็ต้องไปช่วยพยุงให้ลุกขึ้นมาสู้ต่อไป
การพลิกฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ททท.จะให้ความสำคัญครอบคลุมทุก ๆ ด้าน ดังนั้นการสร้างคุณภาพคือจะต้อง
“กระตุ้นตลาดในประเทศ” พร้อม ๆ กับการ “เพิ่มขีดความสามารถของจำนวนที่นั่งเที่ยวบินจากต่างประเทศ”
เข้าเมืองไทยควบคู่กันไป
สำหรับตลาดในประเทศ
ททท.มีข่าวดี หลังจากประกาศขยายโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 4 ส่วนขยายเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2565 จำนวน 1.5 ล้านสิทธิพัก
เปิดวันแรก ๆ มีอัตราการจองห้องพักวันละไม่ต่ำกว่า 35,000 ห้อง
แสดงว่าได้รับการตอบรับอย่างดี ททท.หวังว่าหากรัฐบาลให้งบประมาณทำ Booster
Shot ครึ่งหลังปีนี้ ก็จะได้นำไปช่วยเอกชนมีรายได้ลดภาระต่าง ๆ
ทำให้คนไทยเที่ยวไทย
อีกนัยหนึ่งเมื่อคนออกไปท่องเที่ยวก็เท่ากับได้ช่วยผู้ประกอบการมีกำลังฟื้นฟูกิจการก้าวและฟื้นตัวไปด้วยกัน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่
1 คิงเพาเวอร์ผนึกTrueMove H Tourist SIMช้อปทั่วไทยลด20%
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
จับมือกับ True
มอบข้อเสนอสุดพิเศษมากมายนักเดินทางด้วย
ส่วนลดสูงสุด 20% ซึ่งใช้ได้ที่สนามบินในร้านของ สุวรรณภูมิ
ดอนเมืองเชียงใหม่ และภูเก็ต และสาขาในเมืองคิง เพาเวอร์ รางน้ำ ศรีวารี พัทยา
ภูเก็ต ได้ตั้งแต่วันนี้ -30 กันยายน 2565 เมื่อซื้อ TrueMove H Tourist
SIM ที่ True Shop ดังนี้
1.รับส่วนลดทันที 20 % ในการช้อปสินค้าราคาปกติได้ที่ คิง เพาเวอร์ ทั่วประเทศ
ด้วยการเลือกช้อปผลิตภัณฑ์ความงาม 1 ชิ้น มูลค่า 3,000 บาทขึ้นไป หรือช้อปสินค้าไทย 1 ชิ้น มูลค่า 3,000 บาทขึ้นไป
2.รหัสส่วนลด 500 บาท
โดยใช้ได้กับการซื้อออนไลน์กับ King Power Click & Collect เมื่อซื้อ TrueMove
H Tourist SIM ที่ True Shop รับส่วนลด 500
บาท ในการเลือกซื้อสินค้าปลอดภาษีทางออนไลน์ 2,000 บาทขึ้นไป ผ่าน kingpower.com หรือแอป King
Power ให้สิทธิ์ 1 รหัสโปรโมชั่น / 1 ใบเสร็จ / สมาชิก
สามารถใช้ได้กับสินค้าปลอดภาษีที่ร่วมรายการ สามารถดูรายละเอียดได้ที่ kingpower.com
3.คูปองส่วนลด 100 บาท ใช้ได้กับการซื้อ TrueMove H Thailand Tourist SIM แบบใช้งาน
16 วัน มูลค่า 299 บาท หรือ 30 วัน มูลค่า 599 บาท แลกได้เฉพาะที่ทรูช้อป สนามบิน สุวรรณภูมิ
ดอนเมือง ภูเก็ต เท่านั้น ใช้ได้ 1 คูปอง / ซิมการ์ด / ลูกค้า จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 โดยไม่สามารถคืนเงินได้ไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด
ข่าวที่ 2 เปิดแล้ว!!‘คริสเตียน ดิออร์’บูติกเพื่อนักเดินทางแห่งใหม่ในสุวรรณภูมิ
อันทาเรส เชง
ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายงานจัดซื้อสินค้า กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า
ได้ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ Mr.Christopher
Watney, Christian Dior Country Manager เปิด “คริสเตียน ดิออร์” บูติกแห่งใหม่เพื่อนักเดินทาง ภายใน คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ
ซึ่งพร้อมนำผลิตภัณฑ์สินค้าคุณภาพดี
แบรนด์ระดับโลกหลากหลายไอเทมมาเสนอให้นักเดินทางได้เลือกช้อปอย่างจุใจ
ระหว่างเปิดพาวิลเลี่ยนบูติก
คริสเตียน ดิออร์ ได้รับเกียรติจาก เดนนี่ ฮุย กับ สุดา ศุภประสิทธิพันธ์
ผู้บริหารกลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ ร่วมแสดงความยินดี
โดยพร้อมเปิดให้บริการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
อีกทั้งภายในสนามบินสุวรรณภูมิ
ยังมีสินค้าดิวตี้ฟรีแบรนด์อินเตอร์ไอเทมใหม่ ๆ นับร้อยแบรนด์มาวางจำหน่าย
ต้อนรับนักเดินทางทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่เดินทางเข้า-ออก
ต้อนรับการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ข่าวที่
3 คิงเพาเวอร์ชู“GREAT
TRAVEL ESSENTIALS”ช้อปออนไลน์ลด50+25%
คิง เพาเวอร์ จัดแคมเปญ “GREAT TRAVEL
ESSENTIALS” มอบ ลดสูงสุด
50% พร้อมกับลดเพิ่มสูงสุดอีก 25%
สร้างแรงจูงใจให้นักช้อป คลิกเข้ามารหัสส่วนลดแล้วนำไปใช้ช้อปได้ที่ www.kingpower.com
และ แอปพลิเคชัน KING POWER เท่านั้น ตั้งแต่วันนี้
-24 กรกฎาาคม 2565
ช้อปง่ายรับส่วนลดได้สูงสุดถึง
50% ลดเพิ่มสูงสุด 25% โดยไม่มีต้องมียอดขั้นต่ำในการสั่งซื้อสินค้า
เพียงแต่จะต้องเลือกสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วมรายการส่งเสริมการขายแคมเปญนี้เท่านั้น
พร้อมกับรับสิทธิประโยชน์มากมาย ได้แก่
1.แบ่งชำระ 0% ได้นานสูงสุด 10
เดือน เมื่อช้อปครบ 15,000 บาทสุทธิ/ 1
รายการสั่งซื้อ หรือแบ่งจ่ายนานสูงสุด 6 เดือน เมื่อช้อปครบ 10,000 บาทสุทธิ / 1 รายการสั่งซื้อ ได้จนถึง 31 ธันวาคม 2565
2.ลูกค้าต้องสมัครสมาชิกเว็บไซต์ www.kingpower.com แล้วล็อคอินก่อนการใช้รหัสส่วนลดนี้
3.สมาชิกบัตร คิง เพาเวอร์ ทุกรายการที่สั่งซื้อสินค้าออนไลน์สามารถสะสมกะรัตได้
ข่าวที่
4 ททท.ดันกลยุทธ์ใหม่5Newsรุกตลาดโลกใกล้ไกลโกย9.7แสนล้าน
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า
ททท.ได้จัดทำแผนการท่องเที่ยวปีงบประมาณ 2566 โดยกำหนดทิศทางการตลาดให้สอดคล้องกับแผนวิสาหกิจองค์กร ททท. 5 ปีข้างหน้า พ.ศ.2566 – 2570 ภายใต้วิสัยทัศน์ “ททท.
เป็นผู้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทยในการสร้างประสบการณ์ทรงคุณค่ามุ่งสู่ความยั่งยืน”
เพื่อสร้างรายได้ตามนโยบายให้เข้าเป้ารวมในประเทศและต่างประเทศรวมทั้งสิ้น 1.73
ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 80 % ของปี 2562
แบ่งเป็น รายได้จากต่างประเทศ 970,000 ล้านบาท
และรายได้หมุนเวียนจากตลาดในประเทศอีก 760,000 ล้านบาท
ชูกลยุทธ์ใหม่เจาะตลาดต่างประเทศทั้งระยะไกล
(longhaul) และระยะใกล้ (Shorthaul) ด้วย 5 News ประกอบด้วย
1.New segment-เจาะกลุ่มตลาดศักยภาพกลุ่มใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มเติบโต
2.New area เจาะพื้นที่ตลาดใหม่
3.New partner ร่วมมือกับคู่ค้าพันธมิตรรายใหม่
4.New
infrastructure ใช้ประโยชน์จากการคมนาคมรูปแบบใหม่ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
5.New way เสนอการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่รักษาสิ่งแวดล้อมและตอกย้ำจุดขายแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
ทั้ง
5 News ที่จะช่วยผลักดันการเพิ่มโอกาสเข้าถึงไทยทั้งทางบก
ทางน้ำ และทางอากาศ โดยเฉพาะทางบกจะดึงนักท่องเที่ยวเชื่อมโยงข้ามแผ่นดินจากประเทศเพื่อนบ้าน
จากมาเลเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนทางอากาศ
จะผลักดันเพิ่มจำนวนที่นั่งบนเครื่องบินจากตลาดระยะใกล้ให้กลับมามากกว่า 80 % ของปี 2562
และจะมุ่งพลิกโฉม เปลี่ยนมุมมอง สร้างภาพจำใหม่ให้ประเทศไทยครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ปี 2566 ททท.
วางแผนยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อฟื้นฟูทุกมิติ ตาม 3
วัตถุประสงค์เชิงยุทธศาสตร์หลัก ประกอบด้วย
1.Drive Demand
: มุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพอย่างยั่งยืน 2.Shape Supply : สร้างคุณค่าและยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ผ่านการสร้างระบบนิเวศด้านการท่องเที่ยวใหม่ (New Tourism Ecosystem) และ 3.Thrive for Excellence : ยกระดับองค์กรสู่องค์กรสมรรถนะสูง
มุ่งสู่การเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนข้อมูลการท่องเที่ยว หรือ Data
Driven Organization เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านการตลาด
ภายใต้เป้าหมายพัฒนาการท่องเที่ยวไทยเปลี่ยนผ่านสู่ประเทศท่องเที่ยวมูลค่าสูงและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
หรือ High Value & Sustainable Tourism อย่างแท้จริง
ด้วยวิธีจะกระตุ้นให้เกิดความต้องการเดินทางท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติเพิ่มมากขึ้น
ข่าวที่
5 “TCEB”ดึงยูนิซิตี้ทั่วโลกประชุมในไทย3วันสร้างเงิน660ล้านบาท
นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการ
สายงานพัฒนาและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า
ยูนิซิตี้ ได้ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดประชุม 2022 Unicity
Global Leadership & Innovation Conference งานประชุมระดับโลกศูนย์รวมสุดยอดผู้นำธุรกิจกว่า
10,000 คน รวม 3 วัน ระหว่าง 5-7
สิงหาคม 2565 ณ
ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี หลังจากเปิดประเทศไทยได้รับโอกาสเป็นสถานที่จัดการจัดประชุมองค์กรนานาชาติครั้งนี้ขนาดใหญ่สุด
โดยได้รับความไว้วางจากบริษัทธุรกิจขายตรงด้านอาหารเสริมเพื่อสุขภาพที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลกกว่า
50 ประเทศ
ซึ่งทางทีเส็บจะใช้โอกาสนี้ดึงความสนใจและอำนวยความสะดวกให้กับผู้จัดงานอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดการจัดประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลเข้ามาอย่างคึกคักมากขึ้น
ให้สมกับที่บริษัทนานาชาติเชื่อมั่นประเทศไทยเรื่องความพร้อมและมีมาตรการป้องกันควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เป็นอย่างดี
ส่วนการประชุมระดับโลกครั้งนี้จะกระตุ้นผู้เข้าร่วมงานใช้เงินสร้างเศรษฐกิจไทยได้ถึง
660 ล้านบาท เช่น ค่าสถานที่จัดงาน
ค่าบริษัทดูแลการจัดงาน ค่ารถรับส่ง ค่าที่พัก ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผู้เข้าร่วมงาน
ตลอดการจัดงานในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สามารถขายสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้ หลังเสร็จสิ้นการจัดงานยังจะมีผู้เข้าร่วมงานบางส่วนจะเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดอื่นด้วย
เช่น ภูเก็ต และพัทยา
นางศุภวรรณ
ย้ำว่าทีเส็บได้สนับสนุนการจัดงาน 2022 Unicity Global Leadership &
Innovation Conference ประกอบด้วย 1.งบประมาณบางส่วน
2.ให้บริการครบวงจร เช่น การอำนวยความสะดวกเรื่องขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองผ่านบริการช่องทางไมซ์เลน
หรือ MICE Lane Service แก่ผู้บริหารและทีมงานที่เข้ามาตั้งแต่ระหว่างการเตรียมงาน
3.ประสานงานกับสถานทูตและสถานกงสุลทั่วโลก อำนวยความสะดวกให้ผู้เข้าร่วมงานจากนานาประเทศในการทำวีซ่าเข้าสู่ประเทศไทย
นายคริสโตเฟอร์ คิม ประธานบริหาร
ยูนิซิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า
ได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการนำงาน 2022 Global
Leadership and Innovation Conference ภายใต้แนวคิด “IT’S TIME TO FEEL GREAT”
ให้ชีวิตพร้อมเดินหน้าสู่ความสำเร็จร่วมกัน มาจัดในประเทศ ถือเป็นงานที่เหล่านักธุรกิจเครือข่ายยูนิซิตี้เฝ้ารอจะฉลองความสำเร็จร่วมกัน
รวมทั้งปลุกพลังความแข็งแกร่งให้สมาชิกพร้อมจะสร้างชีวิตที่ดีกว่า (Make
Life Better) ไปด้วยกัน ถึงแม้ม้ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับผลกระทบจากโควิด
19 ทำให้ต้องสูญเสียหลากหลายมิติทางความสุขในชีวิตไป
สำหรับยูนิซิตี้แล้วงานนี้คือความท้าทายครั้งสำคัญที่จะต้องนำสมาชิกฝ่าไปให้ได้
ตามที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าบริษัททำได้ดีจนเกิดเป็นพลังแห่งความสำเร็จสามารถจัดงานนี้ได้
จึงพร้อมจะแบ่งปันความสำเร็จทั้งหมดสู่ผู้คนรอบข้างอย่างไม่หยุดยั้งต่อไป
คริสโตเฟอร์ คิม กล่าวอย่างมั่นใจว่า
ได้นำงานกลับมาจัดในไทยเป็นครั้งที่ 2 ต่อจากครั้งแรกเมื่อปี 2557 ทางยูนิซิตี้ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) อย่างเต็มที่ จนประสบความสำเร็จมากในการจัดงาน Global
Leadership and Innovation Conference และด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของไทย
ตลอดจนความโดดเด่นในฐานะประเทศในฝันของเหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ทำให้
ยูนิซิตี้ มั่นใจเลือกไทยเป็นพื้นที่จัดงาน 2022 Global Leadership and
Innovation Conference อีกครั้ง
ข่าวที่ 6 บางจากร่วมเสวนา“APEC&BusinessSustainability”หนุนBCG
นางกลอยตา ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
สายงานสื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อความยั่งยืน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) เปิดเผยว่า บางจากฯ ได้เข้าร่วมเสวนาประชุมวิชาการระดับนานาชาติและกิจกรรมระดมสมอง APEC Media Focus Group ครั้งที่ 5 ภายใต้หัวข้อ “APEC and Business
Sustainability” จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับ
มหาวิทยาลัยมหิดล ณ มหิดลสิทธาคาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือในฐานะ Communication Partner ของ APEC 2022 Thailand
เพื่อสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ตลอดปี 2565
ของประเทศไทย
การประชุมดังกล่าวได้รับเกียรติจาก นายธานี ทองภักดี
ปลัดกระทรวงการต่างประเทศและประธานเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค เป็นผู้กล่าวปาฐกถา
ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเปิดกิจกรรม
และนายธานี แสงรัตน์
อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการเสวนาอภิปรายเกี่ยวกับโมเดลเศรษฐกิจ
BCG ของไทยและการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ทั้งในด้านการแพทย์ สุขภาวะ และพลังงาน
โดยนำเสนอตัวอย่างของอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG รวมถึงการใช้นวัตกรรมเพื่อมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน
โดยนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาและอำนวยความสะดวก
นางกลอยตากล่าวถึงแนวทางความยั่งยืนที่กลุ่มบางจากฯ ดำเนินงานมาตลอดด้วยการน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นพื้นฐาน
และทำธุรกิจทั้งสอดรับกับ BCG Model ผ่านหลากหลายผลิตภัณฑ์และโครงการ ทั้งการต่อยอดธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพสู่
Synthetic Biology
การใช้น้ำในโรงกลั่นบางจากให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับ “โรงกลั่นบางจาก” เป็นรายแรกในประเทศไทยที่ได้รับใบรับรอง Water Footprint
โครงการรีไซเคิลต่าง ๆ ที่เชิญชวนผู้บริโภคเข้าร่วม เช่น แก้วเพาะกล้า รักษ์ ปัน สุข ฯลฯ
ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด และแพลตฟอร์มให้บริการรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า Winnonie รวมถึงธุรกิจผลิตน้ำมันเครื่องบินจากน้ำมันพืชใช้แล้วหรือ SAF
(Sustainable Aviation Fuel - ผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงอากาศยานชีวภาพ)
ที่บางจากฯ จะเป็นผู้ผลิตรายแรกของไทย และแผนงาน BCP NET ของกลุ่มบางจากฯ
เพื่อสนองตอบต่อเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net zero) ในปี ค.ศ. 2050
การประชุมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการประชุมเป็นคณะทูตานุทูต
ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ คณาจารย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล APEC Communication Partners ภาคเอกชน ภาครัฐ และสื่อมวลชน
รวมถึงแขกผู้มีเกียรติจำนวนรวมมากกว่า 100 คน
ช่วงที่ 2 เดือนกรกฎาคมนี้ ชวนออกทริปทัวร์บุญ เที่ยวใกล้ไป “วัดพระปฐมเจดีย์”
จ.นครปฐม สายมูต้องมา สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอพร “พระศิลาขาว” ได้สมใจทุกสิ่ง
ส่วน “สายกินต้องลอง” ตลาดดอนหวาย ตลาดโต้รุ่งหน้าองค์พระ ตลาดในเมือง
อร่อยแบบต้นตำรับทุกตลาด แล้วก็รีบดื่ม “ชา7 ชนิด”
ช่วยดีท็อกซ์ป้องกันโรคชะงัดจริง ๆ เกาะติดข่าวฮ็อต ข่าวแรก “บมจ.ดุสิตธานี”
ชิงออกหุ้นกู้ด้อยสิทธินักลงทุนรายใหญ่ จ่ายหนักดอกเบี้ย 8% ข่าวที่สอง
“การบินไทยควงMQDC”รุกโกยเงินเศรษฐีอสังหาหรูระดับโลก
ท่องเที่ยว
- ชวนสายมูทัวร์บุญวัดพระปฐมเจดีย์ชมชิมตลาดโต้รุ่ง-ดอนหวาย
เที่ยวใกล้
เที่ยวง่าย ทริปนี้ สายมูต้องห้ามพลาด นั่งรถชีล ๆ ตั้งเข็มไมล์มุ่งสู่
“วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร” ที่
ตำบลพระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม เปิดทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น
สิ่งแรกมุ่งหน้าไปสักการะ
“องค์พระปฐมเจดีย์” เดิมเรียกว่า
“พระธมเจดีย์” เป็นสถูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 3
ในวัฒนธรรมทวารวดี ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 จึงโปรดให้ก่อพระเจดีย์ใหม่ห่อหุ้มองค์เดิม
เป็นเจดีย์ทรงระฆัง สูง 120.45 เมตร พร้อมสร้างวิหารคดและระเบียงล้อมรอบ
ภายในบริเวณวัดพระปฐมเจดีย์
มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชิญชวนให้สายมูทั้งหลาย ได้กราบนมัสการ ทั้ง พระร่วงโรจนฤทธิ์
หรือหลวงพ่อพระร่วง” พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ศิลปะสุโขทัยอันวิจิตรงดงาม เป็นพระพุทธรูปยืนปางประทานอภัย
ประดิษฐานในซุ้มวิหารทางทิศเหนือ
จากนั้นก็ไปไหว้ศาลเจ้าพ่อปราสาททอง
พระพุทธไสยาสน์ และ “พระศิลาขาว” ซึ่งเชื่อกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก
เมื่อได้สักการะไม่ว่าจะอธิษฐานขอเรื่องใดก็มักจะได้สมความปรารถนาทุกอย่าง
ส่วนบริเวณด้านหน้าองค์พระปฐมเจดีย์
ตรงฐานเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 6 ในพิพิธภัณฑ์ของวัดได้เก็บรวบรวมวัตถุโบราณที่ขุดพบในนครปฐม
ทั้งสมัยบ้านเชียง สมัยทวารวดี ขณะที่ยามค่ำคืนจะเปิดไฟส่องประดับองค์พระปฐมเจดีย์สง่างดงาม
“ตอนกลางวัน” ลองแวะ
“ตลาดน้ำดอนหวาย” ตำบลบางระทึก อำเภอสามพราน
อยู่หลังวัดดอนหวาย เป็นตลาดเก่าสมัยรัชกาลที่ 6 อยู่ริมแม่น้ำท่าจีน
มีพ่อค้าแม่ค้าพายเรือนำสินค้าและอาหารมาจำหน่าย เช่น เป็ดพะโล้นายหนับ
ปลาตะเพียนต้มเค็ม ขนมหวานไทยร้าน “ลิ้ม เฮง กี่” เป็นต้น
ตลาดนัดสินค้าทางการเกษตรที่วัดดอนหวาย เปิดวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-17.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 07.00-18.30 น.
มีบริการล่องเรือนำเที่ยวชมทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำท่าจีน
เริ่มต้นจากวัดดอนหวายไปถึงสะพานโพธิ์แก้ว
“ตกเย็น” สามารถไปเดินหาของอร่อยตรง
“ตลาดโต้รุ่ง องค์พระปฐมเจดีย์”
หนึ่งในแหล่งอาหารอร่อยของนครปฐมมีร้านอาหารรถเข็นหลากหลายที่มีชื่อเสียง
สิ่งน่าสนใจคือ มีร้านให้เลือกชิมมากมาย ทั้งอาหารคาวหวาน ขนม ไอศครีม หรือผลไม้
เช่น ร้านบัวลอยแต้จิ๋ว ร้านจิ้มหมู ร้าน
ช.หอยทอด ออส่วน ไอศรีมเด่นชัย หรือที่เรียกกันว่า “ไอศครีม ลอยฟ้า” และร้านต่าง ๆ
หรือจะไปเดินในตัวเมืองก็มีร้านมากมายเลือกชิมกันได้ตามสะดวก
เช่น ร้านตั้งฮะเส็ง (เจ้าเก่า) ต้นตำรับข้าวหมูแดงร้านแรกในนครปฐม มีชื่อเสียงเปิดมากว่า
70 ปี หรือ
ร้านแม่เล็ก (เจ้าเก่า) เจ้าถิ่นขายข้าวหลาม เรื่อยไปจนถึงข้าวหมูกรอบ ส้มโอ และอื่น ๆ
เที่ยว “นครปฐม” สายมูมีความสุข สายกินก็สนุกกับอาหารอันหลากหลายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ
กับตลาดวิถีถิ่นไทย สะดวกตอนไหนมาได้ทันที เมืองไทย อะเมซิ่ง ยิ่งกว่าเดิม
สุขภาพ
-แนะดื่มชา7ชนิดผ่อนคลายดีท็อกซ์ร่างกายเลือกดื่มได้ทุกวัน
หนึ่งในเครื่องดื่มดีท็อกซ์
และเครื่องดื่มสุขภาพตลอดกาลคงหนีไม่พ้น “ชา”
ซึ่งมีองค์ประกอบของสารสำคัญอย่างแทนนิน หรือ ทีโพลีฟีนอล
ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีฤทธิ์ต้านโรคภัยได้หากดื่มเป็นประจำ รวมทั้งชายังทำให้สดชื่นได้
ต้านหลายโรค ด้วยกลิ่นและรสอ่อนๆ เวลาดื่ม ทำให้ชาเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่นิยมและดีสำหรับใครที่ต้องการความสดชื่น
หรือผ่อนคลายอารมณ์ แต่ควรงดการดื่มชาก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมง
ส่วนการชงชาแนะนำว่าควรชงชาในน้ำร้อนอย่างน้อย
5 นาที จะได้สารต้านอนุมูลอินสระมากกว่าการชงด้วนน้ำเย็น
นอกจากช่วยลดความเสี่ยงโรคต่างๆ
ที่ได้กล่าวไปแล้ว
ชาแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติและประโยชน์ช่วยดีท็อกซ์และดูแลร่างกายเราไม่เหมือนกันด้วย
1.ชาเขียว = เป็นชาที่มีกลิ่นเขียวใบหญ้า รสขม
ช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งลำไส้ โรคมะเร็งตับอ่อน และโรคอัลไซเมอร์
2.ชาขาว = ให้กลิ่นเบาๆ รสหวานปลายลิ้น มีสารฟลาโวนอยด์ที่เรียกว่า epigallocatechin
gallate (EGCG) มากที่สุดในบรรดาชาทั้งหมด
ซึ่งอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและต่อสู้กับโรคมะเร็งได้
3.ชาดำ = เป็นชาที่สีเข้ม มีจุดเด่นคือ กลิ่นดินและกลิ่นรมควัน
ลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานและโรคกระดูกพรุน และยังยับยั้งแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ
4.ชาเปปเปอร์มิ้นต์ = ช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและช่วยสลายไขมัน
ช่วยให้ผ่อนคลาย แก้หวัด แก้อาการคลื่นไส้ และลดกลิ่นปากด้วย
5.ชาดอกเก๊กฮวย = มีคุณสมบัติเย็น แก้ร้อนใน มีกลิ่นหอม และรสหวานปลายลิ้น
6.ชาขิง = รู้จักกันดีที่สุดในการรักษาอาการคลื่นไส้
และจากการศึกษาหลายชิ้นพบว่าขิงสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้
7. ชาดอกคาโมไมล์ = มีคุณสมบัติช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
นอกจากนี้ยังอาจช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือนและระดับไขมันในเลือดสูง
น้ำตาลในเลือด และระดับอินซูลิน
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก-บมจ.ดุสิตธานีระดมเงินชิงออกหุ้นกู้นักลงทุนใหญ่จ่ายดอก8%
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุนไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท
ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนด ครั้งที่ 1/2565 หรือ Hybrid Perpetual Bond ให้แก่ผู้ลงทุนรายใหญ่และผู้ลงทุนสถาบัน จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท
โดยกำหนดอัตราผลตอบแทนใน 1 - 5 ปีแรก ที่ระดับ 8% ต่อปี
จากนั้นจะปรับอัตราดอกเบี้ยทุก ๆ 5 ปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน
คาดว่าจะเสนอขายระหว่าง 1 - 10 สิงหาคม 2565 ผ่าน 5 สถาบันการเงินชั้นนำ ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)
จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า
จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) และ
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
จัดอันดับความน่าเชื่อถือองค์กรที่ระดับ “BBB-” แนวโน้มอันดับเครดิต
“Negative” และจัดอันดับหุ้นกู้ด้อยสิทธิ Hybrid
Perpetual Bond ที่ระดับ “BB”
ส่วนอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ฯ ครั้งนี้ ระหว่างปีที่
1 - 5 อัตราคงที่ 8.00% ต่อปี
ปีที่ 6 - 10 เท่ากับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5
ปี บวก 5.90 % ต่อปี
ปีที่ 11 - 30 เท่ากับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5
ปีบวก 6.20% ต่อปี ปีที่ 31 - 50 เท่ากับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี บวก 6.80%
ต่อปี ปีที่ 51 เป็นต้นไปเท่ากับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ
5 ปี บวก 8.00% ต่อปี ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ
5 ปี จะปรับทุก ๆ 5
ปี เพื่อให้สะท้อนกับสภาวะดอกเบี้ยในขณะนั้น
ทั้งนี้ “ดุสิตธานี” เป็นผู้ประกอบการชั้นนำในธุรกิจบริการด้านโรงแรมและท่องเที่ยวของไทย
ยังคงเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากนักเดินทางทั่วทุกมุมโลก ส่งผลให้อุตสาหกรรมภาพรวมฟื้นตัวได้เร็ว
แล้วจะส่งผ่านมาถึงโรงแรมและรีสอร์ทในเครือของดุสิตธานีอย่างแน่นอน
ล่าสุดได้ปรับแผนเจาะลูกค้ากลุ่มท่องเที่ยว
โดยเน้นลูกค้าในกลุ่มประเทศอินเดีย ภูมิภาคอาเซียน และตะวันออกกลาง แทนลูกค้าจีน
ยุโรปและรัสเซีย
ข่าวที่สอง –การบินไทยผนึกMQDCเจาะลูกค้าเศรษฐีอสังหาไทย&ต่างชาติ
นายสุวรรธนะ สีบุญเรือง รักษาการแทน
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
การบินไทยในฐานะสายการบินแห่งชาติ ได้ประกาศจับมือกับ บริษัท แมกโนเลีย
ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย
พร้อมจะผนึกกำลังกันฟื้นการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลง โดยมุ่งพัฒนาการตลาดร่วมกัน 4 ด้าน สร้างประโยชน์ทั้งกับลูกค้า
คู่ค้า พันธมิตร ของทั้งสองฝ่าย โดยจะจัดกิจกรรมและงานเทศกาลต่าง
ๆ ตลอดปี
ด้วยการผสมผสานจุดแข็งของทั้ง 2 บริษัท ประกอบด้วย 2 โครงการ ได้แก่ โครงการที่ 1
เดอะ ฟอเรสเทียส์
: The Forestias by MQDC อันเป็นจุดหมายปลายทางแห่งความสุข “Happiness
Destination” โครงการที่
2 “The
Experience” ของ ROP : Royal Orchid Plus การบินไทย
ส่งมอบประสบการณ์ความสุขให้ลูกค้าทุกวัยมีโอกาสเข้ามาร่วมกันทำกิจกรรมเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว
รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญเรื่องการขยายฐานลูกค้าของทั้งสองบริษัททั้งตลาดคนไทยในต่างประเทศ และต่างชาติที่สนใจลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทาง “การบินไทย” จะมอบตั๋วโดยสารราคาพิเศษ (Corporate Fare) กระตุ้นให้เกิดการเดินทางมาท่องเที่ยวและลงทุนในไทย ส่วน MQDC จะมอบสิทธิประโยชน์พิเศษให้ลูกค้าโครงการที่เดินทางมากับการบินไทยด้วยอีกทาง
ร่วมมือกันเพิ่มทั้งโอกาสทางธุรกิจ การขยายฐานลูกค้าด้านอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตทั้งตลาดคนไทยตลาดต่างประเทศทั่วเอเชีย และทวีปอื่นๆ เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจกระตุ้นการเดินทาง ตอบรับนโยบายการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
ตามแผนการบินไทยกับ MQDC จะร่วมมือกันเปิดตัวแคมเปญการตลาดเริ่มวันที่ 1 สิงหาคม - 31 ธันวาคม 2565 เพื่อส่งมอบสิทธิประโยชน์ในรูปแบบ “Time to Gold” ให้สมาชิกระดับบัตรทอง ROP มูลค่า 350,000 บาท ให้ลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ MQDC ที่ได้วางเงินจองและทำสัญญาตามเงื่อนไขของบริษัทจาก 2 โครงการ ที่ตั้งอยู่ใน The Forestias คือ 1.The Aspen Tree และ 2.Mulberry Grove The Forestias Villas
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น