บางจากลั่นผลิตSAFดันไทยผู้นำน้ำมันการบินยั่งยืน
ปี69ผสม 1%-ลงทุนท่อส่งเข้าสุวรรณภูมิ/ดอนเมือง
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT #เที่ยวกับกู๋ #บางจาก #SAF
กลุ่มบางจากย้ำในเวที
ASAFA IPS Thailand 2025
ตอกย้ำไทยพร้อมผลิต “SAF” ผงาดขึ้นผู้นำการผลิตน้ำมันการบินยั่งยืนแห่งภูมิภาค
ปี69 นำร่องผสม 1 % มีระบบมาตรฐานท่อส่งเข้าสุวรรณภูมิ
ดอนเมือง
นางกลอยตา
ณ ถลาง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ งานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท
บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นำกลุ่มบริษัทบางจากตอกย้ำความมั่งมั่นด้วยการขับเคลื่อนระบบนิเวศ
“น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน -Sustainable Aviation Fuel: SAF” ของประเทศไทย
ในเวทีการเสวนาหัวข้อ “Scaling
Advanced SAF in Thailand: From Biomass to Global Markets” งาน ASAFA Innovation & Policy Summit (IPS)
Thailand 2025
โดยมีโอกาสนำกลุ่มบริษัทบางจากร่วมสนับสนุนข้อเสนอมาตรการกำหนดสัดส่วนผสม SAF (SAF Blending Mandate) ในไทย ปี 2569 เริ่มนำร่องผสมขั้นต้น 1 % แม้มาตรการนี้ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ
แต่เชื่อจะช่วยสร้างความชัดเจนให้ “ผู้ผลิตและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง”
พร้อมแสดงความเห็นร่วมกันได้ แม้ปัจจุบันต้นทุนการผลิต SAF ยังสูงกว่าน้ำมันเครื่องบินทั่วไป
แล้วการผสมในสัดส่วน 1 % ดังกล่าว จึงจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับ “ค่าโดยสารการบิน”
อีกทั้งการลงทุน SAF ยังถือเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนระยะยาว
“กลุ่มบริษัทบางจาก”
เป็นผู้บุกเบิกการผลิต SAF ชนิด Neat SAF (100%)
จากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking
Oil: UCO) รวมถึงวัตถุดิบทางเลือกอื่น ๆ เช่น
ของเหลือทิ้งจากภาคอุตสาหกรรมและบริการ โดยมีกระบวนการผลิตอยู่ภายใต้การรับรองมาตรฐานระดับสากลจาก International Sustainability and Carbon
Certification (ISCC)
รวมถึงยังมี
“โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ” คือ “ระบบท่อส่ง SAF” เชื่อมต่อโดยตรงจากหน่วยผลิต SAF ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก
พระโขนง ไปสู่ท่าอากาศยาน “สุวรรณภูมิและดอนเมือง” ช่วยสนับสนุนการกระจายเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมทั้งส่งเสริมการนำระบบ Book & Claim กับตลาดคาร์บอนมาใช้เพื่อสะท้อนผลการลดการปล่อยคาร์บอนจากการบินอย่างแท้จริง
สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สายการบินและลูกค้า
นางกลอยตากล่าวว่า
หน่วยผลิต SAF ของกลุ่มบริษัทบางจากได้ใช้
“วัตถุดิบ” คือน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต SAF แต่ยังมองเห็นโอกาสทางเลือกในการนำน้ำมันปาล์มดิบ
(CPO) มาใช้เชิงกลยุทธ์เพิ่มเติม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายใหญ่ของโลก
และมีทรัพยากรอยู่มากเพียงพอ ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อผลิต SAF ได้อย่างมีศักยภาพ
แม้การนำน้ำมันปาล์มดิบหรือ
CPO จะยังไม่ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน EU RED II หรือ ICAO CORSIA แต่ไทยมีความพร้อมจะพัฒนาระบบรับรองอย่างเข้มงวดและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลระหว่างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม กับการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
รวมถึงส่งเสริมเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศ
นางกลอยตาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
ควบคู่กับการจัดทำกรอบปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนให้ไทยก้าวสู่การเป็น
“ศูนย์กลาง SAF ของภูมิภาค”
อย่างชัดเจน
การเสวนาครั้งนี้
มีMr. Gabriel Ho, Founder & CSO of Asia
Sustainable Aviation Fuel Association (ASAFA) เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมผู้ร่วมเสวนา
ได้แก่ ดร.เสกสรรค์ พรหมนิช รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ธันยวีร์ พงษ์วัฒนาสุข กรรมการผู้จัดการธุรกิจเอทานอล
กลุ่มมิตรผล ร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการพัฒนา SAF เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยด้านเศรษฐกิจการบินคาร์บอนต่ำระดับโลก
โดยเฉพาะศักยภาพไทยในฐานะผู้ผลิตเอทานอลรายใหญ่ สามารถต่อยอดสู่เทคโนโลยี Alcohol-to-Jet (AtJ) ได้อย่างมีศักยภาพต่อไป
สำหรับงาน “ASAFA IPS Thailand 2025” จัดโดย Asia Sustainable Aviation Fuel Association
(ASAFA) เป็นอีกเวทีสำคัญการเชื่อมโยงภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม
ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวนโยบาย เทคโนโลยี รูปแบบการลงทุน เพื่อเร่งการพัฒนา SAF ในภูมิภาคเอเชียให้เกิดเป็นรูปธรรมโดยเร็ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น