TMAดึงไทย-สิงคโปร์ชี้ทางนำ“เศรษฐกิจ-ธุรกิจ”พ้นวิกฤต
“ประเทศ-รัฐ-เอกชน”เปลี่ยนด่วน3เรื่องรับเทรนด์โลก4D
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT #เที่ยวกับกู๋ #TMA #Trend4D #FutureForum2025
TMA เปิดเวที “Future
Forum 2025: - Great Transformation” ผู้เชี่ยวชาญ
สิงคโปร์ ไทย ชี้ทางพ้นวิกฤตนำ “เศรษฐกิจ-ธุรกิจ” เปลี่ยนครั้งใหญ่ 3 ปัจจัย “ทุน-คน-เทคโนโลยี” ตื่นตัวรับมือให้ทันเทรนด์โลก 4D “DeGlobalization-Decarbonization- Digitalization-
Demographics Challenges”
สมาคมการจัดการธุรกิจประเทศไทย
(TMA) จัดเวทีสัมมนา “Future Forum 2025 : - Great Transformation” โดยมีนักวิชาการและภาคธุรกิจเข้าร่วมกว่า 250 คน ระบุตรงกันถึงสัญญาณ
“เศรษฐกิจโลก” ที่ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับการกำลังเผชิญความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ประกอบด้วย 4 เทรนด์ สะท้อนผ่านผู้เชี่ยวชาญนานาชาติจากสิงคโปร์
และประเทศไทย ไว้อย่างน่าสนใจ
“มร.เฮง
สวี เกียต” อดีตรองนายกรัฐมนตรี สิงคโปร์ และประธานมูลนิธิวิจัยแห่งชาติสิงคโปร์
(National Research Foundation, Singapore) กล่าวบนเวทีในหัวข้อ
“Economic Transformation for Peoples, For Planet” ว่า ที่ผ่านมากว่า
2 ทศวรรษเศรษฐกิจโลกเผชิญเรื่องสำคัญ 2 วิกฤต คือ “วิกฤตแรก-เศรษฐกิจ” มี 2 ครั้งใหญ่
คือ วิกฤตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียช่วงปี 2540 และเศรษฐกิจโลกปี
2551 “วิกฤตที่สอง-โรคระบาด” อย่าง
โคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่โควิด-19
วิกฤตทั้ง
2 รอบ ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก หลังปี 2551 ทั้งโลกและอาเซียนยังคงเติบโตแบบชะลอตัว 5 ประเทศ มี
ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะโควิด-19
ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เรื่อง ภูมิทัศน์ และเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
แล้วโลกในปัจจุบันต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงส่งผลต่อโครงสร้างโลกใหม่ที่เรียกว่า
Major Trend ใน 4D ได้แก่
● 1.De-Globalization
การเปลี่ยนแปลงโลกาภิวัตน์จากเศรษฐกิจเสรี
ไปสู่การกีดกันและการผูกขาดมากขึ้น
● 2.Decarbonization
โลกให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจ โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม
ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อลดภาวะโลกร้อน
● 3.Digitalization
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนทุกคน
● 4.Demographics
Challenges การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของโลก
มร.เฮง
สวี เกียต กล่าวว่า สิงคโปร์ นำทั้ง 4 เทรนด์มาใช้วางกลยุทธ์บริหารประเทศ
โดยให้ความสำคัญพุ่งเป้าไปยัง 4 ส่วนหลัก ได้แก่
ส่วนที่
1 “การพัฒนาองค์กร” ทั้งภาครัฐและเอกชน
โดยคำนึงถึงเรื่องการให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยี
ส่วนที่
2 “การค้าระหว่างประเทศ”
โดยเฉพาะการทำข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ (Free Trade Area) ปัจจุบันสิงคโปร์มีข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศทั้งระดับประเทศ
และกลุ่มประเทศถึง 28 ฉบับ
ส่วนที่
3 “การบริหารจัดการ” ภาครัฐและเอกชนอย่างมีหลักธรรมาภิบาล
(Good Governance)
ส่วนที่
4 “การปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี” ในทุกภาคอุตสาหกรรมรวมไปการพัฒนาบุคลากรควบคู่กันไปด้วย
ปัจจุบนการขับเคลื่อนประเทศและเศรษฐกิ
ต้องพัฒนาศักยภาพ “ประชากรในประเทศ” เพราะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปทั้ง 3 โครงสร้าง คือ 1.เศรษฐกิจ 2.การทำงาน
3.เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทโดยเฉพาะเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
จะก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก โดยยังสามารถรักษาอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนได้
สิ่งสำคัญต้องพัฒนาศักยภาพ WการทำงานของประชากรW ในประเทศให้สามารถทำงานร่วมกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปได้
เพราะ AI จะเป็นขุมพลังในทุกภาคส่วนของประเทศ และจะต้องไม่หยุด”วิจัยและพัฒนานวัตกรรม”
เพื่อสร้างเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
“ภาคเอกชน” ต้องเปลี่ยนวิธีคิด ปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจ และรู้จักใช้เทคโนโลยี การออกแบบกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป เปิดกว้างความร่วมมือกับธุรกิจภายในและต่างประเทศ เพื่อเติบโตได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
@ทุน-คน-เทคโนโลยี 3 ปัจจัยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
“ศาสตราจารย์อาร์ทูโร
บริส” ผู้อำนวยการ IMD World Competitiveness Center กล่าวช่วงสัมมนา “The
New Transformation Model” ว่า กรอบแนวคิด “ดั้งเดิม”เรื่อง “ความสามารถในการแข่งขัน”
คือ การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือระหว่างกัน การเพิ่มผลผลิต แต่ “ปัจจุบัน”
แนวคิดเปลี่ยนแปลงไปตามกลไกทางเศรษฐกิจ การเมือง ไม่ได้ถูกวัดแค่เรื่องข้างต้น
แต่จะถูกวัดใหม่ด้วย 1.ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่มีประสิทธิภาพในระดับโลก 2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา 3.นโยบายในการบริหารจัดการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
แต่ละประเทศประสบความสำเร็จได้
ต้องประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก คือ “ทุน บุคลากร-เทคโนโลยี”โดยเฉพาะ “ทุน
(Capital)” เป็นความสามารถของบุคลากรที่มีคุณภาพ
(Talent) กับเทคโนโลยี ประเทศที่ประสบความสำเร็จต้องให้ความสำคัญเรื่องเทคโนโลยี
นำอนาคตพัฒนามุ่งสู่ ทุน บุคลากร และ เทคโนโลยี
ซึ่งปัจจุบันและอนาคตกรอบการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันในโลกวัดกันใน
3 ประเด็น ได้แก่
1.ความเกี่ยวข้องกับประชากรของประเทศ ต้องมีความพร้อมสู่อนาคต
เข้าใจเทคโนโลยี มีความคล่องตัวในการทำงาน
มีความคิดสร้างสรรค์และมีความรู้ด้านการเงิน
2.ภาคของธุรกิจ ต้องเป็นองค์กรที่มีกระบวนการทำงานพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
เปิดรับโอกาสการเติบโตและพร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลง
ให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และวางกลยุทธ์อย่างเหมาะสมทั้งภายในและภายนอกองค์กร
3.ภาครัฐ ต้องมีความพร้อมจะรองรับอนาคตทุนเอกชนที่จะเข้ามาลงทุน เพื่อขับเคลื่อนประเทศสู่ความมั่งคั่ง
และมีฐานะการคลังอันแข็งแกร่ง เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น
@ภาคเอกชนไทยเร่งขับเคลื่อนธุรกิจด้วยเทคโนโลยี
“นายชาติศิริ
โสภณพนิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวถึงโมเดลของการเปลี่ยนแปลงภาคธุรกิจการเงินว่า ทุนและเทคโนโลยีเป็นหัวใจสำคัญท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในการขับเคลื่อนธุรกิจการเงิน
ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนสำคัญทำให้การเชื่อมโยงภาคการเงินของไทยกับห่วงโซ่อุปทาน
(Supply Chain) ระดับโลก
ที่ผ่านมาแบงก์ได้พัฒนาธุรกิจโดยให้ความสำคัญภายในประเทศกับการขยายการลงทุนโดยตรงในภูมิภาคอาเซียน
และพัฒนาธุรกิจโดยเน้นความยั่งยืน ตามมาตรฐาน ESG (สิ่งแวดล้อม,
สังคม และธรรมาภิบาล) ธนาคารขับเคลื่อนองค์กรโดยพัฒนาเทคโนโลยีและการนำปัญญาประดิษฐ์
(AI) เข้ามาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขององค์กร และนำเทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้ลูกค้า
“เทคโนโบยี” จึงสามารถจะเชื่อมต่อการทำงานกับการให้บริการระดับภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดใหญ่อย่งอาเซียน สร้างโอกาสทางธุรกิจได้จากการเปลี่ยนแปลงครบทั้ง 3 ปัจจัย คือ “ทุน” ภาคการเงิน “คน” การพัฒนาศักยภาพบุคลากร และ“เทคโนโลยี” เป็นปัจจัยที่นำไปสู่การสร้างองค์กรที่ยั่งยืน
@ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ปปรับโมเดล“ทุน-คน-เทคโนโลยี”สู่อนาคตใหม่
“นายธีรพงศ์
จันศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
กล่าวว่า ใน “อดีต” ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายแบบคาดไม่ถึง
จึงต้องปรับองค์กรต่อเนื่อง ตั้งแต่โควิด-19 ธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก
(Supply Chain) การขนส่งสินค้าล่าช้า การบริโภคที่ลดลง “ปัจจุบัน”
บริษัทต้องเผชิญกำแพงภาษีของสหรัฐ ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2566 ทำให้ต้องปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจทุกด้าน รวมทั้งทบทวนโมเดลธุรกิจใหม่
เพื่อก้าวข้ามสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน และเศรษฐกิจปัจจุบันผันผวนและการเข้ามาของเทคโนโลยี
ดิจิทัล และ AI
สิ่งที่เรียนรู้และต้องเปลี่ยนแปลงธุรกิจตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาคือ
1.ต้องทำให้องค์กรมีกระบวนการทำงานเรียบง่ายและทำงานได้อย่างรวดเร็ว
เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก เพราะมีธุรกิจอยู่ทั่วโลก
2.ปรับปรุงแพลตฟอร์มการทำงาน สร้างขีดความสามารถเพื่อรองรับอนาคต
นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพงาน 3.ทำธุรกิจตามกรอบ
ESG
การที่สหรัฐฯ
เตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าประกาศครั้งแรก 36% แล้วในอาเซียนก็ลดลงมาเท่ากันหมดเหลือ
19% ทางบริษัทคาดจะสามารถแข่งขันได้ โดยสร้างความชัดเจนในการดำเนินกลยุทธ์ธุรกิจ
เรื่องแผนและการสื่อสารไปยังทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพราะตลอด 2 ปีนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก จึงต้องปรับตัว รับความท้าทายดังกล่าว
@หัวเหว่ยเน้นใช้เทคโลยี -AIเชื่อมเครือข่ายทุกอุตสาหกรรม
“ดร.ชวพล
จริยาวิโรจน์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
บริษัทใช้งบประมาณ 20-25% ของรายได้ต่อปี ลงทุนด้านงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี
เพราะเล็งเห็นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้นกับทุกภาคอุตสาหกรรม จึงเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาและลงทุนในเทคโนโลยี
ตอบโจทย์กับความต้องการทุกภาคอุตสาหกรรมทั้ง ภาคการเงิน ภาคอุตสาหกรรม
ภาคบริการด้านสุขภาพ เพราะ “เทคโนโลยี”เป็นเครื่องมือสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง
ทำให้หัวเว่ยไม่เคยจะหยุดพัฒนาเทคโนโลยี เดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กลุ่มลูกค้าของแบรนด์
ปัจจุบันเทคโนโลยีถูกนำมาใช้ในชีวิตประจำวันผู้คน
นอกเหนือจากการใช้ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ทุกคนพูดถึง AI และเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงภาคการผลิต ภาคการบริโภค ทำให้ หัวเว่ย มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือพัฒนาภาคธุรกิจเคียงข้างกันไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น