บพท.เปิดรายงานชี้เป้ารัฐปลดล็อกศักยภาพชายแดนไทย
ธนาคารโลกยัน31จังหวัดที่ตั้งดีแนะใช้กลไกแก้เศรษฐกิจ
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT #เที่ยวกับกู๋ #บพท #ปลดล็อกศักยภาพชายแดนไทย
บพท.เปิดรายงานเชิงนโยบายเผยแผนยุทธศาสตร์
ธนาคารโลกยันผลศึกษา 31 จังหวัด
ที่ตั้งดีแต่เศรษฐกิจโตช้า ชี้เป้าภาครัฐ ผนึกกำลังเร่ง “ปลดล็อกศักยภาพชายแดนไทย” ใช้ “ประตู” ขยายการค้า การลงทุน สร้างเศรษฐกิจเติบโตยั่งยืน
ดร.สีลาภรณ์
บัวสาย
ประธานคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาการขับเคลื่อนวิทยสถาน “ธัชภูมิ” เปิดเผยว่า หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่
(บพท.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมมือกับธนาคารโลก
ได้นำเสนอผลรายงานเชิงนโยบายล่าสุดเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 โดยชี้ถึงพื้นที่ชายแดนไทยมีศักยภาพขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
เป็นประตูสู่การค้าและการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้าน สร้างรายได้เติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน
ทาง บพท.
ได้เล็งเห็นปัญหาการพัฒนาพื้นที่เมืองชายแดน ถึงแม้จะไม่สามารถกำกับนโยบายของประเทศอื่นได้
แต่ไทยจะทำได้คือทำให้พื้นที่เมืองชายแดนเป็นพื้นที่ที่กระจายความเจริญพอที่จะสร้างศูนย์กลางความเจริญไปสู่ภูมิภาคได้
อันเป็นที่มาของ “โครงการวิจัยการพัฒนาพื้นที่เมืองชายแดนให้เติบโตอย่างยั่งยืน” เกี่ยวกับการจัดการปัญหาที่ซับซ้อนและความต้องการระบบ
Area base Approach นำมาสร้างกลไกการจัดการเสริมการทำงานแบบ
Function base ด้วยวิธีหลัก
ๆ ดังนี้
@เปิดรายงานบพท.แนะรัฐปลดล็อกยุทธศาสตร์ชายแดนไทย
1.สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานให้ได้ความรู้
ข้อมูล จะทำให้เกิด “การมองเป้าที่ชัดเจนและจัดลำดับความสำคัญ” ในการแก้ไขปัญหา
และจะจัดการปัญหาให้ตรงจุดที่เกิดขึ้นอยู่ตรงไหน
2.มีกลไกจัดลำดับวิธีต้องปฏิบัติ
ทั้งระดับนโยบายและพื้นที่
โดยมีความเชื่อมั่นเรื่องความร่วมมือระหว่างหน่วยงานจะ
“สร้างการเปลี่ยนแปลง” ให้แต่ละพื้นที่ได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นการสร้างความร่วมมือเพื่อทำให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนร่วมกันได้
จากกลไกการจัดการความร่วมมือโดยใช้ความรู้ และข้อมูล ได้อย่างยั่งยืนต่อไป
@ธนาคารโลกยันผลศึกษา31จังหวัดเศรษฐกิจโตช้ามาก
นายสตีเวน
รูบินยิ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการความเสี่ยงสาธารณภัยธนาคารโลก
กล่าวว่า การพัฒนาพื้นที่ชายแดน มุ่งเน้นมากกว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะสามารถยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตประชาชนได้ด้วย
การพัฒนาชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพต้องดำเนินการแบบองค์รวม
โดยปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และการบริหารจัดการ ซึ่งจะเป็นกลไกสำคัญปลดล็อกศักยภาพชายแดนไทย
ตามผลการศึกษาชี้ถึงพื้นที่ชายแดนของไทยใน
31 จังหวัด ถึงแม้จะได้เปรียบจากตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ
แต่เศรษฐกิจในพื้นที่กลับเติบโตอัตราช้า ไม่เหมาะสมกับศักยภาพทางภูมิศาสตร์
โดยรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรในพื้นที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศถึง 34 % อีกทั้ง
“แรงงานในพื้นที่” ส่วนใหญ่ทำงานในภาคการเกษตร ส่วน “แรงงานในอุตสาหกรรม” ที่มูลค่าสูง
เช่น อุตสาหกรรมการผลิต มีเพียง 12%
“ภาคเศรษฐกิจสำคัญ”
ที่นำมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ “ภาคเหนือและอีสาน” คือ ภาคเกษตร ส่วน “ภาคใต้”
โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา แม้ประชากรจะประกอบอาชีพหลากหลายและมีฐานทางเศรษฐกิจมั่นคงกว่า
แต่ยังคงตามหลังภูมิภาคอื่นของประเทศเช่นกัน
@ชำแหละความจริงการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ
10 จังหวัด
ผลจากรายงานฉบับนี้ระบุแนวทางปลดล็อกอุปสรรคและปัญหาเป็นข้อเสนอแนะให้นำไปปฏิบัติดังนี้
ส่วนที่
1 การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ
(Special Economic Zones: SEZs) ในพื้นที่ชายแดน
10 จังหวัด
ไม่ได้ผลตามที่ตั้งเป้าไว้ทั้งหมด เขตเศรษฐกิจพิเศษบางจังหวัด เช่น
สงขลาและสระแก้ว ได้ใช้จุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ได้เปรียบ
เพื่อขยายตลาดและดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ แต่ในพื้นที่ชายแดนอื่น ๆ
ยังประสบความท้าทายเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าชายแดนอย่างต่อเนื่อง
เช่น
ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน ปัญหาด้านกฎหมายและระเบียบที่ไม่สอดคล้องกัน ขาดแคลนแรงงาน โดยได้นำเสนอกรณีศึกษา5 จังหวัดหลัก ได้แก่ เชียงราย สงขลา สระแก้ว
หนองคาย และมุกดาหาร
หากเขตเศรษฐกิจพิเศษใน
5 จังหวัดข้างต้น
ได้รับการเยียวยาและพัฒนาอย่างเพียงพอ จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่เติบโตแบบก้าวกระโดดได้
ส่วนที่
2 จากการศึกษาพื้นที่เชิงลึกพบว่า
“จังหวัดมุกดาหาร” มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี มี GPP ต่อหัวระหว่างปี 2554-2563 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 4% แล้วยังได้เปรียบ “ทำเลที่ตั้ง” อยู่ติดกับแขวงสะหวันนะเขต
สปป.ลาว ซึ่งมีประชากรหนาแน่น แม้จะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง
แต่ในกรณีศึกษามุกดาหารกลับได้คะแนนต่ำสุดจาก
5 จังหวัดเนื่องจากอัตราการย้ายถิ่นฐานที่สูง
สัดส่วนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น การพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ
และโอกาสทางการศึกษาขั้นสูงมีจำกัด
แม้ประชากรในมุกดาหารครึ่งหนึ่งจะอาศัยอยู่ในเขตเมือง
แต่ไม่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมหรือเศรษฐกิจที่สอดคล้องกัน
“จังหวัดสงขลา”
เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในอาเซียน มีจุดผ่านแดนรองรับการเดินทาง สถิติปี 2565 มีจำนวนเกือบ 7 ล้านครั้ง มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 878,000 ล้านบาท มีโครงสร้างเศรษฐกิจหลากหลาย ในกรณีศึกษาส่งผลให้สงขลาได้รับคะแนนสูงสุดจาก
5 จังหวัด
แต่สงขลาประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
เพราะข้อจำกัดด้านวีซ่าและทักษะที่ไม่ตรงต่อความต้องการตลาด โครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่
เช่น ท่าเรือน้ำลึก และระบบรางเดี่ยว
รวมถึงกระบวนการรับรองมาตรฐานอาหารฮาลาลที่ซับซ้อน
@ชี้เป้าใช้เมืองชายเป็นประตูขยายการค้า-การลงทุนใหม่
ดังนั้น
“กลยุทธ์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ” เหล่านี้ ควรเน้นนำศักยภาพในพื้นที่ที่มีจุดผ่านแดนระหว่างประเทศ
ซึ่งเป็น “ประตู” การค้าการลงทุน แหล่งท่องเที่ยว และแหล่งส่งออกผลิตภัณฑ์เกษตร
มายกระดับพัฒนาให้สอดคล้องกับความเหมาะสม ควบคู่กับเดินหน้าแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า
ทั้งด้านคุณภาพของแรงงานที่ยังมีช่องว่างทางทักษะ
การขาดโครงสร้างพื้นฐานในบางพื้นที่ การบูรณาการทำงานและวางนโยบายของหน่วยงานต่าง
ๆ ให้เอื้อต่อการค้าอย่างเต็มที่
และมีข้อแนะนำเพิ่มเติมให้
“ภาครัฐ” ควรจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายพัฒนาพื้นที่ชายแดนเพื่อบริหารจัดการกลยุทธ์การลงทุนและประสานความร่วมมือด้านนโยบายให้ได้ประโยชน์สูงสุด
นำไปสู่การส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านกระตุ้นการค้าระหว่างกัน
และการบรรจุจังหวัดชายแดนไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจระดับชาติและภูมิภาค เพื่อให้ไทยใช้เป็นกุญแจสำคัญสู่อนาคตที่มั่งคั่งและยั่งยืน
รศ.ดร.ปุ่น
เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุน ด้านการพัฒนาระดับพื้นที่
(บพท.) กล่าวว่า ภูมิภาคจะเจริญเติบโตอย่างเดียวไม่พอ
ไทยจำเป็นต้องเห็นการเติบโตซึ่งเป็นรั้วของชาติทำให้เมืองชายแดนมีคุณภาพมากขึ้น จึงควรยกระดับ
“กลไกการพัฒนาพื้นที่” พร้อมกับร่วมกันสร้างยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่และเมืองชายแดนครอบคลุมในแต่ละมิติและทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน
ผลักดันแผนพัฒนาพื้นที่เมืองชายแดน สร้างโอกาสการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานแบบใหม่ของคนในพื้นที่เมืองชายแดนเทียบเท่าคนในเมือง
จึงจะสามารถปลดล็อกเศรษฐกิจ สังคม เติบโตได้อย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น