ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ถอดบทเรียนอุบัติใหม่ไวรัสโควิด-19เปลี่ยนวิถีอุตฯการบิน-ท่องเที่ยวไทย ททท.ทำตลาดข้ามช็อตปี’64เน้นแผนพลิกฟื้น-ปี’65เร่งรายได้โตทะลุ30%

ถอดบทเรียนอุบัติใหม่ไวรัสโควิด-19เปลี่ยนวิถีอุตฯการบิน-ท่องเที่ยวไทย

ททท.ทำตลาดข้ามช็อตปี’64เน้นแผนพลิกฟื้น-ปี’65เร่งรายได้โตทะลุ30%

คิงเพาเวอร์ช้อปทุกโปรผ่านบัตรร่วมกสิกรไทยรับเพิ่มสูงสุด3หมื่นคะแนน

คิงเพาเวอร์นำเลสเตอร์ย้ายเข้าศูนย์ฝึกใหม่ซีเกรฟสานอนาคตที่ยิ่งใหญ่

รมว.พิพัฒน์”จ่อชงเที่ยวไทยวัยเก๋าเข้าครม.29ธ.ค.ปั๊มศก.1.8หมื่นล้าน

ททท.เปิดหลักสูตร TMEรุ่น4สมัครได้ตั้งแต่วันนี้-29ม.ค.64เรียน6เดือน

น่านเปิดเมืองชวนท่องเที่ยวเติมวัดเก่าแก่ดอยสวยเติมสุขปีใหม่ 2564

วิธีการSocial Distancingเว้นระยะห่างอย่างไรปลอดภัยจากโควิด-19

ก.ดิจิทัล-7กลุ่มผุดแพลตฟอร์มบริการจองห้องALQ/ASQโรงแรมทั่วไทย

ศูนย์วิจัยแบงก์กรุงไทยชี้เป้าไทยปั้นเมดิคัลฮับโกยรายได้5แสนล้านปี’68

 

เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน คอลัมนิสต์เศรษฐกิจ

ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม 2563 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97  #เที่ยวกับกู๋  #ช้อปคิงเพาเวอร์ด้วยบัตรกสิกรไทยรับ3หมื่นแต้ม  #สโมสรเลสเตอร์ย้ายศูนย์ฝึกใหม่ไปซีเกรฟอังกฤษ #เที่ยวเมืองน่านวัดดอยสูง  

ช่วงที่ 1 วิเคราะห์การถอดบทเรียนอุบัติใหม่ “ไวรัสโควิด-19” จู่โจมโลกปี 2563 เปลี่ยน “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว-การบิน” ในจังหวะที่ 2 องค์กรแถวหน้าของเมืองไทยกำลังฉลองครบ 60 ปี “การบินไทย” เจ็บแบบไม่จบ ต้องพ้นสภาพรัฐวิสาหกิจ แถมแบกหนี้ 3.6 แสนล้านบาท เดินหน้าเข้า พรบ.ฟื้นฟูกิจการ ปลดคน ลดขนาด แผนยุทธศาสตร์ยังไม่คืบไปถึงไหน สวนทางกับ “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย : ททท.” เล่นบทผู้นำทัพตลาดกู้เศรษฐกิจฉับพลันได้รัฐจัดยาแรง “เราเที่ยวด้วยกัน” แต่ก็ต้องสะดุดเพราะพิษโกง แถมเจอระบาดรอบใหม่ซ้ำเติมอุตสาหกรรมอาหารพังพาบ เผยความล่มสลายระบบรัฐนำเข้าแรงงานพร้อมเชื้อโรค “ผู้ว่าฯ ยุทธศักดิ์” งัดไม้ตายเติมพลังบวก 3 สร้าง 2 รักษา หอบอุตสาหกรรมก้าวข้ามวิกฤตไปตั้งหลักใหม่ปี’65 ด้วยการพลิกโฉมตลาดคุณภาพปั๊มรายได้โต 30 % หันพึ่งพาคนไทย 52 % ลดบทบาทต่างชาติเหลือแค่ 48 %

 

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวตลอดปี 2563 ถือเป็นการครบรอบ 60 ปี ของ 2 องค์กรแถวหน้าของประเทศ คือ “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) กับ “บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) สายการบินแห่งชาติ ซึ่งกลายเป็น “จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์” เมื่อต้องเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์โรคระบาดใหม่ไวรัสโควิด-19 แบบไม่คาดมาย ทำให้รัฐบาลไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลกต้องประกาศล็อกดาวน์ ห้ามการเดินทางในประเทศลงชั่วขณะ ส่วนการท่องเที่ยวระหว่างประเทศหยุดพักยาวตั้งแต่มกราคม 2563 มาจนถึงวันนี้

 

ระยะแรก โควิด-19 คร่าชีวิตคนและทำลายล้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวพังทั้งระบบ ตั้งแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ “การบิน” ทั้งบริษัทผลิตเครื่องบินพาณิชย์ 2 ยักษ์ใหญ่ แอร์บัส โบอิ้ง สายการบินแถวหน้าของโลกต่างก็พับฐานกันเป็นแถว “การบินไทย” ก็สาหัสหนักเกินเยียวยาจากหนี้สะสมทะลุ 3.6 แสนล้านบาท ต้องประกาศพ้นสภาพรัฐวิสาหกิจ เข้าพระราชญัติ (พรบ.) ฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อเดือนกันยายน 2563 จากนั้นก็เปิดให้พนักงานสมัครใจลาออกมีผล 31 ธันวาคม 2563 กว่า 5,000 คน ส่วนการเปิดประชุมเจรจากับเจ้าหนี้ก็ยังจัดไม่สำเร็จ ทุกอย่างจึงต้องขอเริ่มต้นใหม่อีกครั้งปี 2564

 

พร้อม ๆ กับ ประกาศชักเข้า-ชักออก ล้มเลิกกิจกรรมการบินที่ประกาศทำแพกเกจต่าง ๆ ออกวางขาย รวมทั้งการเปิด ๆ ปิด ๆ เที่ยวบินระหว่างประเทศ ที่โปรโมตจะนำร่องบินข้ามทวีปไปยุโรป เอเชีย 4 เส้นทาง เริ่ม 1 มกราคม 2564 จะเป็นไปได้หรือไม่อย่างไร เรื่อยไปจนถึงการเรียกประชุมเจ้าหนี้ตามคำสั่งศาลจนถึงวันนี้ก็ยังไม่สำเร็จ ยังต้องเฝ้าติดตามกันต่ออีก 2 ปีหน้า จะอยู่หรือไป

 

ทางด้าน “ททท.” ต้องทำงานหนักสุด ๆ พลิกแผนการตลาดใหม่แบบฉุกเฉินหันมาปลุกกำลังซื้อ “ในประเทศ” เปิดมหกรรมขาย “ไทยเที่ยวไทย” โดยได้รัฐบาลออกนโยบายสนับสนุนเต็มที่ ด้วยการนำเงินกู้กว่า 5,000 ล้านบาท เข้ามาช่วยกระตุ้นผ่านโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” รัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายแจกเงินให้คนไปเที่ยว เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หลัก ๆ คือ ส่วนลดห้องพัก 40 % ตั๋วเครื่องบิน 2,000 บาท เติมเงินให้ใช้เป็นค่าอาหาร ซื้อของฝาก ของที่ระลึก อีกวันละ 600-900 บาท/คน/วัน

 

กลางเดือนธันวาคม 2563 เตรียมจะขยายผลโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ต่อเฟส 2 ก็ดันพบข้อมูลโรงแรมทั่วประเทศกว่า 300 แห่ง  ร้านอาหารกว่า 200 แห่ง ร่วมด้วยช่วยกันโกงเงินรัฐ สะเทือนไปทั้งอุตสหกรรม เพราะเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท.ต้องเดินทางเข้าแจ้งความ สน.ปทุมวัน ให้ดำเนินคดีผู้ประกอบการเข้าข่ายฉ้อโกงเงินเราเที่ยวด้วยกัน และมีผลให้ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องชะลอโครงการเฟส 2 ออกไปไม่มีกำหนด

 

ขณะที่ “การท่องเที่ยวในประเทศ” หลายพื้นที่ทั่วประเทศ ก็เดินหน้าลงทุนตกแต่งสถานที่ โปรโมตขายอีเวนต์ทำเงินเทศกาล คริสต์มาส เคาน์ดาวน์ กำลังจะมีสัญญาณที่ดีเกิดขึ้นเมื่อหลายจังหวัด แถบภาคกลาง ภาคตะวันออก รายงานยอดจองพักโรงแรมช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เกือบเต็ม 100 %

 

แต่ในเวลา 4 วันต่อมา เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ฝันธุรกิจ “ท่องเที่ยวในประเทศ” แทบดับสลายอีกครั้งเมื่อศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ประกาศพบ “การระบาดครั้งใหม่” มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 บริเวณตลาดกลางกุ้ง อำเภอมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร ล็อตแรกพุ่งสูงถึง 548 คน พร้อมทั้งกระจายตัวอย่างรวดเร็วภายในสัปดาห์เดียวกว่า 30 จังหวัด ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อทะลุเกินกว่า 1,300 คน การระบาดครั้งนี้นอกจากจะสร้างความหวั่นวิตกระหว่าง เคาน์ดาวน์ กับล็อกดาวน์ ครั้งใหม่แล้ว ยังเป็นชนวนใหญ่ลุกลามหนักสาหัสไปถึง “อุตสาหกรรมอาหารทะเล” ทั้งประเทศ และสาวไส้ให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” อย่างสิ้นเชิงในระบบการทำงานของรัฐ ที่ปล่อยให้เกิดหลุมดำขนาดมหึมาของ “กระบวนการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวจากเมียนมา” เข้าประเทศพร้อมโควิด-19 ครั้งใหม่

 

เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท.นำทีมเปิดเวทีเสวนาผ่าน ZOOM ครั้งใหม่ เพื่อนำผู้บริหาร พนักงาน สมาคมท่องเที่ยว องค์กรเกี่ยวข้อง ร่วมรับฟังข้อมูลตรงจากเครือข่ายกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อเตรียมรับมือแก้วิกฤตไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศ โดยที่ตลาดต่างประเทศเองก็ยังไม่สามารถขยับทำอะไรได้นัก อย่างไรก็ต้องรอ ให้ทั่วโลกประกาศ “ปลดล็อกการเดินทางให้ประชาชนของตนเอง” 

 

ผู้นำ ททท.ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่นบนเวทีเสวนาว่า ปี 2564 ททท.วางแผนเคลื่อนทัพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยจะไม่ปล่อยให้ธุรกิจสูญเสียเพียงฝ่ายเดียว ทว่าจะเร่งดำเนินการเปิดรับนักท่องเที่ยวด้วยการนำไปสู่ 3 สิ่ง คือ 1.ลดการพึ่งพารายได้ต่างประเทศลง 2.เปิดกลยุทธ์เชิงรุกเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพเป็นหลัก 3.สร้างภาพลักษณ์แบรนด์ของประเทศไทยให้ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนทั่วโลกตลอดไป

 

โดยจะร่วมมือกันทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากอดีตอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสร้างฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยววิถีใหม่ในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้า จากปี 2563 ก้าวกระโดดไปโฟกัสปี 2565 ประกอบด้วย 2 พันธกิจหลัก คือ

 

1.ตั้งเป้าหมายมองข้ามช็อตไปข้างหน้าอีก 2 ปี เรื่องการลดจำนวน “นักท่องเที่ยวต่างประเทศ” ลงไปถึงครึ่งหนึ่ง จากเดิมปี 2562 ทำได้ 39.8 ล้านคน ปี 2565 จะเหลือเพียง 20.8 ล้านคน แล้วเร่งสร้างรายได้ให้ถึงปีละ 1.3 ล้านล้านบาท “นักท่องเที่ยวในประเทศ”  จะทำให้ได้ 180 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านบาท 2.ปรับสัดส่วนการพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างประเทศเหลือเพียง 48 % หันมาเพิ่มในประเทศเป็น 52 % เป็นไปตามนโยบายรัฐบาลเรื่องลดการพึ่งพารายได้นักท่องเที่ยวต่างประเทศ แตกต่างจากปี 2562 มีสัดส่วนต่างประเทศสูงถึง 64 %  ในประเทศเพียง 36 %

 

2.เปิดตลาดวิถีใหม่รับนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพมากขึ้น โดย ททท.ไม่ได้ให้น้ำหนักกับจำนวนคนอีกต่อไป ตั้งเป้ายังต้องรักษารายได้ไว้ เดินหน้าทำงานหนักเพิ่มเรื่อง “การใช้จ่ายต่อคนต่อทริป” ตั้งเป้า ปี 2565 จะต้องเพิ่มการเงินของต่างชาติเที่ยวเมืองไทยต่อคนต่อทริปอีกไม่ต่ำกว่า 30 % ขยับเป็น 62,000 บาท/คน/ทริป จากฐานปี 2562 ใช้จ่ายเฉลี่ย 47,000 บาท/คน/ทริป ส่วน “นักท่องเที่ยวในประเทศ” ปี 2565 ขยับเพิ่มเป็น 4,900 บาท/คน/ทริป จากฐานปี 2562 เฉลี่ย 4,700 บาท/คน/ทริป

 

ปี 2564 ผู้นำ ททท. ประกาศว่า อยู่ระหว่างจัดทำแผนที่เรียกว่า “แผนพลิกฟื้น” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “จะพลิกฟื้นอย่างสร้างสรรค์ ก้าวสู่การท่องเที่ยวมีมูลค่าสูงอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบและโครงการที่เหมาะสม” โดย ททท.พร้อมจะทำงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้องเชิงบูรณาการในการจัดการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ ยืนยันจะไม่ปล่อยให้ผู้ประกอบการเป็นผู้สูญเสีย แต่จะเข้าไปช่วยเรื่องการปรับตัวเข้าสู่ทิศทางของประเทศ เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพมากขึ้น

 

ปูพรมไว้รออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอนาคตอีก 2 ปีข้างหน้า ททท.จึงต้องใช้เวลาช่วงรอยต่อปีหน้าเน้นกระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น และพร้อมจะทำการตลาดคุณภาพด้วยความพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่าย ควบคู่กับการซ่อมสร้างซัพพลายเชนของประเทศ บนพื้นฐานการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ

 

สิ่งที่ ททท.และภาคีเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทย ทำได้คือ 3 สร้าง 2 รักษา” คือ “สร้างขวัญกำลังใจ-สร้างความเชื่อมั่น-สร้างความหวัง-รักษาแสงสว่าง-รักษากระแสความนิยมให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยว Top of Mind ในใจชาวโลก”

 

ส่วนกลไกสำคัญคือ “ผู้นำประเทศและรัฐบาล” จะต้อง “ปลดแอกนโยบาย” ให้เกิดประโยชน์กับท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ขณะที่ “ผู้ประกอบการท่องเที่ยว” ต้อง “ลดละเลิกเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้” ต้องช่วยกันดูแลเพื่อนในอุตสาหกรรมให้ประพฤติดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง และ “ประชาชนในประเทศ” ก็ช่วยกันทำหน้าที่เที่ยวอย่างรับผิดชอบ

 

“วิกฤตไวรัสโควิด-19” เป็นคู่มือ “เปลี่ยนโลกฉบับใหม่” ในรอบ 2500 ปี หากมนุษย์ยังไม่เรียนรู้ ไม่แก้ไข ยังยืนยันที่จะทำลายธรรมชาติก็จะยิ่งเพิ่มโมเมนตั้มความแรงกลับมาทำลายมนุษย์เองมากยิ่งขึ้นต่อไป

 

ฟังข่าวต้นชั่วโมง

 

ข่าวที่ 1 คิงเพาเวอร์ช้อปทุกโปรผ่านบัตรร่วมกสิกรไทยรับเพิ่มสูงสุด3หมื่นคะแนน

 

คิงเพาเวอร์ จับมือกับบัตรเครดิตธนาคากสิกรไทย มอบของขวัญให้เหล่านักช้อปแฟนคลับ รับคะแนนสะสมพิเศษจากช้อปสินค้าโดยจ่ายผ่านบัตรร่วม “คิง เพาเวอร์-กสิกรไทย” สูงสุดถึง 30,000 คะแนน ด้วยการลงทะเบียนเข้าร่วมรายการระบบก็จะคำนวณเฉพาะยอดใช้จ่ายเต็มจำนวน ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ มหานคร พัทยา ภูเก็ต และทางออนไลน์ www.kingpower.com และแอปพลิเคชัน KING POWER ตั้งแต่วันนี้– 31 ม.ค. 64

 

ร่วมช้อปอย่างสนุกคุ้มค่าง่าย ๆ เพียงแค่ผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทยเข้าไปลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ผ่าน SMS พิมพ์ KPW (วรรค) หมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งไปที่ 4545888 แล้วจะได้รับข้อความตอบกลับตั้งแต่วันนี้ – 31 ม.ค. 64

สำหรับคะแนนสะสมที่จะได้รับจากบัตรเครดิตร่วมคิง เพาเวอร์ – กสิกรไทย จำกัดการรับคะแนนสะสมพิเศษสูงสุดตลอดโครงการคนละ 30,000 คะแนน เมื่อช้อป 4 ยอดดังนี้

 

1.ยอดใช้จ่าย 10,000 – 29,999 บาท/เซลส์สลิป รับ 2,000 คะแนน

2.ยอดใช้จ่าย 30,000 – 49,999 บาท/เซลส์สลิป รับ 7,000 คะแนน

3.ยอดใช้จ่ายครบ 50,000 – 99,999 บาท/เซลส์สลิป รับ 14,000 คะแนน

4.ยอดใช้จ่ายครบ 100,000 บาทขึ้นไป/เซลส์สลิป รับ 30,000 คะแนน

 

ส่วนบัตรเครดิตกสิกรไทยประเภทอื่น ๆ จำกัดการรับคะแนนสะสมพิเศษสูงสุดตลอดรายการคนละไม่เกิน  25,000 คะแนน

 

1.ยอดใช้จ่าย 10,000 – 29,999 บาท/เซลส์สลิป รับ 1,000 คะแนน

2.ยอดใช้จ่าย 30,000 – 49,999 บาท/เซลส์สลิป รับ 4,500 คะแนน

3.ยอดใช้จ่ายครบ 50,000 – 99,999 บาท/เซลส์สลิป รับ 10,000 คะแนน

4.ยอดใช้จ่ายครบ 100,000 บาทขึ้นไป/เซลส์สลิป รับ 25,000 คะแนน

 

เงื่อนไขการใช้โค้ดส่วนลด 20% คือ “KBXKP20” ใช้ได้ที่ www.kingpower.com & King Power Application โดยลูกค้าจะต้องทำการ Log in เข้าสู่ระบบเว็บไซต์ก่อนการสั่งซื้อสินค้าแต่ละครั้ง เดือนละ 1 คน/สิทธิ์

 

ข่าวที่ 2 คิงเพาเวอร์นำเลสเตอร์ย้ายเข้าศูนย์ฝึกใหม่ซีเกรฟสานความยิ่งใหญ่อนาคต

 

นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ในฐานะประธานสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี้ ช่วงสัปดาห์ส่งท้ายปีจะเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ จะย้ายสนามฝึกซ้อมของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ไปยังสถานที่แห่งใหม่ที่ “ซีเกรฟ” ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเลสเตอร์เชียร์ บริหารงานโดยกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เป็นสนามฝึกซ้อมระดับ เวิลด์คลาส ศูนย์กีฬาที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเนื้อที่ราว 180 เอเคอร์ หรือ 455 ไร่ เริ่มก่อสร้างเมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2019 เดิมเป็นที่ตั้งของสนามกอล์ฟพาร์ค ฮิลล์

 

ถือเป็นโครงการใหญ่ที่สุดในรอบ 10 ปีที่ได้ลงทุนสร้างสนามฝึกซ้อมแห่งใหม่ ซีเกรฟ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่วันนี้ได้สร้างความฝันของพวกเราให้เป็นความจริง ตอกย้ำและสานฝันคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา อดีตประธานสโมสร ที่ตั้งเป้าหมายขับเคลื่อนทีมให้เลสเตอร์เป็นสโมสรชั้นนำของวงการฟุตบอลอังกฤษ และซีเกรฟจะเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงานของเราและคนรุ่นต่อๆ ไป

 

ส่วนโปรแกรมของทีมชุดใหญ่จะประเดิมฝึกซ้อมในสนามแห่งใหม่ที่ซีเกรฟ ในวันฉลองคริสต์มาสอีฟ 24 ธันวาคม 2563 จากนั้นเลสเตอร์ ซิตี้ จะเปิดบ้านต้อนรับ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ที่สนามคิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม ในวันบ็อกซิ่งเดย์ 26 ธันวาคม  2563

 

สำหรับสนามฝึกซ้อมแห่งใหม่ซีเกรฟ  ประกอบไปด้วย

ส่วนที่ 1 “อาคารวิชัย ศรีวัฒนประภา” เป็นศูนย์กลางหลักของศูนย์ฝึกซ้อมตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติให้อดีตประธานสโมสร บุคคลสำคัญที่สุดของสโมสร ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่สำคัญของ วิชอสโมสร ที่อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา สานงานต่อภายในอาคารมีสิ่งอำนวยความสะดวกของ ทีมฟุตบอลชาย สำนักงาน ที่พัก ห้องอาหารและสันทนาการของทีมชุดใหญ่ มีระเบียงที่สามารถมองเห็น สนามฝึกซ้อมด้านนอกของทีมได้

 

ส่วนที่ 2 “คิง เพาเวอร์ เซ็นเตอร์” เป็นศูนย์ที่มีสถาปัตยกรรมรูปโดมอันโดดเด่นที่สุดตัดกับภูมิทัศน์สวยงาม มีสนามหญ้าเทียม ในอาคาร รวมถึงศูนย์ฝึกซ้อมของเยาวชนตามระดับอายุที่เหมาะสม ศูนย์อำนวยการสื่อมวลชน ห้องแถลงข่าว ห้องถ่ายทอดสด และพื้นที่สันทนาการต่าง ๆ

 

ส่วนที่ 3 สนามแข่ง 1 มีสนามแข่งขันย่อยที่จุผู้ชมได้ถึง 499 ที่นั่ง ใช้แข่งขัน เอฟเอ ยูธ คัพ, พรีเมียร์ลีก 2 และฟุตบอล หญิงเลสเตอร์ ซิตี้

 

ส่วนที่ 4 “สนามฝึกซ้อม 21 สนาม” แบ่งเป็นสนามฟุตบอลขนาดมาตรฐาน 14 สนาม

 

ส่วนที่ 5 สนามกอล์ฟส่วนตัว แบบ 9 หลุม

 

ภายในสนามแห่งนี้ ได้จัดให้มี ระบบวิทยาศาสตร์การกีฬาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย ศูนย์ฟิตเนสและระบบวารีบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย (Hydrotherapy)

 

ส่วนที่ 6 สปอร์ต เทิร์ฟ อะคาเดมี่ Sports Turf Academy (STA) ศูนย์กลางวิจัยอะคาเดมี่แห่งแรก สำหรับการเรียนรู้และ ศึกษาพัฒนานวัตกรรม ในการจัดการสนามหญ้าในการแข่งขัน ให้กับทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านพื้นที่สนามกีฬามืออาชีพ จากทั่วโลก

 

สนามฝึกซ้อมของสโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ แห่งใหม่ ซีเกรฟ จะกลายเป็นบ้านหลังใหม่ของนักเตะทีมชายทั้งหมด รวมถึงอะคาเดมี่ ส่วนสนามซ้อมเดิมที่ บีเวอร์ ไดรฟ์ ที่ใช้มาเกือบ 60 ปี จะกลายเป็นบ้านของทีมฟุตบอลหญิง เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเข้ามาอยู่กับสโมสรเมื่อสิงหาคม 2563 และกลายเป็นทีมอาชีพช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ปัจจุบันทีมฟุตบอลหญิงเลสเตอร์ ซิตี้ ขึ้นผู้นำการแข่งขันเอฟเอ วีเม่นส์ แชมเปี้ยนชิพ (FA Women’s Championship) เตรียมย้ายเข้ามายังบีเวอร์ ไดร์ฟ ภายสิ้นปีนี้

 

ข่าวที่ 3 “รมว.พิพัฒน์”จ่อชงเที่ยวไทยวัยเก๋าเข้าครม.29ธ.ค.ยันปั๊มศก.1.8หมื่นล้าน

 

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า วันที่ 29 ธันวาคม 2563 ทางกระทรวงท่องเที่ยวจะนำ โครงการ “เที่ยวไทยวัยเก๋า” เสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจจากกลุ่มกำลังซื้อสูงนักท่องเที่ยวผู้สูงวัยเดินทางเที่ยววันธรรมดา และยังสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยวทั้งระบบ จ้างงาน สร้างอาชีพคนจำนวนมากได้ โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มจำนวนคนเที่ยวในประเทศอีก 1 ล้านคน-ครั้ง สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวม18,859.89 ล้านบาท ผ่อนคลายความเดือดร้อนผู้ประกอบการ แรงงานได้ประมาณ 4 แสนคน ทั้งผู้ประกอบการนำเที่ยว มัคคุเทศก์ แรงงานขนส่งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ ร้านค้า ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และโรงแรม โดยใช้งบประมาณส่วนที่เหลือของโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” วงเงิน 5,000 ล้านบาท ดำเนินการ 3 เดือน

โครงการ “เที่ยวไทยวัยเก๋า” มุ่งเน้นให้สิทธิประโยชน์กลุ่มนักท่องเที่ยวอายุ 55-75 ปี ต้องเลือกใช้บริการซื้อแพเกจบริษัทนำเที่ยว 3 วัน 2 คืนขึ้นไป ราคา 12,500 บาท/คน/แพกเกจ โดยรัฐจะสนับสนุนค่าใช้จ่ายไม่เกิน 5,000 บาท/คน จะกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่มอีก 2,531.87 บาท/วัน หรือ7,595.61 บาท/คน

 

ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ที่มีเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นประธาน อนุมัติโครงการ “เที่ยวไทยวัยเก๋า”แล้วเมื่อ 17 ธันวาคม 2563  ดังนั้นนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยว จะเสนอ ครม.ให้รัฐบาลมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่คนไทย

 

สำหรับเกณฑ์การทำโครงการ “เที่ยวไทยวัยเก๋า” ประกอบไปด้วย 1.ผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีอายุ 55 ปีขึ้นไป 2.บริษัทนำเที่ยวต้องผลิตแพ็คเกจขาย 3 วัน 2 คืน 3.เที่ยววันธรรมดา พัก วันอาทิตย์ - พฤหัส 4.รัฐสนับสนุน  5,000 บาท/คน ราคาขาย 12,500 บาทขึ้นไป จำนวน 1 ล้านแพ็คเกจ 5. บริษัทนำเที่ยวรับไม่เกิน 3,000 คน/บริษัท

 

ข่าวที่ 4 ททท.เปิดหลักสูตร TMEรุ่น4สมัครได้ตั้งแต่วันนี้-29ม.ค.64เรียน6เดือน

 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) ประกาศเปิดรับการเข้าร่วม “อบรมหลักสูตรการบริหารการท่องเที่ยวสำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 4 ประจำปี 2564 : Tourism Management Program for Executives: TME4 อบรม 6 เดือน ระหว่างวันที่ 19 มีนาคม - 8 กันยายน 2564 โดยมีแนวคิดหลักคือ “การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism): ต่อยอด แบ่งปัน สร้างสรรค์สังคม” มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถวิเคราะห์ วางแผนการดำเนินงาน และบูรณาการการทำงานด้านการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบได้ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนอย่างต่อเนื่อง และผลักดันการกระจายรายได้สู่จังหวัดท่องเที่ยวรอง สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจได้อย่างทั่วถึง

ททท. ขอเรียนเชิญผู้สนใจสมัครโดยตรงได้ที่ www.tatacademy.com ตั้งแต่วันนี้ – 29 มกราคม 2564 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยว (TAT Academy) โทร. 0 2250 5500 ต่อ 4920 - 4 ในวันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 - 16.30 น.

                ช่วงที่ 2 ออกเที่ยวต้อนรับสิ่งดี ๆ รับปีใหม่กันได้ที่ “น่าน” ชมอารยธรรมเมืองเก่า วัดสวย ๆ ดอยสูงธรรมชาติงดงาม เดินช้อปปิ้งถนนคนเดินราคาสบายกระเป๋า แล้วก็มาย้ำกันถึง “วิธีรักษาระยะห่าง Social Distancing” อย่างไรให้ปลอดภัยห่างไกลโควิด ส่วนข่าวส่งท้ายปี “กระทรวงดิจิทัล” จับมือ 7 พันธมิตร เปิดแพลตฟอร์มคนไทย ศูนย์กลางบริการจองห้องพักโรงแรมทั่วไทยเพื่อกักตัวตามระบบ ALQ/ASQ และศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทยชี้เป้าให้ไทยเร่งปั้นประเทศเป็น “เมดิคัล ฮับ” ใช้จุดแข็ง 3 เทรนด์ใหม่ เตรียมรับทรัพย์เพราะมีเงินรออยู่ปี’68 กว่า 5 แสนล้านบาท

 

น่านเปิดเมืองชวนนักท่องเที่ยวเติมความสุขรับปีใหม่ 2564

 

ออกไปเติมความสุขต้อนรับปีใหม่กันที่ “เมืองน่าน” สถานที่ท่องเที่ยว และกิจกรรมงานต่าง ๆ รอต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยในมาตรฐานสุขอนามัย  ชวนไปชม “ถนนคนเดิน” ได้ตามปกติทุกสัปดาห์ ในวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ บริเวณสี่แยกข่วงเมืองน่าน เปิดรอนักท่องเที่ยวตั้งแต่ 5 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่ม

 

แถมยังเตรียมความสุขไว้ให้ด้วยช่วงวันหยุดยาว 5 วัน เทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2563 ต้อนรับปีใหม่ 2564 ระหว่าง 30 ธ.ค.2563 – 3 มกราคม 2564  ไปร่วมสัมผัสประสบการณ์ “นครแห่งความสุข เมืองเก่าที่มีชีวิต Nan The City of Happiness : A Lively Old Town” ทุกวันจะจัด ถนนคนเดิน ลานคนเมือง ด้านหน้ามิ่งเมืองดีเบส บนถนนสุริยพงษ์ ส่วนทุกวันพุธ - พฤหัสบดี จัดหน้าค่ายสุริยพงษ์ ช่วง 4 โมงเย็น ถึง 4 ทุ่ม สอบถามเทศบาลเมืองน่าน WWW.NANCITY.GO.TH หรือโทร. 054-710234 ต่อ 134

 

เมืองน่าน ยังมีสถานที่ที่คนนิยมไปท่องเที่ยว อย่างในเขตเทศบาลเมืองน่าน จะไปชมบริเวณข่วงเมืองน่าน โบราณสถาน ที่มีอยู่มากมายอย่าง วัดภูมินทร์ วัดมิ่งเมือง วัดหัวข่วง วัดช้างค้ำวรวิหาร พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน รอบบริเวณก็ร้านจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก เลือกช้อปได้แบบราคาสบายกระเป๋ามาก ๆ

 

นักท่องเที่ยวชอบขึ้นดอยสูง เลือกกันได้เลย ตั้งแต่ “ดอยเขาน้อย” วัดพระธาตุเขาน้อย ต.ดู่ใต้ อ.เมือง จ.น่าน “ดอยเสมอดาว” ต.ศรีสะเกษ และ “ดอยขุนสถาน” อุทยานเเห่งชาติขุนสถาน ต.สันทะ อ.นาน้อย “ดอยภูคา” อุทยานเเห่งชาติดอยภูคา ต.ภูคา อ.ปัว “ดอยผาจิเเละดอยผาช้าง” อุทยานเเห่งชาตินันทบุรี อ.ท่าวังผา

           

เดินทางเที่ยวรับพรปีใหม่ใน “เมืองเก่าน่าน” อุทยานความสุข เพื่อเติมพลังก่อนจะกลับมาทำงานปี 2564 กันเถิดพี่น้องชาวไทย แล้วก็ต้องการ์ดไม่ตก สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ รักษาระยะห่าง ดูแลตัวเราและคนข้างเที่ยง เพื่อท่องเที่ยวได้ตลอดทุกวันอย่างมีความสุข

 

Social Distancing เว้นระยะห่างอย่างไรปลอดภัยจากโควิด-19

 

คำว่า Social Distancing หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม คงเป็นคำคุ้นหูในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 หลายคนต้องเว้นระยะห่างกับคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนอื่น ๆ ที่พบปะในชีวิตประจำวันมากเป็นเท่าตัว แล้วรู้หรือไม่ว่า Social Distancing นั้นช่วยป้องกันโรคได้อย่างไร ห่างกันแค่ไหนถึงจะปลอดภัย 

 

โดยทั่วไป Social Distancing เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อก่อโรคโควิด-19 และโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจชนิดอื่น อย่างไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ โดยเป็นการสร้างระยะห่างและลดการเผชิญหน้า สัมผัส หรือใกล้ชิดผู้อื่นที่พบเจอขณะทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย การรับประทานอาหาร การทำงาน หรือการเดินทาง ถือเป็นวิธีปฏิบัติที่เริ่มต้นได้ไม่ยากอย่างที่คิดและทำได้หลายทาง     

 

Social Distancing อาจดูเป็นเรื่องยุ่งยากและสร้างความลำบากในการใช้ชีวิต แต่จริง ๆ แล้ว วิธีการนี้เป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากเชื้อก่อโรค COVID-19 นั้นสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้หลายวิธี เช่น การสูดดมละอองที่มีเชื้อปะปนในอากาศจากการพูดคุย ไอ จาม โดยเฉพาะหากอยู่ใกล้ชิดกันอย่างมากหรือมีระยะห่างระหว่างกันน้อยกว่า 2 เมตร รวมไปถึงการสัมผัสละอองที่มีเชื้อจากบนพื้นผิวสิ่งของหรือวัสดุต่าง ๆ ที่อาจติดอยู่ได้นานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ก่อนจะนำมือนั้นมาสัมผัสปาก จมูก หรือดวงตาของตัวเอง เป็นต้น

 

อีกทั้งผู้ป่วยโรคโควิด-19 ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้แม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติแสดงออกมาให้เห็น ยิ่งหากคนที่อยู่ใกล้นั้นเป็นผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวก็จะเสี่ยงต่อการเกิดอาการที่รุนแรงหลังการติดเชื้อมากกว่าคนกลุ่มอื่น แต่ถ้าเราเว้นระยะห่างระหว่างกันอยู่เสมอ ทั้งขณะอยู่ภายในบ้านหรือออกไปในที่สาธารณะ โอกาสในการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายตัวเองและคนในครอบครัวก็จะลดน้อยลง ร่างกายก็จะปลอดภัยจากการติดเชื้อได้มากขึ้นด้วย   

 

Social Distancing วิธีที่ทำได้ทุกวัน 

การทำ Social Distancing ที่ช่วยให้เราห่างไกลจากโรค COVID-19 ไม่ใช่แค่การยืนหรือนั่งเก้าอี้ห่างกันกับคนอื่นเท่านั้น แต่วิธีเว้นระยะห่างนั้นมีหลากหลายและสามารถเลือกปฏิบัติได้ตามความเหมาะสมของแต่คน เช่น 1.ลดการออกจากบ้านให้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุ และให้ติดต่อสื่อสารกันผ่านทางโทรศัพท์หรือช่องทางออนไลน์อื่น ๆ แทน /ใลดการสัมผัสตัวคนในครัวอย่างการจับมือ กอด หรือหอมแก้ม โดยเฉพาะคนที่ต้องออกไปนอกบ้านและยังไม่ได้ทำความสะอาดร่างกาย

3.เว้นระยะห่างกับคนอื่น ๆ อย่างน้อย 1–2 เมตร ในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน 4.เปลี่ยนมาทำงานที่บ้าน และประชุมงานผ่านระบบอินเทอร์เน็ตแทน

5.หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด บริเวณที่มีคนพลุกพล่านอยู่ตลอด หรือพื้นที่ปิด อาทิ โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า หรือตลาดนัด และหลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ในที่สาธารณะ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ หรือราวจับบนรถโดยสาร หากเลี่ยงไม่ได้ควรทำความสะอาดมือด้วยน้ำและสบู่เสมอหรือเจลแอลกอฮอล์

วิธีเว้นระยะห่างข้างต้นจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากทำควบคู่ไปกับการสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกไปนอกบ้าน หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่อย่างน้อย 20 วินาที หากไม่สะดวกสามารถใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 60 เปอร์เซ็นต์ทดแทน ปิดปากขณะไอหรือจามด้วยผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชู่ ไม่นำมือมาสัมผัสดวงตา จมูก ปาก นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

 

ข่าวแรก ก.ดิจิทัลผนึก7กลุ่มผุดแพลตฟอร์มจองห้องALQ/ASQโรงแรมทั่วไทย

 

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรเปิดตัวแพลตฟอร์มของคนไทยด้วยกันได้คิดค้นวิธีจองแพ็คเกจโรงแรมสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ASQ/ALQ) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน อำนวยความสะดวกจองที่พักให้ไทยที่ต้องการเดินทางกลับเข้าประเทศ และต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในไทยเลือกใช้โรงแรมกักตัวมาตรฐาน โดยมี 7 พันธมิตรร่วมมือกันทำงาน ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข การการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กลุ่มพันธกิจด้านพัฒนาสังคมดิจิทัล สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ชมรม ASQ-ALQ Thailand Club บริษัท แอสเซนด์ แทรเวิล จำกัด และบริษัท ฮอร์แกไนซ์ จำกัด

          โครงการนี้รัฐมุ่งสนับสนุนสตาร์ตอัพรุ่นใหม่ เพื่อปูพมอนาคตจะเร่งผลักดันให้เกิดแพลตฟอร์มคนไทยมากขึ้น เพื่อป้องกันการสูญเสียรายได้จากการที่คนไทยและชาติอื่น ๆ ใช้แพลตฟอร์มของต่างชาติ

 

นายสาธิต  ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยอนุญาตให้ต่างชาติเดินทางเข้ามาได้โดยใช้วีซ่าประเภทพิเศษ Special Tourist Visa โดยต้องกักตัว 14 วัน ในสถานที่กักตัวแห่งรัฐ (Alternative State Quarantine : ASQ / Alternative Local State Quarantine : ALQ) และปฏิบัติตามมาตรการอื่นตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด แต่ในขณะเดียวกันข้อมูลด้านสถานที่กักตัวทางเลือกของคนไทยและต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศส่วนใหญ่ทำโดยผู้ประกอบการโรงแรมแต่ละแห่งเป็นหลัก อีกทั้งยังไม่มีแพลตฟอร์มส่วนกลางแบบ Online Travel Agency (OTA) หรือ แพลตฟอร์มท่องเที่ยวและระบบจองที่พักครบวงจรช่องทางออนไลน์ที่คนไทยออกแบบเอง การอำนวยความสะดวกค้นหา หรือจองที่พัก ASQ/ALQ ช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วเรื่องค้นหาโรงแรมที่ได้การรับรองโดยกระทรวงสาธารณสุข

 

นายเกริกพงศ์ งาทวีสุข ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอสเซนด์ แทรเวิล จำกัด กล่าวว่า Ascend Travel เป็นแพลตฟอร์มสัญชาติไทย 100%  ได้พัฒนาแพลตฟอร์มเดิมที่ใช้งานอยู่แล้วเพิ่มฟังก์ชั่นมากขึ้นในการจองแพ็คเกจโรงแรมสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ASQ/ALQ) รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมที่พัก ASQ/ALQ รองรับชาวต่างชาติเข้ามาไทย สามารถค้นหาโรงแรมที่ผ่านมาตรฐานโรงแรม ASQ/ALQ ผ่าน https://asq.ascendtravel.com แพลตฟอร์มนี้ครอบคลุมโรงแรม ASQ/ALQ ทั้งหมดในประเทศกว่า 100 แห่ง ตั้งแต่ 3 - 5 ดาว

           

นายธนวิชญ์ ต้นกันยา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอร์แกไนซ์ จำกัด กล่าวว่า เป็น สตาร์ตอัพสัญชาติไทยให้บริการทำแพลตฟอร์มระบบบริหารหอพักอพาร์ทเม้นท์ครอบคลุมห้องเช่ากว่า 7,000 โครงการ มีห้องพักทั่วประเทศกว่า 300,000 ห้อง จึงนำระบบมาพัฒนาต่อยอดตอบโจทย์โรงแรมสถานกักกันโรคแห่งรัฐทางเลือก (ASQ/ALQ) ดูแลผู้ที่ต้องกักตัว 14 วัน อย่างความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงในการติดต่อสื่อสารระหว่างพนักงาน ASQ/ALQ กับผู้กักตัว มากกว่านั้นยังนำเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ของบริษัท แอ็คโคเมท (ZTRUS) จำกัด มาร่วมพัฒนาระบบเพื่อช่วยลดระยะเวลาในการตรวจสอบเอกสารผู้นักเดินทางที่ต้องกักตัว 14 วัน เพื่อให้การบริหารจัดการห้องพักมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

 

ข่าวที่สอง ศูนย์วิจัยแบงก์กรุงไทยชี้เป้าไทยปั้นเมดิคัลฮับโกยรายได้5แสนล้านปี’68

 

ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย  รายงานว่า ไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เต็มรูปแบบ ด้วยคุณภาพที่จะขยายผลการแพทย์สมัยใหม่ทั้ง 3 เทรนด์ ทั้งการแพทย์แม่นยำ เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม และเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ที่จะช่วยสร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทย อนาคตปี 2568 มูลค่าตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยจะมีสูงถึงปีละแสนล้านบาทเติบโตเฉลี่ยปีละ 13.7% เป็นโอกาสของกลุ่มผู้ให้บริการทางการแพทย์ และกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ด้วย

 

น.ส. สุจิตรา อันโน นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย (KTB) กล่าวว่า เทรนด์การแพทย์สมัยใหม่ที่จะส่งเสริมให้ไทยเข้าใกล้ความฝันการเป็น Medical Hub ประกอบด้วย

 

1. การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) หรือการแพทย์เฉพาะเจาะจง เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สามารถนำข้อมูลทางพันธุกรรมมาใช้ในการตรวจวินิจฉัย การรักษา การเลือกใช้ยา การทำนายผลการรักษา เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ปี 2568 ในตลาดโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 4.77 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตเฉลี่ยปีละ 9.7%

 

2. เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม (Regenerative Medicine) หรือการแพทย์เชิงฟื้นฟู เป็นการแพทย์สมัยใหม่ที่มุ่งเน้นการทดแทน การซ่อมเสริม การฟื้นฟูเซลล์และเนื้อเยื่อ รวมถึงอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสื่อมถอยจากอายุที่มากขึ้น ปี 2564 คาดในตลาดโลกจะมีมูลค่า 7.68 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโตเฉลี่ยปีละ 19.8%

เพิ่มขึ้น 2.5 เท่า จากปี 2562

 

3. เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ (Reproductive Medicine) เป็นการรักษาภาวะมีบุตรยาก โดยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ อาทิ IVF, ICSI, IUI ปี 2568 ตลาดโลกจะมีมูลค่ากว่า 2.29 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตเฉลี่ยปีละ 9%  ไทยมีชื่อเสียงได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเข้ามาทำเด็กหลอดแก้ว

 

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤติทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ไทยได้แสดงให้นานาชาติเห็นถึงศักยภาพด้านการแพทย์ ตอกย้ำความพร้อมเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจอนาคต เพิ่มการจ้างงานดึงรายได้เข้าสู่ประเทศแล้ว ยังส่งผลบวกเชื่อมโยงให้หลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์อย่างมากด้วย

 

สำหรับองค์ประกอบสำคัญที่จะผลักดันไทยเป็นผู้นำด้าน Medical Hub  ได้แก่ 1. ศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ (Medical Service Hub) 2. ศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) 3. ศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ (Product Hub) และ 4. ศูนย์กลางบริการวิชาการและงานวิจัย (Academic Hub)

                ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ททท.คุนหมิงดึงจีน3มณฑลเที่ยวไทยทางบก4ด่านเงินสะพัด

ททท.ปั๊มทัวร์จีนคุนหมิงแบบโอเวอร์แลนด์เงินสะพัดไทย 4 ด่าน ส.ค. 66- ปี ’67 กระหน่ำขาย “ New Ways to Amazing to Thailand” ล็อกเป้าจีน 4 ตลาดใช้จ่ายแสนบาท/ทริป-ดันอีสานอู้ฟู่ 20 จังหวัด ช้อป!!ของขวัญวันแม่ที่คิงเพาเวอร์ลด20%- Firster9 หมื่นไอเท็ม ฉลองวันแม่!พูลแมนคิงเพาเวอร์จัดบุฟเฟต์พรีเมี่ยมกลางวัน/ค่ำ กินฟินที่คิงเพาเวอร์มหานคร-รร.เดอะสแตนดาร์ดตลอดส.ค. 66 ททท.จัดแข่งผัดกะเพราโลก“ World Kaphrao 2023”ชิงเงินล้าน กลุ่มบริษัทบางจากโชว์ครึ่งปีแรก66กวาดรายได้1.48 แสนล้าน TCEB บุกจีนจัด Thailand MICE in China 2023 โกยไมซ์ 990 ล้าน เที่ยววันแม่ใกล้กรุงได้ที่อุทยานเบญจสิริ/ดรีมเวิลด์/สวนนงนุช เคล็ดลับ!!การรักษาแผลให้หายไวด้วยขั้นตอนง่ายๆทำได้เอง บินไทยฟื้นเร็ว!!ครึ่งแรกปี’66กำไร329%พกเงินสด5.1หมื่นล้าน เปิดขายแล้ว!!บัตรชม“โขน”สุดยิ่งใหญ่แห่งดูได้ 5 พ.ย.- 5 ธ.ค. 66   วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ

TCEB นำงานวิจัยMICE for Sightแนะธุรกิจปรับตัวรับไมซ์10ปีหน้า

  นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) "TCEB" “ TCEB ”เปิดคัมภีร์ MICE for Sight ปลุกไมซ์จัดทัพใหม่ 10 ปีหน้า รับมือ Gen Z ผงาดผู้ทรงอิทธิพลไมซ์โลกเขย่าตลาดครั้งใหญ่ ปี 67 เร่งโกย 1.4 แสนล้านโหมซอฟท์เพาเวอร์/ไมซ์ซิตี้/ไมซ์ชุมชน รีบช้อป!!คิงเพาเวอร์เป็นไปได้5รายการรางวัลสูงสุดกว่า 4 ล้าน ด่วน 4 วันสุดท้าย!คิงเพาเวอร์อัดโปร SurpriseOnlineSale ลด 50% คิงเพาเวอร์ช้อปวนไปแจกทันที 3 ฟรี คูปอง/ตั๋ว/รถยนต์ LEXUS ท่องเที่ยวรุกเจรจาธุรกิจ TEJ 2023ฉลุย300นัดโกยญี่ปุ่น9ตลาด บางจาก-กรุงไทยเปิดแอปเป๋าตังจองซื้อหุ้นกู้ดิทัลดีเดย์ 30 ต.ค. เที่ยวประจวบนอนแคมป์ทะเลหมอกบ้านป่าหมาก-วิ่งปราณบุรี บินไทยโชว์ยูนิฟอร์มใหม่ลูกเรือแฟชั่นผ้าลดโลกร้อนเริ่ม1ม.ค.67 คาเธ่ย์ กรุ๊ปทุ่มลงทุนฝูงบินใหม่ A 320 neo เพิ่ม32ลำบินจีน/เอเชีย   วันเสาร์ที่  28 ตุลาคม 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97

ททท.ภาคเหนือ7เดือนปี66โกยแล้ว1.08แสนล้าน

นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  ททท.ภาคเหนืออู้ฟู่ 7 เดือนแรกโกยได้แล้ว 1 แสนล้าน ต.ค.-ธ.ค. 66 ลุยขายเที่ยวไฮซีซัน 4 เทรนด์ใหม่มาแรง นำ The Link จับคู่ทัวร์ข้ามภาคสำเร็จ 3 เส้นทางสุดฮ็อต คิง เพาเวอร์แจกมันส์แจกฟินที่รางน้ำเสาร์16ก.ย.นี้ ช้อป KingPowerOnline รับแบบไม่ยั้ง2สุดคุ้มถึง24ก.ย. ช้อป DUTY FREE SALE นำบิวตี้แบรนด์โลกมาเต็ม ททท.ใช้ฟรีวีซ่าปั๊ม1.4แสนล้านชาเตอร์จีนเฮเข้าไทย บางจากโชว์อุตฯไทย-ไต้หวันชูนวัตกรรมธุรกิจสีเขียว TCEB ผนึก EECAutoPark หนุนไมซ์เอ็กซิบิชั่นอินเตอร์ เที่ยว Unseen “พิพิธภัณฑ์ป่าสัก-วัดขุนอิน-วัดปัญญา” 4วิธี“ปิดล้างเลี่ยงหยุด”ป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกพันธุ์ “สุดาวรรณ”รมว.ใหม่ท่องเที่ยวดึงต่างชาติ40ล้านคน กพท.-สมาคมแอร์ไลน์สไทยแบไต๋ตั๋วบินราคาแพง วันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2566 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทาง facebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyai