“ผอ.สนามบินสุวรรณภูมิ”ลั่นแก้ทุกปัญหาเปิดประเทศรับต่างชาติ
สัญญาณดี!สถิติแอร์ไลน์ทยอยบินเดือนเดียวพ.ย.นี้ 12,000ไฟลต์
หนุน“ร้านค้า-อาหาร-ดิวตี้ฟรี”สนามบินเปิดรับปีใหม่เกือบ100%
คิงเพาเวอร์เปิดเว็บpowertravellers.comอัพเดทเดินทางทั่วโลก
ช้อปดีเด็ด!!คิงเพาเวอร์11.11 S.O.S.Sign of Sale11พ.ย.ลด90%
ททท.ชิงเวทีWTM2021เปิดVisitThailand2022ปีเที่ยวไทย’65
ททท.ตั้งศูนย์อำนวยการรับจดทะเบียนSHA10ธุรกิจ 5-19พ.ย.นี้
มอบแล้วSHA Plus “วัดโพธิ์-ศาลหลักเมือง”ท่องเที่ยวแห่งศรัทธา
คุยกับคุณชัยวัฒน์ซีอีโอบางจากเปลี่ยนผ่านทางความคิดสู่ปีที่38
เที่ยว“หอโหวด 101”ร้อยเอ็ดUnseen New Seriesอีสานม่วนซื่น
หยุดกินน้ำตาล!!
แล้วจะเกิดสิ่งดีต่อชีวิตและสุขภาพเราแน่นอน
“หอการค้า+YEC”บูมพายคายัค/ซับบอร์ดท่องเที่ยวคลองนนทบุรี
“เคปนิทราหัวหิน”ชวนฉลองลอยกระทงกับดินเนอร์หรู19พ.ย.64
ผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT”
วันเสาร์ที่ 6
พฤศจิกายน 2564 ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0
MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen
บล็อกเกอร์ #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower #เปิดประเทศรับต่างชาติ #สนามบินสุวรรณภูมิ #VisitThailandYearAmazingNewChapter
#UnseenNewSeries #หอโหวด101ร้อยเอ็ด
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้ https://m.facebook.com/story.
ช่วงที่ 1 เกาะติดเปิดประเทศสัปดาห์แรก “นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “ทอท./AOT” ระดมทุกหน่วยร่วม แก้คอขวดบริการสุวรรณภูมิ เปเลี่ยน COE เป็น THAILAND PASS ลั่นเคลียร์ผู้โดยสารฉลุย เฉพาะ พ.ย.64 เดือนเดียว แอร์ไลน์ใทยและทั่วโลกทยอยบินแล้วกว่า 12,000 ไฟลต์ คาด ธ.ค.นี้คึกคัก เตรียมแผนรับมือผู้โดยสารเฮใช้สุวรรณภูมิช่วงปีใหม่หนาแน่น มั่นใจรับมือได้จากประสบการณ์เคยดูแลวันละถึง 2 แสนคน
นายกิตติพงศ์
กิตติขจร ผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
“ทอท./AOT” เปิดเผยว่า
ได้ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวในสุวรรณภูมิได้ซักซ้อมแผนปฏิบัติการ
เตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกตามนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาล
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน
2564 เป็นต้นมา
ทันทีที่เที่ยวแรกจากญี่ปุ่นลงสู่สนามบินเวลาประมาณเที่ยงคืนผ่านไปได้ด้วยดี
ต่อเนื่องช่วงสายวันที่ 2
พฤศจิกายน
มีเที่ยวบินจากยุโรปเข้ามาเริ่มมีกระแสในโซเชียลถึงขั้นตอนการใช้เวลาตรวจเอกสารของสนามบินค่อนข้างนาน
ต้องขออธิบายในช่วงสัปดาห์แรกการเปิดประเทศตั้งแต่
1-7
พฤศจิกายน 2564 ระบบ “THAILAND PASS”
ที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยใช้ระบบอัตโนมัติออกเอกสารเดินทางเข้าประเทศให้แก่นักท่องเที่ยวแต่ละประเทศ
และจะใช้แทนเอกสาร COE
:Cirtificate of Entry ซึ่งยังต้องใช้การเขียนหรือตรวจสอบด้วยคน
(manual) นั้น
ยังไม่สามารถใช้งานไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์
เนื่องจากผู้โดยสารต่างประเทศได้ยื่นขอไปก่อนหน้าที่จะมีประกาศฉบับใหม่ให้ใช้ THAILAND PASS ดังนั้นจึงได้เป็น COE มาแล้วในบันทึกจึงได้ระบุเอกสารของนักท่องเที่ยวคนนั้นๆ ตามแบบเก่าใน COE คือเมื่อมาถึงประเทศไทยจะต้อง “ต้องกักตัว 7 วัน” แต่ระบบใหม่ THAILAND PASS ไม่ต้องกักตัวอีกต่อไป เพียงแต่จะต้องจองห้องพักโรงแรมสำรองไว้ 1 คืน เพื่อรอผลตรวจหาเชื้อด้วยระบบ RT-PCR
ด้วยเหตุผลดังกล่าวเมื่อผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวต่างประเทศมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ
จึงต้องนำเอกสารยื่นให้ “เจ้าหน้าที่คัดกรองโรค” ในสุวรรณภูมิแก้ไขข้อมูลใหม่
จากต้องอยู่ในไทย 7 วัน
เป็น 1 วัน
ตามเงื่อนไขใหม่ในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ดังนั้นขอยืนยันว่าหากผู้โดยสารจากต้นทางเปลี่ยนมาใช้เอกสารแบบใหม่
THAILAND PASS ทุกคนก็จะสามารถผ่านจุดตรวจในสุวรรณภูมิโดยใช้เวลาเพียง
“คนละ 17
วินาที” เท่านั้น เพราะใช้วิธีสแกน “QR CODE”
เพราะข้อมูลทุกอย่างจะอยู่ใน THAILAND PASS ทั้งข้อมูลรายละเอียดส่วนตัว
ประวัติการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และเอกสารอื่น ๆ
ตามการเดินทางวิถีใหม่จะบันทึกไว้ในนี้ทั้งหมด
ผอ.กิตติพงศ์
กล่าวว่า
ทอท.และทุกหน่วยงานในสุวรรณภูมิได้พยายามร่วมมือกันแก้ไขทุกปัญหาให้ผ่านไปได้อย่างมีมาตรฐาน
แม้กระทั่งเรื่อง “รถสาธารณะ” จากสนามบินไปยังปลายทางต่าง ๆ วันแรก
การบริหารจัดการโครงการใหญ่ขนาดนี้ก็ยอมรับว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกันบ้าง
แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกฝ่ายไม่ได้เตรียมการณ์ โดย
ทอท.ได้ประชุมทันทีเมื่อเกิดปัญหาเพื่อทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี
ส่วน “คอขวดปัญหาบริการผู้โดยสารในสุวรรณภูมิ” ที่ต้องเร่งแก้ไขเพิ่มเติมที่พบเห็นปัญหาจริง ๆ คือ บริเวณพื้นที่ “จุดคัดกรอง” ด่านควบคุมโรคที่จะต้องตรวจข้อมูลผู้โดยสาร/นักเดินทางเข้าสู่ประเทศ แตกต่างจากสถานการณ์ปกติเมื่อลงจากเครื่องบินสามารถเดินตรงไปยัง “เคาน์เตอร์ตรวจหนังสือเดินทาง” เคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง แล้วไปรอรับสัมภาระตรงสายพานกระเป๋า เมื่อรับเสร็จก็ไปผ่านด่านศุลกากร แล้วออกสู่ภายนอกได้ตามปกติ
แต่พอเกิดโควิด-19 ระบาด
จึงต้องเพิ่มขั้นตอนการเข้าประเทศไทย คือ ทุกคนจะต้อง “ผ่านจุดคัดกรอง” แสดงเอกสาร
THAILAND PASS ผมคิดว่าปัญหาคอขวดดังกล่าวจะหายไป
เมื่อระบบ THAILAND PASS
ใช้งานได้ 100 % น่าจะเป็นตั้งแต่สัปดาห์หรือประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน
2564 เป็นต้นไป
การตรวจเอกสารที่ล่าช้าจะหายไป เพราะสามารถสแกน QR CODE ได้อย่างรวดเร็วภายใน
17
วินาที/คน เท่านั้น
ตัวอย่างที่ยังมีปัญหาติดขัดอยู่บ้าง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 ผมไปยืนสังเกตุการณ์ก็เห็นมีปัญหาอยู่บ้าง เรื่องปริมาณจราจรเข้าสนามบินมารับผู้โดยสาร เพราะโรงเรียนเริ่มเปิดเทอมทำให้รถมารับผู้โดยสารไม่ทันตามเวลา จึงได้เชิญโรงแรมที่ลงทะเบียนอยู่เป็นห้องพักทางเลือกกักตัว AQ :Alternative Quarantine หรือ SHA Plus มาหารือโดยขอให้ไปจัดการบริหารเวลากันใหม่ คนขับรถจะต้องปรับให้เร็วขึ้นแล้วมาลงทะเบียนรออย่ามากระชั้นใกล้เวลานัดรับผู้โดยสาร ซึ่งจะทำให้เกิดผู้โดยสารรอแล้วสะสมอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิเป็นจำนวนมาก ในวันดังกล่าว
ผอ.กิตติพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ “ตารางบินฤดูหนาวปี 2564/2565” ได้สอบถามไปยังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) แจ้งว่าทางสายการบินนานาชาติเริ่มทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตอบรับการเปิดประเทศ แต่แนวโน้มจะเห็นความชัดเจนอีกประมาณ 1 เดือนข้างหน้า หรือตั้งแต่ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป
ตามประมาณการณ์จะมีเที่ยวบินมายังสนามบินสุวรรณภูมิ เฉพาะพฤศจิกายน 2564 เดือนเดียว รวมทั้งสิ้นประมาณ 12,000 เที่ยว แบ่งเป็น 1.เที่ยวบินระหว่างประเทศ ประมาณ 6,500 เที่ยว 2.เที่ยวบินภายในประเทศ อีกเกือบ 6,000 เที่ยว
ขณะที่ “ผู้โดยสารผ่านเข้า-ออก” วันแรก 1 พ.ย.2564 มีชาวต่างชาติประมาณกว่า 1,000 คน เช่นเดียวกับวันที่ 2 พ.ย.อีกประมาณ 1,165 คน และคนไทยอีกกว่า 700 คน วันที่ 3 พ.ย.มีต่างชาติประมาณ 2,273 คน คนไทยเกือบ 1,000 คน ยอดผู้โดยสารจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ตามรายงานข้อมูลที่ได้รับวันต่อวัน
เพราะสัญญาณบวกดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าพอเปิดประเทศ
1
พฤศจิกายน 2564 จะมีเที่ยวบินจำนวนมากเข้ามาทันทีเหมือนก่อนโควิด-19
แต่ทุกอย่างจะเป็นทีละขั้น Step by step ผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวจะต้องเตรียมตัว
ซื้อตั๋วโดยสาร จองห้องพักโรงแรมที่ได้ตราสัญลักษณ์ SHA ตามพื้นที่ท่องเที่ยว
“ประเทศ”
ที่เดินทางเข้ามามากเป็นอันดับต้น ๆ คือ “ยุโรป” ดูจากเที่ยวบินของ “การบินไทย”
จะมีชาวยุโรป อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน กับมีเที่ยวบินของแต่ละชาติก็หลายสายการบิน
ส่วน “เอเชีย” จะมาทางสิงคโปร์ ซึ่งมีเที่ยวบินแวะพักที่ “ออสเตรเลีย”
มาเปลี่ยนเครื่องสิงคโปร์เข้ากรุงเทพฯ
สำหรับ “คำถาม”
ตอนนี้ที่เป็นประเด็นค่อนข้างมากที่สุดกรณี ทำไมจะต้องจองโรงแรม 1 คืน
ก่อนจะประกาศใช้มาตรการนี้ต้อนรับการเปิดประเทศทุกฝ่ายได้หารือกันจนตกผลึกแล้ว
เพื่อให้ “ผู้โดยสาร/นักท่องเที่ยว” ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ
เปลี่ยนจุดตรวจหาเชื้อด้วยระบบ RT-PCR จากภายในสนามบินนานาชาติ
ไปตรวจยังโรงแรมที่พักแทน
เพราะพื้นที่ภายในสนามบินจะใช้จุดไหนเป็น
“จุดตรวจหาเชื้อ” หากอนาคตมีคนเดินทางจำนวนมาก หลายพันคนในแต่ละวัน จะต้องมีทั้ง
“จุดตรวจ” กับ “จุดรอผล” อันจะเกิดความโกลาหลขึ้นในสนามบินได้
วิธีการใหม่ให้ไปตรวจยังโรงแรมที่พักจะสะดวก
ปัจจุบันทางโรงแรมได้จับคู่กับโรงพยาบาลอำนวยความสะดวกได้ทันที กรณีพบนักท่องเที่ยวที่จองพักโรงแรมนั้น
ๆ พบผลการตรวจหาเชื้อเป็นบวกไม่ต้องตกใจ
จะมีเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลพันธมิตรมาดูแลทันที ถือเป็นข้อตกลงที่โรงแรมกับโรงพยาบาลทำกันไว้
รวมถึงการบริหารจัดการพื้นที่ในส่วนลานจอดเครื่องบิน
สุวรรณภูมิทยอยเปิดเต็มประสิทธิภาพการใช้งาน ตั้งแต่ 1.หลุมจอดเครื่องบินทั้งหมด
120
หลุมจอด 2.ประตูเชื่อมเครื่องบินกับอาคารผู้โดยสาร
3.ห้องน้ำทั้งหมดได้ใช้ช่วงเวลาปิดสนามบินช่วงโควิดรุนแรงปรับปรุงเสร็จเรียบร้อยทันเปิดประเทศพอดี
ผอ.กิตติพงศ์
กล่าวถึงประเด็นสำคัญอีกเรื่องคือ “การเปิดบริการร้านค้าต่าง ๆ”
ในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีทั้ง ร้านอาหาร
ร้านเครื่องดื่ม ร้านขายของ ร้านขายสินค้าดิวตี้ฟรี
ซึ่งเป็นบริการผู้โดยสารเดินทาง “ขาออกประเทศ” ผู้ประกอบการทั้งหมดให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ก่อนหน้านี้ปิดทั้งหมด แต่ตอนนี้ภาพเก่าสนามบินสุวรรณภูมิเริ่มกลับมาสู่ปกติ
ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้จะเปิดได้ทั้งหมดครบ 100 %
เปิดตามขั้นตอน
เปิดก่อนคือ “ร้านอาหาร” กำลังเริ่มกลับมาทั้งปรับปรุง รับพนักงานกลับเข้าทำงาน
ใกล้ ๆ ปีใหม่ ก็น่าจะทำได้เกือบ 100 %
ต่อเนื่องไปถึงการวางแผน “รับมือการเดินทางของผู้โดยสาร” ทั้งต่างชาติและคนไทยในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เดือนธันวาคมนี้ ตามปกติสุวรรณภูมิเคยให้บริการผู้โดยสารด้วยขีดความสามารถรองรับได้ถึงวันละเกือบ 200,000 คน ต่างจากตอนนี้มีวันละหลักไม่กี่พันคน จึงให้ความเชื่อมั่นได้เลยว่าการเตรียมความพร้อมไว้สามารถให้บริการได้มีประสิทธิภาพเพียงพออย่างแน่นอน
ผอ.กิตติพงศ์ ย้ำว่า ขอให้ทุกคนใช้สนามบินอย่างสบายใจ เนื่องจาก 1.บุคลากรในสนามบินสุวรรณภูมิที่ทำงานอยู่ด่านหน้ารับผู้โดยสารเข้าออก ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม เกือบ 80 % ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มที่รอวัคซีนทางเลือกอีกประมาณ 20 % จึงมั่นใจในความปลอดภัยได้ 2.สิ่งอำนวยความสะดวกอุปกรณ์เครื่องใช้ของผู้โดยสารได้ทำความสะอาดตลอดเวลา เพิ่มความถี่ให้แม่บ้านใช้น้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็น ลิฟท์ รถเข็น บันไดเลื่อน และอื่น ๆ
ผมในฐานะผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิที่กำกับดูแลการทำงานต้อนรับผู้โดยสารทั้งต่างชาติและคนไทย ขอยืนยันว่าได้ทำงานร่วมกับทุกหน่วยราชการทั้ง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากร พร้อมให้บริการทุกคนจะได้รับความสะดวก ปลอดภัย ประทับใจ เมื่อผ่านเข้าออกสนามบินสุวรรณภูมิ
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 คิงเพาเวอร์เปิดเว็บpowertravellers.comอัพเดทเดินทางทั่วโลก
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้จัดทำโครงการสนับสนุนรัฐบาลไทยเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ด้วยเปิดเว็บไซต์ www.powertravellers.com รวบรวมทุกมีคำตอบให้คนไทยในช่วงผ่อนคลาย จะไปเที่ยวต่างประเทศที่ไหนได้บ้าง และต้องเตรียมตัวเดินทางอย่างสะดวก ปลอดภัย ครบทุกรายละเอียดการเข้าออกเมือง ทั้งไทยและนานาประเทศทั่วโลก
ล่าสุด “คิง เพาเวอร์”
เปิดตัวบริการใหม่ www.powertravellers.com เพื่อให้ข้อมูลสำหรับนักเดินทางชาวไทยควรรู้ก่อนเดินทางทุกทริปสู่จุดหมายปลายทางทั้งในประเทศและเรื่องที่ควรทราบถึงการเตรียมตัวเมื่อต้องออกเดินทางต่างประเทศทั่วโลกทั้งขาไปและขากลับ
ครบจบในคลิกเดียว! เมื่อใช้บริการ www.powertravellers.com ของ
คิง เพาเวอร์ นักเดินทางทุกคนจะได้รับทุกคำตอบอย่างชัดเจน ใน 5 หัวข้อหลัก
ประกอบด้วย 1.ข้อมูลเตรียมตัวเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ
เอกสาร 2.มาตรการการเดินทางระหว่างประเทศในสถานการณ์
COVID-19 3.ข้อกำหนดการเดินทางไปยังแต่ละประเทศในทุกจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั่วโลก 4.ข้อมูลเดินทางกลับเมืองไทยที่
คนไทยควรทราบ 5.หลากเรื่องเล่าจากต่างแดน
ที่เราอยากรู้ เพียงคลิกที่
www.powertravellers.com ดูแลทุกคน..มากกว่าการเดินทาง
ข้อมูลไฮไลต์ที่เว็บไซต์ www.powertravellers.com รวบรวมไว้ให้ตรวจสอบการเดินทาง ประกอบด้วย
เรื่องที่
1 บุคคลที่สามารถเดินทางได้ ถือหนังสือเดินทางและประเภท
(PASSPORT & VISA)
สามารถเดินทางได้ เช่น วีซ่าแต่งงาน วีซ่านักเรียน วีซ่าเยี่ยมเยือน วิธี “การยื่นวีซ่า” ตอนนี้จากประเทศไทยสามารถเดินทางเข้าญี่ปุ่นได้
14
วันโดยไม่ต้องใช้วีซ่า หรือกรณี “ผู้ที่ขอวีซ่าท่องเที่ยว” แล้ววีซ่ายังไม่หมดอายุ
ตอนนี้ยังไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทาง “ระยะเวลาการพิจารณาวีซ่า” ระยะ 5
วันทำการขึ้นไป และ “ยี่ห้อวัคซีน” จะต้องเป็นแบรนด์ที่ได้การรับรองระดับสากล
เรื่องที่
2 เงื่อนไขการเข้าประเทศ
จะต้องมี ตั๋วเครื่องบิน ประกันการเดินทาง และหลักฐานเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ในการเดินทาง
เช่น เอกสารทางการศึกษษ สำคัญที่สุด “วัคซีนที่รับรองสามารถเข้าประเทศได้”
ซึ่งเป็นมาตรฐานรับรองของนานาชาติ ตัวอย่าง แอสตร้าเซเนก้า ไฟเซอร์ไบโอเอ็นเทค
โมเดิร์นนา
เรื่องที่
3 การเดินทางระหว่างประเทศในสถานการณ์โควิด-19 เดินทางออกจากไทยสู่ต่างประเทศจุดหมายปลาย
มีรายละเอียดที่จะต้องเตรียมตัวเพื่อประกอบการเดินทางเข้าไปยังแต่ละประเทศ ด้วยการศึกษาระเบียบปฏิบัติแบ่งเป็น
3 ระดับ
ได้แก่ “ประเทศมาตรการระดับต่ำ” เดินทางได้โดยไม่ต้องกักตัว “ประเทศมาตรการระดับกลาง”
เดินทางเข้าประเทศต้องกักตัวเมื่อฉีดวัคซีนครบหรือต้องทำตามมาตรการเกี่ยวกับโควิด “ประเทศมาตรการระดับสูง”
ไม่อนุญาตให้เดินทางหรือมีมาตรการโควิดที่เข้มงวดระบุไว้ชัดเจน
เรื่องที่
4 หลักฐานแสดงการตรวจโควิด-19
ภายใน 72 ชั่วโมง
จะต้องแสดงหลักฐานการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี
RT-PCR Test หรือ
ATK-Antigent test จากแล็บทางการแพทย์ที่ได้การรับรอง
รวมทั้งบางกรณีต้องเข้าสู่ “เงื่อนไขการกักตัว” แบ่งเป็น 2 กรณี
กรณีที่ 1 ต้องกักตัว
10
วัน กรณีฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม
ผู้ฉีดวัคซีนตามที่รัฐกำหนดก่อนเดินทาง 14 วัน กรณีที่ 2 ต้องกักตัว 14 วัน กรณีไม่มีหลักฐานยืนยันและฉีดวัคซีนหรือไม่ได้รับวัคซีนตามที่รัฐกำหนด
เรื่องที่
5 รายละเอียดวิธีปฏิบัติการเข้าเมืองในแต่ละประเทศ
เช่น เดินทางสู่ประเทศยอดนิยมใน “ทวีปเอเชีย” สาธารณรัฐเกาหลี
ญี่ปุ่น จะต้องถือวีซ่าหลักที่เดินทางได้ คือ เยี่ยมเยือน แต่งงาน
หรือนักเรียน กรณี “ไม่กักตัว”
เมื่อไปถึงเกาหลี นั่นคือ ผู้จะต้องได้รับวัคซีนครบโด๊สแล้ว เมื่อกลับเข้ามายังประเทศไทย
ก็ต้องได้รับวัคซีนครบโด๊สแล้ว และกักตัว 1 วัน เพื่อรอผลตรวจโควิด-19 กรณี
“กักตัว” 10 หรือ
14
วัน ส่วน ยุโรป อย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส
อิตาลี เยอรมัน และอเมริกา ก็มีรายละเอียดที่สามารถเข้าเว็บไซต์ www.powertravellers.com หาข้อมูลอัพเดทที่ถูกต้องได้ตลอด
สำหรับ “คนไทยทุกคน” ที่จะเดินทางเข้าประเทศ
เมื่อมาถึงเมืองไทย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป กรณี “ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกักตัว”
เมื่อกลับมาจาก 62 ประเทศ
1 พื้นที่
และได้รับวัคซีนครบโด๊ส ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เตรียมตัวก่อนเดินทางเข้าประเทศไทย
ตามลำดับดังนี้
1.สแกนคิวอาร์โค้ด (QR CODE)
ที่ได้รับจากระบบลงทะเบียน THAILAND
PASS จากเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศของไทย www.consular.go.th โดยลงทะเบียนล่วงหน้าอย่างน้อย
7
วันก่อนเดินทาง “ผู้โดยสารหรือผู้เดินทาง” จะได้รับฟอร์ม ต.8
จากระบบหลังทะเบียนเรียบร้อยแล้ว
2.เอกสารยืนยันการจองที่พัก โดยจองโรงแรมไว้ 1 คืน
รวมค่าตรวจ RT-PCRหรือ
ATK
เพื่อรอผลตรวจโควิด-19
3.แสดงหลักฐานการฉีดวัคซีน ครบ 2 โด๊ส
4.แสดงผลตรวจโควิด-19 แบบ
RT-PCR ไม่เกิน
72 ชั่วโมง
ขั้นตอนที่ 2 เมื่อมาถึง
“สนามบินแรกในประเทศไทย” จะต้องปฏิบัติดังนี้
1.แสดง
QR CODE จาก
THAILAND PASS พร้อมแสดงหนังสือเดินทาง
2.แสดงเอกสารรับรองการฉีดวัคซีนครบ
2 โด๊ส
3.แสดงผลการตรวจหาเชื้อจาก
RT-PCR ภายใน
72 ชั่วโมง
4.แสดงเอกสารยืนยันการจองที่พัก
ขั้นตอนที่ 3 ติดตั้งแอพลิเคชั่น
“หมอชนะ” แล้วผ่านกระบวนการดังนี้
1.ผ่านการตวจคนเข้าเมือง
รับสัมภาระ และผ่านศุลกากร
2.ไปยังจุดนัดพบเพื่อขึ้นรถและเดินทางไปยังโรงแรมที่จองไว้
ข่าวที่ 2 ช้อปดีเด็ด!!คิงเพาเวอร์11.11 S.O.S.Sign of Sale11พ.ย.ลดใหญ่90%
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ จัดทัพสินค้าให้ช้อปอย่างจุใจผ่านช่องทาง “คิง เพาเวอร์ ออนไลน์” ส่งสัญญาณแจ้งโปรโมชั่นพิเศษต้อนรับเดือนพฤศจิกายน 2564 กับแคมเปญพิเศษ 11.11 S.O.S “SIGN OF SALE” พบดีลดีเด็ดเปิด 5 ดีลพิเศษ พร้อมแจกโค้ดพิเศษตลอดแคมเปญถึง 600 โค้ด เพื่อให้เลือกช้อปสินค้าแบรนด์เนมละลานตาหมวดโดนใจทั้งที่ใช่และที่ชอบ พาเหรดกันมาคืนกำไรอย่างเต็มที่ ทั้ง น้ำหอม เครื่องสำอาง สินค้าแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
ห้ามพลาดช้อปกับช่วง POWER DEAL วันที่ 11 เดือน 11 วันเดียวเท่านั้น ที่ “คิง เพาเวอร์ ออนไลน์- www.kingpower.com” เตรียมมอบส่วนลดสินค้าจุใจลดสูงสุดถึง 90% ส่วนวันอื่น ๆ ก็ตลุยช้อปได้หลากหลายดีลดีเด็ดตั้งแต่วันที่ 8-24 พฤศจิกายน 2564
ร่วมเปิดประสบการณ์ช้อปออนไลน์กับ คิง เพาเวอร์
แบบไม่ต้องมีไฟลต์บิน แม้จะอยู่บ้านก็สนุกกับการช้อปสินค้าราคาดิวตี้ฟรี
ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการ Home Delivery หรือจัดส่งฟรีถึงบ้านทั่วประเทศ
เมื่อมียอดช้อปขั้นต่ำ 699 บาท
คลิกได้ทุกเวลาแล้วเลือกช้อปตามชอบที่เว็บไซต์ www.kingpower.com และ King Power Application
ข่าวที่ 3 ททท.ชิงเวทีWTM2021เปิดVisitThailand2022ปีเที่ยวไทย65
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมผู้บริหาร นำผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน World Travel Market 2021 (WTM 2021) ครั้งที่ 40 ระหว่าง 1 - 3 พฤศจิกายน 2564 ที่ Exel กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร พร้อมประกาศปี 2565 เป็น “Visit Thailand Year 2022” ภายใต้แนวคิด Amazing New Chapters” ตอกย้ำคุณค่าการท่องเที่ยวที่โดดเด่นให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมหรือ Preferred Destination
การเข้าร่วมงานวันแรกเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2564 ททท. ได้หารือร่วมกับพันธมิตร สายการบินบริติช แอร์เวย์ส (BA) และ TUI เพื่อร่วมกันกำหนดเจตนารมย์และวิสัยทัศน์การเดินหน้าแผนธุรกิจ การลงทุน และประชาสัมพันธ์ เพื่อสนับสนุนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวเข้าเมืองไทย
พร้อมทั้งวางกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเน้นการสร้างคุณค่าและประสบการณ์ท่องเที่ยวมิติใหม่ เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ กำลังซื้อสูง นำเสนอสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ โดยการชูขาย 1.การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy) 2.การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ 3.การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม (Responsible Tourism) ขานรับตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ BCG model ให้การเดินทางท่องเที่ยวประเทศไทยหลังสถานการณ์โควิด-19 เป็นการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย ประทับใจและแตกต่าง ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยสู่สมดุลใหม่ให้แข็งแรงและยั่งยืน
ภายในงานมีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมเปิดบูธพร้อมเจรจาซื้อขายกับคู่ค้านานาชาติ ประกอบด้วย
1.ธุรกิจโรงแรม โรงแรมเชนไทย อาทิ เซนทารา โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ต ดุสิต โฮเต็ลส์ แอนด์ รีสอร์ตส วัฒนาโฮเต็ล มาร์เก็ตติ้ง คอนซัลแตนท์ และเชนโรงแรมอินเตอร์ อาทิ ไมเนอร์ โฮเต็ล เดอะ สแตนดาร์ด โฮเต็ลส์
2.กลุ่มบริษัทนำเที่ยว ได้แก่ เอเชีย เอ็กโซติก้า เดสติเนชั่นเอเชียไทยแลนด์ แทรเวล ไทยแลนด์ ดีทแฮล์ม ดิสคัพวา และ เอเชีย แทรเวล
3.กลุ่มธุรกิจตัวแทนการท่องเที่ยว ได้แก่ เอเลเฟ่น เรฟส์ ซอลท์ เรพรีเซนเตชั่น เดอะ เอ็มซี คอลเลคชั่น Elephant Reps, SALT Representation
ในโอกาสนี้ ททท. ได้รับพระกรุณาธิคุณจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จเข้าร่วมงาน Amazing Thailand : The Royal Dinner ช่วงค่ำวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 โดยพระราชทานพระดำรัส สร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงหน่วยงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้มองเห็นโอกาสในวิกฤต สร้างมุมมองใหม่ และร่วมกันฟื้นฟูการท่องเที่ยวไทย เป็นเจ้าบ้านที่ดีในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างยั่งยืน(Preferred Destination)
สร้างความเชื่อมั่นรวมทั้งเชิญชวนชาวต่างชาติให้เดินทางมาสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทยภายหลังจากการเปิดประเทศในรอบ 19 เดือน ต่อไปจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนไทย พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่นททท.คาดการณ์ ปี 2565 กรณีสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้ดี (Base Scenario) ตั้งเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมดไว้ 1.58 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น 1.รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 818,000 ล้านบาท 2.รายได้จากนักท่องเที่ยวไทย 7.71 แสนล้านบาท แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การบริหารจัดการสถานการณ์ และภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลกด้วย
อีกทั้ง ททท. คาดการณ์หลังเปิดประเทศตามนโยบายรัฐบาล
ระหว่างพฤศจิกายน - ธันวาคม 2564
จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยเฉลี่ยเดือนละ 300,000 คน ผนวกกับที่เดินทางเข้ามาก่อนหน้านี้
ส่งผลให้ตลอดปี 2564 จะมีนักท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 700,000 คน
สำหรับ “ตลาดยุโรป” เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพของไทย
โดยเฉพาะช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19
ตลาดสหราชอาณาจักรมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากรัสเซีย ขณะนี้มีรายงานจากหลายสายการบินพร้อมจัดเที่ยวบินตรงที่สะท้อนถึงสัญญาณที่ดีของไทย
ซึ่งจะมีความจุที่นั่งผู้โดยสารจำนวนมากเดินทางจากยุโรปและสหราชอาณาจักรมายังไทย
ตลอด 9 เดือน ระหว่างมกราคม - กันยายน 2564 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีตลาด “ต่างชาติ”
รวม 85,845 คน จากโครงการส่งเสริมท่องเที่ยว เช่น วีซ่าพิเศษเพื่อท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวสมาชิกสิทธิพิเศษไทยแลนด์ พริวิเลจ การ์ด
กลุ่มสุขภาพที่เข้ามารับบริการทางการแพทย์
และโครงการเปิดพื้นที่นำร่องเพื่อการท่องเที่ยว (Sandbox) ในโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม - ตุลาคม 2564 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าภูเก็ตทั้งสิ้น
60,649 คน
ข่าวที่ 4 ททท.ตั้งศูนย์อำนวยการรับจดทะเบียนSHA10ธุรกิจ 5-19พ.ย.นี้
ดร.ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ททท.ได้จัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกให้ธุรกิจท่องเที่ยว 10 ประเภทสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมรับตราสัญลักษณ์ SHA : Amazing Thailand Safety & Health Administration โดยไม่มีวันหยุดราชการ ตั้งแต่วันที่ 5 - 19 พฤศจิกายน 2564 ณ บริเวณลานจอดรถ ชั้น G อาคาร ททท.สำนักงานใหญ่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ
เพราะหลังเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว Thailand Reopening ตามนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นมา ผู้ประกอบการทั่วประเทศตื่นตัวและให้ความสำคัญด้านสุขอนามัยและการให้บริการ เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ โดยหลั่งไหลเข้ามาลงทะเบียนรับมาตรฐาน SHA เป็นจำนวนมากผ่านทางเว็บไซต์ www.thailandsha.com
ททท.จึงได้พิจารณาจัดตั้งศูนย์อำนวยความสะดวกและให้คำปรึกษาการลงทะเบียน รับตราสัญลักษณ์ SHA ให้แก่ธุรกิจทั้ง 10 ประเภท ได้แก่ 1.ภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2. โรงแรม ที่พัก และสถานที่จัดประชุม 3. นันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว 4. ยานพาหนะ 5. บริษัทนำเที่ยว 6. สุขภาพและความงาม 7. ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 8. กีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 9. โรงละคร โรงมหรสพและการจัดกิจกรรม และ 10. ร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้าอื่น ๆ
สำหรับ “ผู้ประกอบการที่ยื่นสมัครรับตราสัญลักษณ์
SHA” ต้องปฏิบัติดังนี้
1.เตรียมไฟล์ภาพถ่ายมาตรฐานการให้บริการตามหัวข้อและรายละเอียดการสมัครของสถานประกอบการแต่ละประเภทกิจการ
2.ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนได้ที่
https://www.thailandsha.com/checklist_example
3.จัดเตรียมไฟล์เอกสารสำคัญสถานประกอบการที่ถูกต้องชัดเจน
เช่น เอกสารการจดทะเบียนตามประเภทของกิจการ ซึ่งจะรับเฉพาะไฟล์เอกสารเท่านั้น
สอบถามเพิ่มได้ที่ โทร. 1672
เบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย
ข่าวที่ 5 มอบแล้วSHA Plus “วัดโพธิ์-ศาลหลักเมือง”ท่องเที่ยวแห่งศรัทธา
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ (ททท.) กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 พฤศจิกายน 2564 นำทีม ททท.มอบตราสัญลักษณ์ SHA Plus ให้ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรวิหาร หรือวัดโพธิ์” โดยมี เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ อธิบดีสงฆ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นผู้รับมอบ และ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนางสาวปุณณภา ปรีดีขนิษฐ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เป็นผู้รับมอบ สถานที่ทั้ง 2 แห่ง ได้รับมาตรฐาน SHA มาแล้วตั้งแต่ปี 2563
ขณะนี้วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรวิหาร (วัดโพธิ์) และศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ได้การรับรองมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยว SHA Plus จากจำนวนที่ได้รับมาตรการในกรุงเทพฯปัจจุบันรวมทั้งสิ้น 510 แห่ง
“วัดโพธิ์”
ได้อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1
พฤศจิกายน เป็นต้นไป ทุกวัน 08.00 – 16.30 น. โดยขอความร่วมมือทุกครั้งที่เดินทางเข้ามายังวัด
ขอให้ลงทะเบียน แจ้งข้อมูลชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ หรือสแกน QR CODE เว็บไซต์ ไทยชนะ.com ณ จุดเข้า-ออก
พร้อมตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าและสวมหน้ากากตลอดเวลาที่อยู่ภายในวัด
พร้อมชวนร่วมงานฉลองสมโภชรูปหล่อฤๅษีดัดตน 80 ท่า 82 ตน และ งานวันภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 12 - 15 พฤศจิกายน 2564 รวมถึงเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เปิดใหม่ พิพิธภัณฑ์นวดไทย มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม โดยคนไทยเข้าชมฟรี ส่วนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยมีค่าเข้าชม 200 บาท
“ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร” เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าสักการะตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2564 ทุกวัน 06.30 – 18.30 น. และขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการและแนวทางของรัฐบาลในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เปิดให้นักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติเข้าสักการะได้ฟรี
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาสักการะขอพรวัดโพธิ์ ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร
รวมทั้งพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม อย่างปลอดภัย ทุกสถานที่ได้รับตราสัญลักษณ์
SHA Plus เรียบร้อยแล้ว
ข่าวที่ 6 คุยกับคุณชัยวัฒน์ซีอีโอบางจากเปลี่ยนผ่านทางความคิดสู่ปีที่38
จากธุรกิจแรกเริ่มอย่างโรงกลั่นน้ำมันเมื่อปี
2527 ตามด้วยธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน ที่ทำให้ชื่อ
“บางจาก” เป็นชื่อที่คุ้นหูผู้บริโภคมากว่า 30 ปี
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ฝ่าคลื่นลมแห่งการเปลี่ยนแปลง
รับมือกับโลกที่เปลี่ยนไปจากการปรับทั้งธุรกิจและวิธีคิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ทำให้วันนี้
บางจากฯ
เป็นที่รู้จักในฐานะกลุ่มบริษัทผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยทุก ๆ
ย่างก้าวสำคัญที่เกิดขึ้นล้วนเกิดมาจากการเปลี่ยนผ่านทางความคิด
ภายใต้การนำของ ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ที่ส่งต่อสู่สมาชิกใน “บ้านบางจาก” ตลอดหลายปีที่ผ่านมานั้น การเปลี่ยนผ่านหลายเรื่องทำให้ธุรกิจพลังงานก้าวไปข้างอย่างมั่นคง
“ผมเริ่มเข้ามาเป็นกรรมการของบางจากฯ
เมื่อปี 2555 ก่อนรับตำแหน่งซีอีโอ ในปี 2558 สำหรับผม ภาพของ
บางจากฯ ในวันนั้น ดูเป็นคุณลุงผู้สูงวัยนิดๆ
เป็นคนดี มีความขยัน ซื่อสัตย์
ตั้งใจทำงาน พร้อมที่จะทำอะไรต่าง ๆ ที่ขอให้ทำ พอมาเป็นซีอีโอ
สิ่งที่ผมขอเติมให้เพิ่มขึ้นก็คือสิ่งที่ผมเรียกว่า Dynamism ในวันนั้น
หรือที่ตอนหลังก็กลายมาเป็นคำว่า Agility คือขอให้พนักงานที่เก่งและฉลาด
เพิ่มความเฉลียวเข้าไปในระบบ มีปฏิภาณไหวพริบ ฉับไวทันเหตุการณ์” ซีอีโอบางจากฯ
ย้อนนึกถึงช่วงแรก ๆ ของการรับตำแหน่ง
ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า ท่ามกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่เขาพยายามผลักดันมาโดยตลอดคือการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ
เขาจำได้ว่าในการเสนอตั้งงบประมาณครั้งแรกเมื่อ 7
ปีก่อน เขาได้ขอตั้งงบไว้ปีหนึ่งประมาณสัก 5-10
ล้านเหรียญ เพื่อใช้ลงในธุรกิจซึ่งจะเป็นธุรกิจแห่งอนาคต
หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า frontier technology แต่ในวันนั้นยังไม่มีใครรู้จักคำนี้ โดยเขาใช้คำว่า Incubator หรือ
ธุรกิจที่จะไปบ่มเพาะให้เกิดธุรกิจใหม่ได้
เช่น การลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่ลิเทียม
ที่กว่าจะเกิดขึ้นได้ต้องผ่านการพิจารณากันหลายรอบ
โดยตอนเข้าไปลงทุนครั้งแรกราคาหุ้นละ 50 เซ็นต์แคนาดา และต่อมาได้ขายไปที่ราคา
30 เหรียญแคนาดาต่อหุ้น ซึ่งนอกจากจะได้รู้จักกับธุรกิจใหม่แล้ว
การลงทุนครั้งนั้นได้สร้างกำไรให้บริษัทฯ ราว 4,000
กว่าล้านบาท และบางจากฯ ยังมีสิทธิ์ที่จะรับซื้อลิเทียมคาร์บอเนตปีละประมาณ 6,000
ตัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่ มาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจต่อไป
“อุตสาหกรรมเปลี่ยนเร็ว
สำคัญมากที่ต้องวางแผนปรับตัวเองให้เร็วกว่าอุตสาหกรรม แทนที่จะโดนโลก disrupt
เราก็ disrupt ตัวเราเองให้ภายในของเราสมดุลก่อน”
จากนั้น เขาจึงได้จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ
หรือ BiiC ขึ้น รองรับแผนระยะยาวสำหรับลงทุนในสตาร์ทอัพ
โดยบางจากฯ นับเป็นบริษัทไทยรายแรก ๆ ที่ส่งพนักงานของ BiiC ไปทำงานที่
Silicon Valley เพื่อร่วมงานกับสตาร์ทอัพต่าง ๆ
ทั่วโลกในสหรัฐฯ ทำหน้าที่เสาะหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
และเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของโลกที่แหล่งกำเนิดหรือต้นน้ำเลย
“มาถึงวันนี้ครบ 37 ปี
ก้าวสู่ปีที่ 38 ผมรู้สึกว่าบางจากฯ ดูเป็นคนที่หนุ่มขึ้น
พร้อมเปลี่ยนแปลงตามกระแสโลก หรือ ก้าวนำเทรนด์โดยรับความเสี่ยงบางส่วนได้
ถ้าเป็นคนก็คือเริ่มมีครอบครัว แตกราก สร้างฐานมั่นคง มีความหลากหลาย
มีสมาชิกในครอบครัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าสีเขียว ธุรกิจชีวภาพ
และอื่น ๆ”
2.รู้และเข้าใจในสิ่งที่ทำ
ปรับเปลี่ยนเมื่อจำเป็น
หนึ่งในความตั้งใจแรกๆ
ของเขากับหน้าที่ผู้นำของบางจากฯ นั้น ชัยวัฒน์ตั้งใจว่าบางจากฯ ต้องมีลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นวัยรุ่นมากขึ้น
ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ให้ได้
ทำให้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพให้ดูทันสมัย
ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาของสถานีบริการ หรืออาคารสำนักงาน ในขณะเดียวกัน
วัฒนธรรมขององค์กรและวิธีการทำงานก็เสริมการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม
และให้พนักงานมีส่วนร่วมในการสร้างธุรกิจของบริษัทฯ เขาภูมิใจมากเมื่อได้เห็นพนักงานบางจากฯ
นำวิชา Design Thinking จากการอบรมของบริษัทฯ ไปต่อยอดจนเกิดเป็น Winnonie สตาร์ทอัพภายในบริษัท โดยการสนับสนุนของผู้บริหาร ซึ่งในวันนี้ Winnonie
น่าจะเป็นธุรกิจแพลตฟอร์มให้เช่ามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า ที่โดดเด่นที่สุด
3.เปิดรับ
เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ อย่าเชื่อง่าย ตรวจสอบข้อเท็จจริง
เป็นที่รับรู้กันทั่วไปในหมู่คนใกล้ชิดและพนักงานในบริษัทฯ
ว่าชัยวัฒน์เป็นคนชอบอ่าน ชอบเรียนรู้
นอกจากการแบ่งปันเรื่องราวน่าสนใจให้ผู้บริหารและพนักงานเมื่อโอกาสอำนวยแล้ว ทุก ๆ
เดือนเขาจะมีเรื่องราวเกี่ยวกับนวัตกรรมล้ำสมัยมาเล่าสู่กันฟังผ่านคอลัมน์ “Everlasting
Economy” ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เมื่อพูดถึงการเรียนรู้ เขาบอกว่าคนรุ่นใหม่โชคดี
มีโอกาสเรียนรู้เยอะมาก ง่ายกว่าเมื่อก่อนที่จะทำอะไรต้องไปเข้าห้องสมุด
ตอนนี้ทุกอย่างหาในอินเทอร์เน็ตได้หมด ดังนั้น สิ่งที่เขาอยากฝากไว้คือ
อย่าให้กลายเป็นว่าได้รับข้อมูลอะไรมาแล้วรับหมด รับแล้วก็ต้องมาตรวจสอบ ใช้ Google
ก็ได้ อย่างน้อย ๆ ก็โยนกลับเข้าไปในอินเทอร์เน็ต
ความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละ ที่จะช่วยให้รู้ว่าบางอย่าง too good to be
true ไหม อะไรที่มันไม่น่าเป็นไปได้
ก็คือไม่น่าเป็นไปได้ การตรวจสอบ ขวนขวาย เรียนรู้จึงสำคัญ
ช่วงที่ 2 เตรียมแพ็คกระเป๋าออกเดินทางไปเที่ยวเมืองไทยกันเถอะเรา
ห้ามพลาด Unseen New Series “หอโหวด 101” ม่วนซื่นอีสานกับตึกศิลปะใหม่ล่าสุดสัญลักษณ์จังหวัดร้อยเอ็ด กับยอดสูง
101 เมตร ชิมอาหารถิ่น ของดีเมือง และการผจญภัยบนสกายวอล์ค ส่วนคนกินหวานฟังดี
ๆ “หยุดกินน้ำตาล” !! สุขภาพดีถึง 5 อย่างเลยนะ ส่วนข่าวควรฟัง “นนทบุรี” เปิดจุดขายใหม่บูมท่องเที่ยว “พายคายัคกับซับบอร์ด”
เที่ยวคลองนนทบุรี ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมได้เที่ยวทางบุญวัด ศาลเจ้า สองฝั่งคลอง “เคปนิทรา
หัวหิน” ชวนดินเนอร์ลอยกระทง 19 พ.ย.นี้ จ่ายแค่ 1,300 บาท/คนเท่านั้น
พาเที่ยว-“หอโหวด 101”ร้อยเอ็ดUnseen New Seriesอีสานม่วนซื่น
แหล่งท่องเที่ยวใหม่ในอีสาน
ที่สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ เมื่อนักท่องเที่ยวไปถึงแล้วต้องลองขึ้นไปสักครั้ง
ซึ่งตอนนี้ได้รับการจัดเป็น Unseen New
Series 1 ใน 25
แห่งของเมืองไทย นั่นคือ
“หอโหวด” จังหวัดร้อยเอ็ด
เป็นทาวเวอร์หรือหอคอยชมเมืองความสูง 101 เมตร ตามชื่อของจังหวัด
เทียบเท่าความสูงของตึก 35 ชั้น โดดเด่นตระหง่านกลางเมือง หน้าบึงพลาญชัย
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ร้อยเอ็ด ถนนสุริยเดชบำรุง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง ด้วยความสูงสะดุดตา
101 เมตร ฐานด้านล่างกว้าง 30 เมตร ยอดโหวดกว้าง 20 เมตร พื้นที่รวมทั้งหมดกว่า 3,621 ตารางเมตร
ที่มาของหอคอยใหม่แห่งนี้มาจาก “โหวด” เครื่องดนตรีพื้นบ้านอีสาน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประจำจังหวัดร้อยเอ็ด นำมาออกแบบเป็นรูปทรงอาคารเป็นรูปหอคอยรูปทรงเครื่องดนตรีท้องถิ่นไม่ซ้ำที่ใดในโลก
ภายในหอคอยแบ่งพื้นที่ใช้สอยจริง
12 ชั้น ไฮไลต์ “ชั้นบนสุด” ชั้น 35 เป็น “หอพระ” ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ
และพระพุทธมิ่งเมืองมงคลพระพุทธรูปประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ชั้น 34
เป็นหอชมทัศนียภาพเมืองร้อยเอ็ดได้แบบ 360 องศา
ภายในอาคารก็จะมี Sky Walk พื้นที่กระจกลอยฟ้า ไว้ให้ได้ทำกิจกรรมผจญภัยสนุก ๆ เช่น การนั่งกระเช้าห้อยลวดสลิง ขึ้นลงหอโหวด เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก
รวมทั้งมีบริการ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองต่างๆ รวมไปถึง ภัตตาคาร พิพิธภัณฑ์เมืองร้อยเอ็ด และ จุดชมวิวที่เปิดโล่ง ประดับตกแต่งงดงามมีการสอดแทรกเรื่องราวท้องถิ่นกับความร่วมสมัย เช่น ดอกอินทนิลบก ดอกไม้ประจำจังหวัดทำจากคริสตัล
สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้าชม
“หอโหวด 101” มีค่าเข้าชมคนทั่วไป 50 บาท/คน นักเรียน-นักศึกษา
ผู้สูงอายุ 40 บาท/คน ผู้สูงอายุ 70
ปีขึ้นไป เด็กเล็ก ผู้พิการ เข้าชมฟรี สอบถามได้ที่โทร. 043 514 101 , 0-4351-1222
เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/RoiEtTower/
สุขภาพ - หยุดกินน้ำตาล!! แล้วจะเกิดสิ่งดีต่อชีวิตและสุขภาพเราแน่ๆ
งานวิจัยจากหลายแห่ง หลายประเทศ ให้ข้อมูลที่น่าสนใจถึงการ ลดละการ “กินน้ำตาล” ให้น้อยลงจะส่งผลดีกับสุขภาพเราหลายอย่างดังนี้
1. หัวใจแข็งแรงขึ้น - งานวิจัยจากสถาบันสุขภาพในสหรัฐอเมริกาเผยให้เห็นว่า หากเรางดกินน้ำตาลในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ความเสี่ยงของการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจจะลดลงถึง 3 เท่า และถ้ายิ่งงดไปได้หลายสัปดาห์ ระดับคอเลสตอรอลและระดับไขมันเลว LDL ก็จะลดลงถึง 10% ระดับไตรกลีเซอไรด์ก็อาจจะลดลงได้ถึง 20-30% รวมทั้งความดันโลหิตก็อาจลดลงได้อีกเช่นกัน
2. หิวน้อยลง สาเหตุทำให้หิวบ่อยๆ อาจจะเป็นน้ำตาลหรือไม่ -การกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูงและน้ำตาลสูง จะทำให้เกิดการดูดซึมที่รวดเร็วเกินไป น้ำตาลในเลือดจึงเพิ่มขึ้นสูง และส่งผลกระทบไปยังการผลิตอินซูลิน เมื่ออินซูลินเกิดความผิดปกติ จึงอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป เพื่อนๆ จึงหิวง่าย หิวบ่อย หรืออาจจะมีอาการหน้ามืดและเวียนหัวร่วมด้วย ในทางกลับกัน ถ้าเพื่อนๆ งดการกินน้ำตาล ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะคงที่มากขึ้น เซลล์ในร่างกายก็ได้รับพลังงานเต็มที่ เพราะไม่มีน้ำตาลส่วนเกินมาขวางทาง และอินซูลินก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ขึ้น สิว ริ้วรอย หรือความไม่เรียบเนียนบนใบหน้า มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากน้ำตาล เมื่อกินน้ำตาลมากเกินไปจะกลายเป็นส่วนเกินที่ร่างกายไม่ได้ต้องการ นอกจากจะไปทำร้ายอินซูลินแล้ว น้ำตาลส่วนเกินเหล่านี้ยังเข้าไปจับตัวกับคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้เกิดปฏิกิริยาไกลเคชัน (Glycation) ซึ่งจะทำให้เกิดสารชนิดหนึ่ง ที่ส่งผลให้ชั้นผิวหนังแข็งตัวและเปราะบาง ผิวจึงเกิดการยุบตัว หย่อน และแห้ง จนเกิดเป็นริ้วรอย
4. ความเสี่ยงของเบาหวานจะลดลง - เบาหวานเกิดจากความผิดปกติของตับอ่อน ทำให้การผลิตฮอร์โมนอินซูลินนั้นไม่เพียงพอ น้ำตาลส่วนเกินในเลือดจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนอื่นตามมา แต่งานวิจัยจากหลายประเทศเกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลพบว่า การกินน้ำตาลที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติเพียงแค่ 150 แคลอรี ก็เพิ่มความเสี่ยงของเบาหวานได้มากถึง 11 เท่า
5. มีความสุขมากขึ้น - อาจจะได้ยินมาว่าการกินน้ำตาลทำให้มีความสุข คนส่วนใหญ่จึงมักจะกินของหวานๆ เมื่อเครียด ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอกนะ เพียงแต่น้ำตาลนั้นถูกดูดซึมไปใช้ได้เร็ว จึงมีความสุขในระยะสั้นเท่านั้น แล้วก็อยากกินอีก ความอยากน้ำตาลจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจทำให้เสพติดได้
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก “หอการค้า+YEC”บูมพายคายัค/ซับบอร์ดเที่ยวคลองนนทบุรี
จังหวัดนนทบุรี รายงานว่า ทางหอการค้าจังหวัดนนทบุรี ร่วมกับ YEC Nonthaburi เทศบาลไทรน้อย จ.นนทบุรี หน่วยงานรัฐกับ ได้จับมือกันจัดแคมเปญ “เสน่ห์นนท์” เชิญชวนนักท่องเที่ยวทำกิจกรรม “พายเรือคายัค รักษ์คลองนนท์” Presented By ศักดิ์สยาม เลคไซด์ รีสอร์ท เพิ่มการท่องเที่ยวสีเขียวด้วยพายเรือคายัค ซับบอร์ด เก็บขยะ รักษ์ลําคลองให้ใสสะอาด ชมวิถีชุมชน ชื่นชมธรรมชาติสองฝั่งคลองพระพิมลซึ่งมีวัดและศาลเจ้าเก่าแก่ พร้อมแวะช้อปผักผลไม้ จากชาวบ้านในท้องถิ่น แวะชิมของอร่อยที่ตลาดน้ำไทรน้อย
กิจกรรมพายเรือคายัค รักษ์คลองนนท์ Presented By ศักดิ์สยาม
เลคไซด์ รีสอร์ท จะเริ่มวันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน-วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม 2564 (เฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์) ณ บริเวณ
หน้า สภ.เก่า อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี วันละ 4 รอบ
กำหนดเส้นทางการพายเป็น 2 ระยะ 1.ระยะ 2 กิโลเมตร ไป-กลับ 4 กิโลเมตร
2.ระยะ 5 กิโลเมตร ไป-กลับ 10 กิโลเมตร ขายบัตร350 บาท/ลำ (2 คน/ลำ)
ตลอดการร่วมกิจกรรมจัดขึ้นภายใต้เงื่อนไขการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรค
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19)
พิเศษ !! ลุ้นรับของที่ระลึกได้ทุกวัน เมื่อเข้าร่วมพายเรือคายัค รักษ์คลองนนท์ แล้วตั้งค่าเป็นสาธารณะโพสต์ลงเฟสบุ๊ค หรือ อินสตราแกรม ติดแฮชแท็ก #พายคายัครักษ์คลองนนท์ #sainoikayakclub
นักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมกิจกรรมนอกจากการ่วมรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว
ยังจะได้แวะกราบไหว้สักการะขอพร “หลวงพ่อทองคำ”
วัดไทรใหญ่ อันเลื่องชื่อ “เจดีย์มอญ” วัดยอดพระพิมล ขอพร “องค์พระพุทธพิมลชัย”
พระพุทธรูปปางมารวิชัย เนื้อศิลาแดง ศิลปะสมัยอู่ทอง ขอให้สำเร็จทุกสิ่งที่ปรารถนา และ
ศาลเจ้าแม่ทองคำ และ ศาลเจ้าพ่อจุ้ย ศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับชาวบ้านริมคลองพระพิมลมากว่า
100 ปี ขอให้ค้าขาย ร่ำรวย เดินทางปลอดภัย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง
Line@
: @YECNonthaburi หรือ โทร. 063-635-5950
ข่าวที่สอง “เคปนิทราหัวหิน”ชวนฉลองลอยกระทงกับดินเนอร์หรู19พ.ย.64
โรงแรมเคปนิทรา
หัวหิน ชวนไปฉลองเทศกาล “วันลอยกระทง” ที่หัวหิน วันที่ 19
พฤศจิกายน 2564 ร่วมสืบสานประเพณีไทย
และเพลิดเพลินกับอาหารชั้นเลิศ ของโรงแรมที่ “ห้องอาหารร็อคส์ ท่ามกลางบรรยากาศใต้แสงจันทร์สุดชิลล์
กับวิวสวยริมทะเล พบกับกิจกรรมพิเศษ “ประดิษฐ์กระทง” ช่วง 15.00 น.
รังสรรค์กระทงแสนสวยในแบบของคุณ
ในค่ำคืนสุดโรแมนติก
และอิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์สไตล์บาร์บีคิว ตั้งแต่ 18.00-22.00 น.
ราคาเพียง 1,300 บาท (สุทธิ)/คน เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
ลดครึ่งราคา พร้อมรับฟรีเครื่องดื่มต้อนรับ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือจองที่นั่งล่วงหน้า กับทางเคปนิทรา หัวหิน โทร. 032-516-600 หรือhttps://capenidhra.com
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง
สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น