ททท.ลุยเปิดเกมไทยผู้นำCrypto Friendly DestinationในATF 2022 ดันท่องเที่ยวปี’65พลิกโฉมครั้งใหญ่สู่ดิจิทัลเทรนด์บิตคอย-เมตาเวอร์ส ”หัวหินรีชาร์จ-ชะอำซันชายน์”เฮรับต่างชาติแห่ฉลองคริสต์มาส-ปีใหม่
ททท.ลุยเปิดเกมไทยผู้นำCrypto Friendly DestinationในATF 2022
ดันท่องเที่ยวปี’65พลิกโฉมครั้งใหญ่สู่ดิจิทัลเทรนด์บิตคอย-เมตาเวอร์ส
”หัวหินรีชาร์จ-ชะอำซันชายน์”เฮรับต่างชาติแห่ฉลองคริสต์มาส-ปีใหม่
“คิงเพาเวอร์”ชวนเช็คอินความสุขช้อปสนุกกินสนั่นที่ภูเก็ต2-12ธ.ค.64
ช้อปออนไลน์ “คิง เพาเวอร์”12.12Year End Saleรับ600โค้ด8-22ธ.ค.นี้
ททท.โหมคอนเสิร์ตแคมปิ้งเฟสติวัล2021เขาไม้แก้วพัทยาฟื้นเศรษฐกิจ
“บางจาก”ผนึกAndrew BiggsลุยCSRติวครูรอบโรงกลั่นสอนออนไลน์
หนาวนี้ต้องได้เที่ยวอาณาจักรดอกไม้เมืองหนาว
ภูลมโล-ภูเรือ จ.เลย
กรมคุมโรคแนะกางเตนท์เที่ยวระวังไรอ่อนทำให้ป่วยไข้รากสาดใหญ่
ซีฮอร์สเปิดแล้วบริการเรือเฟอรี่จุกเสม็ดสัตหีบ-สงขลาอัดโปรดีเพียบ
สมาคมรถโบราณจัดงานวินเทจคาร์ดึงคนเที่ยวหัวหิน-ชะอำ17-19ธ.ค.
“บพท.”ผนึก18มหาลัยนำวิจัยล้างยากจนตกค้าง20จังหวัด6.7แสนคน
วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2564 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์”
เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0
และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์
#gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT
#CryptocurrencyFriendlyDestination # KingPowerCheckinPhuket #HuahinRecharge
#นางพญาเสือโคร่งภูลมโล #เทศกาลต้นคริสต์มาสภูเรือ
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้
ช่วงที่ 1 ผ่ากลยุทธ์สุดล้ำกับ “นิธี สีแพร”
รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
พลิกโฉม “ท่องเที่ยวประเทศไทย” เคลื่อนทัพใหญ่สู่มิติใหม่ “โลกดิจิทัลครบวงจร”
ใช้ฤกษ์ดีงาน ATF 2022
มกราคม 65 ที่กัมพูชา
สร้างความฮือฮาเปิดบิ๊กโปรเจ็กต์ “Amazing Thailand Coin” นำประเทศก้าวสู่ผู้นำ “Cryptocurrency
Friendly Destination”
ลุยสร้างคอนเทนต์ท่องเที่ยวด้วย Metverse, E-sport, เกมส์ ระดับอินเตอร์ปลายปี 64ตะเวนคุยพันธมิตรมืออาชีพคริปโตเคอเรนซี่, Bitkub
ปูพรมผู้ประกอบการ
นักขุดเหรียญทั่วไทยหลายล้านคนร่วมวง รุกใหญ่ตลาด “ท่องเที่ยวบิตคอย”
ควบคู่การใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วทั้ง AR, VR โหมขายเที่ยวในโลกเสมือนจริง และเกาะติด
“หัวหินรีชาร์จ+ชะอำซันไซน์”
ทางเลือกใหม่ของนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่กักตัวและแซนด์บ็อกซ์จะแห่มาพัก
ธ.ค.นี้ฉลองคริสต์มาส ปีใหม่
นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัย
และพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า
ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่ขับเคลื่อนให้
ททท.เติบโตด้วยดิจิทัลอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน จึงต้องพยายามนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ
เข้ามาใช้ทั้งภายในและภายนอกองค์กร โดยจะพิจารณาตามการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
ผู้บริโภค เรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
จาก Digital Disruption รวมทั้ง
นโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการรปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้
ททท. มีขีดความสามารถการแข่งขันทางการตลาดท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งเรื่องของยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยในภาพรวมด้วย
สิ่งที่จำเป็นจะต้องดึงมาใช้งานคือ
“ข้อมูล” หรือที่เรียกว่า DATA DRiVEN ORGANIZATION อนาคตอันใกล้อาจจะต้องถึงขนาดนำเทคโนโลยี
“บ็อกซ์เชน : Block Chain” วิเคราะห์
ติดตามข้อมูลต่าง ๆ ทั้ง ข้อมูลของนักท่องเที่ยว ที่เดินทางเข้ามาไทย
ข้อมูลคู่แข่งต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวใน
Eco System ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ
เอกชน เพื่อให้ได้ข้อมูลถูกต้อง แม่นยำ ครบถ้วน ทันสมัย และสามารถประมวลผลต่าง ๆ
ได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลาการทำงาน
สิ่งเหล่านี้ในช่วงโควิด-19 ถือเป็นตัวเร่งอย่างหนึ่งในจังหวะ Digital
Disruption และกระแสต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้
ไม่ว่าจะเป็นบ็อกซ์เชนทำให้เกิดเรื่องของดิจิตอล มันนี่/digital money คริปโตเคอเรนซี่/Cryptocurrency แม้กระทั่งสิ่งที่มีอยู่แล้ว คือ AI, IoT
ไบโอเมทริก โรบ็อต จะต้องพยายามนำมาใช้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมากขึ้นโดย
ททท.
โครงการที่
ททท.จะนำบ็อกซ์เชนมาใช้ด้านการท่องเที่ยว ตัวอย่าง
เมื่อมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเมืองไทย
ในระบบจะต้องมีข้อมูลของนักท่องเที่ยวตั้งแต่ 1.การหาข้อมูลของนักท่องเที่ยวคนนั้น ๆ
ตั้งแต่ก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง 2.ระหว่างการเดินทางเลือกใช้บริการสายการบิน
เข้าประเทศ พอเดินทางมาถึงก็เชื่อมโยงต่อเนื่อง 3.การผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุลกากร 4.หรือจองที่พักและสถานประกอบการต่าง ๆ
เพื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเหล่านี้
ทางฝั่งซัพพลายเชนก็ต้องสามารถแทร็กได้ด้วยว่า
“สินค้า” หรือ “บริการ” ที่นักท่องเที่ยวเลือกใช้เดินทางเข้ามา
เป็นสินค้ามาจากท้องถิ่นใด รวมทั้งการการันตีสินค้า
เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าถึงชุมชนอย่างทั่วถึงต่อไป ซึ่งจะทำให้
ททท.ติดตามนักท่องเที่ยวได้มากขึ้นนั่นเอง
ส่วน
“เรื่องธุรกรรม” เจาะกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญ
เพราะตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ประเทศไทยต้องการเพิ่มกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายที่
“ใช้จ่ายเงินสูง” ตามที่ ททท.มุ่งหวังส่งเสริมโดย “เพิ่มรายได้มากขึ้น” แต่ลด
“จำนวนนักท่องเที่ยว” น้อยลง โดยเฉพาะสิ่งที่
ททท.กำลังมองเข้าไปยังกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายเงินสูงคือกลุ่ม “Cryptocurrency
Holder”
ททท.มุ่งหวังจะให้ประเทศไทยเป็น
“Cryptocurrency Friendly Destination”
เมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มคริปโตต้องการหาข้อมูลในเมืองไทย ก็อยากให้พบประสบการณ์
ก่อนการเดินทางหรือเมื่อมาถึงเมืองไทยแล้วมีสถานประกอบการต่าง ๆ ที่สนใจ
และมีความสามารถรับสกุลเงินคริปโตเคอเรนซี่ได้
ขณะนี้มีหลายแห่งเริ่มมีความพร้อมทั้ง โรงแรม ห้างสรรพสินค้า
เพราะมีกลุ่มคนช่วยเพิ่มเทรนด์ดังกล่าว
นายนิธีกล่าวว่า
ขณะนี้ได้เริ่มพูดคุยกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านบ็อกซ์เชนกับคริปโตเคอเรนซี่
เพื่อเข้าถึงกลุ่ม Crypto Holder เพื่อเข้าถึงพฤติกรรมของลูกค้าเหล่านี้
เข้าใจถึงวิธีการเดินทาง และจุดเป้าหมายที่ต้องการไปสัมผัสตามสถานที่ต่าง ๆ ททท.จะสื่อสารให้กลุ่มนี้เข้าใจถึงความพร้อมของเมืองไทย
รวมทั้งคุยกับ “สถานประกอบการท่องเที่ยว”
ถึงแนวทางเพื่อจะได้ร่วมมือกันทำสื่อสารการตลาดเจาะหาลูกค้า เช่น ทำโปรโมชั่น
นำเสนอประเทศไทย เมื่อมาเที่ยวสามารถเก็บคริปโตเคอเรนซี่ได้
จะทำให้เส้นทางสู่จุดหมายเมืองไทยได้รับความสนใจสูงมากขึ้น
ส่วนแผน
“การทำเหรียญหรือ Token Coin”
จะออกเหรียญแล้วให้นักเดินทางซื้อไว้ล่วงหน้า
เมื่อมาเที่ยวเมืองไทยก็สามารถใช้เหรียญได้ จะเรียกว่าเป็น “Utility Token :เหรียญพร้อมใช้”
ททท.ได้คุยกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไว้บ้างแล้ว ถึงแนวทางการทำเหรียญซึ่งสามารถดำเนินการได้
อนาคตอันใกล้จะได้เห็น Amazing Thailand Coin เปิดให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกนำมาใช้บริการในเมืองไทย
มีแผนจะเปิดตัวโครงการ Amazing Thailand Coin ในงาน ASEAN TOURISM FORUM :ATF 2022 ต้นปี 2566 ที่ กัมพูชา ททท.จะทำโชว์เคสเปิด
“เส้นทางคริปโตเคอเรนซี่” ที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้ามาเก็บ Token เก็บเหรียญ หรืออาจจะซื้อเหรียญไว้ก่อน
พอมาถึงแล้วเดินทางให้ครบตามที่กำหนดก็สามารถจะได้รับเหรียญกลับไปครอบครองเช่นเดียวกัน
สำหรับการเปิดพื้นที่นำร่องการใช้บิทคอยหรือเหรียญโทเค่นการท่องเที่ยวนั้นต้องขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการด้วย
ปลายปี 2564 ททท.จะขับเคลื่อนร่วมกัน
เพื่อทำให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ประมวลแล้วน่าจะต้องเริ่มจาก “กรุงเทพฯ” ก่อน ผนวกแถว
ถนนเจริญกรุง ตลาดน้อย บางรัก ซึ่งมีเรื่องราวของแหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปะมากมาย
เพื่อนำร่องการเดินทางเข้าถึงและสร้างมูลค่าให้ชุมชน
นายนิธี
กล่าวว่า ยังมีโครงการ NFT :Non Fugible token (ซึ่งเป็นชื่อเรียกของคริปโตเคอเรนซี่ประเภทหนึ่ง
ไม่สามารถทำซ้ำหรือคัดลอกได้) เป็นการรวบรวมคอลเลคชั่น Art หรืองานศิลปะต่าง ๆ ในทางการท่องเที่ยว
โดยจะนำเรื่องอาหาร ดนตรี วัฒนธรรม ที่มีอยู่มากมายเข้าไปใส่ไว้ด้วย
จะเน้นต่อเนื่อง 3 เรื่องดังนี้
1.ประสบการณ์ในรูปของงานศิลปะฝีมือหรือ
handicrafe art ของชุมชนต่าง
ๆ ททท.จะพยายามดึงชุมชนเข้ามาเกี่ยว พร้อมกับยกระดับควบคู่กันไป
ในฐานะที่เป็นชุมชนมีของเก่าหายาก
2.Metaverse โลกสามมิติของโลกเสมือนกับโลกจริง
3.E-sport และเกมส์ต่าง ๆ
กำลังคุยกับพันธมิตรแต่ละกลุ่มถึงการนำ “คอนเทนท์ประเทศไทย”
ใส่ลงไปในเกมและโลกเสมือนจริงเหล่านี้
ททท.จะเดินหน้าสร้างการรับไปยังกลุ่มโปรแกรมเมอร์ที่มีอยู่ทั่วโลกนับพันราย
เพื่อสร้างความทรงจำให้ “ไทย” เป็น 1ในใจหรือ
Top of Mind ของผู้คนทั่วโลก เพื่อจะเดินทางเข้ามาได้ตลอดเวลา
โดยเตรียมปูพรมสร้างความรู้ความเข้าใจกับ
“นักท่องเที่ยวในประเทศ”
ด้วยวิธีเจาะตรงเข้าไปยัง “กลุ่มคริปโตเคอเรนซี่ โฮลเดอร์”
ตอนนี้เมืองไทยมีจำนวนหลายล้านคน ที่กำลังขุดบิทคอยกันอยู่ ททท.จะทำงานร่วมกับพันธมิตรอย่าง
Bitkub ของ
ท็อป-จิรายุ ได้พูดคุยกันไว้แล้วด้านความร่วมมือ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญแห่งวงการ
รวมถึงยังมีหน่วยงานอื่น ๆ กำลังทำเหรียญออกมา ก็จะร่วมกัน
เพื่อหาแนวทางความร่วมมือ
ตัวอย่างเช่น
กลุ่มที่มีเหรียญอยู่แล้ว จะนำมาโปรโมชั่นผ่านเว็บไซต์ ททท.แลกเป็น Point หรือเป็น Coin ระหว่างกันได้
นายนิธีกล่าวถึงการนำเครื่องมือที่จะสร้างความร่วมมือระหว่างการท่องเที่ยวผ่านดิจิทัลกับตลาดโลก
จะพัฒนาเครื่องมือที่ ททท.มีอยู่แล้ว เช่น AR-บนโลกเสมือนจริง หรือ 5G เทคโนโลยีใหม่ ๆ
ได้คุยกับทางค่ายมือถือทำคอนเทนต์ผลิตผ่านช่องทาง AR, VR เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ยังไม่ได้เดินทางเข้ามา
มีโอกาสัมผัสท่องเที่ยวเมืองไทยก่อนในโลกเสมือนจริง
แล้วสามารถเก็บแต้มจากนั้นก็เดินทางเข้ามา เพื่อตามรอยเส้นทางดังกล่าว
เพื่อทำให้เกิดประสบการณ์อีกรูปแบบเชื่อมโลกเสมือนจริงกับโลกของความเป็นจริงเข้าด้วยกัน
ขณะที่โครงการ
“Huahin Recharge +CHA AM Sunshine”
เปิดการท่องเที่ยวต้อนรับการเปิดประเทศตามนโยบายรัฐบาล ทั้ง 2 พื้นที่พยายามเข้าร่วมและปรับปรุงสู่แซนด์บ็อกซ์
ถือเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของนักท่องเที่ยว ได้แก่ 1.ลองสเตย์ของกลุ่มผู้สูงวัย 2.นักกอล์ฟ
เพราะมีสนามชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกหลายแห่ง 3.คนรักสุขภาพ 4.ครอบครัว
ถือเป็นอีกพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยว โดยผู้ประกอบการตื่นตัวและให้ความสนใจจะเดินหน้าตามนโยบายรัฐ
เปิดพื้นที่ เปิดประเทศ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน
2564 เป็นต้นมา
สถานการณ์หลังเปิดเมืองหัวหิน
และชะอำ ผ่านมา 1 เดือนแล้ว
มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกระจายตัวมาจากภูเก็ต กรุงเทพฯ ทั้งกลุ่ม Test
& Go เดินทางเข้ามาโดยไม่ต้องกักตัว
และ Sandbox อาจจะยังมีจำนวนไม่มาก
แต่การเป็นพื้นที่ทางเลือกหรือเป็น Central Box ของภูเก็ตและกรุงเทพฯ จะมีค่อนข้างมาก
หลายโรงแรมแจ้งมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นหลัก 100 คน แต่จะเพิ่มมากพิเศษช่วงตั้งแต่ธันวาคม 2564
จะมีกลุ่มหนีหนาวจากยุโรป อเมริกา
มาฉลองคริสต์มาส ปีใหม่ ที่หัวหิน ชะอำ
สำหรับ
“มาตรการป้องกันแพร่ระบาดในหัวหิน-ชะอำ”
หรือทุกพื้นที่นำร่องจะต้องคุมเข้มที่ต้องใช้ Universal Prevention บวกกับแผนกระจายวัคซีนให้คนท้องถิ่นเกิน 70
% โรงพยาบาลสนาม
จำนวนผู้ป่วยที่เกิดต้องไม่เกินอัตรากำหนด มีการจัดตั้ง Command Center ชัดเจนเชื่อมต่อกับระบบหลังบ้าน กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงต่างประเทศ และ ททท.
พื้นที่เปิดรับนักท่องเที่ยวตามนโยบายเปิดประเทศปัจจุบันทำได้ค่อนข้างดี
ทั้งนี้
ททท.ขอฝากไว้คือการนำดิจิทัลเข้ามาใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะ Digital Disruption คือเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
เพื่อจะได้ไม่ตกเทรนด์ เพิ่มสามารถทางการแข่งขันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
กับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวนานาชาติและคนไทยก็เปลี่ยนไปเร็วมาก
หากมีความสนใจด้านดิจิทัล ททท.พร้อมอัพเดททุกสถานการณ์ทั้งกับนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการท่องเที่ยว
เพื่อก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อม ๆ กัน
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 คิงเพาเวอร์ชวนเช็คอินความสุขช้อปสนุกกินสนั่นที่ภูเก็ต2-12ธ.ค.64
คิง เพาเวอร์ ภูเก็ต
ส่งมอบความสุขส่งท้ายปีสุดยิ่งใหญ่ให้ชาวภูเก็ต เชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
พร้อมมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งวิถีใหม่ภายใต้แนวคิด “King
Power Celebration 2022 : A New Journey Begins With A
Smile” ในงาน KING
POWER HOLIDAY CHECK - IN” เช็กอินความสุข ช้อปสนั่น กินสนุก รับวันหยุดยาว ระหว่างวันที่ 2-12 ธันวาคม
2564
เช็กอินครั้งแรกที่ภูเก็ตกับนิทรรศการดอกไม้ชื่อดัง
“รักดอก” กลุ่มนักสร้างสรรค์ดอกไม้ จากกรุงเทพฯ
สู่ภูเก็ต ภายใต้แนวคิด “Living Beyond Happiness” กับการจัดแสดงสีสันแห่งดอกไม้กว่าล้านดอกกลางเมืองภูเก็ต ในธีม “Million
Flowers Billion Joys” ส่งมอบความสุขความประทับใจเหนือจินตนาการพร้อมความทรงจำพิเศษในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีให้ชาวภูเก็ต
“กินสนุก”
กับ “THAI TASTE HUB @PHUKET” ที่เอาใจเหล่านักชิมด้วยเมนูรสเลิศจากร้านเด็ดที่คัดสรร
กว่า 10 สตรีตฟู้ดเจ้าเด็ดของดีร้านดังจากกรุงเทพฯ ได้แก่ ผัดไทยไฟทะลุ ละมัยหอยทอดจากเยาวราช ธีรชัยไก่ย่าง สว่างบะหมี่ก้ามปู ก๋วยเตี๋ยวเรือแม่มาลี กะเพราหม่อมแม่ Mayrai by ChefTon ป้าณีลูกชิ้นยืนกินบุรีรัมย์
เอี๊ยงออเฮ่าชือ
สตรีทฟู้ดดังสัญจรไปพบกับ 7 ร้านดังจากภูเก็ตและพังงาอย่าง
หมี่สะปำคุณยายเจียร, โกเบนซ์ข้าวต้มแห้ง ฮกกี่เหลา
บะหมี่ตลาดขวางพังงา ขนมจีนจี้ลิ่ว คุณทิพย์หมูสะเต๊ะเมืองพังงา และโลบะบางเหนียว
สูตรดั้งเดิม พร้อมเสิร์ฟให้ทุกคนได้อิ่มอร่อยรวมกันในที่เดียว
ไม่ต้องไปเข้าคิวรอถึงกรุงเทพฯ
ความอร่อยก็ยกขบวนมาเสิร์ฟให้คนภูเก็ตถึงถิ่นกันแล้ว
ข่าวที่ 2 ช้อปออนไลน์ “คิง เพาเวอร์” 12.12 Year End Saleรับ600โค้ด8-22ธ.ค.64
“คิง เพาเวอร์ ออนไลน์”
ขอส่งความสุขแบบไม่มีขีดจำกัด กับโปรโมชั่นส่งท้ายปี 2564 กับแคมเปญพิเศษ KING POWER CELEBRATION 2022 A NEW JOURNEY BEGINS WITH A SMILE LIVE
A LIFE BEYOND BOUNDARIES “12.12
YEAR-END SALE” พิเศษสุด ๆ ตั้งแต่วันที่ 8-24
ธันวาคม 2564
เลยรับ 4 ดีลพิเศษ พร้อมแจกตลอดแคมเปญ
600 โค้ดพิเศษ และพลาดไม่ได้กับช่วง POWER DEAL วันที่
12 เดือน 12 วันเดียวเท่านั้น มอบส่วนลดสินค้าจุใจลดสูงสุดถึง
70% ช้อปได้ ปลอดภัยจริง ระหว่าง 8-24
ธันวาคม นี้
มาเปิดประสบการณ์ช้อปออนไลน์กับ
คิง เพาเวอร์ แบบไม่ต้องมีไฟลต์บิน แม้จะอยู่บ้านก็สนุกกับการช้อปสินค้าราคาดิวตี้ฟรี
ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมบริการ Home Delivery จัดส่งฟรีถึงบ้านทั่วประเทศ
เมื่อช้อปขั้นต่ำ 699 บาท ทางเว็บไซต์ www.kingpower.com และ
Kingpower Application
ข่าวที่ 3 ททท.โหมจัดคอนเสิร์ตแคมปิ้งเฟสติวัล2021เขาไม้แก้วพัทยาฟื้นเศรษฐกิจ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) จับมือกับพันธมิตรจัดงาน Camping
Festival 2021 วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2564
เริ่มตั้งแต่ 15.00 - 23.00 น. พบกัน ณ Wisdom Valley พื้นที่ธรรมชาติขภูเขาโอบล้อมด้วยทะเลสาบที่เขาไม้แก้ว
พัทยา จังหวัดชลบุรี ภายในงานนักท่องเที่ยวจะได้พบบรรยากาศวิถีใหม่ ปลอดภัย
เลือกชิม และช้อป อาหาร เครื่องดื่ม ได้อย่างเต็มอิ่ม และสนุกกับทัพศิลปิน นำโดย
โอ๊ต ปราโมทย์ ป๊อบ ปองกูล ซานิ นิภาภรณ์ พาวเวอร์แพท และ ซิดนีย์ ThaiBev
ThaiTalent และอาหารอร่อยจาก Food Truck ร้านอาหารชื่อดัง
มุมถ่ายรูปแชะแชร์สุดชิค
งานนี้จัดขึ้นเพื่อเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
และยังกระจายรายได้สู่ชุมชน พร้อมยังมีมาตรการป้องกันโควิด-19 ตามมาตรการของสาธาณสุขจังหวัด
ททท.ตั้งเป้าจะมีนักท่องเที่ยวไทย
ร่วมงานคอนเสิร์ต Camping Festival วันที่
27 พฤศจิกายน 2564 นี้ เป็นกลุ่มครอบครัวเข้าร่วม 1,000 คน
ตามที่ได้ขายบัตรชมคอนเสิร์ตจำนวนจำกัดขายราคา 800 บาท/คน
เพื่อจะนำรายได้ส่วนหนึ่งมอบให้มูลนิธิผืนป่าในใจเรา
เพื่อสนันสนุนให้ประเทศไทยมีธรรมชาติป่าไม้ที่สวยงาม
เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคน
ทั้งนี้มีพันธมิตรร่วมจัด
ได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน), น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง, รถจักรยานยนต์ฮอนด้า ,
Big C , Wisdom Valley , AMARIN TV 34HD และ P&M Group
Enterprise เดินหน้าจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ
ข่าวที่ 4 “บางจาก”ผนึกAndrew BiggsลุยCSRติวครูรอบโรงกลั่นสอนออนไลน์
นางกลอยตา
ณ ถลาง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่
สายงานบริหารความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด
(มหาชน) กล่าวว่า บางจากทำจัดหลักสูตรออนไลน์
“New Normal English Techniques & Ideas Workshop for Teachers”
เพื่ออบรมบุคลากรครูในโรงเรียนรอบโรงกลั่นน้ำมันบางจาก เป็นโครงการจับมือกับพันธมิตรหลัก
คือ Mr. Andrew Biggs กรรมการผู้จัดการ Mr. Isaiah Azulai หัวหน้าอาจารย์และหลักสูตร
นางอสพาภรณ์ พิพัฒน์วิใล ผู้จัดการทั่วไป พร้อมคณะครู สถาบัน Andrew Biggs
Academy
จะเริ่มเดินหน้าโครงการอบรมปลายเดือนพฤศจิกายน
2564 เป็นต้นไป
แบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 2 รุ่น
รองรับจำนวนครูผู้สอนที่เข้าร่วมหลักสูตรได้ประมาณ 60 คน
ครอบคลุมทั้งกลุ่มครูผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษและครูผู้สอนวิชาอื่น ๆ
โดยจะเน้นพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนให้สอดรับกับสถานการณ์
เพิ่มความรู้ความเชี่ยวชาญแก่ครู ให้มีเทคนิคการสอนออนไลน์ที่ทันสมัยมีประสิทธิภาพ
ปลูกฝังทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ รองรับรูปแบบการเรียนการสอนทั้งในยุค New
normal และระบบการศึกษาในอนาคตที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตามความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ช่วงที่ 2 ลมหนาวพัดมาชวนออกเที่ยว “เมืองดอกไม้จังหวัดเลย” 2 แหล่งท่องเที่ยว “หุบเขาดอกซากุระหรือทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่งภูลมโล”
สีชมพูกำลังบานสะพรั่งทั้งหุบเขา และ “ลานคริสต์มาสภูเรือ” เริ่มแล้วเทศกาล
“ต้นคริสต์มาส” วันนี้ -31มกราคม 2565 ทางด้านกรมควบคุมโรคแนะ
“กางเต็นท์เที่ยวรับลมหนาว” ในภาคเหนือกับอีสาน เลือกทำเลดี ๆ
กันไรก่อนกัดอาจะเป็นไข้รากสาดใหญ่ได้ และข่าวสุดฮ็อต “Seahorse” อัดโปรโมชั่นแรง เปิดบริการเฟอรี่ข้ามอ่าวไทยสู่อันดามัน
จากท่าเรือจุกเสม็ด สัตหีบ ไปยัง ท่าเรือน้ำลึกสงขลา ห้ามพลาด เที่ยวงาน
“วินเทจคาร์” หัวหิน ชะอำ 17-19 ธันวาคมนี้
พาเที่ยว - หนาวนี้ต้องได้เที่ยวอาณาจักรดอกไม้เมืองหนาว
ภูลมโล-ภูเรือ จ.เลย
ลมหนาวมาแล้ว
คิดถึง “ภูลมโล” ตอนนี้ทุ่งซากุระเมืองไทยหรือหุบเขานางพญาเสือโคร่งอันกว้างใหญ่
บนเขตอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า กำลังเริ่มบานสะพรั่งด้วยสีชมพูขาวทั่วทั้งหุบเขา
ที่ตั้งอยู่บนรอยต่อของ 3 จังหวัด คือ จ.พิษณุโลก จ.เพชรบูรณ์ กับ ต.กกสะทอน
อ.ด่านซ้าย จังหวัดเลย
ตอนนี้
“ภูลมโล” กลับมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวอีกครั้งช่วงต้นหน้าหนาว
โดยเป็นจุดชมดอกนางพญาเสือโคร่งทั่วบริเวณพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ ที่ดอกนางพญาเสือโคร่งมีหลายจุดกระจายระจายให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงดงาม
จำนวนนับพันนับหมื่นต้นเบ่งบานแทรกตัวอยู่ในหุบเขา ป่าไม้ทุ่งหญ้า
ช่วงเวลาที่เหมาะจะขึ้นภูลมโลไปชมดอกนางพญาเสือโคร่งบานแต่ละปีจะอยู่ช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม
และขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปีแต่ละปีด้วย
ก่อนออกเดินทางควรตรวจสอบข้อมูลอีกครั้ง
จะได้ไม่พลาดเจอนางพญาเสือโคร่งแสนสวย ตลอดเส้นทางบนภูลมโล นักท่องเที่ยวจะได้ชมทัศนียภาพของเทือกเขาสูงซ้อนทับกันสวยงาม หากปีนขึ้นตามทางลาดชันราว 1 กม.จะได้ดื่มด่ำกับ “พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า” สวยเกินบรรยาย
นักท่องเที่ยวสามารถสอบถาม
การเดินทางไปชม ทุ่งนางพญาเสือโคร่ง ภูลมโล ได้ที่ ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนกกสะทอน
โทร.06 2557 0912 และการท่องเที่ยวเเห่งประเทศไทย
สำนักงานเลย 042-812-812 ,
042-811-405
ตอนนี้มีเมืองดอกไม้ต้องห้ามพลาดอีกแห่งให้แวะไปคือ
“ลานต้นคริสต์มาสภูเรือ" ที่มี “กังหัน” เป็นแลนด์มาร์คตั้งโดดเด่น
นักท่องเที่ยวนิยมไปเช็คอินถ่ายรูปแชะแชร์ทุกครั้ง ภายในงานได้จัดประดับตกแต่งพื้นที่ด้วยต้นคริสต์มาสและดอกไม้บานสวยเต็มลาน
สีแดงสวยงาม แล้วตอนกลางคืน แสงสีของไฟทำให้สีสัน
หนาวนี้ต้องไปท่องเที่ยวให้ได้ในงาน
"เทศกาลต้นคริสต์มาสภูเรือ" ครั้งที่ 10 อยู่บริเวณด้านหลังที่ว่าการอำเภอภูเรือ ทางขึ้นอุทยานแห่งชาติภูเรือ
ปีนี้เปิดให้เข้าชมวันแรกไปแล้วตั้งแต่ 25 พฤศจิกายน 2564 แล้วสีจะแดงสะพรั่งไปจนถึง 31 มกราคม 2565
โทรสอบถามเจ้าภาพคือ ที่ว่าการอำเภอภูเรือ
ได้ที่ 0 4289 9123
สุขภาพ -กรมควบคุมโรคแนะกางเตนท์เที่ยวระวังไรอ่อนทำให้ป่วยไข้รากสาดใหญ่
นายแพทย์โอภาส
การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แนะนำให้ป้องกันสุขภาพ
ของนักท่องเที่ยวที่นิยมกางเตนท์ ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ กำลังเริ่มเปิดบริการให้ระวัง
“ไรอ่อนกัด” เพราะจะเป็นต้นตอของไข้รากสาดใหญ่ได้
โดยเฉพาะการกางเตนท์ตามแหล่งยอดภูหรือดอยต่าง ๆ แถบในภาคเหนือและอีสาน อากาศเริ่มเย็นลงเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว
คนมักชอบเดินทางไปท่องเที่ยวตามป่าเขาและกางเต็นท์นอนชมหมอก
การกางเตนท์ตามสถานที่เหล่านี้มีความเสี่ยงถูกตัวไรอ่อนที่อาศัยอยู่ในป่ากัดได้
ซึ่งอาจติดเชื้อและป่วยเป็นโรคสครับไทฟัส (Scrub typhus) หรือโรคไข้รากสาดใหญ่ได้
ส่วนใหญ่ตัวไรอ่อนมักจะกัดคนบริเวณ
รักแร้ ขาหนีบ รอบเอว หลักกัดแล้วเชื้อจะฟักตัวประมาณ 10-12 วัน โดยมีอาการ
ปวดศีรษะ มีไข้ หนาวสั่น ไอ ตาแดง คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย
และบริเวณที่ถูกกัดอาจจะมีผื่นแดงขนาดเล็กค่อยๆ นูนหรือใหญ่ขึ้น
และอาจจะพบแผลคล้ายบุหรี่จี้ (Eschar) แต่จะไม่ปวดและไม่คัน ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เอง
แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ
และอาจทำให้เสียชีวิตได้
แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่มีตัวไรอ่อนชุกชุม
อย่างป่าโปร่ง ป่าละเมาะ บริเวณการปลูกป่าใหม่หรือตั้งรกรากใหม่ ทุ่งหญ้า ชายป่า
หรือบริเวณต้นไม้ใหญ่ที่แสงแดดส่องไม่ถึง
หลังออกจากป่าให้อาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย
สระผม และนำเสื้อผ้าที่สวมใส่มาซักให้สะอาดด้วยผงซักฟอกเข้มข้น
เพราะอาจมีตัวไรอ่อนติดมากับร่างกายหรือเสื้อผ้าได้ หากมีอาการไข้และอาการข้างต้น
ควรรีบไปพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบ
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค
โทร.1422
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก ซีฮอร์สเปิดแล้วบริการเรือเฟอรี่จุกเสม็ดสัตหีบ-สงขลาอัดโปรราคาดีเพียบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ เรือ Seahorse Ferries เปิดบริการแล้วเรือเฟอร์รี่เส้นทางจาก
ท่าเรือจุกเสม็ดอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เวลา 17.00 น.สู่ท่าเรือน้ำลึก
สงขลา เวลา 13.00 น โดยมีโปรโมชั่นให้นำรถเก๋ง
5,000 บาทรวมผู้โดยสาร 2 คน ขึ้นเรือได้
บนเรือมีพื้นที่ 2 ชั้น สามารถจอดทั้งจักรยานยนต์
รถยนต์ หรือรถบรรทุกตลอดการเดินทางได้
ขณะนี้มีตั๋วโดยสารเสนอขายนักเดินทาง เป็นแบบที่นั่งมาตรฐาน (standard seat) คนละ 1 ที่นั่ง จดโปรพิเศษ
1,000 บาท/เที่ยว ไป-กลับ จ่ายแค่ 1,900
บาท ประเภท “รถจักยานยนต์” 1.ขนาดไม่เกิน 500 cc ราคา
1,500 บาท/เที่ยว ไป-กลับ 2,500 บาท
2.บิ๊กไบค์ เริ่มต้น 2500 บาท/เที่ยว
ไป-กลับ 4,500 บาทและ“รถยนต์ 4 ล้อ”
เริ่มต้นเที่ยวละ 5,000 บาท คนขับ+ผู้โดยสาร 1 คน ไป-กลับ 9,000 บาท
ภายในเรือมีบริการห้องพัก 2 ประเภท ได้แก่ 1.ห้องพักแบบแคปซูล ราคาเริ่มต้น 900 บาท/คน/ห้อง 2.ห้องพักส่วนตัว เริ่มต้น 2,500 บาท/คน/ห้อง
ข่าวที่สอง
สมาคมรถโบราณจัดงานวินเทจคาร์ดึงคนเที่ยวหัวหิน-ชะอำ17-19ธ.ค.
นายขวัญชัย
ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) และพันธมิตรโรงแรมอวานี พลัส หัวหิน รีสอร์ท หอการค้าจังหวัดเพชรบุรี
เทศบาลเมืองชะอำ เทศบาลเมืองหัวหิน จัดงาน "งานหัวหิน วินเทจคาร์ พาเหรด”
ปีที่ 19 ตามแนวคิด "วันเวลาแห่งความทรงจำ" วันที่ 17 - 19 ธันวาคม 2564 พร้อมกับบันทึกในปฏิทินของ ททท.
เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว 2 จังหวัด ทั้งเพชรบุรี
และประจวบคีรีขันธ์
วันที่
17 ธันวาคม นี้ จะจัดพิธีปล่อยขบวนรถโบราณ "หัวหิน
วินเทจคาร์ พาเหรด ครั้งที่ 19" จุดเริ่มต้นตรงพิพิธภัณฑ์คนรักรถ AUTO
RENDEZVOUS MUSEUM-BANGKOK ถนนประชาอุทิศ สู่ โรงแรมอวานี พลัส
หัวหิน รีสอร์ท ประชาชนทั่วไปสามารถชมรถคลาสสิค และรถโบราณอย่างใกล้ชิดตลอดเส้นทาง
ติดตามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ www.facebook.com/VintageCarClub
เนาวรัตน์
อรุณคง ผู้จัดการทั่วไปโรงแรมอวานี พลัส หัวหิน พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้าชมงานรถโบราณ
และพร้อมให้จองใช้บริการห้องพัก 196 ห้องตั้งอยู่บนทำเลสวยงามริมชายหาด อำเภอชะอำ เพชรบุรี มีโรงแรมออกแบบตกแต่งร่วมสมัย
มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ ทั้งห้องอาหาร สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย สปา ห้องอาหารท
และห้องบอลรูมขนาดใหญ่บรรยากาศสวนริมชายหาดกว่า 1 ไร่
ข่าวที่สาม “บพท.”ผนึก18มหาลัยนำวิจัยล้างยากจนตกค้าง20จังหวัด6.7แสนคน
นายกิตติ สัจจาวัฒนา
ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า บพท.ร่วมกับมหาวิทยาลัย
18 แห่ง เดินหน้าส่งเสริมให้มีนำวิชาความรู้จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านอย่างเป็นระบบ
เพราะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยนำร่องดำเนินโครงการใน
20 จังหวัด
ตามแผนงานวิจัยและนว้ตกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ
โดยใช้ชุดข้อมูลแผนที่ความยากจนประเทศไทย
(Thai Poverty Map-TP Map) ที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
และศูนย์เทคโนโลยีอิเล็คทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) จัดทำร่วมกัน
และชุดข้อมูลความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ.) ของกรมการพัฒนาชุมชน เป็นฐานการทำงาน
จากนั้น บพท.
ได้พัฒนากระบวนการค้นหาสอบทานคนจนที่ตกหล่นจากระบบเพื่อเป็นข้อมูลเชิงลึก (deep data) โดยระบบ PPPconnext
ซึ่งเป็นระบบข้อมูลที่แสดงทั้งปัญหาและทุนศักยภาพในการดำรงชีพคนจน 5
ด้าน ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนสังคม ทุนการเงิน ทุนกายภาพ
ทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ระบบนี้จะสามารถวิเคราะห์และจำแนกกลุ่มเป้าหมายคนจนเป็น
4 ระดับ คือ ระดับอยู่ลำบาก อยู่ยาก พออยู่ได้ และอยู่ได้
ซึ่งเป็นเสมือนการตรวจเอ็กซเรย์เพื่อแก้ปัญหาได้ตรงตามสาเหตุตอบโจทย์สังคมในแต่ละจังหวัด
ผ่านกระบวนการค้นหาดำเนินการโดยมหาวิทยาลัย
18 แห่ง ร่วมกับกลไกภาครัฐ ภาคประชาสังคม และขบวนองค์กรชุมชน ข้อค้นพบที่น่าสนใจ
คือ
1.กลไกการมีส่วนร่วมส่งผลต่อการช่วยเหลือเร่งด่วน ในกลุ่มคนจนที่เป็นคนป่วย
คนชรา คนพิการ เป็นระบบส่งต่อลำดับแรก
2.มีระบบส่งต่อปัญหาสำคัญอื่นๆ เช่น ปัญหาที่อยู่อาศัย
จะเข้าสู่โครงการบ้านพอเพียงของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
ปัญหาการศึกษาส่งต่อสู่กองทุนเสมอภาคทางการศึกษา
ปัญหาสาธารณูปโภคส่งต่อหน่วยงานในพื้นที่ทีรับผิดชอบ และอื่น
3.เดินหน้าทำโครงการพัฒนานวัตกรรมแก้จนในหลากหลายรูปแบบที่สอดคล้องกับบริบทและสภาพปัญหา
เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร การพัฒนาผลตอบแทนบริการระบบนิเวศน์ (pay
for eco system) สำหรับคนจนอนุรักษ์ป่า
การยกระดับระบบสวัสดิการชุมชนให้ขยายบริการครอบคลุมคนจน การพัฒนาระบบน้ำเพื่อการเกษตร
เป็นต้น
ผอ.กิตติ
กล่าวว่า มีอีกเรื่องที่สำคัญคือ
การนำส่งระบบข้อมูลคนจนและโครงการแก้จนเข้าสู่ระบบแผนพัฒนาท้องถิ่น
หรือแผนพัฒนาจังหวัด
เพื่อให้การดำเนินงานแก้ไขปัญหาความยากจนเกิดความต่อเนื่องโดยหน่วยงานรัฐในพื้นที่ด้วย
นายแมน ปุโรธกานนท์
หัวหน้าแผนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ
บพท. กล่าวว่า การเดินสำรวจเคาะประตูบ้านในพื้นที่นำร่องดังกล่าว
สร้างโอกาสการเรียนรู้สภาพปัญหาอย่างชัดเจน และทำให้สามารถค้นพบคนจนที่ตกสำรวจจำนวน
336,239 คน เมื่อสมทบกับตัวเลขคนจนตามชุดข้อมูล จปฐ.และแผนที่ความยากจนประเทศไทย
จะมีจำนวนคนจนรวมกันถึง 676,085 คน
จึงได้จำแนกกลุ่มคนจนในจังหวัดนำร่องออกเป็น
4 ระดับ คือ ระดับที่ 1 สีแดง เป็นกลุ่มคนจนประเภทอยู่ลำบาก ระดับที่ 2 สีส้ม เป็นกลุ่มคนจนประเภทอยู่ยาก ระดับที่
3 สีเหลือง เป็นกลุ่มคนจนประเภทพออยู่ได้ ระดับที่
4 สีเขียว เป็นกลุ่มคนจนประเภทอยู่ได้
ใน20
จังหวัดนำร่อง มีคนจน “มากที่สุด” เป็นระดับสีส้ม
39 % รองลงมาเป็น ระดับสีเหลือง 29 %และระดับสีแดง 26 % ส่วนระดับสีเขียวมีอยู่เพียง 6 %
เมื่อจัดแบ่งประเภทของปัญหาพบว่า
คนจนส่วนใหญ่มีปัญหาขาดแคลนทุนกายภาพ 1.มากที่สุดคือขาดที่ทำกิน 2.รองลงมาคือขาดแคลนทุนมนุษย์
ได้แก่ พื้นฐานการศึกษาที่มีอยู่อย่างจำกัดและพื้นฐานด้านสุขภาพอนามัย 3.ถัดลงไปขาดแคลนทุนธรรมชาติ ได้แก่ การที่ต้องประสบภัยธรรมชาติซ้ำซาก
ทั้งน้ำท่วม ฝนแล้ง หรือพายุ 4.ขาดแคลนทุนทรัพย์ และ
5.อันดับสุดท้ายปัญหาขาดแคลนโอกาสการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ
ดังนั้นการช่วยเหลือจึงต้อง
“ออกแบบให้สอดคล้องกับระดับความเข้มข้นและเหตุปัจจัยของความจน” เช่น
“กลุ่มสีแดง”
เป็นกลุ่มที่ต้องเร่งประสานเชื่อมต่อเข้ากับระบบสวัสดิการของรัฐให้เร็วที่สุด
“กลุ่มสีส้ม”
จะเน้นการพัฒนาทักษะความรู้ในการประกอบอาชีพ
“กลุ่มสีเหลือง” จะเน้นการช่วยแสวงหาที่ ทำกิน
และแหล่งทุน เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น
“กลุ่มสีเขียว”
จะเน้นการสร้างหลักประกันความมั่นคงด้านอาชีพ และทักษะการจัดการทางการเงิน
เพื่อความมั่นคงยั่งยืนในการดำรงชีวิต
บพท.เข้าไปมีบทบาทแก้ไขปัญหาความยากจน
ภายใต้แผนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ ส่งเสริม
20 จังหวัดนำร่อง ประกอบด้วย
“ภาคอีสาน”
รวม 12 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ อำนาจเจริญ
สกลนคร ศรีสะเกษ สุรินทร์ ยโสธร
มุกดาหาร อุบลราชธานี บุรีรัมย์ ร้อยเอ็ด
นครราชสีมา เลย “ภาคใต้”
4 จังหวัด ได้แก่ พัทลุง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส
“ภาคเหนือ” 3จังหวัด
ได้แก่ แม่ฮ่องสอน พิษณุโลก ลำปาง และ
“ภาคกลาง” 1 จังหวัด ที่ ชัยนาท
สำหรับ 18
มหาวิทยาลัยหรือวิทยาลัย ที่ร่วมสานพลัง บพท.แก้ปัญหาคนจนสู้ภัยโควิด ได้แก่
“ภาคอีสาน”
มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ วิทยาลัยชุมชนยโสธร วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร
มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
“ภาคใต้”
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (วิทยาเขตปัตตานี)
มหาวิทยาลัยทักษิณ
(วิทยาเขตพัทลุง)
มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา
มหาวิทยาลัยราชภัฏนราธิวาสราชนครินทร์
“ภาคเหนือและภาคกลาง”
มหาวิทยาลัยนเรศวร
และมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน และสถาบันวิทยาลัยชุมชน(กรุงเทพ)
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น