คิง เพาเวอร์เปิด 3 ภารกิจNext Move“ปรับ-ปิด-เปลี่ยน”
ก.ค.-ก.ย.68ปูทางดันธุรกิจสู่อนาคตใหม่ “มั่นคงยั่งยืน”
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน
#gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT
#เที่ยวกับกู๋
#KingPower
อ่านใน มติชนออนไลน์... : https://www.matichon.co.th/publicize/news_5287586
“คิง เพาเวอร์” เดินหน้าลุย Next Move “ปรับ-ปิด-เปลี่ยน” จัดทัพธุรกิจสู่อนาคตใหม่ ปลาย ก.ค.-ต้น ก.ย.68
เร่งทำ 3 ภารกิจ “Lean :
เพิ่มประสิทธิภาพองค์กร-Shutdown : ปิดดิวตี้ฟรีในเมือง
3 สาขา-Change : เปลี่ยน” รุกขับเคลื่อนกระแสเงินสด
เปิดทางเลือกใหม่ให้พนักงาน ปูทางพลิกโฉมธุรกิจใหม่ในระยะยาว
เติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน
ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษ
ว่า ระหว่าง ปลายกรกฎาคม-กันยายน 2568 กลุ่มบริษัท คิง
เพาเวอร์ ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจร้านค้าดิวตี้ฟรีมายาวนาน 36 ปี
จะเดินหน้าทำ “Next Move :
จัดทัพธุรกิจสู่อนาคตใหม่” ด้วยกลยุทธ์ “ปรับ-ปิด-เปลี่ยน”
ทำลายกำแพง Disruption ซึ่งเกิดจาก “การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและฉับพลัน”
แล้วส่งผลกระทบต่อระบบโครงสร้างธุรกิจปัจจุบัน จึงต้องใช้การบริหารจัดการแต่งตัวใหม่ก้าวสู่
“ความ เป็น ไป ได้” ที่มั่นคงยั่งยืนในอนาคตต่อไป ตั้งแต่ 23 กรกฎาคม 2568
เป็นต้นไป จะเดินหน้าทำ 3 ภารกิจ ประกอบด้วย
ภารกิจที่ 1 “ปรับ”
โครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศและทั่วโลก
ด้วยวิธี “Lean หรือลดภาระสูญเปล่าทั้งสาขาธุรกิจและบุคลากรทุกระดับ” เพื่อเร่งเพิ่มประสิทธิภาพสร้างผลลัพธ์เชิงมูลค่าสูงสุดให้ธุรกิจดิวตี้ฟรีก้าวต่อไปได้
ภารกิจที่ 2 “ปิด-Shutdown” ร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง (duty free downtown) ภายในเดือนกันยายน
2568 นำร่อง 3 สาขา ได้แก่ 1.คิง เพาเวอร์ ศรีรวารี (ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ) 2.มหานคร
อยู่บริเวณชั้น 2-4 ในตึก คิง เพาเวอร์ มหานคร 3.คิง เพาเวอร์ พัทยา เพราะยุคนี้ “พฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย”
กำลังซื้อตลาดหลัก 70 % คือนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเดินทางแบบ “กรุ๊ปทัวร์”
หายไปจากเมืองไทยเกือบหมดแล้ว ทำให้ทั้ง 3 สาขามียอดขายหมุนเวียนน้อยมาก
“ทางออกใหม่” เมื่อปิด 3 สาขา ที่มีพนักงานรวมกันประมาณ 600 คน
เป็นฝ่ายขายหน้าร้าน 90 % ทำงานออฟฟิศ 10 % จะใช้วิธียุบมารวมไว้ยังแหล่งทำรายได้ในกรุงเทพฯ 2 สาขาหลัก
คือ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และ ซิตี้ บูติก ใน One Bangkok โดยเปิดโอกาสให้พนักงานบางส่วนซึ่งไม่พร้อมจะย้ายถิ่นฐานมายังสถานที่ใหม่
เข้าร่วมโครงการ “สมัครใจลาออก -VSP : Voluntary Separation
Program” ด้วยการจ่ายผลตอบแทนอย่างเหมาะสมตามอายุงาน
คิง เพาเวอร์ จะนำโครงการ “สมัครใจลาออก -VSP” มาใช้กับพนักงานทั้งเครือที่มีประมาณ
8,000 คน โดยจ่ายผลตอบแทนตามอายุงานบวกเงินพิเศษ เบื้องต้นแบ่งเป็น 3 กลุ่ม เช่น 1-10 ปี , 11-20 ปี และ 30 ปีขึ้นไป
ภารกิจที่ 3 “เปลี่ยน : Change ”
ทุกจุดสำคัญเพื่อผลักดันธุรกิจก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพได้ ช่วงเร่งด่วน 3 เดือน
ระหว่างกรกฎาคม-กันยายน 2568 จะได้เห็นการ 3 เปลี่ยน ดังนี้
เปลี่ยนที่ 1 เร่งเพิ่ม “งบกระแสเงินสด” (Cashflow) ด้วยการหาเงินทุนจากแหล่งต่าง
ๆ ทั้งภายนอก เช่น เจรจากู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือใช้เงินทุนจากภายในกิจการจากยอดขายสินค้าหมุนเวียน
รักษาสภาพคล่อง เพราะแต่ละนำมาใช้จ่ายค่าจ้างพนักงานราว 200 ล้านบาท
และจ่ายหนี้สิน (Liabilities) ซึ่งเป็นภาระผูกพันกับคู่สัญญา
ส่วนมูลค่าทรัพย์สิน (ASSET) ปัจจุบันครอบคลุมสามารถชำระหนี้ทุกส่วนได้
เพียงแต่ต้องลำดับแรกลงมือบริหารจัดการตามกลไกธุรกิจก่อนให้สำเร็จ
เปลี่ยนที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพคนควบคู่กับ “ลดจำนวนคน” ที่ไม่สามารถไปต่อได้
ภายใต้แนวทาง “สมัครใจลาออก :VSP” เปิดให้ทุกระดับเข้าร่วมโครงการได้ตามผลตอบแทนที่กำหนดไว้ แล้ว “พนักงานบางส่วนที่ตัดสินใจอยู่ต่อ”
ต้องพร้อมเข้าอบรมเพิ่มทักษะ Re-Up Skill
เพื่อทำงานใหม่ตามภารกิจ
แต่เมื่อเข้าโปรแกรมเสริมเพิ่มทักษะใหม่แล้วอยู่ต่อสักระยะทำงานไม่ได้ก็มีสิทธิขอลาออกได้เช่นกัน
เปลี่ยนที่ 3 แปลงโฉมสู่ธุรกิจใหม่ ซึ่งจะเป็นแผนระยะยาว เช่น ร้านค้าดิวตี้ฟรีบางส่วนที่
“ปิดสาขา” ไปแล้ว ยังมีทรัพยากรเหลืออยู่สามารถนำไป “ลงทุนธุรกิจใหม่”
ที่เหมาะสม โดยต้องคำนึงถึงโครงสร้างที่จะสามารถตอบโจทย์ “บริการที่ดี”
ให้ผลตอบแทนอนาคตอย่างมั่นคงแข็งแรงด้วย
ดร.นิตินัย ย้ำว่า ทั้ง 3 ภารกิจ “ปรับ-ปิด-เปลี่ยน ” เป็นการ “ทำคู่ขนาน” เตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ
ระหว่างรอคำตอบจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT/ทอท.” ซึ่งอยู่ในขั้นตอน 60 วัน นับจากวันที่ 16
มิถุนายน 2568 หลังที่ประชุมคณะกรรมการ
(บอร์ด) AOT อนุมัติให้แต่งตั้ง “คณะทำงาน” เพื่อกลั่นกรองแนวทางแก้ปัญหาการดำเนินกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่
ทอท. ดูแล และจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ศึกษาทางเลือกด้านกฎหมาย
เศรษฐศาสตร์ การเงิน และบริหารธุรกิจ สรุปแนวทางที่ชัดเจน คาดจะรู้ผลประมาณต้นเดือนกันยายนนี้
เสร็จพอดีกับช่วงเดียวกับการ “ปรับ-ปิด-เปลี่ยน” เริ่มใหม่ในองค์กรซึ่งตอนนี้ได้ทำไปพร้อมกันด้วย
สำหรับพื้นที่ร้านค้าดิวตี้ฟรี “คิง เพาเวอร์ ในสนามบิน :Duty free Airport” ปัจจุบันเปิดให้บริการใน 5 ท่าอากาศยาน ได้แก่
สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ ยังคงมีศักยภาพสร้างยอดขายจากนักเดินทางต่างชาติและคนไทยขาออกต่างประเทศได้
ส่วนการยื่นพิจารณาปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับสภาพความจริง โดยที่ประชุมคณะกรรมการ
AOTเมื่อ 25 มิถุนายน 2568 มีมติรับทราบมติคณะกรรมการพิจารณารายได้ 23
มิถุนายน 2568 อนุมัติให้ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ที่ขาดสภาพคล่องเข้าร่วมโครงการ “ขยายระยะเวลาชำระเงิน” ของผู้ประกอบการเชิงพาณิชย์และสายการบิน
ณ ท่าอากาศยาน ทอท. รวม 3 สัญญา ได้แก่
1.สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้า ปลอดอากร ณ
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 2.สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร
ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง 3.สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้า
ปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่
โดยให้ “แบ่งและเลื่อนกำหนดชำระ” ค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำออกไปอีกงวดละ
8 เดือน
“เดือนมิถุนายน – ตุลาคม 2568” สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เลื่อนออกไป 6 เดือน ยกเว้นเฉพาะงวดเดือนมิถุนายน 2568
“เดือนกันยายน – ตุลาคม 2568”
สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ท่าอากาศยานดอนเมือง
“เดือนกรกฎาคม – ตุลาคม 2568” สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรสาขาท่าอากาศยานภูมิภาค
ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่
ภายใต้เงื่อนไข KPD ต้อง “ชำระดอกเบี้ย” ร้อยละ 8.8440 ต่อปี (MLR+2) ของค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ค้างชำระแต่ละงวดให้ ทอท.ทุกเดือน
พร้อมกับต้องนำหลักประกันมาวางเพิ่มเติมทั้ง 3 สัญญาเป็นเงิน
1,450 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมยอดค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำหลังได้เลื่อนชำระพร้อมดอกเบี้ย
“กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์” พร้อมจะ “ปรับ-ปิด-เปลี่ยน” นำธุรกิจ “Next Move : ก้าวสู่อนาคตใหม่” เน้นสร้างความมั่นคงและยั่งยืน
ในฐานะธุรกิจของคนไทยที่สร้างชื่อเสียงในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ประเทศในเวทีโลกต่อเนื่องมาตลอด
36 ปี
จึงยังคงมุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งในพลังสร้างเศรษฐกิจไทยต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น