ททท.งัดทุกกลยุทธ์ปั๊มครึ่งปีหลัง68“เอเชีย-แปซิฟิก”สู่แดนบวก
“จีน”สัญญาณดีก.ค.-ธ.ค.อัดงบจัด“ชาเตอร์ไฟลต์-หนีห่าวมันธ์”
ปี’69เพิ่มรายได้กลุ่มไฮเอนด์พักนานวันพร้อมเปย์เที่ยวทั่วไทย
คิงเพาเวอร์Next Move“ปรับ-ปิด-เปลี่ยน” นำธุรกิจ “มั่นคงยั่งยืน”
ช้อปคิงเพาเวอร์ได้ตลอดทั้งวันที่รันเวย์
4 สนามบินลดสุด 30%
“FOODIE PLAYGROUND”อิ่มฟินเปย์เพลินที่คิงเพาเวอร์รางน้ำ
ททท.ลั่น!!ปี’69พลิกโฉมท่องเที่ยวทำรายได้ติด
1 ใน10ของโลก
บางจาก-BSRCเติมสุขสังคมเปิด“สวนเทิดพระเกียรติ72พรรษา”
TCEBแนะธุรกิจแก้เกมภาษีทรัมป์ดัน“ไมซ์ไทย”โตในตลาดโลก
เที่ยวเทศกาลปราการเฟสติวัล26-28ก.ค.ที่ตลาดน้ำเมืองโบราณ
3 ภัยต้องระวัง!! หน้าฝนน้ำท่วมช่วยกันสอดส่องอย่าประมาท
บินไทยการเงินแกร่ง-ปี76ฝูงบินโตจ่อเข้าตลาดฯ ใหม่4ส.ค.68
วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม 2568 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 อ่านในwww.facebook.com/penroongyaisamsen #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #บางจาก #ปราการเฟสติวัล
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้...https://www.facebook.com/share/v/15x4giTB3i/
ช่วงที่
1 สัมภาษณ์ !! นางสาวภัทรอนงค์ ณ
เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย
และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ผ่าตลาดระยะใกล้ “เอเชีย
แปซิฟิก” ครึ่งปีแรก ม.ค.-มิ.ย.68 มาแล้ว 11.1 ล้านคน ติดลบ 12 % ครึ่งปีหลัง “ก.ค.-ธ.ค.68” มีสัญญาณจาก “จีน” มาเพิ่ม 12,000-13,000 คน/วัน
เร่งกระตุ้นด่วน 3 ปัจจัย
“อัดงบทำทัวร์เช่าเหมาลำ-จัดมหกรรมหนีห่าวมันธ์ยาวถึงสิ้นปี-ชู Trusted
Thailandสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่น” ส่งต่อแผนตลาดปี’69 ขานรับ 2 นโยบาย “New 5 Paradigm+Stay Focus” เน้นขายท่องเที่ยว “สมดุลอย่างยั่งยืน” เปิดเส้นทางใหม่ ๆเมืองหลัก+เมืองน่าเที่ยว และ “เน้นเพิ่มทัวร์ใช้เงินสูงมากกว่าจำนวนคน”
ดึงต่างชาติพักนานวันใช้เงินมากขึ้น ด้วยเทคนิคการจัดกิจกรรมเทรนด์เด่น ๆ
นางสาวภัทรอนงค์
ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย
แปซิฟิกใต้ (shorthaul market) เดินทางเข้าเมืองไทยตาม “ปีงบประมาณ”
ช่วง 9 เดือนแรก ระหว่าง
1 ตุลาคม 2567-30 มิถุนายน 2568
มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 17.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 3.89
% มีตลาดเติบโตใน “แดนบวก” จาก “เอเชียใต้” เพิ่มทุกตลาด
ได้แก่ อินเดีย 18 % เนปาล 29 % ภูฎาน 50
% “โอเชเนีย” ออสเตรเลีย 15 % นิวซีแลนด์ 14
% “อาเซียน” ฟิลิปปินส์ 32 % อินโดนีเซีย 1%
สิงคโปร์ 3 % “เอเชียตะวันออก” ญี่ปุ่น 13
%
ตลาดที่อยู่ใน “แดนลบ” จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ได้แก่ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” 16 % จากเหตุการณ์ลักพาตัวนายแบบชิงชิง “เกาหลีใต้” 15 % จากเหตุการณ์เครื่องบินเจจูแอร์ไลน์สตก ทำให้นักท่องเที่ยวเกาหลีไม่มั่นใจในการเดินทางด้วยโลว์คอสต์ลดลงอย่างรวดเร็ว “ฮ่องกง” 13 %
สถานการณ์ท่องเที่ยว “ตามปีปฏิทิน” ครึ่งปี 6 เดือนแรก ระหว่าง 1 มกราคม-มิถุนายน 2568 มีนักท่องเที่ยวเอเชีย แปซิฟิกใต้ เข้าเมืองไทย 11.1 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน 12 % จากภาพรวมทั่วโลกมาไทย 16.6 ล้านคน ลดลง 4.66 % ประกอบด้วย
ตลาดที่อยู่ใน
“แดนบวก” ได้แก่ “เอเชียใต้” 1.38 ล้านคน
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน 14 % “โอเชเนีย”
ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เกือบ 500,000 คน เพิ่ม 11 % เอเชียตะวันออก ญี่ปุ่น เพิ่ม 8%
ตลาดที่อยู่ใน “แดนลบ” ได้แก่ “อาเซียน” รวม 5 ล้านคน ลดลง 6 % “เอเชียตะวันออก” รวม 4.38 ล้านคน ลดลง 24 % โดยมีจีน ลด 35% ฮ่องกง ลด 25 % เกาหลี ลด 17 %
นางสาวภัทรอนงค์ กล่าวว่า แนวโน้ม “ครึ่งปีหลัง” ระหว่างกรกฎาคม-ธันวาคม 2568 ดู “สัญญาณดี” จาก ตลาดแรก “สาธารณรัฐประชาชนจีน” จะทำให้ฟื้นตัวเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นและติดลบน้อยลง ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมนี้มาไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 11,000-13,000 คน จากเดือนก่อนหน้านี้มีเพียงวันละ 7,00-9,000 คน โดยเพิ่มแรงกระตุ้นจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่
ปัจจัยที่ 1 รัฐบาลอนุมัติงบประมาณกลาง 3,800 ล้านบาท เพื่อใช้กระตุ้นการท่องเที่ยว สามารถนำงบบางส่วนทำเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight) นักท่องเที่ยวจีนมาไทยเพิ่มขึ้นได้
ปัจจัยที่ 2 เข้าสู่ปิดเทอมภาคฤดุร้อน และจีนกำลังจะเป็นหยุดยาววันชาติจีนเดือนตุลาคม นี้ ททท.จะจัดกิจกรรม “หนีห่าว มันธ์” ระหว่างตุลาคม-ธันวาคม 2568
ปัจจัยที่ 3 จัดทำโครงการสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย Trusted Thailand โดยรัฐบาล และ ททท.โดยมีกิจกรรม Safe Travel Stamp สร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวจีน ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดจีนกระเตื้องขึ้น แล้วติดลบน้อยลงได้
ตลาดที่สอง “ญี่ปุ่น” กำลังมีวันหยุดต่อเนื่องเดือนสิงหาคม นี้ ททท.สำนักงานในญี่ปุ่น 3 แห่ง โตเกียว โอซาก้า ฟูกูโอกะ เตรียมแพกเกจต่าง ๆ รองรับ กลุ่มครอบครัว กลุ่มเยาวชนมีกิจกรรม Passport Stamp ให้สิทธิพิเศษแจกบัตรฟรีบีทีเอส กับพฤติกรรมคนญี่ปุ่นชอบการ์ตูน มังงะ อานิเมะ แล้วล่าสุดมีโดเรมอนมาเที่ยวเมืองไทยหลายแห่งแล้ว ททท.ได้ทำกิจกรรมเที่ยวตามรอยโดราเอมอน เร็ว ๆ นี้ จะทำกิจกรรมเส้นทางท่องเที่ยวไทยร่วมกับตัวการ์ตูนอื่น ๆ
ตลาดที่สาม “อินเดีย” ททท.จับมือกับบริษัทตัวแทนขายท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA :Online Travel Agents) ตัวแทนตลาด ไมซ์/MICE กลุ่มหลักได้รางวัลการเดินทางฟรี (incentive) กลุ่มเวดดิ้ง แพลนเนอร์ เจาะกลุ่มคู่แต่งงาน (Wedding)
ตลาดที่สี่ “ไต้หวัน” มีเที่ยวบินตรง ไป-กลับ จากไต้หวัน สู่ ภูเก็ต เชียงใหม่ จากนี้ไปจะจับมือกับ OTA และสายการบินมาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวในไทย เร็ว ๆ นี้ก็จะสามารถเพิ่มนักท่องเที่ยวมากขึ้นได้
นางสาวภัทรอนงค์
กล่าวว่า หลังประกาศแผนปฏิบัติการตลาดท่องเที่ยวปี 2569 :TATAP
2026 เรียบร้อยแล้ว การขับเคลื่อนท่องเที่ยว “เอเชีย แปซิฟิกใต้”
ปีงบประมาณ 2569 ได้วางทิศทางตามที่ “นายสรวงศ์ เทียนทอง”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบนโยบายให้
ททท.เดินหน้ากรอบแนวคิดแบบแผนตามกระบวนทัศน์ 5 New Paradigm มองหา “New Segment กลุ่มตลาดเป้าหมาย
New KPI :ตัวชี้วัดใหม่ ๆ และอื่น ๆ ส่วน “นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์” ผู้ว่าการ ททท.ให้นโยบายขับเคลื่อนด้วย “STAY FOCUS” ททท.ตลาดเอเชีย
และแปซิฟิกใต้ได้รับทั้งสองนโยบายมาดำเนินงานกระตุ้นรายได้ปี 2569 โดยจะมุ่งไปสู่ “Road Sustainable Growth : ถนนการท่องเที่ยวเติบโตสู่ความยั่งยืน”
ตามแนวทางการท่องเที่ยวอย่างสมดุล Tourism New Balance
ตลาดระยะใกล้ในเอเชีย แปซิฟิกใต้ จะขับเคลื่อนภายใต้ เป้าหมายที่ 1 การท่องเที่ยวอย่างสมดุลสู่ความยั่งยืน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางซ้ำ ๆ (Re-visit) จะต้องหา “ช่องทางเพิ่มการเดินทางให้เติบโต” มากขึ้น เป้าหมายที่ 2 เน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพเชิงมูลค่ามากกว่าปริมาณคน : Value Over Volumn แต่ในบางช่วงเวลาก็ต้องพึ่งพาจำนวนคนเดินทางเข้ามา เช่น โลว์ซีซั่น นอกฤดูท่องเที่ยว
ส่วน “พฤติกรรม” ของนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้ เอเชีย แปซิฟิกใต้ จะนิยมเลือกท่องเที่ยวในพื้นที่จุดหมายปลายทางใน “จังหวัดท่องเที่ยวหลัก” เช่น ภูเก็ต หาดใหญ่ เชียงใหม่ พัทยา ชลบุรี ปี 2569 ททท.วางแผนส่งเสริม “สร้างสมดุลการท่องเที่ยว” ด้วย 5 กลยุทธ์ ได้แก่
กลยุทธ์ที่ 1 เชื่อมโยงขยายไปสู่เมืองน่าเที่ยว/เมืองรอง เช่น มาภูเก็ตแล้วไปเที่ยวต่อยัง กระบี่ พังงา สตูล หรือมาเชียงใหม่แล้วไปเที่ยวต่อ ลำปาง ลำพูน และอื่น ๆ
กลยุทธ์ที่ 2 รักษาตลาดคุณภาพที่เติบโตต่อเนื่อง เช่น กลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่/Millenails นักเรียน นักศึกษา ได้รู้จักสินค้าใหม่ในเมืองไทย ควบคู่ขยายตลาดที่ใช้จ่ายเงินสูง
กลยุทธ์ที่ 3 บูรณาการนำเสนอขายเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ ๆ เจาะเข้าถึงกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ เพราะปัจจุบันกลุ่มเที่ยวซ้ำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงวัย
กลยุทธ์ที่ 4 หาตลาดในพื้นที่เมืองรองของตลาดระยะใกล้ เช่น จีน ทางปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เดินทางมาจำนวนมากแล้ว ควรจะไปสร้างการรับรู้เมืองอื่น ๆ ด้วยการจัดทัวร์เที่ยวบินเช่าเหมาลำมาไทย
กลยุทธ์ที่ 5 สร้างภาพลักษณ์ใหม่สู่ความยั่งยืน เพราะเป็นสิ่งต้องลงมือทำไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตได้จริง
สำหรับ “การเพิ่มรายได้กระตุ้นนักท่องเที่ยวใช้จ่ายเงินมากขึ้น” จากที่พัก ร้านอาหาร การเดินทาง ช้อปปิ้ง และความบันเทิงอื่น ๆ จะต้องเร่งทำแต่ละส่วน ได้แก่
ส่วนที่ 1 Customize ปรับเปลี่ยนสินค้า บริการ ผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า เช่น กลุ่มมิลเลนเนียล กลุ่มครอบครัว หรือกลุ่มท่องเที่ยวเฉพาะหรือ Niche มีความชอบสินค้าท่องเที่ยวแตกต่างกัน พร้อมกับใช้เทคนิคเลือกจัดกิจกรรมให้เหมาะสมสภาพอากาศหันมาจัดท่องเที่ยวกลางคืนมากขึ้น เช่น งานชมแสง สี เสียง ชมการแสดงประติมากรรมประดับไฟสวยงาม หรืองานคอนเสิร์ตต่าง ๆ
ส่วนที่
2 การเพิ่มวันพำนักอยู่ในเมืองไทย (Range
of Stay ) ขณะนี้ตลาดระยะใกล้มีวันพักเฉลี่ยนในเมืองไทย 4-5 วัน/ทริป มากสุดคือออสเตรเลีย 13-14 วัน/ทริป จะช่วยทำให้การใช้จ่ายต่อวันเพิ่มตามไปด้วย
ททท.ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกันดูแลภาพลักษณ์ความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว พักค้างคืนนานวัน ใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้น ด้วยการสร้างสมดุลด้วยการกระจายนักท่องเที่ยวเฉลี่ยแต่ละช่วงฤดู แต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด ทำให้คนในพื้นที่ นักท่องเที่ยว ไม่ให้แออัดมากเกินไป เพื่อสร้างความสุขกับทุกภาคส่วนด้วย
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1-คิง
เพาเวอร์Next Move“ปรับ-ปิด-เปลี่ยน”ธุรกิจสู่“มั่นคงยั่งยืน”
ดร.นิตินัย
ศิริสมรรถการ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง เพาเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษ
ว่า ระหว่าง ปลายกรกฎาคม-กันยายน 2568
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์
ซึ่งเป็นผู้นำธุรกิจร้านค้าดิวตี้ฟรีมายาวนาน 36 ปี
จะเดินหน้าทำ “Next Move :
จัดทัพธุรกิจสู่อนาคตใหม่” ด้วยกลยุทธ์ “ปรับ-ปิด-เปลี่ยน”
ทำลายกำแพง Disruption ซึ่งเกิดจาก “การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและฉับพลัน”
แล้วส่งผลกระทบต่อระบบโครงสร้างธุรกิจปัจจุบัน
จึงต้องใช้การบริหารจัดการแต่งตัวใหม่ก้าวสู่ “ความ เป็น ไป ได้”
ที่มั่นคงยั่งยืนในอนาคตต่อไป ตั้งแต่ 23 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป จะเดินหน้าทำ 3 ภารกิจ ประกอบด้วย
ภารกิจที่ 1 “ปรับ”
โครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศและทั่วโลก
ด้วยวิธี “Lean หรือลดภาระสูญเปล่าทั้งสาขาธุรกิจและบุคลากรทุกระดับ”
เพื่อเร่งเพิ่มประสิทธิภาพสร้างผลลัพธ์เชิงมูลค่าสูงสุดให้ธุรกิจดิวตี้ฟรีก้าวต่อไปได้
ภารกิจที่ 2 “ปิด-Shutdown” ร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง (duty free
downtown) ภายในเดือนกันยายน 2568 นำร่อง 3
สาขา ได้แก่ 1.คิง เพาเวอร์ ศรีรวารี
(ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ) 2.มหานคร อยู่บริเวณชั้น 2-4 ในตึก คิง เพาเวอร์ มหานคร 3.คิง เพาเวอร์ พัทยา
เพราะยุคนี้ “พฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย” กำลังซื้อตลาดหลัก 70
% คือนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มเดินทางแบบ “กรุ๊ปทัวร์”
หายไปจากเมืองไทยเกือบหมดแล้ว ทำให้ทั้ง 3 สาขามียอดขายหมุนเวียนน้อยมาก
“ทางออกใหม่” เมื่อปิด 3 สาขา ที่มีพนักงานรวมกันประมาณ 600 คน เป็นฝ่ายขายหน้าร้าน 90 % ทำงานออฟฟิศ 10 % จะใช้วิธียุบมารวมไว้ยังแหล่งทำรายได้ในกรุงเทพฯ 2 สาขาหลัก คือ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และ ซิตี้ บูติก ใน One Bangkok โดยเปิดโอกาสให้พนักงานบางส่วนซึ่งไม่พร้อมจะย้ายถิ่นฐานมายังสถานที่ใหม่ เข้าร่วมโครงการ “สมัครใจลาออก -VSP : Voluntary Separation Program” ด้วยการจ่ายผลตอบแทนอย่างเหมาะสมตามอายุงาน
คิง เพาเวอร์ จะนำโครงการ “สมัครใจลาออก
-VSP” มาใช้กับพนักงานทั้งเครือที่มีประมาณ 8,000 คน โดยจ่ายผลตอบแทนตามอายุงานบวกเงินพิเศษ
เบื้องต้นแบ่งเป็น 3 กลุ่ม เช่น 1-10 ปี , 11-20
ปี และ 30 ปีขึ้นไป
ภารกิจที่ 3 “เปลี่ยน : Change ” ทุกจุดสำคัญเพื่อผลักดันธุรกิจก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพได้
ช่วงเร่งด่วน 3 เดือน
ระหว่างกรกฎาคม-กันยายน 2568 จะได้เห็นการ 3 เปลี่ยน ดังนี้
เปลี่ยนที่ 1 เร่งเพิ่ม “งบกระแสเงินสด” (Cashflow) ด้วยการหาเงินทุนจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งภายนอก เช่น เจรจากู้ยืมจากสถาบันการเงิน หรือใช้เงินทุนจากภายในกิจการจากยอดขายสินค้าหมุนเวียน รักษาสภาพคล่อง เพราะแต่ละนำมาใช้จ่ายค่าจ้างพนักงานราว 200 ล้านบาท และจ่ายหนี้สิน (Liabilities) ซึ่งเป็นภาระผูกพันกับคู่สัญญา ส่วนมูลค่าทรัพย์สิน (ASSET) ปัจจุบันครอบคลุมสามารถชำระหนี้ทุกส่วนได้ เพียงแต่ต้องลำดับแรกลงมือบริหารจัดการตามกลไกธุรกิจก่อนให้สำเร็จ
เปลี่ยนที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพคนควบคู่กับ “ลดจำนวนคน” ที่ไม่สามารถไปต่อได้ ภายใต้แนวทาง “สมัครใจลาออก :VSP” เปิดให้ทุกระดับเข้าร่วมโครงการได้ตามผลตอบแทนที่กำหนดไว้ แล้ว “พนักงานบางส่วนที่ตัดสินใจอยู่ต่อ” ต้องพร้อมเข้าอบรมเพิ่มทักษะ Re-Up Skill เพื่อทำงานใหม่ตามภารกิจ แต่เมื่อเข้าโปรแกรมเสริมเพิ่มทักษะใหม่แล้วอยู่ต่อสักระยะทำงานไม่ได้ก็มีสิทธิขอลาออกได้เช่นกัน
เปลี่ยนที่ 3 แปลงโฉมสู่ธุรกิจใหม่ ซึ่งจะเป็นแผนระยะยาว เช่น ร้านค้าดิวตี้ฟรีบางส่วนที่ “ปิดสาขา” ไปแล้ว ยังมีทรัพยากรเหลืออยู่สามารถนำไป “ลงทุนธุรกิจใหม่” ที่เหมาะสม โดยต้องคำนึงถึงโครงสร้างที่จะสามารถตอบโจทย์ “บริการที่ดี” ให้ผลตอบแทนอนาคตอย่างมั่นคงแข็งแรงด้วย
ดร.นิตินัย ย้ำว่า ทั้ง 3 ภารกิจ “ปรับ-ปิด-เปลี่ยน ” เป็นการ “ทำคู่ขนาน” เตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกรูปแบบ ระหว่างรอคำตอบจาก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT/ทอท.” ซึ่งอยู่ในขั้นตอน 60 วัน นับจากวันที่ 16 มิถุนายน 2568 หลังที่ประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) AOT อนุมัติให้แต่งตั้ง “คณะทำงาน” เพื่อกลั่นกรองแนวทางแก้ปัญหาการดำเนินกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่ ทอท. ดูแล และจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ ศึกษาทางเลือกด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ การเงิน และบริหารธุรกิจ สรุปแนวทางที่ชัดเจน คาดจะรู้ผลประมาณต้นเดือนกันยายนนี้ เสร็จพอดีกับช่วงเดียวกับการ “ปรับ-ปิด-เปลี่ยน” เริ่มใหม่ในองค์กรซึ่งตอนนี้ได้ทำไปพร้อมกันด้วย
ข่าวที่ 2 -คิงเพาเวอร์ช้อปมันส์ทั้งวันที่รันเวย์4สนามบินลดสุด 30%
คิง เพาเวอร์ เปิดช้อปมันส์ได้ทั้งวันที่รันเวย์ ต้อนรับทั้ง สายบิวตี้ สกินแคร์ หรือแว่นกันแดดก็ช้อปคุ้ม ลดสูงสุด 30 % โดยไม่มีต้องมียอดซื้อขั้นต่ำ ได้ที่ 4 สนามบิน วันนี้ -31 กรกฎาคม 2568
พิเศษ !! สมาชิก POWER PASS ลดเพิ่มอีก 5% สำหรับสินค้าราคาปกติ เฉพาะสินค้าแผนกน้ำหอมและเครื่องสำอางที่ร่วมรายการ
ช้อปได้ที่ คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ต
ยังไม่เป็นสมาชิก ? POWER PASS สมัครฟรี! โดยสมาชิกไม่มีวันหมดอายุ
ข่าวที่ 3-“FOODIE PLAYGROUND”อิ่มฟินเปย์เพลินที่คิงเพาเวอร์รางน้ำ
คิง เพาเวอร์ จัดต่อเนื่อง “FOODIE
PLAYGROUND กิน เพลย์ เปย์เพลิน” วันนี้- 28 กันยายน
2568 ที่บริเวณ คราวน์ เอเทรียม คิง เพาเวอร์ รางน้ำ
“อิ่มฟิน”...กับร้านดังและฟู้ดทรัค กับเมนูอร่อย ๆ
อย่าง เจปังไอติมย่างเนย, CODESOM, ซูโม่ขนมโตเกียว, ษีสยาม,
หมูหยองเส้นทอง, โคตรเด้ง และอีกหลากหลายร้าน
“พร้อมเปย์เพลิน”...
เลือกรับสิทธิ์ได้ทันที เมื่อช้อปที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำครบตามเงื่อนไข
• เลือกรับฟรี! คูปองอาหารเมนูพิเศษ เมื่อเป็นสมาชิก POWER PASS และช้อปครบ 8,000 บาท/ใบเสร็จ
หรือสมัครสมาชิกใหม่และช้อปครบ 5,000 บาท/ใบเสร็จ
ภายในวันที่สมัครรับทันทีคนละ 1 สิทธิ์/วัน รวม 60 สิทธิ์/วัน)
• เลือกแลกซื้อไอศกรีม Soft-serve ราคาพิเศษ 5 บาทเท่านั้น เพียงแสดงใบเสร็จ ไม่มีขั้นต่ำแลกรับสิทธิ์ได้ที่ Thai
Taste Hub ชั้น 3 ได้คนละ 1 สิทธิ์/วัน วันละรวมทั้งหมด 200 สิทธิ์
ข่าวที่ 4-ททท.ลั่น!!ปี’69พลิกโฉมท่องเที่ยวทำรายได้ติด 1ใน 10 ของโลก
ททท.ลั่นนำ TATAP 2026 แผนปฏิบัติการตลาดปี’69 พลิกโฉมท่องเที่ยวสู่
“The New Thailand” หวังทำรายได้ติด 1 ใน 10 ของโลก ปรับสมดุลสัดส่วนใหม่ ต่างประเทศ 58
% เที่ยวไทย 42 % ใส่เกียร์เร่ง
“ตลาดต่างประเทศ” 2 มิติ “เจาะกลุ่มตลาด-เชิงพื้นที่” ด้าน
“ตลาดในประเทศ” ชู 2 กลยุทธ์
“ทำตลาดเชิงพื้นที่-เพิ่มความถี่” ส่วน “สินค้าไฮไลต์” ปั้น 3 คอนเซ็ปต์ “Creative-Connectivity-Standard พร้อมขายทุกอย่าง
@รัฐบาลใส่งบกลาง4.518ล้านผ่าน22โปรเจกต์ 5 New Paradigm
นายสรวงศ์ เทียนทอง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขึ้นเวทีงานแถลง TATAP 2026 :แผนปฏิบัติการท่องเที่ยวปี
2569 โดยนำเสนอภาพรวมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยปี
2568 กำลังเผชิญความท้าทายหลายด้น
แต่ตั้งแต่ต้นปีไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 18.08 ล้านคน
สร้างรายได้กว่า 1.40 ล้านล้านบาท (จากเป้าหมายรวมตลอดทั้งปี 2.85 ล้านล้านบาท) ล่าสุดรัฐบาลได้อนุมัติงบกลางกระตุ้นท่องเที่ยวกว่า 4,518
ล้านบาท ผ่าน 22 โครงการหลัก เดินหน้าผลักดันแนวคิด 5 New
Paradigm ได้แก่ New Customer, New Product, New
Partnerships, New Marketing Strategy และ New Key
Performance Indicator
มุ่งเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวทุกมิติ คือ 1.ความเชื่อมั่นได้ยกระดับความปลอดภัย 2.การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว
3.พัฒนาแหล่งเที่ยวเมืองน่าเที่ยว (Hidden Gems) สู่มาตรฐานสากล ผ่านเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก UNESCO ยกระดับท่องเที่ยวไทยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 4.ร่วมมือกับ
GSTC พัฒนาการท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืน
เปิดประตูสู่อีเวนต์ท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism Events) ควบคู่การเผยแพร่เสน่ห์ไทย วัฒนธรรมไทยสู่สายตาชาวโลก
รุกท่องเที่ยวคุณภาพ เพิ่มรายได้ กระจายสู่เมืองน่าเที่ยว สร้างโอกาสอย่างทั่วถึง
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งแง่ของจำนวนและรายได้ ปูพรมการท่องเที่ยวปี 2569
@ททท.พลิกโฉมปี69สู่ The New Thailand ดันรายได้ติด1ใน10โลก
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่าปี 2569 จะเป็นจุดเริ่มต้นเปลี่ยนกระบวนทัศน์การท่องเที่ยวไทย
“The New Thailand” ซึ่งมุ่งยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเชิงคุณค่าอย่างแท้จริง
(Value is the New Volume) ผ่านแนวคิดหลัก “Stay
Focus” เน้น 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยว สู่
“การท่องเที่ยวคุณภาพ” 2.ปรับสมดุลด้วย
“การกระจายโอกาสสู่ท้องถิ่น” 3.สร้างแรงดึงดูดใหม่ด้วยการออกแบบประสบการณ์ที่ตรงใจนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม
4.จับมือทุกภาคส่วนมุ่งหน้าสู่ความยั่งยืน
พร้อมกับการเร่งสร้างความเชื่อมั่นประเทศไทย เผยแพร่ ซอฟท์ พาเวอร์ และจัดการสมดุลส่วนแบ่งตลาด ได้แก่ ตลาดต่างประเทศ 58
% และตลาดในประเทศ 42 %
โดยมีหัวใจสำเร็จอยู่ที่ “คุณค่าและประสบการณ์”
ที่นักท่องเที่ยวได้รับ กับ “ความพึงพอใจ” ของทุกภาคส่วน
เพื่อสร้างความสมดุลตัวชี้วัดทาง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ไทยติดท็อปเท็น
“มีรายได้ท่องเที่ยวมากสุดเป็น 1 ใน 10 ประเทศของโลก”
ด้านที่ 1 การขับเคลื่อนตลาด ต่างประเทศ และในประเทศ
ตอบโจทย์การนำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างรายได้มากที่สุด ดังนี้
“ตลาดต่างประเทศ” ททท. มุ่งทำการตลาดเชิงรุก 2 มิติหลัก
ได้แก่
• มิติกลุ่มตลาด (Market
Segment) ที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ คนรุ่นใหม่/millenial เจน Z หรูหรา/Luxury
และท่องเที่ยวสุขภาพ/Health & Wellness
• มิติกลุ่มพื้นที่ (Market Areas) แบ่งเป็น 3 กลุ่ม เพื่อตอบโจทย์เชิงรายได้อย่างชัดเจน ได้แก่
กลุ่มที่
1 Priority ตลาดหลัก เช่น จีน ฮ่องกง
จะสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย
ควบคู่ขยายสู่เมืองท่องเที่ยวใหม่ใน “ตลาดระยะใกล้” ได้แก่ มาเลเซีย เกาหลีใต้ สิงคโปร์
สร้างสิ่งใหม่ทั้งภาพจำเซกเมนท์ตลาด กับ “กระตุ้นฐานตลาดเดิม”
จากกลุ่มตลาดระยะใกล้ที่เติบโตดี ได้แก่ อินเดีย ญี่ปุ่น
เน้นเจาะกลุ่มนักเดินทางคุณภาพ และกลุ่มตลาดระยะไกลที่เติบโตดี ได้แก่ รัสเซีย
อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส เยอรมนี
มุ่งเจาะกลุ่มมูลค่าสูง สร้างตลาดหลักล้านคนกลุ่มใหม่ (New Million Market)
กลุ่มที่ 2 กลุ่มตลาดขนาดกลาง-เล็ก ได้แก่ ตลาดระยะใกล้ เช่น ไต้หวัน เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
กระตุ้นและขยายตลาดใหม่ทั้งเชิงเซ็กเมนท์และพื้นที่ ตลาดระยะไกล เช่น ออสเตรเลีย
สแกนดิเนเวีย อิตาลี สเปน เร่งสร้างภาพไทยในฐานะ “จุดหมายปลายทางสีเขียว” และสวรรค์พำนักระยะยาว
กลุ่มที่
3 ตลาดมูลค่าสูง จากตะวันออกกลาง นำเสนอการพักผ่อนแบบพรีเมี่ยม
และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเวลนส
โดยจะรักษาฐานอิสราเอล เดินหน้าทำ Airline Focus เพิ่มที่นั่งและความถี่เที่ยวบินมาไทย
“ตลาดในประเทศ”
ไทยเที่ยวไทยหัวใจสำคัญช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานราก นำพาสู่การท่องเที่ยวยั่งยืน ททท. จะรุกทำ 2 กลยุทธ์
ดังนี้
• กลยุทธ์ที่ 1 การตลาดเชิงพื้นที่ (Area-Based Marketing) ผสมผสานการออกแบบสินค้าและบริการเชิงประสบการณ์
ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายศักยภาพ คนรุ่นใหม่/Millennials
ไฮเอนด์/อัลตร้าเวลท์ และ มัลติ เจนเนเรชี่นแฟมิลี่
โดยนำเสนอกิจกรรมระสบการณ์พิเศษในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก
• กลยุทธ์ที่ 2 กระตุ้นความถี่การเดินทางตลอดทั้งปี
ในกลุ่มจังหวัดเมืองหลัก-น่าเที่ยว ด้วยการเจาะตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเวลเนส
ส่งเสริมให้เกิด “การท่องเที่ยวข้ามภาค”
ด้วยสินค้าบริการเสนอเสน่ห์ไทยและเพิ่มอีเวนต์การตลาด พร้อมส่งเสริม
“เมืองน่าเที่ยว” ด้วยสินค้าและบริการตามอัตลักษณ์พื้นที่ โดยมีไฮไลต์ตามภูมิภาค
ได้แก่
“ภาคกลาง”
ชวนสัมผัสเสน่ห์ดินแดนลุ่มแม่น้ำ กับคอนเซปต์ “เที่ยวกลาง เที่ยวใกล้
เที่ยวได้เลย”
“ภาคตะวันออก”
สนุกกับ “สีสันตะวันออก” ด้วยกีฬา กิจกรรมกลางแจ้ง อิ่มอร่อยกับผลไม้ อาหารถิ่น
“ภาคเหนือ”
นำเสนอ “Season
of North สุขทันที...ฤดูนี้ ฤดูเหนือ” ชูเสน่ห์อัตลักษณ์ภาคเหนือ
ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาสัมผัสวัฒนธรรมและเรื่องราววิถีชุมชน
“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”
ชวนตกหลุมรัก “ISAN
Muaniverse สุขไม่ซ้ำกับประเพณีสีอีสาน”
“ภาคใต้”
สุดมันส์กับคอนเซ็ปต์ “Go
South สัมผัสเสน่ห์ใต้ หลากหลายวัฒนธรรม”
ไปสัมผัสเสน่ห์แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ
ควบคู่กิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ
“ททท. จะร่วมพันธมิตร” กระทรวงวัฒนธรรม
และองค์การบริหารพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.)
ส่งเสริมเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย เพชรบุรี และสุพรรณบุรี
ต่อยอดความสำเร็จ “Grand Moment” ผ่านแนวคิดหลัก 3 โมเมนต์
เชื่อมโยง อารมณ์ ความทรงจำ ความมหัศจรรย์ของการเดินทาง ให้ทุกทริป...กลายเป็น
“ช่วงเวลาแห่งความรู้สึก” ที่ไม่อาจลืม
ข่าวที่ 5-บางจาก-BSRCเติมสุขสังคมเปิด“สวนเทิดพระเกียรติ72พรรษา”
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก
คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัทบางจาก โดย บริษัท บางจาก
คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) “BSRC” จัดพิธีเปิด “สวนเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา บางจากฯ เติมสุข สู่สังคม” โดยส่งมอบพื้นที่เพื่อสาธารณะประโยชน์ที่ได้รับการพัฒนาบนพื้นที่ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย
(กทพ.)ให้กรุงเทพมหานคร มอบให้สำนักงานเขตคลองเตยดูแล
สวนแห่งนี้พัฒนาขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคล
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 72 พรรษา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 สอดคล้องกับแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ทรงตระหนักถึงข้อจำกัดของพื้นที่สาธารณะในเขตเมือง
และทรงมีพระราชประสงค์ให้นำพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาพัฒนาเป็นพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับชุมชน
โดยได้ทรงริเริ่มโครงการ “ลานกีฬาพัฒน์” เป็นต้นแบบ เมื่อปี 2556 นำร่องบริเวณคลองจั่น ปี 2558 ขยายผลสู่พื้นที่ใต้ทางพิเศษศรีรัชต์ บริเวณอุรุพงษ์
กลุ่มบริษัทบางจาก
น้อมนำแนวพระราชดำริดังกล่าว ร่วมปรับปรุงพื้นที่บริเวณ “ริมทางพิเศษเฉลิมมหานคร
เลียบทางลงทางด่วน” ถนนสุขุมวิท 50 พื้นที่รวมกว่า 5 ไร่ เป็นของการทางพิเศษฯ ได้อนุญาตให้สำนักงานเขตคลองเตย
ปรับปรุงเป็นสาธารณะประโยชน์ ทางบางจากฯ กับ BSRC ร่วมสนับสนุนการออกแบบ
ก่อสร้างและพัฒนาเป็น “สวนสาธารณะเพื่อทุกคน : Park for All” ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนเมือง ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม การสร้างปฏิสัมพันธ์ในชุมชน
สอดคล้องกับนโยบาย “สวน 15 นาที”
ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มุ่งให้ประชาชนเข้าถึงพื้นที่สีเขียวจากที่พักอาศัยได้ภายในระยะเดิน 15 นาที
“พื้นที่ภายในสวน”
ออกแบบให้ใช้ประโยชน์ การออกกำลังกาย กีฬา กิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ ได้แก่
สนามฟุตซอล สนามบาสเก็ตบอล ลานสเก็ตบอร์ด หน้าผาจำลอง ทางเดินและลู่วิ่ง
สนามเด็กเล่น ลานเอนกประสงค์ พื้นที่จัดกิจกรรมขนาดย่อม หรือ Mini
Amphitheater ทางเดินลอยฟ้า Ecological
Skywalk ล้อมรอบด้วยบรรยากาศร่มรื่นจากต้นไม้นานาพรรณ ด้วยการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่เดิมและปลูกเพิ่มเติม
เช่น ต้นรวงผึ้ง พรรณไม้ประจำพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้นโพธิ์ ต้นไทร
ต้นเหลืองปรีดิยาธร และอื่น ๆ
ซึ่งให้ประโยชน์มากว่าร่มเงา นั่นคือช่วย
“ดูดซับ” ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และฝุ่น PM 2.5 รวมทั้งได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์
ผลิตไฟนำมาใช้ในพื้นที่บางส่วนร่วมสนับสนุนกรุงเทพมหานครก้าวสู่ “เมืองคาร์บอนต่ำ “มุ่งสู่เป้าหมายอนาคตการลดคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero)
นายชัยวัฒน์กล่าวว่า บางจากทำสวนแห่งนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ
“เติมสุข สู่สังคม” ส่งต่อความสุขไม่สิ้นสุด ในโอกาสบางจากดำเนินธุรกิจก้าวสู่ทศวรรษที่ 5 จึงขอขอบคุณการทางพิเศษแห่งประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร ที่ให้บางจากกับ BSRC ได้ร่วมพัฒนาพื้นที่ผืนนี้เพื่อสาธารณะประโยชน์ รวมทั้งสำนักงานเขตคลองเตย
หลังจากเปิดแล้วได้ร่วมมือจัดทำและการดูแลสวนแห่งนี้ และทุกภาคส่วนที่สร้างสรรค์สวนแห่งนี้จนสำเร็จ
จึงหวังว่า “สวนเทิดพระเกียรติ 72 พรรษา บางจากฯ
เติมสุข สู่สังคม” จะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างความร่วมมือที่ดีระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน
และภาคประชาชน ในการสร้างสรรค์สังคมที่น่าอยู่และยั่งยืนต่อไป
ข่าวที่ 6-TCEBแนะธุรกิจแก้เกมภาษีทรัมป์ดัน“ไมซ์ไทย”โตในตลาดโลก
TCEB ผ่าภาษีทรัมป์กับทางออก
“อุตสาหกรรมไมซ์ไทย” 2 กรณี ผลเจรจา “เป็นบวก” 3 สินค้าฉลุย
“เที่ยวเชิงการแพทย์-เศรษฐกิจสร้างสรรค์-เกษตรเทคโนโลยีสีเขียว” ถ้า “เป็นลบ”
พร้อมช่วยธุรกิจแก้เกมด้วย 5 กลยุทธ์
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” ถอดรหัส 2 แนวทางสำคัญโดย MICE
Intelligence Center นำเสนอ “ความท้าทายและโอกาสใหม่ไมซ์ไทย” ในเวทีโลก
จากตัวแปรผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์ กับอุตสาหกรรมการส่งออกสินค้าไทยจะสร้างแรงสั่นสะเทือนถึง
“ไมซ์” ผ่าน 2 กรณี ประกอบด้วย
กรณีที่
1 ผลเจรจา “เป็นบวก” ไทยเจรจากับสหรัฐอเมริกาเก็บภาษีต่ำกว่า
36% ก็จะลดแรงกดดันผู้ประกอบการส่งออกเรื่องต้นทุนและไทยยังคงต้องช่วงชิง
“โอกาสเชิงกลยุทธ์” และ “ฉวยโอกาส” ที่สหรัฐให้ความสำคัญ เช่น
• ตลาดท่องเที่ยวเชิงแพทย์และสุขภาพของไทย ปี 2567 มีมูลค่า
31,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุด Global Market
insights คาดปี 2577 มูลค่าจะสูงถึง 110,100
ล้านดอลลสหรัฐ โดยเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ (CAGR) ประมาณ 13%
• เศรษฐกิจสร้างสรรค์ : ไทยมีสัดส่วนตลาดประมาณ 8–10% ของจีดีพี
ช่วงปี 2566-2568 มีรายได้จากซอฟท์ พาวเวอร์ และการส่งออกครีเอทีฟรวมกว่า
3.3 แสนล้านบาท โดยรัฐสนับสนุนผ่านนโยบายทรัพย์สินทางปัญญา (IP) เมืองสร้างสรรค์ และงานอีเวนต์หลากหลาย การลดภาษีสินค้าพลังงาน
อุปกรณ์เทคโนโลยี และเครื่องมือขั้นสูงจากสหรัฐฯ
ช่วยให้ผู้จัดงานเข้าถึงทรัพยากรคุณภาพสูงในราคาแข่งขันได้มากขึ้น
• การเกษตรและเทคโนโลยีสีเขียว : การส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ตลาดสีเขียวไทย
มีมูลค่า 5,000 ล้านบาท/ปี ส่งออกไปยังสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น
สหรัฐอเมริกา แล้วยังขยายการลงทุนผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว เช่น
การใช้เศษขวดรีไซเคิลในอุตสาหกรรมฉนวนกันความร้อน ตลาดพลังงานสีเขียวในเอเชีย แปซิฟิก
มีมูลค่า 4,150 ล้านดอลลาร์ปี 2577 คาดจะขยายตัวเป็น
9,708 ล้านดอลลาร์ ไทยจึงได้เริ่มลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า
(EV) ขยายโอกาสในตลาดโลกควบคู่ไปกับการปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างยั่งยืน
หากไทยเดินหน้าข้อตกลงทางภาษีอย่างมีทิศทาง
โดยใช้ข้อมูลเศรษฐกิจเป็นฐานเจรจา “อุตสาหกรรมไมซ์” ก็จะเป็นจังหวะในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ
(Cross-border Collaboration) ผ่านโร้ดแมฟช่วยผู้ประกอบการไมซ์ปรับตัวได้ด้วยการวางแผนใช้
ข้อมูลและสถิติของอุตสาหกรรมเป้าหมาย กับใช้บิ๊กดาต้าวิเคราะห์ “ความต้องการจัดงานไมซ์”
แยกตามกลุ่มอุตสาหกรรมได้ชัดเจน เช่น ฟู้ดเทค กรีนเทค หรือ นวัตกรรมไบโอชีวภาพ(BioInnovation)
กรณีที่
2 : ผลเจรจา “เป็นลบ” สหรัฐเก็บภาษีไทย
36%) ผลกระทบจะลามเป็นลูกโซ่ตลอดทั้งระบบเศรษฐกิจ
ตัวอย่าง การส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
จะถูกลดความสามารถในการแข่งขันในหมวดที่ผู้ซื้อสหรัฐฯ มีตัวเลือกจากหลายประเทศ
คาดความเสียหายรวมในอุตสาหกรรมอาจสูงถึง 497,000 ล้านบาท
และตลาดแรงงานจะเสียหายรุนแรง ภายในปี 2571 คนจะตกงานเกินกว่า
1 ล้านตำแหน่ง ส่วนใหญ่กระจุกอยู่ในภาคการผลิต กระทบกับ “การบริโภคภายในประเทศ”
หดตัว และส่งผลต่อ “ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ” โดยรวมด้วย
ทีเส็บพร้อมจะช่วยผู้ประกอบการปรับตัว
ครอบคลุมทั้งการประเมินความเสี่ยง สร้างเครือข่ายพันธมิตร และนวัตกรรม ด้วย “5
กลยุทธ์ปรับเกมไมซ์ไทย ฝ่าวิกฤต สู่โอกาสใหม่” ดังนี้
กลยุทธ์ที่
1 SCAN & STRATEGIZE ต้อง “รู้เขารู้เรา”
วิเคราะห์ลูกค้าหลักและอุตสาหกรรมเป้าหมาย
โดยเฉพาะกลุ่มผู้ส่งออกอาจปรับลดงบประมาณจัดงาน จึงต้องปรับกลยุทธ์ไมซ์ใหม่จากปกติเคยขายแบบ
One-size-fits-all สู่ “แพ็กเกจที่ยืดหยุ่น + วัดผลได้”
และเกาะติดนโยบายการค้าโลกอย่างใกล้ชิดเพื่อวางแผนเชิงรุก
“เปลี่ยนจากการนำเสนอสิ่งที่เรามี สู่การนำเสนอสิ่งที่นักเดินทางไมซ์พร้อมจ่าย
กลยุทธ์ที่
2 EXPAND & DIVERSIFY เมื่อตลาดผันผวน
ไทยสามารถทำตลาดแบบไร้รอยต่อ หันมาบุกตลาดดาวรุ่งอย่างจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง
และแอฟริกา ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่กำลังขยายการกิจกรรมเติบโตอย่างรวดเร็ว
ช่วยกระจายความเสี่ยง เปิดช่องทางสร้างรายได้ใหม่ในระยะยาว ควบคู่กับหันมากระตุ้น
“ตลาดในประเทศ” จัดงานไมซ์แบบ “มีเรื่องราว และ แต่งเติมประสบการณ์ส่วนบุคคล (Personalized
Experience)” กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น สร้างรายได้หมุนเวียน
กลยุทธ์ที่
3 INNOVATE TO WIN เร่งเทคโนโลยี
เสริมอุตสาหกรรมไมซ์ ด้วยการใช้ AI และ Data
Analytics วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ร่วมงานแบบเรียลไทม์ ทำ Personalization
เช่น แนะนำ Session/Booth ตามความสนใจ,
พัฒนา Virtual Events หรือ Metaverse
Experience เพื่อเจาะกลุ่มที่ไม่สามารถเดินทางได้
กลยุทธ์ที่
4 COLLAB IS POWER “รวมพลังพันธมิตร
สร้างเครือข่ายแข็งแกร่ง” ไมซ์ยุคใหม่ต้อง "Collab" ให้เป็น เพื่อจับมือกับอุตสาหกรรมที่เด่น เช่น เฮลท์เทค
การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เอ็ดเทค รวมกลุ่มทำไมซ์คลัสเตอร์ในภูมิภาค
กลยุทธ์ที่
5 REDEFINE VALUE “สร้างคุณค่าแบบ Next
Gen โดยสร้างประสบการณ์ จากงาน “ที่มานั่งฟัง” เป็นงาน
“ที่อยากแชร์ต่อ และอยากกลับมาร่วมงานอีกครั้ง” พร้อมกับเปลี่ยนบทบาทเป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์”
ให้คำปรึกษา และเสนอแผนที่วัดประสบการณ์ย้อนกลับได้ (ROX :Return of
Experience) หรือจัดตั้ง Niche
Experience MICE เช่น เวลเนส ไมซ์ บริการสายสุขภาพ หรือ LGBTQ+
MICE ที่เข้าใจความหลากหลาย ตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ได้อย่างครอบคลุมในอนาคต
สร้างความแข็งแกร่งในตลาดไมซ์ของไทยระยะยาวต่อไป
ช่วงที่ 2 สัปดาห์นี้มาชวนไปเที่ยวงาน
“ปราการเฟสติวัล” วันที่ 26-28 ก.ค.68 ที่ตลาดน้ำเมืองโบราณ
สัมผัสพิพิธภัณฑ์มีชีวิต พร้อมเรื่องเล่า เรื่องราว มากมาย จากอดีตจนถึงปัจจุบัน
แล้วฟัง “3ภัยน้ำท่วมหน้าฝน” อยู่อย่างไรให้ปลอดภัย
เกาะติดข่าวฮ็อตแห่งสัปดาห์ “การบินไทย” ลั่นการเงินแกร่ง ปี’76 จะเพิ่มฝูงบิน 105 ลำจ่อเข้าซื้อขายในตลาดตลาด 4
ส.ค.68 เป็นต้นไป
ท่องเที่ยว –เที่ยวเทศกาล“ปราการเฟสติวัล”26-28ก.ค.ที่ตลาดน้ำเมืองโบราณ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ชวนเช็คอินเที่ยวใกล้กรุง แบบไปเช้าเย็นกลับได้สบาย ๆ
วันหยุดต่อเนื่องสัปดาห์นี้ต้องได้ไปชมเทศกาล ปราการ เฟสติวัล"
จังหวัดสมุทรปราการ กับนิทรรศการมีชีวิต Life Exhibition สักครั้ง
วันเสาร์ที่ 26-28 กรกฎาคม 2568 บริเวณตลาดน้ำเมืองโบราณ
ร้อยเรียงเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์เมืองย้อนเหตุการณ์ ร.ศ112 ที่เป็นแรงส่งให้
“ปากน้ำ” เปิดรับความสัมพันธ์ทางการค้าและการทูตนานาชาติเข้าสู่สยาม
บรรยากาศงาน
ปราการเฟสติวัล นำเสนอเสน่ห์ “THEME NATION OF LOVE” ผสานเข้ากับวิถี
เมืองโบราณ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งใหญ่ที่สุด เน้นสื่อสารความสัมพันธ์นานาชาติ
การต้อนรับอาคันตุกะต่างแดน จัดกิจกรรมสร้างความรักความสามัคคีด้วยวิถีไทย 4 ภาค
ฉายภาพลักษณ์แผ่นดินแห่งความรักสามัคคี ร่วมถวายพระพรชัย
เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา รัชกาลที่ 10
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ออกเดินทางร่วมย้อนอดีตไปใช้ชีวิตร่วมกันตามวิถีคนไทยในอดีต
ที่ได้นำคติความเชื่อ ภูมิปัญญา ความศรัทธา ความเคารพในทุกเชื้อชาติศาสนา
มาสร้างสังคมความตระหนักรู้ถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ด้วยแนวคิด Nation
of love พร้อมกับชวนเที่ยวท่องย้อนอดีตบนเส้นทาง
“เสน่ห์สยาม” ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท
ชมการแสดงพิเศษ
“จักรพรรดิราชา ศรีอยุธยามหาราชธานี” ในบรรยากาศการต้อนรับราชอาคันตุกะแบบโบราณ
ร่วมบรรยากาศย้อนเหตุการณ์
สงครามโลกครั้งที่ 2 ชมการแสดง อิมเมอร์ซีฟ เธียเตอร์
จัดแสดงให้ชมแบบรอบทิศทางที่บริเวณตลาดน้ำเมืองโบราณ
เพลิน
!!กับจับจ่ายค้าขาย ที่ “ตลาดคุณปู่” สถาบันการเรียนรู้
ชุมชน สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจท้องถิ่น เชื่อมโยงกันโดยสถาบันอาศรมศิลป์
ชม!! ตลาดกล้วยไม้สยาม และดอกบัวนานาชาติ งานประกวดบัวโลก ”บงกชสคราญ”
โดยผู้เชี่ยวชาญ พิพิธภัณฑ์บัวเมืองโบราณ
หรรษา!! กับมหรสพ We are Prakan ตื่นตากับหนังกลางแปลงฉายด้วยฟิล์มต้นฉบับโบราณ
ศึกบางระจัน และการแสดง หนังทะลุจอ โดยเหล่านักรบจะออกมาต่อสู้กู้ชาติกลางน้ำ
สนุก
!! กับการแสดงวัฒนธรรม หุ่น ละคร โขน หนัง สตรีท
อาร์ตแบบไทยบนลานแสดงกลางชุมชนตลาดน้ำเมืองโบราณ
ส่งท้ายด้วย
ร่วม “พิธีบายศรี” ร่วมกันสร้างภูมิขวัญ ภูมิบ้าน ภูมิเมือง และภูมิพลังดังปราการ
สุขภาพ –3 ภัยต้องระวัง!!หน้าฝนน้ำท่วมช่วยกันสอดส่องอย่าประมาท
กรมควบคุมโรค
กระทรวงสาธารณสุข แนะนำประชาชนดูแลสุขภาพช่วง ฝนตก น้ำท่วม
ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ จึงควรจระวัง 3 ภัย! อย่าได้ประมาท
ภัยที่
1 การจมน้ำ/ป้องกันไฟฟ้าช็อต "4 ห้าม 4 ให้" ได้แก่ ห้ามลงเล่นน้ำ ดื่มน้ำท่วม
ขับรถฝ่าสายน้ำ และคลื่นเหงือกหิว กรณีหากจมน้ำให้จับสิ่งของที่ลอยได้เป็นหลัก
แล้วก็ให้เดินทางตามกลุ่มระวังสภาพอากาศ พร้อมติดตามข่าวดินฟ้าอากาศอย่างสม่ำเสมอ
ภัยที่
2 ไฟดูด ไฟฟ้าช็อต
ตั้งสติแล้ว รีบให้คนช่วย สับคัตเอาต์ ตัดกระแสไฟ! โดยห้ามใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าขณะเปียก/ยืนในที่ชื้น
กรกณี “หากน้ำท่วม” ปลั๊กหรือเต้าเสียบสูงกว่า 3 เมตร
ให้รีบตัดไฟทันที
ภัยที่
3 สัตว์มีพิษกัดต่อย (งู ตะขาบ แมงป่อง) ช่วงหน้าฝน
ควรช่วยกันสอดส่อง/สังเกตมุมอับบ้านประจำ สำรวจเสื้อผ้า/รองเท้าก่อนใส่ กรณี
หากถูกกัด/ต่อย ให้รีบพบแพทย์ทันที
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก –บินไทยการเงินแกร่ง-ปี76ฝูงบินโตจ่อเข้าตลาดฯ ใหม่ 4ส.ค.68
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) “THAI” ประกาศความพร้อมนำหุ้น “THAI” กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง
เริ่มวันที่ 4 สิงหาคม 2568
หลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ เมื่อ 16 มิถุนายน 2568 หลังพลิกโฉมองค์กรเป็นบริษัทเอกชนสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้น
และนักลงทุน มีผลดำเนินงานแข็งแกร่งและกลยุทธ์ชัดเจนที่จะสร้างการเติบโตในอนาคต
ก้าวสู่หนี่งในผู้นำอุตสาหกรรมการบินภูมิภาค และบริษัทจดทะเบียนชั้นนำที่มีคุณภาพของตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง
นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการ บริษัท
การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
"ในนามของคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่มุ่งมั่นนำการบินไทยก้าวสู่ยุคใหม่
“สายการบินที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ และธรรมาภิบาล” ในการบริหารงานแบบเอกชน
คณะกรรมการชุดนี้จะขับเคลื่อนด้านองค์ความรู้ วิสัยทัศน์ร่วมผลักดันองค์กรโดยได้รวมผู้เชี่ยวชาญภาครัฐและเอกชน
กรรมการชุดใหม่มี 11 คน เป็นกรรมการของบริษัทมาตั้งแต่ก่อนเข้ากระบวนการฟื้นฟูกิจการ
3 คน และ 2 ใน 3 เป็นอดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ส่วนกรรมการที่ผู้ถือหุ้นแต่งตั้งมี
8 คน ผ่านการพิจารณาตาม Board Skills Matrix มีความรู้ครอบคลุมด้านต่าง ๆ เช่น ธุรกิจการบิน การเงิน กฎหมาย กลยุทธ์
การตลาด และเทคโนโลยีดิจิทัล
สำหรับ “คณะกรรมการชุดย่อย” ได้แก่ คณะกรรรมการตรวจสอบและคณะกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทน
เพื่อดูแลทุกมิติ โดยมี “คณะกรรมการและฝ่ายบริหาร” พร้อมร่วมทำงานสนับสนุนซึ่งกันและกัน
โดยยังคงมีทีมผู้บริหารช่วงกระบวนการฟื้นฟูกิจการช่วยให้สานต่อการดำเนินงานการบินไทยได้อย่างมั่นคง
ขณะที่ “สถานะของบริษัท” วันนี้อยู่ในจุดดีที่สุดทุกมิติ
โดยเฉพาะ 2 มิติสำคัญ ได้แก่
• “มิติสถานะทางการเงิน”
มีประสิทธิภาพ
มีขีดความสามารถในการแข่งขัน บริษัทฯ มีทิศทางการเติบโตอย่างชัดเจน พร้อมใช้ยุทธศาสตร์กับโครงสร้างองค์กรตอนนี้ขนาดและความซับซ้อนเหมาะสมต่อขนาดธุรกิจ
ส่วนค่าใช้จ่ายบุคลากรอยู่ในระดับที่มีประสิทธิภาพเทียบกับสายการบินชั้นนำระดับเดียวกัน
โดยยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมได้รวดเร็ว ให้ความสำคัญเรื่องการส่งเสริมการกำกับดูแลกิจการที่ดี
ตามแนวทางของตลาดหลักทรัพย์ และ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
• “มิติด้านสิ่งแวดล้อม”
การบินไทยในฐานะผู้ประกอบการสายการบินมุ่งมั่นที่จะลดผลกระทบในการทำธุรกิจที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net
Zero Emissions) ภายในปี 2608 (ค.ศ. 2065)
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าภาพรวมการบินไทยมีกลยุทธ์การเติบโต
หลังฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด-19 ได้ทำโครงสร้างหลากหลายด้านและการวางกลยุทธ์ระยะยาวชัดเจน
เช่น 1.ปรับโครงสร้างและขนาดองค์กรให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพิ่มความโปร่งใสทุกกระบวนการดำเนินงาน สามารถตรวจสอบได้
2.ปรับโครงสร้างฝูงบินและจำนวนเครื่องบินให้มีประสิทธิภาพตั้งเป้าหมายปี
2576 อีก 8 ปีข้างหน้า จะมีเครื่องบินมากถึง
150 ลำ ควบคู่กับแผนลแบบเครื่องบินเหลือ 4 แบบ จากก่อนหน้าเข้าแผนฟื้นฟูมีถึง
8 แบบ และลดจำนวนเครื่องยนต์เหลือ 5 แบบ จาก 9 แบบเหลือ 5 แบบ จึงควบคุมต้นทุนดำเนินงานและซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นตั้งเป้าหมายปี
2572 จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 35 % จากปัจจุบันที่ 26%
3.การขยายเส้นทางและความถี่การบินเพื่อมุ่งสู่การเป็น
regional network airline
เชื่อมต่อระดับภูมิภาคและระหว่างทวีป
4.ปรับปรุงบริการห้องโดยสารและช่องทางการขายเพื่อยกระดับความพึงพอใจให้ลูกค้า
5.การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
รวมถึงเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ให้ใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น เปิดช่องทางขายตรงสร้างโอกาสในการส่วนแบ่งรายได้เพิ่มมากขึ้น
นางเฉิดโฉม เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันสถานะทางการเงินของการบินไทยมีความแข็งแกร่งและมั่นคงกว่าเดิมมาก
สะท้อนจากความสามารถในการ “ทำกำไรจากการดำเนินงาน” อย่างต่อเนื่อง “ปี 2567” สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567
บริษัทฯ มี “รายได้รวม”
(ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้น
16.7% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน “มีกำไร” จากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน
(ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 41,515 ล้านบาท
หรือคิดเป็นอัตรากำไร (EBIT Margin) 22.1%
“ไตรมาส 1 ปี 2568” มี “รายได้รวม”
(ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว)
ทั้งสิ้น 51,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.3% มี
“กำไร” จากการดำเนินงาน
(ก่อนต้นทุนทางการเงินไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 13,661 ล้านบาททำอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย
83.3% มีอัตราผลตอบแทนต่อผู้โดยสาร (Passenger
Yield) 2.91 ใกล้เคียงกับปีก่อน
ความสำเร็จจาก “การแปลงหนี้และดอกเบี้ย”
ตั้งพักของเจ้าหนี้เป็นทุนกว่า 53,453 ล้านบาท เมื่อปี 2567
จึงเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมก่อนการฟื้นฟูกิจการและพนักงานของบริษัทฯกว่า
22,987 ล้านบาท ซึ่งทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ วันที่
31 มีนาคม 2568 กลับเป็นบวก 55,439 ล้านบาท จากเดิมติดลบ 43,142 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2563
ข่าวที่สอง –
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น