ททท.งัดแผนตลาดในประเทศชุดใหม่ลุยปลุกเที่ยวไทยปลายปี’63 ชูQuick Win5ภาคเปิดเส้นทางขับรถ-เทรนด์เซลฟี่-เพิ่มสินค้าเด็ด
ททท.งัดแผนตลาดในประเทศชุดใหม่ลุยปลุกเที่ยวไทยปลายปี’63
ชูQuick Win5ภาคเปิดเส้นทางขับรถ-เทรนด์เซลฟี่-เพิ่มสินค้าเด็ด
คิงเพาเวอร์ฉลอง31ปีโหมDelights&Surprisesช้อปลดแรง31วัน
คิงเพาเวอร์4สาขาทั่วไทยฉลอง31ปี2โปรโมชั่นช้อปมันส์ไม่ต้องบิน
คิงเพาเวอร์แจกสนามบอลรร.ร้อยเอ็ด-สมัครขอฟรีใหม่ถึง15พ.ย.63
ททท.รุกโปรเจ็กต์ SHA ต้อนรับปี64 รุกหนักไตรมาสแรกต.ค.-ธ.ค.นี้
ททท.กอดคอ“Klook-สมาพันธ์ทัวร์”บูมขายชีพจรลง
South…Wow
TCEBเดินหน้า 7 ต.ค.63เปิดแผนใหญ่เชิงรุกปั๊มรายได้ตลาดไมซ์ปี’64
คิดถึงแล้วต้องไปให้ถึงเพชรบูรณ์“ขึ้นภูเข้าวัดสัมผัสความสุขวิถีใหม่”
“ยาตีกัน”เป็นเรื่องต้องรู้เพื่อดูแลป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับสุขภาพ
นายกฯแอตต้าชี้Q4อินบาวนด์ทรุดหนักชี้รัฐต้องเร่งทำSTV-อุ้มSMEs
บอร์ดปตท.นำร่องแจก18ล้านสต๊าฟ3พันคนเที่ยวไทยปลุกเศรษฐกิจ
ต้อนเข้าสู่รายการ
“รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” ในวันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม 2563 เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน”
ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97.0 MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0
และอ่านได้ทาง www.facebook.com/penroongyaisamsaen บล็อกเกอร์
#gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เที่ยวกับกู๋ #ทททงัดแผนตลาดในประเทศชุดใหม่ปลุกเที่ยวไทยปลายปี63 #คิงเพาเวอร์31ปีdelightsSurprises #ทททลุยมาตรฐานSHAรับปี64 #คิดแล้วไปให้ถึงเพชรบูรณ์5จุดเช็คอิน
ช่วงที่ 1 ล้วงลึก “กฤษณะ แก้วธำรงค์” รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คนใหม่ล่าสุด กับภารกิจขับเคลื่อนโครงการ Quick
Win
กระตุ้นตลาดท่องเที่ยวไทยปี2564
กับเป้าหมายความท้าทายต้องทำเงินกระจายสู่ท้องถิ่นให้ได้ 4-5 แสนล้านบาท ประกาศใช้อาวุธเด็ดทั้ง 5 ภูมิภาค “เหนือ-ใต้-ตะวันออก-กลาง-อีสาน”
พร้อมใจกันจัดทัพสินค้าบูมขาย “เส้นทางขับรถเที่ยวไทย” ทุกรูปแบบ รังสรรค์เส้นทาง
“The Best Selfie-เพิ่มสินค้าใหม่สองข้างทาง-ขับรถข้ามภาค”
เน้นจับมือพันธมิตร สายการบิน บริษัทนำเที่ยว ค่ายรถใหญ่ รถเช่า
กระหน่ำจัดแพกเกจเที่ยวไทยต่อเนื่องฟื้นโปรเจ็กต์ Fly & Drive :บินไปขับรถเที่ยวทั่วเมือง เจาะ 3 ตลาดหลัก
“กลุ่มคุณภาพพร้อมใช้เงินไม่อั้น-คนรุ่นใหม่ทำงานอิสระ-ผู้สูงวัย” งัดใช้ศูนย์ TAT
TRAVEL CLUB จูงใจสมาชิก
ควบปรับแนวเที่ยวอย่างรับผิดชอบ RT
นายกฤษณะ แก้วธำรงค์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) วางกลยุทธ์ขับเคลื่อนตลาดในประเทศตามปีงบประมาณ 2564 ด้วย 3 หลัก โครงการแรก Quick Win นำจุดแข็งด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์มาผสมผสานเข้ากับตลาดในช่วงจังหวะของกระแสซึ่งบางครั้งอาจจะใช้วิธีการผลัดกันนำการสื่อสารหรือการตลาดตามพฤติกรรมของผู้บริโภค (user corporate content) โดยเฉพาะการขับเคลื่อน “ท่องเที่ยววันธรรมดา” เพิ่มขึ้นจากวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เน้น “เส้นทางขับรถท่องเที่ยว หรือ Road Trip in Thailand” ชูเอกลักษณ์ท้องถิ่น ประกอบด้วย
1.เส้นทางขับรถเที่ยวในรัศมีรอบกรุงเทพฯ
300-400 กิโลเมตร
โดยจะเพิ่มสินค้าท่องเที่ยวระหว่างสองข้างทาง 2.เส้นทาง The Best Selfie ระหว่างทางก็จะหาจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
ครอบคลุมทั้ง 5 ภูมิภาค
ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ ภาคอีสาน 3.เส้นทางขับรถท่องเที่ยวข้ามภูมิภาค
จะหารือกับทางพันธมิตรค่ายรถยนต์ที่มีฐานลูกค้าแข็งแรง เช่น
โตโยต้าเชียงใหม่มายังขอนแก่นหรืออุดรธานี ระหว่างทางจะชูจุดขายไฮไลต์ ร้านอาหาร
ร้านขายของที่ระลึก จุดชมวิว ที่พัก เพื่อกระจายรายได้เข้าสู่พื้นที่แต่ละแห่ง
2.เป้าหมายมุ่งเจาะกลุ่มศักยภาพที่มีรายได้สูง เปิด TAT
Travel Club นำเสนอตามไลฟ์สไตล์ของคนมีกำลังจ่ายสูง
3.การท่องเที่ยวอย่างมีส่วนร่วมรับผิดชอบ
Resiponsible Tourism :RT ปรับกลยุทธ์หันมาเริ่มต้นทำตั้งแต่ต้นทางต่างจากปัจจุบันจะทำเฉพาะปลายทางเป็นหลัก
เช่น Food & Zero Waste ลดห่วงโซ่วัตถุดิบอาหารโดยเน้นการบริหารจัดการควบคุมให้มีขยะน้อยที่สุด
หรือนำไปใช้ทำปุ๋ยอินทรีย์ หรือนำวัตถุดิบจากท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
หรือการเชิญชวนเชฟรุ่นใหม่นำวัตถุดิบอาหารถิ่นทำโครงการ Table Chef เช่น ปลาร้าภาคอีสาน น้ำบูดูภาคใต้
โครงการที่
2 เน้นการเพิ่มกลุ่มผู้มีรายได้สูงเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายปี
2564 ตั้งไว้ 400,000-500,000
ล้านบาท
เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางอิสระ (F.I.T.) สมาชิก ททท.แทรเวล คลับ
ด้วยการกลยุทธ์โค-แบรนด์ กับพันธมิตร รวมทั้งกระตุ้นการจัดกิจกรรมเทรนด์ท่องเที่ยวสมัยใหม่เท่
ๆ เช่น พายแคนู พายซับบอร์ด แพดเดิ้ลบอร์ด ตามลำน้ำเจ้าพระยา แม่น้ำโขง การแคมปิ้ง
ทำงานนอกสถานที่ (outdoor)
ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่ ททท.จะสร้างกิจกรรมขึ้นมารองรับ
การสร้างแม่เหล็กดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย
นักท่องเที่ยวศักยภาพสูงกับคนรุ่นใหม่
จะเน้นการสื่อสารให้ถูกช่องทางเข้าถึงคนแต่ละรุ่น ซึ่งมีไลฟ์สไตล์ต่างกัน เช่น
การทำกิจกรรมดึงกลุ่มวัยรุ่นคนสร้างภาพยนต์มาผลิตหนังท่องเที่ยววันธรรมดา
พอทำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะนำเส้นทางมาขายได้
ททท.จะพยายามสร้างกิจกรรมกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวทุกกลุ่มใช้จ่ายเงิน
โดยเฉพาะในชุมชนจะเฟ้นหาอัตลักษณ์ของท้องถิ่น อย่างการจัดงานเคาน์ดาวน์ เทศกาลต่าง
ๆ จะต้องดึงชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด เพื่อสร้างรายได้ลงสู่ทุกชุมชน
เรื่อยไปจนถึงการวางแผนให้ลงลึกถึงตลาดกลุ่มเป้าหมายชัดเจน
เน้นไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มซึ่งเน้นการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายหรือราคา
เช่น คนขับรถท่องเที่ยวเขาใหญ่ ระดับปกติชอบแบบไหน
ระดับกลางนิยมเลือกรับประทานอาหารราคาเหมาะสม ระดับบนก็เช่นเดียวกัน
นายกฤษณะกล่าวว่าเตรียมผสมผสานตลาดการขายท่องเที่ยวผสมผสานเข้ากับหนังโฆษณา
“เที่ยวเมืองไทย อะเมซิ่งยิ่งกว่าเดิม” โดยมีพรีเซนเตอร์ “เวียร์-ศกุนตรัตน์”
ตามนโยบายตลอดปี 2564 ทุกภูมิภาคจะใช้ธีมหลักคือ
Amazing Thailand ตามด้วยแท็กไลน์ด้านล่างตามธีมของแต่ละภูมิภาค
เช่น ภาคเหนือ : อะเมซิ่ง
ไทยแลนด์ -หนาวนี้มีทะเลหมอก หรือภาคอีสาน “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ -แกสโตโนมี แซบ คูล”
การออกแบบคีย์เวิร์ดจะต้องโยงไปถึงตัวสินค้าท่องเที่ยวได้ชัดเจน ทั้ง ช่วงเวลา
กิจกรรม เช่น ทะเลหมอก หาดทราย น้ำทะเลใส ช่วงไหน เวลาใด
รวมทั้งจะให้ทุกสำนักงานทั่วประเทศทำตัวเป็นกูรู
บล็อกเกอร์ คัดสรรพนักงานของสำนักงานมาทำภารกิจหาข้อมูลมาเผยแพร่ช่วงวัน เวลา
แหล่งท่องเที่ยว ที่อยู่ในกระแสการเดินทางสวยสดใสน่าท่องเที่ยว
นำข้อมูลพื้นถิ่นมากระจายให้นักท่องเที่ยวรับรู้ให้ได้มากที่สุด
ส่วนการเตรียมกิจกรรมกระตุ้นการเดินทางในฤดูท่องเที่ยวปลายปี
2563
ททท.จะร่วมกับสายการบิน เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะมีวันหยุดตามนโยบายรัฐบาลประกาศแล้ว 1.ตอนนี้หารือกับไทยสมายล์จัดเที่ยวบินบริการ
และร่วมกับบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวสร้างแพกเกจนำร่องเส้นทางแรก 3 จังหวัดชายแดนใต้ “ปัตตานี-ยะลา-นราธิวาส” 2.วางแผนร่วมกับสายการบินกระจายการเดินทางออกจากพื้นที่ท่องเที่ยวหนาแน่นช่วงฤดูท่องเที่ยวจากภาคเหนือสนับสนุนปกติ
แล้วหันไปเพิ่มแรงจูงใจขายแพกเกจเที่ยวภาคอื่น โดยเฉพาะทางอีสานมากขึ้น 3.ตามเมืองใหญ่จะร่วมกับบริษัทรถเช่า
เน้นบินไปถึงแล้วขับรถท่องเที่ยวในจังหวัด หรือ Fly & Drive เช่น เชียงใหม่บินไปเที่ยวกระบี่
ทำแพกเกจกับสายการบินและรถเช่า เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าช่วงเวลาสั้น ๆ
สามารถท่องเที่ยวอย่างคุ้มค่า หรือจากกรุงเทพฯ บินไปตามจังหวัดต่าง ๆ ก็จะทำ Fly
& Drive ในทุกเส้นทาง
สำหรับพันธมิตรหลักของ ททท.ที่จะร่วมมือทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย ได้แก่ สายการบิน บริษัทรถเช่า โดยจะเลือกพื้นที่ จังหวะเวลาให้เหมาะสมกับความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยว และกลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมจะเป็นพันธมิตรหลักต้องทำร่วมกันตลอดไป
นายกฤษณะกล่าวว่า ปีงบประมาณ 2564
ททท.ได้รับโจทย์ร่วมกันสร้างรายได้ท่องเที่ยวโดยภาพรวมทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
7 แสนล้านบาท -1.5
ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ในประเทศ 4-5
แสนล้านบาท และต่างประเทศอีก 7
แสนล้านบาท
โดยจะเน้นร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วนช่วยกันหาช่องทางกระตุ้นการใช้จ่ายเงินทำรายได้จากการท่องเที่ยวให้เป็นไปตามเป้าหมาย
เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในปี
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1 คิงเพาเวอร์ฉลอง31ปีโหมจัดDelights & Surprisesช้อปลดแรง31วัน
นายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า ช่วงตุลาคมนี้ได้จัดกิจกรรม“Delights & Surprises” ตามปกติจัดเป็นประจำทุกปี ส่วนปี 2563 จัดยิ่งใหญ่ในโอกาสสำคัญการเฉลิมฉลองกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ครบรอบปีที่ 31 ด้วยไฮไลต์ “Delights & Surprises” ครบรอบ 31 ปี ฉลอง 31 วัน ช้อปมันส์ วันไม่มีไฟลต์ สามารถมาเลือกซื้อสินค้าและบริการไลฟ์สไตล์วิถีใหม่ได้ตลอดทั้งเดือนระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม 2563
โดยกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ยังคงมุ่งมั่นสร้างความมั่นใจพร้อมคืนประโยชน์ให้ลูกค้าคนไทย ที่มีส่วนสำคัญทำให้ธุรกิจเดินหน้าได้ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ดังนั้นจึงพร้อมมอบโปรโมชั่นสุดคุ้มแห่งปี ให้ทุกคนในประเทศเลือกช้อปสินค้าคิง เพาเวอร์ อย่างคุ้มค่ากว่าทุกครั้ง โดยเฉพาะสินค้า “ลักชัวรี่แบรนด์” เพิ่มมูลค่าช้อปให้ลูกค้าด้วยโปรแกรมการซื้อบัตรเงินสดหรือ Cash Card ได้ตลอดแคมเปญที่คิง เพาเวอร์ ในเมือง 4 สาขา ได้แก่
“คิง
เพาเวอร์ สาขารางน้ำและมหานคร” ซื้อแคชการ์ดมูลค่า 50,000 บาท รับเพิ่ม 12,500 บาท
“คิง เพาเวอร์ สาขาพัทยาและภูเก็ต”
ซื้อแคชการ์ดมูลค่าต่างกันไป คือ 1.ซื้อ 3,000
บาท รับเพิ่ม 500 บาท 2.ซื้อ 6,000 บาท รับเพิ่ม 1,200 บาท 3.ซื้อ
9,000 บาท รับเพิ่ม 2,000 บาท และ 4.ซื้อ 50,000 บาท รับเพิ่ม 12,500 บาท
อีกทั้งนักช้อปยังจะสนุกกับกิจกรรมพิเศษมากมายที่คิง เพาเวอร์ ทั้ง 4 สาขา ประกอบด้วย 1.ลุ้นรับ Gift Voucher มูลค่า 3,100 บาท ตลอด 31 วัน 2.ลุ้นรับรางวัลตลอดแคมเปญรวม 310 รางวัล เมื่อช้อปปิ้ง 5,000 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ ลุ้นรับของรางวัล ลักชัวรี่ แบรนด์
ไฮไลต์การเฉลิมฉลอง “คิง เพาเวอร์” ปีที่ 31 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ยังสร้างบรรยากาศการช้อปปิ้งให้มีความสนุกมากขึ้น วันที่ 15-18 ตุลาคม 2563
วันที่ 15 ตุลาคม เวลา 17.00 น. นักแสดงหนุ่ม มาริโอ้ เมาเร่อ จะมาสร้างสีสันร่วม ‘ขอบคุณ’ ลูกค้าคิง เพาเวอร์ มอบประสบการณ์ช้อปปิ้งกับลูกค้าด้วยการร่วม Live Steaming แนะนำโปรโมชั่นแคชการ์ด และสิทธิพิเศษต่างๆ ผ่านทาง คิง เพาเวอร์ ออฟฟิเชี่ยล เฟชบุ๊ค : King Power Official Facebook ในประเทศไทย และยัง Live Steaming ควบคู่การส่งความคิดถึงจากเมืองไทยไปถึงนักท่องเที่ยวในสาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านช่องทาง ‘เวยโป๋’ (Weibo) และ ‘วี แชท’ (WeChat) เพื่อให้ลูกค้าชาวจีนสามารถร่วมโปรแกรมช้อปปิ้งในโอกาสพิเศษกับ คิง เพาเวอร์ ได้ด้วยในรูปแบบ Cross-border E-Commerce ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ คิง เพาเวอร์ ที่ชื่อ‘ไท่ไห่เถา’ ในจีน
นายอภิเชษฐ์ กล่าวย้ำว่าปี 2563 การจัดทำแคมเปญ
Delights & Surprises ได้ปรับกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์สอดคล้องตามสถานการณ์
เพื่อให้ลูกค้าใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าและมีความสุขกับสินค้าจัดส่งตรงถึงบ้านหรือ Home
Delivery กลุ่มสินค้าหลัก ๆ
เข้าร่วมแคมเปยขายในราคาดิวตี้ฟรีซึ่งมีการชำระภาษีอย่างถูกต้องกว่า 10,000
รายการ ได้แก่ เครื่องสำอาง
น้ำหอม นาฬิกา สินค้าอิเลคทรอนิกส์ รวมถึงลักชัวรี่แบรนด์
กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ มุ่งมั่นจะคืนกำไรให้ลูกค้าพร้อมทั้งตอบสนองความต้องการสินค้าให้ลูกค้าคนไทยมาร่วมสัมผัสประสบการณ์ช้อปปิ้งวิถีใหม่กับแคมเปญ Delights & Surprises ช้อปมันส์ วันไม่มีไฟลต์ เพื่อร่วมใช้จ่ายเงินช้อปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปีกลับมาคึกคักอีกครั้ง
ข่าวที่ 2 คิงเพาเวอร์4สาขาทั่วไทยฉลอง31ปี2โปรโมชั่นช้อปมันส์ไม่ต้องบิน
คิง เพาเวอร์ ก้าวสู่ปีที่ 31 อย่างยิ่งใหญ่
แคมเปญ Delights and Surprises ครบรอบ 31
ปี ฉลอง 31 วัน ช้อปมันส์ วันไม่มีไฟลต์ ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ มหานคร พัทยา และภูเก็ต ตลอดทั้งเดือนตุลาคมนี้พบกับโปรโมชั่นและกิจกรรม
ทั้ง “ให้ลุ้น” และ “ให้เลย” มากมายตลอดงาน 2
โปรโมชั่นสุดคุ้ม
1.Everyday
Surprises
1.1 ซื้อ Cash Card รับเพิ่มทันทีสูงสุด
12,500 บาท พร้อมรับสิทธิ์จับรางวัลลุ้นรับ Gift
Voucher ช้อปปิ้งฟรีสูงสุด 3,100 บาท
1.2
ลุ้นรับ Luxury
Brand รวม 310 รางวัล เมื่อช้อปครบ 5,000
บาท (สุทธิ) ขึ้นไป / ใบเสร็จ
2.Special
Day Surprises
2.1
รับสิทธิ์จับรางวัล ลุ้นอิ่มฟรีที่ ไทย เทสต์ ฮับ คิง เพาเวอร์
รางน้ำ เพียง Check-in
และ Shoot & Share ภาพขบวนทรูปภายในงาน Delights
and Surprises ทุกวันศุกร์ – อาทิตย์ และวันพฤหัสบดีที่ 1 และ 15 ตุลาคม (รวม 16 วัน)
วันละ 20 รางวัล
2.2 รับ Voucher ส่วนลดพิเศษจากโรงแรมพูลแมน
คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ, มหานคร สกายวอล์ค, มหานคร แบงค็อก สกายบาร์ และ www.kingpower.com ได้ทุกวันศุกร์
– อาทิตย์ และวันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม 2563 (รวม 15 วัน)
พิเศษ สมัครสมาชิกใหม่และช้อปตามเงื่อนไข
รับฟรีสูงสุด 2,000
กะรัต* และเฉพาะการสมัครสมาชิกที่ คิง เพาเวอร์ มหานคร
สามารถเลือกรับฟรีสูงสุด 2,000 กะรัต หรือ อิ่มฟรี ที่ Thai
Taste Hub มหานคร คิวบ์ สูงสุด 2,000 บาท
รายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://member.kingpower.com/Promotions/Detail/744
นำทีมมอบสนามฟุตบอลหญ้าเทียมแห่งแรกในอีสานที่จังหวัดร้อยเอ็ด 29 ก.ย.2563
อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ นำทีม
มอบสนามฟุตบอลหญ้าเทียมมาตรฐานสากลแห่งแรกในอีสานที่ “จังหวัดร้อยเอ็ด” ภายใต้ คิง
เพาเวอร์ ไทย เพาเวอร์ พลังคนไทย โดยได้จัดสร้างสนามฟุตบอลในโรงเรียนธวัชบุรีวิทยาคม
ส่งเสริมให้เยาวชนไทยได้มีพื้นที่ออกกำลังกาย
โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาจะได้มีโอกาสสัมผัสสนามฟุตบอลที่ใช้แข่งขันระดับสากล
พร้อมสร้างดาวรุ่งดวงใหม่ในภูมิภาคอีสานต่อไป สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ คิง
เพาเวอร์
ที่พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างฝันเด็กไทยให้มีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะด้านกีฬาฟุตบอลไปไกลสู่เวทีโลก
โดยได้เปิดสนามให้ชาวร้อยเอ็ดเข้ามาใช้บริการเมื่อวันที่ 29
กันยายน 2563
โครงการนี้มีเป้าหมายสร้างสนามฟุตบอลมอบให้โรงเรียนและชุมชนทั่วประเทศไทยภายในปี
2565 ให้ครบ
100 สนามขณะนี้สร้างแล้วทั่วประเทศไปแล้ว 60
สนาม แบ่งเป็นสนามฟุตบอลหญ้าเทียมในอีสาน 16
สนาม ได้แก่ กาฬสินธุ์ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม นครราชสีมา บึงกาฬ บุรีรัมย์ มหาสารคาม เลย สกลนคร สุรินทร์ ศรีสะเกษ หนองคาย อุดรธานีอุบลราชธานี และร้อยเอ็ด
ภายในงานมอบสนามฟุตบอลให้โรงเรียนธวัชบุรีวิทยาคม
ได้รับเกียรติจาก ชำนาญ ชื่นตา รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด แสงศิลป์ วิไลลักษณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนธวัชบุรีวิทยาคม
และแขกรับเชิญสุดพิเศษสร้างสีสันในงาน อาทิ เต๋า-เศรษฐพงศ์ เพียงพอ ตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย ก้อง ห้วยไร่ เบิ้ล
ปทุมราช และทีมก้าวคนละก้าว โดยมีน้อง ๆ นักเรียนโรงเรียนธวัชบุรีวิทยาคม
ร่วมแสดงวงดนตรีลูกทุ่งคอมโบ เพื่อเป็นการต้อนรับและสร้างสีสันภายในงาน
รวมทั้งจัดกิจกรรมไฮไลต์จัดแข่งขันฟุตบอลแมตช์พิเศษระหว่าง ตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย ทีมก้าวคนละก้าว เต๋า-เศรษฐพงศ์ เพียงพอ คณะสื่อมวลชน และทีมนักฟุตบอลเยาวชนจากโรงเรียนธวัชบุรีวิทยาคม ได้ดวลแข้งสร้างความสุขและรอยยิ้มกันอย่างสนุกสนาน
สำหรับโรงเรียนหรือชุมชนที่สนใจเข้ารับการสนับสนุนสร้างสนามฟุตบอลหญ้าเทียมมาตรฐานสากล จาก คิง เพาเวอร์ ในโครงการ 100 สนามฟุตบอล สร้างพลังเยาวชนไทย ปี 4 สามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – 15 พฤศจิกายน 2563 ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก King Power Thai Power พลังคนไทย
ข่าวที่ 4 ททท.รุกโปรเจ็กต์ SHA
ต้อนรับปี64
รุกหนักไตรมาสแรกต.ค.-ธ.ค.นี้
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ช่วงปลายปี 2563 เมื่อเริ่มเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่ 2564 ตลอดไตรมาส 1 ตั้งแต่ตุลาคม-ธันวาคม 2563
ยังคงเดินหน้ารณรงค์ให้ผู้ประกอบการธุรกิจเข้าร่วมมาตรฐาน SHA :AMAZING
THAILAND SAFTY AND HEALTH ADMINISTRATION
ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้สมัครเข้าร่วมรับตราสัญลักษณ์มาตรฐาน SHA ไม่ต่ำกว่า 10,000 ราย
SHA เป็นโครงการร่วมมือของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
โดย ททท. และกระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
และหน่วยงานภาครัฐกับเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ร่วมมือกันจัดทำขึ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวคนไทยและนานาชาติทั่วโลก
ตลอดการเดินทางท่องเที่ยวเมืองไทยหลังสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
วัตถุประสงค์สำคัญในการสร้างมาตรฐานตราสัญลักษณ์
SHA มอบให้ธุรกิจ 10
ประเภท คือ
เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการควบคุมโรค
ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติได้รับประสบการณ์ที่ดี มีความสุข
มั่นใจด้านความปลอดภัยด้านสุขอนามัยจากสินค้าและบริการในการเดินทางเข้าออกเพื่อการท่องเที่ยวทุกพื้นที่ของประเทศไทย
โดย ททท.ได้นำมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุข ผนวกเข้ากับมาตรการบริการที่มีคุณภาพของสถานประกอบการท่องเที่ยว มุ่งลดความเสี่ยง ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการท่องเที่ยวของประเทศให้เป็นไปตามเกณฑ์ เพื่อความปลอดภัยตลอดทุกการเดินทางไปยังทุกสถานที่ ทุกเวลา
ข่าวที่ 5 ททท.กอดคอKlook-สมาพันธ์ท่องเที่ยวบูมขายชีพจรลง South…Wow
นายนิธี สีแพร ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ การท่องท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เมื่อปลายเดือนกันยายน 2563 ตอนเป็นผู้อำนวยการภูมิภาคภาคใต้ได้ร่วมกับพันธมิตร Klook ผู้นำทางด้านแพลตฟอร์มดิจิทัลและสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (TFOPTA) ซึ่งมีสมาชิกเชี่ยวชาญการขายท่องเที่ยว จับมือกันทำโครงการ “ชีพจรลง South…Wow ให้หายคิดถึง” ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภาคใต้ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง
นายวิลเฟร็ด ฟาน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ (Chief Commercial Office) บริษัท Klook กล่าวว่า ในฐานะผู้นำแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้บริการจองกิจกรรมการท่องเที่ยวแบบครบวงจร จึงพร้อมเป็นส่วนหนึ่งช่วยส่งเสริมและนำเสนอกิจกรรม สถานที่ท่องเที่ยว และบริการด้านการเดินทาง กระตุ้นนักท่องเที่ยวไทยหันมาเลือกเดินทางเที่ยวภาคใต้มากยิ่งขึ้น โดยจะสนับสนุนการท่องเที่ยว 3 ด้านหลัก ดังนี้
1.Klook จะใช้จุดแข็งในด้านการตลาดดิจิตัล ส่งเสริมและผลักดันรายได้กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจและบริการท่องเที่ยวภาคใต้ เช่น พัฒนา Search Engine Marketing (SEM) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหากิจกรรมท่องเที่ยว รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดีย และ CRM มาเป็นเครื่องมือทำการตลาด
2.เตรียมโปรโมชั่นกระตุ้นกิจกรรม สินค้า และบริการการท่องเที่ยวภาคใต้ จัดแคมเปญส่งเสริมการขาย โปรโมชั่น ไลฟ์สตรีมมิ่ง ทำคอนเทนท์สร้างแรงบันดาลใจเชิญชวนคนไปเที่ยวภาคใต้
3.สนับสนุนร้านค้าและผู้ประกอบธุรกิจต่าง ๆ และช่วยเสริมสภาพคล่องโดยเปิดขายบริการการท่องเที่ยวแบบไม่ระบุวันใช้งาน (Open-date ticket) ให้ผู้ประกอบการ และเป็นพันธมิตรให้ข้อมูลเชิงลึกพร้อมคำแนะนำเรื่องการดำเนินธุรกิจช่วงฟื้นฟูกิจการ เพิ่มช่องทางการประชาสัมพันธ์ธุรกิจของผู้ประกอบการให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (TFOPTA) กล่าวว่า “ความร่วมมือของทั้ง 3 ฝ่าย จะช่วยกระตุ้นคนไทยการเดินทางในประเทศเพิ่มขึ้น ทางสมาพันธ์ฯ พร้อมรณรงค์สมาชิกเร่งผลิตแพ็กเกจท่องเที่ยว ที่พัก กิจกรรม และบริการต่าง ๆ เสนอขายผ่านช่องทางออนไลน์ ให้ทุกคนเลือกเที่ยวเมืองไทยได้ในราคาพิเศษ และสะดวกง่ายดายขึ้นนั่นเอง
ข่าวที่ 6 TCEBเดินหน้า7ต.ค.นี้เปิดแผนเชิงรุกปั๊มรายได้ตลาดไมซ์ปี’64
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่าวันที่ 7 ตุลาคม 2563 เตรียมแถลงผลการดำเนินงานตลอดปีงบประมาณ 2563 และเปิดแผนขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ปี 2564 โดยภาพรวมแล้วพร้อมจะขับเคลื่อนนโยบายหลักโดยใช้ผลจากการวิจัยเข้ามาประกอบการวางแผนการตลาด เนื่องจากประเมินผลแล้วตลาดไมซ์ต่างประเทศจะพอเริ่มทยอยเข้ามาในไทยได้อาจจะเป็นประมาณเดือนมีนาคม 2564 เป็นต้นไป เริ่มจากกลุ่มขนาดเล็ก ๆ เพราะกรุ๊ปที่จะเข้ามาต้องผ่านการกักตัวตามขั้นตอน State Qualantine ดังนั้นกลุ่มที่พอจะเข้ามาได้คือตลาดจัดนิทรรศการแสดง (Exhibition)
ดังนั้นการเดินหน้าโยบายไมซ์ปี 2564 ตลาดต่างประเทศ ช่วงกันยายน-ตุลาคม 2563 ช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ทางทีเส็บพุ่งเป้าทำ เรื่องที่ 1 หลักคือ “ชิงการประมูลงานไมซ์รายการระดับโลกเข้ามาจัดในประเทศไทย” เป็นงานใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2565-2568 (คศ.2022-2025) เพราะเมืองไทยน่าจะพร้อมมากกว่าประเทศอื่น ๆ ทั้งทางด้านสาธารณสุขและวัคซีนรักษาไวรัส ส่วนปลายปี 2564 งานอินเซ็นทีฟน่าจะเกิดขึ้นได้จากตลาดบางประเทศ
สำหรับงานที่ทางทีเส็บประมูลมาจัดในไทย
งานแรก APEC 2022
การประชุมผู้นำทั่วโลก ประกอบกับจะมีการประชุมย่อยทางธุรกิจจำนวนมากอยู่ภายในงาน APEC ด้วย จากนั้นจะดึงงานขนาดใหญ่อย่าง FORB
ขณะนี้ทางฝ่ายต่างประเทศของทีเส็บก็ทำงานกันอย่างเต็มที่
ขยายการประมูลงานเป็นวงกว้างไม่เฉพาะงานการแพทย์เพียงอย่างเดียว
แต่จะเพิ่มงานทางเทคโนโลยี งานสังคม วิชาการ รวมไปถึงงานโรโบติก S-CURF
งานโลจิสติกส์รองรับการพัฒนาสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูง
และงานอุตสาหกรรมเครื่องจักรตามมาด้วย
เพื่อตอกย้ำให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยช่วงปี 2565-2568 จะเกิดการพัฒนาใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
โดยพร้อมจะทำงานหนักเพื่อดึงงานระดับโลกมาจัดในเมืองไทยในอนาคตอีก 3-5 ปีข้างหน้าให้ได้มากที่สุด
ขณะนี้ทางทีเส็บประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับทางคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
(ศบค.) ด้วยเช่นกัน
เกี่ยวกับการกำหนดขั้นตอนนำวิทยากรและนักธุรกิจเข้ามาร่วมงาน ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการกักตัวตามมาตรการของ
ศบค.อย่างเข้มข้น เน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญ
เรื่องที่ 2 เสริมสร้างโอกาสตลาดในประเทศ ยังพอพยุงได้บ้าง ซึ่งจะเห็นงานการจัดประชุม
คอนเฟอเรนซ์ คอนเว็นชั่น เอ็กซิบิชั่น โดยมีแคมเปญ “ประชุมเมืองไทย ปลอดภัยกว่า”
เป็นกำลังเสริมด้านงบประมาณจัดงานของทุกภาคส่วน เพื่อประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม
ซึ่งเปิดกว้างให้ทุกกลุ่มทั้งนิติบุคคล และทั่วไป
โดยจะเพิ่มใหม่อีก
2 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มแรก องค์กรที่พร้อมจัดงานคอนเว็นชั่นขนาด 100 คนขึ้นไป/ครั้ง ทีเส็บจะสนับสนุนเงินจัดงาน 50,000
บาท/ครั้ง เช่น องค์กรด้านการแพทย์
ด้านนวัตกรรม กลุ่มที่ 2 จัดเอ็กซิบิชั่น
แสดงสินค้าต่าง ๆ ในขนาดพื้นที่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป/ครั้ง
ทีเส็บจะสนับสนุนเงิน 500,000-800,000 บาท/ครั้ง
เน้นงานที่จัดในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพฯ อาทิ งานด้านอาหาร ชา กาแฟ ผลิตภัณฑ์ ศิลปกรรม
ผ้า และอื่น ๆ ส่วนงานจัดแสดงสินค้าขนาด 3,000
ตารางเมตรขึ้นไป/ครั้ง
จะสนับสนุนเป็นวงเงิน 1 ล้านบาท/ครั้ง
เป็นเงินของทีเส็บที่จะมาช่วยสนับสนุนตลาดไมซ์ในประเทศอย่างเต็มที่
สอดคล้องกับการขยายทีเส็บที่ได้จัดตั้งสำนักงาน
4 ภาค เหนือ ใต้
อีสาน ภาคตะวันออก แต่ละงานจะเน้นให้เกิดการเจรจาธุรกิจหรือ Business to
Business : B to B ตัวอย่างงาน ชา
กาแฟ ไม่เฉพาะให้คนทั่วไปเข้ามาร่วมชมงาน
แต่จะเชิญชวนผู้ประกอบการร้านเบเกอรี่เข้าไปเจรจาสั่งซื้อ ชา กาแฟ
ล็อตขนาดใหญ่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี เกิดการค้าผู้ซื้อพบผู้ขายอย่างเป็นรูปธรรม
งานในลักษณะดังกล่าวเมื่อจัดในพื้นที่ 3,000 ตารางเมตรขึ้นไป ก็จะได้เงินสนับสนุนจากทีเส็บ 1
ล้านบาท/งาน/ครั้ง
เหมาะสมกับผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป กระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วย
เรื่องที่ 3 นโยบายทางด้านนวัตกรรมทางธุรกิจ ทีเส็บมีหน่วยนวัตกรรมทำงานร่วมกับองค์กรเครือข่าย
สวทช. NIA และ Smart
MICE ส่วนใหญ่ก็จะช่วยเอกชนทำข้อมูล
ตัวอย่างการทำ ThailandMiceConnect
สามารถส่งมอบงานกระจายทั่วทั้ง 77 จังหวัด
รวบรวมข้อมูล สถานที่จัดไมซ์ ชุมชน โรงแรมห้องพัก ห้องประชุม ครบวงจรในเว็บเดียว
ถือเป็นเมนูที่พร้อมเสิร์ฟการจัดไมซ์ หรือแม้แต่การแนะนำวิธีจัดไมซ์วิถีใหม่หรือ New
Normal
บางสถานที่ต้องเฝ้าระวัง ผู้จัดก็สามารถเข้ามาดูได้
ช่วงที่
2 เตรียมตัวให้พร้อม เช็คสภาพรถให้ดี
เพื่อออกเดินทางไปสัมผัสไอหนาวตะลอนปักหมุดเช็คอินท่องเที่ยว “เพชรบูรณ์” ขึ้นภูดูวิวเข้าวัดดื่มด่ำธรรมชาติ 5 จุดเช็คอิน “ภูทับเบิก-กังหันลมภูเขา-อุทยานแห่งชาติเขาค้อ-วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว-วัดธรรมยาน”
แล้วฟังเรื่องน่ารู้กินยาอย่างไรไม่ให้เกิดภาวะ “ยาตีกัน” ส่วนข่าวฮ็อต ๆ
“นายกสมาคมแอตต้า” ชี้ไตรมาส4 บริษัททัวร์อินบาวนด์ทรุดหนัก
เร่งรัฐบาลใช้ STV นำเข้านักท่องเที่ยวต่างชาติ ควบคู่ประคองธุรกิจSMEsให้รอดด้วย ทางด้านธุรกิใหญ่ “ปตท.” สร้างโมเดลแจกเงิน 18 ล้านบาท ให้สต๊าฟ 3,000 คน
เที่ยวไทยปลายปีร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศฟื้นตัว
คิดแล้วไปให้ถึงเพชรบูรณ์“ขึ้นภูเข้าวัดสัมผัสความสุขวิถีใหม่”
เริ่มเข้าสู่ฤดูการเดินทางท่องเที่ยวปลายปี
แต่ละเดือนจะมีวันหยุดต่อเนื่องยาว
ตามนโยบายรัฐบาลต้องการให้คนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวในประเทศกันมาก ๆ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไหลลงสู่ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ทริปนี้จึงขอแนะนำ
ไปเช็คอินเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ที่ “เพชรบูรณ์”
ขับรถไปเช็คอิน
ขึ้นภู ดูวิว เข้าวัดชมสถาปัตยกรรมสวย ๆ ดื่มด่ำธรรมชาติ
เติมเต็มความสดชื่นให้ชีวิตวิถีใหม่ได้ ตามสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วเมือง
จุดเช็คอินแรก “ภูทับเบิก” ยอดดอยอากาศเย็นสบายกับภาพชินตาของไอหมอกสีขาวอมควัน มองเห็นวิวพืชไร่ละลานตา รีบมาเที่ยวกันตอนนี้ผู้คนอาจจะไม่มากมายเหมือนเมื่อก่อน
จุดเช็คอินที่ 2 “ทุ่งกังหันลม” สวยดังภาพเนรมิต เมื่อได้เซลฟี่ถ่ายรูปกังหันลมภูเขาท่ามกลางวิสวยๆ ในมุมงาม ๆ ไม่แพ้วิวต่างประเทศเลยทีเดียว
จุดเช็คอินที่ 3 “อุทยานแห่งชาติเขาค้อ” เป็นอีกสถานที่ซึ่งมีทั้งวิวธรรมชาติสวย ๆ น้ำตก ถ้ำ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ เหมาะกับนักเดินทางที่ชื่นชอบการผจญภัย ต้องออกมาสัมผัสประสบการณ์จริงด้วยตัวเอง เพื่อให้รู้ว่าเขาค้อมีดีมากกว่าที่คิด
จุดเช็คอินที่ 4
“วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว”
ภาพสถาปัตยกรรมของพระพุทธรูปสีขาวไล่เรียงเป็นภาพเชิงซ้อน ตั้งอยู่บนเนินเขามีวิวสวยงาม
ได้รับการเผยแพร่อย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับเรื่องราวของ “พระพุทธเจ้า 5 องค์” เรียงซ้อนกันได้อย่างลงตัวสวยงามแปลกตา น่าศรัทธา บริเวณวัดยังก่อสร้างด้วยกระจกหลากสีสัน
ดึงดูดความสนใจนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ชาวบ้านแถบนี้เลื่อมใสศรัทธาแวะมากราบไหว้เป็นประจำ
นักท่องเที่ยวเองเมื่อไปถึงเพชรบูรณ์แล้วก็อยากจะไปสักการะขอพรด้วยเช่นกัน
จุดเช็คอินที่ 5
“วัดธรรมยาน” ไฮไลต์คือประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ
แกะสลักละเอียดสมจริงทั้งสวยงามและมากด้วยขลัง แถมวิวรอบบริเวณวัดแห่งนี้สวยงามและอบอวนไปด้วยกลิ่นอายดี
ๆ เมื่อได้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ต้องห้ามพลาดเซลฟี่เผยแพร่ความดีอันสวยงามชวน ๆ คนอื่นมาเที่ยวก็จะยิ่งได้บุญ
คิดถึงเพชรบูรณ์แล้ว...ต้องมาให้ถึง
แหล่งท่องเที่ยวทั้ง 5 แห่ง กำลังรอต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกคน
เดินทางมาเติมความสุขทุก ๆ วัน
รู้เรื่อง“ยาตีกัน”
ไว้บ้างก็ดีเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับสุขภาพ
นศภ. กุลวดี ชูชะเอม นักศึกษาฝึกปฏิบัติงานคลังข้อมูลยา
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีข้อแนะนำถึง อันตรกิริยาระหว่างยาหรือที่เรามักเรียกกันสั้นๆ
ว่า "ยาตีกัน" เป็นปฏิกิริยาระหว่างยาที่ใช้ร่วมกันตั้งแต่ 2
ชนิดขึ้นไปทำให้ระดับยาในเลือดเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมซึ่งส่งผลต่อการรักษาและความปลอดภัยของการใช้ยาโดยระดับยาที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์หรือเป็นพิษได้
ในทางกลับกันระดับยาที่ลดต่ำลงอาจส่งผลต่อการรักษา
ทำให้การรักษาไม่ได้ผลหรือเกิดโรคแทรกซ้อนที่อันตรายภายหลัง
อันตรกิริยาระหว่างยานี้เกิดได้จาก 2 กลไกหลักได้แก่
1.ปฏิกิริยาระหว่างยาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฤทธิ์ของยาแบ่งได้
2 ลักษณะ คือ
1.1 ยา 2
ชนิดที่ได้รับมีการออกฤทธิ์ตรงข้ามกันส่งผลให้การออกฤทธิ์ของยาแต่ละตัวลดลง
ทำให้ผลการรักษาไม่เป็นไปตามที่คาดไว้
1.2 ยา 2 ชนิดที่ได้รับมีการออกฤทธิ์คล้ายคลึงกันส่งผลเพิ่มการออกฤทธิ์ของยามากกว่าได้รับยาเพียงตัวเดียวผลการรักษาอาจดีขึ้นแต่ผลข้างเคียงก็อาจเพิ่มมากขึ้นด้วย
2.ปฏิกิริยาระหว่างยาที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระดับยาในเลือด
"ยาตีกัน"
เนื่องจากยาดังกล่าวรบกวนกระบวนการต่างๆ เช่น การดูดซึม การจับกับโปรตีนในเลือด
กระบวนการเปลี่ยนสภาพยาและกระบวนการกำจัดยา
ทำให้ระดับยาอีกตัวหนึ่งในเลือดเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากปกติ
ส่งผลต่อการรักษาและความเป็นพิษของยา
นอกจาก 2
กลไกหลักที่กล่าวมาข้างต้นยังพบอันตรกิริยาระหว่างยาที่เกิดจากการเตรียมยา ซึ่งยา
2 ชนิดเมื่อผสมเข้าด้วยกันในสารละลายทำให้เกิดตะกอนหรือสีที่เปลี่ยนแปลงไป
เนื่องจากความไม่เข้ากัน ทำให้ผลการรักษาลดลงหรือไม่ได้ผล
2.1 ยาลดกรด(แอนตาซิด) ซึ่งเป็นยาพื้นฐานที่ใช้รักษาอาการไม่สบายท้อง
และสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป สามารถเกิดอันตรกิริยาระหว่างยากับยาใดได้บ้าง
อย่างแรก - ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเตตร้าไซคลินและยากลุ่มฟลูออโรควิโนโลน
ส่วนประกอบในยาลดกรดจำพวกแมกนีเซียมและอะลูมิเนียม
สามารถเกิดสารประกอบเชิงซ้อนที่ไม่ละลายน้ำกับตัวยาฆ่าเชื้อ
ทำให้การดูดซึมยาฆ่าเชื้อลดลง ส่งผลต่อระดับยาในเลือด ถ้าระดับยาฆ่าเชื้อต่ำมาก
อาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล
อย่างที่ 2 ยาฆ่าเชื้อรากลุ่มเอโซลโดยเฉพาะยาคีโตโคนาโซล การดูดซึมของยากลุ่มนี้
เกิดขึ้นได้ดีเมื่อกระเพาะอาหารอยู่ในภาวะกรด
ดังนั้นการรับประทานยานี้ร่วมกับยาลดกรดจะทำให้กระเพาะอาหารเป็นกรดลดลง
ร่างกายจึงดูดซึมยาได้ปริมาณน้อยลง
อย่างที่ 3 ยากันชัก - ยากลุ่มนี้เป็นยาที่มีช่วงระดับยาในการรักษาแคบ
หากได้รับร่วมกับยาลดกรดแล้ว ส่งผลให้ยาบางตัวถูกดูดซึมเข้าสู่เลือดได้มากขึ้นจนเกิดพิษบางตัวดูดซึมลดลงจนไม่สามารถควบคุมอาการชักได้
การเกิดอันตรกิริยาระหว่างยานั้น
เป็นเรื่องใกล้ตัวและสามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น
การให้ความร่วมมือกับบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยการแจ้งชื่อยาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ
ที่ใช้อยู่เป็นประจำ การปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างเคร่งครัด
ก็เป็นส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรกิริยาระหว่างยาได้
อีกทั้งทำให้เกิดความคุ้มค่าจากการใช้ยาแก่ตัวเรามากที่สุดด้วย
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก นายกแอตต้าชี้Q4อินบาวนด์ทรุดหนักชี้ต้องทำSPA-อุ้มSMEs
นายวิชิต ประกอบโกศล
นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (ATTA ) เปิดเผยว่า
ขณะนี้การทำตลาดนำคนต่างชาติเที่ยวเมืองไทย (inbound) ไตรมาส
1-3 เฉพาะมกราคม-เมษายน
2563 รายได้ก็หายไปจากประเทศไทยแล้วกว่า 1
ล้านล้านบาท ตอนนี้เข้าสู่ไตรมาส 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2563 หากรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเป็น
0 บาท จะเป็นสัญญาณทำให้บริษัทตัวแทนนำเที่ยวอินบาวนด์ปิดกิจการ
เลิกจ้างงาน ตอนนี้มีสถิติของบริษัทสมาชิกแอตต้าเลิกกิจการถาวรไปแล้ว 30%
เลิกหรือปิดชั่วคราว 30% หากไตรมาส 4 นี้ ยังไม่มีนักท่องเที่ยวธุรกิจจะหายไปจากอุตสาหกรรมมากกว่าครึ่ง
เพราะตลอดปี 2563 คาดจะมีต่างชาติเที่ยวมาไทยเพียง 4.7
ล้านคนเท่านั้น
ส่วนนโยบายล่าสุดหลังรัฐบาลออกมาตรการให้เดินหน้าทำ
Special Tourism Visa :SPA จะเป็นผลดีกับตลาดอินบาวนด์ในการช่วยเติมตลาดพักระยะยาวพร้อมใช้จ่ายเงินสูง
เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีถึงแม้ช่วงแรกจะมีจำนวนคนเข้ามาไม่มาก เดือนละหลักพันคนน้อยกว่าเดิมช่วงฤดูท่องเที่ยวปลายปีแต่ละปีจะมีต่างชาติเข้ามาเดือนละกว่า
3 ล้านคน
ดังนั้นแอตต้าจะเสนอแนะให้ร่วมมือกันบุกเจาะตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มศักยภาพสูงเพิ่มเข้ามาไทย
เน้นเลือกนักท่องเที่ยวจากประเทศต้นทางที่มีความปลอดภัยสูง เช่น ยุโรป นิวซีแลนด์
ออสเตรเลีย และเอเชียคือไต้หวัน กับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ซึ่งมีหลายมณธลไม่มีการแพร่ระบาดเลยเป็นเวลาต่อเนื่องเกิน 100
วัน
ขณะเดียวกันก็ขอให้รัฐบาลกระจายความช่วยเหลือเพราะช่วงนี้มีกระแสว่านโยบายส่วนใหญ่ประโยชน์ไปตกอยู่กับรายใหญ่เป็นหลัก
ดังนั้นจึงอยากให้ช่วยดูแลธุรกิจรายเล็ก (SMEs) เป็นพิเศษด้วย ควบคู่การประเมินสถานการณ์ปี 2564 ไปพร้อม ๆ กัน ทั้งเรื่อง 1.ต้องดูวัคซีนจะมีออกมาช่วงไหน
2.บริษัทนำเที่ยวของคนไทยจะต้องเร่งปรับตัวรับพฤติกรรมการเดินทางรูปแบบใหม่
ซึ่งส่วนใหญ่จะมีขนาดกลุ่มเล็กลง การกินเที่ยว หันไปเน้นท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กีฬา
พักผ่อน เพิ่มมากขึ้นด้วย
ข่าวที่สอง บอร์ดปตท.แจก18ล้านสต๊าฟ3พันคนเที่ยวไทยปลุกเศรษฐกิจฟื้น
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ (บอร์ด) ปตท.มีอนุมัติมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศร่วมกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว โดยให้จัดงบประมาณจ่ายเงินล็อตแรกมูลค่ารวม18 ล้านบาท สนับสนุนให้พนักงาน ปตท. จำนวน 3,000 คน ได้สิทธิรับเงินดังกล่าวเฉลี่ยคนละประมาณ 5,000 บาท นำไปใช้เดินทางท่องเที่ยวในประเทศช่วงปลายปีต่อเนื่องช่วง 3 เดือนระหว่างตุลาคม-ธันวาคม 2563 โดยสามารถใช้สิทธิ์วันลาพักร้อน และวันหยุดต่าง ๆ ได้
ปัจจุบัน ปตท.มีพนักงานทั้งหมดประมาณ 18,000 คน ส่วนผู้ที่จะได้รับสิทธิ์รับเงินท่องเที่ยวฟรีคนละ 5,000 บาท ตามมติบอร์ดครั้งล่าสุดประมาณ 1 ใน 6 คือประมาณ 3,000 คน
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์
เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น