เปิดเบื้องลึก!!โฮปเวลล์โมเดลรุกไทยรอบใหม่เร่งแก้3อำนาจ
ต่างชาติเคลียร์ข้อกล่าวหา-ยื่นทวงถามเงินลงทุน1.18 หมื่นล้าน
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT #เที่ยวกับกู๋ #HopeWell #ฆ่าโง่โฮปเวลล์
“โฮปเวลล์”
ต่างชาติแท็กทีมคนไทยชำแหละ ”ฆ่าโง่” เมกะโปรเจกต์ 33 ปี ใช้เป็นโมเดล จัดระเบียบใหม่ 3 อำนาจ
“นิติบัญญัติ-บริหาร-ตุลาการ” พร้อมล้างข้อกล่าวหาติดสินบนหมื่นล้าน
ยึดคำสั่งศาลจดทะเบียนธุรกิจถูกต้อง และคดีไม่หมดอายุความ ทวงคืนเงินลงทุน 11,800
ล้าน
นายคอลลิน เวียร์
กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด นำจดหมายเปิดผนึกเผยแพร่ในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่
29 กันยายน 2568 เรื่อง
“ฆ่าโง่..จุดหักเหโฮปเวลล์ : ภัยคุกคามอธิปไตยของชาติ” ระบุประเด็นสำคัญถึงข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จเรื่อง
“ข้อกล่าวหาโฮปเวลล์ ติดสินบน 10,000 ล้านบาท” เพื่อล้มคดี” ยืนยัน “โฮปเวลล์” เป็นบริษัทมหาชน จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สากลอย่างถูกต้อง
ให้การเคารพต่อกฎหมาย ตลอดจนกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด
และยึดถือการดำเนินกิจการด้วยความสุจริตโปร่งใส ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการกระทำใด ๆ
ก็ตามที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดสินบน”
“นายสัญญา สถิรบุตร” อดีต ส.ส.กรุงเทพมหานคร
ในฐานะที่ปรึกษา บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในฐานะผู้เคยดำรงตำแหน่งที่
“ปรึกษาคณะกรรมาธิการพานิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา” สภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมการ (บอร์ด)
การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมชำแหละ “เบื้องลึกเกมการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม”
กรณีโฮปเวลล์ ภายใต้กลไก 3 อำนาจ “ฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ
คุกคามอำนาจตุลาการ หวังผลล้มล้างคำพิพากษาอันเป็นที่สุดและเด็ดขาดแล้ว ตลอดเส้นทางพัฒนาการลงทุนและการต่อสู้อันยาวนาน
33 ปี
ตนจึงได้ยื่นเอกสารใหม่ไปยังฝ่ายนิติบัญญัติเมื่อ
22 พฤษภาคม 2568 เพื่อให้กรณีของ
“โฮปเวลล์” เป็นโมเดลจัดระเบียบใหม่ของ 3 อำนาจ ได้แก่
“นิติบัญญัติ-บริหาร-ตุลากร” จะต้องไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน
ส่วนทาง “โฮปเวลล์” ก็ได้ยื่นเอกสารถึง
“ศาลปกครองสูงสุด” ใหม่อีกครั้งขอให้พิจารณาใช้คำพิพากษาอันเป็นที่สิ้นสุดและเด็ดขาดแล้ว
เนื่องจาก บริษัทฯ
ได้ดำเนินการต่อสู้ตามขั้นตอนทางกฎหมายได้รับคำตอบเป็นที่ประจักษ์สามารถปลดล็อกได้แล้วทั้ง
2 ข้อกล่าวหา คือ
● ข้อกล่าวหาที่
1 โฮปเวลล์
จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทในเมืองไทยกับกระทรวงพาณิชย์ไม่ถูกต้อง โฮปเวลล์ใช้เวลา 5 ปี จนได้รับคำตัดสินยืนยันโฮปเวลล์
จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทถูกต้องตามกฏหมาย
● ข้อกล่าวหาที่
2 คดีโฮปเวลล์ขาดอายุความ เป็นคำตัดสินของศาลชั้นต้น
เมื่อไปถึงศาลฏีกาซึ่งเป็นศาลสูงสุดชี้ว่าคดีดังกล่าวไม่ขาดอายุความ
นายสัญญา
กล่าวว่า มี “ข้อน่าสังเกต” ที่สะท้อนพฤติการณ์ไม่เคารพคำตัดสินของศาลหรือไม่
สังเกตเห็นได้จากหลังศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาเมื่อเดือนเมษายน 2562
สั่งให้กระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
คืนเงินลงทุนและเงินค่าตอบแทนตามสัญญาก่อสร้างโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับกรุงเทพมหานคร
(Bangkok Elevated Road and Train System-BERTS) ให้
บริษัท โฮปเวลล์ฯ มูลค่า 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย
พร้อมทั้งออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2562
ตั้งคณะทำงานตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานกรณีโฮปเวลล์
โดยระบุเหตุผลเนื่องจากผลของคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่รัฐ....”
นายสัญญา
ชี้แจงว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 เป็นเหมือน”สารตั้งต้น”
นำไปสู่กระบวนการล้มล้างคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ผ่านกระบวนการผู้ตรวจการแผ่นดิน
และศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีกระทรวงคมนาคม และ รฟท.เป็นหน่วยงานรัฐ
เป็นกลไกหลักขับเคลื่อน โดยอ้างสิทธิตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560
ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ส่งเรื่องเข้าสู่กระบวนพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
การกระทำดังกล่าวน่าเชื่อว่ามีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ช่ำชองกลเกมกฎหมาย
ทำให้ขัดรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนหรือไม่
เนื่องจาก
ตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูย “กระทรวงคมนาคมและ รฟท.” เป็นหน่วยงานรัฐ
ไม่มีสิทธิใด ๆ ตามที่กล่าวอ้าง และตามมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญ
ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง
แต่ไม่กระทบต่อคำพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้ว”
และตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ.2560
มาตรา 37(2) มีใจความสำคัญระบุว่าเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว
ห้ามมิให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับไว้พิจารณา”
นายสัญญา
ย้ำว่า ขบวนการล้มล้างคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้ว น่าจะต้องถูกประนามเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบยุติธรรม
และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงต่อเศรษฐกิจ
เพราะทุกคำพิพากษาของศาล เป็นการตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์
เมื่อตัดสินชี้ขาดเป็นที่สุดและเด็ดขาดแล้ว ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ
ต้องปฏิบัติตาม
สำหรับ
“โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับกรุงเทพมหานคร” (Bangkok
Elevated Road and Train System-BERTS) ระยะทาง 60.1 กม.รัฐบาลไทย
มอบสิทธิ์ให้ “บริษัท โฮปเวลล์(ประเทศไทย) จำกัด”
ดำเนินการภายใต้สัมปทานการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาล
พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มีอายุสัมปทาน 30
ปี ระหว่างวันที่ 6 ธันวาคม 2534 -5 ธันวาคม 2562 มูลค่าการลงทุนรวม80,000 ล้านบาท ตามเงื่อนไขในทีโออาร์ผู้รับสัมปทานต้องรับผิดชอบจัดหาเงินลงทุนเองทั้งหมด
พร้อมกับจ่ายค่าตอบแทนสัมปทานแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ตามสัญญาที่ตกลงกันไว้
ลำดับเหตุการณ์
“พับฐานโครงการก่อสร้าง” โฮปเวลล์
● วันที่
27 มกราคม 2541 การรถไฟแห่งประเทศไทย
และกระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย บอกเลิกสัญญาโดยอ้างเหตุผู้รับสัมปทาน
ดำเนินโครงการล่าช้า ไม่เป็นไปตามสัญญา
● วันที่
27 พฤษภาคม 2547 บริษัทโฮปเวลล์ฯ ยื่นร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ระบุเหตุผลการบอกเลิกสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม
และ “คณะอนุญาโตตุลาการ” ชี้ขาดให้การรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม
คืนเงินค่าก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% หลังจากบริษัท
โฮปเวลล์ฯลงทุนไปแล้ว จากนั้นการรถไฟแห่งประเทศไทย และกระทรวงคมนาคม
ร้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
● เดือนเมษายน
2562 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาเป็นที่สุด สั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทยและกระทรวงคมนาคม
คืนเงินลงทุนและเงินค่าตอบแทนตามสัญญาดังกล่าว 11,888 ล้านบาท
พร้อมดอกเบี้ยให้บริษัท โฮปเวลล์ฯ เนื่องจากสัญญาระหว่างกันได้ยุติลงแล้ว
● ระหว่างปี
2563-2565 เกิดความเคลื่อนไหวโดยฝ่ายการเมืองบางกลุ่ม
นำคดีที่ศาลปกครองสูงสุดตัดสินเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว เปลี่ยนไปยื่น “ศาลรัฐธรรมนูญ”
แทน นำมาซึ่งการพลิก “ฆ่าโง่” โฮปเวลล์ โมเดล ร้อนระอุใหม่อีกครั้ง
ท่ามกลางสถานการณ์จนถึงขณะนี้ยังไม่มีนักลงทุนต่างประเทศ
สนใจจะเข้ามาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ร่วมกับภาครัฐของไทยในรูปแบบคล้ายกับโฮปเวลล์
และ/หรือ นักลงทุนต่างชาติอาจจะเป็นผลมาจากเห็นกรณีตัวอย่างดังกล่าว
จึงขยาดที่จะนำเงินเข้ามาพัฒนาโครงการที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะชนคนไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น