ททท.เร่งไฮซีซั่นเที่ยวไทย2แคมเปญ+ต่อยอดAmazingทั่วโลก
ลุยสื่อสารปลุกทัวร์ครอบครัว/โซโล-5เทศกาลทำเงินปลายปี68
เปิดมหกรรมเที่ยวอย่างสมดุล“เมืองรอง+วันธรรมดาน่าเที่ยว”
เดือนเกิด“คิงเพาเวอร์”ลดแรงลดเพิ่มแจกรถหรู 1-31ต.ค.68
สมัคร POWER PASS รับฟรี-รับเพิ่มเซ็ตคูปอง4ใบลด40%
ด่วน!สมาชิกคิงเพาเวอร์ใช้สิทธิ์ที่The Atlas Clubสุวรรณภูมิ
ททท.ปลุกNihao Monthทัวร์จีน/เช่าเหมาลำ+ซัมเมอร์แบลช
บางจากลุย“Bangchak 100x”ปี’71 เร่ง EBITDAโตเพิ่ม100%
“TCEB-แอมเวย์ไชน่า”นำกทม.เจ้าภาพไมซ์ปี’69 โกย 858ล้าน
เพ ลา เพลินด
เปิดฟรีทัวร์บุญไหว้พระเขี้ยวแก้ว-ศรีมหาโพธิ์
เปิดคู่ปฏิบัติฉบับญี่ปุ่นรับมือถนนยุบ“คนขับรถ-คนเดินถนน”
“ธรรมนัส”สั่ง ก.ท่องเที่ยว4เดือนเร่งดึงจีนทัวร์ไทย
2 ล้านคน
“ททท.-TCEB”ผนึกแผนปี68-69กวาดไมซ์โลกโร้ดโชว์ 5ตลาด
วันเสาร์ที่ 27 กันยายน 2568 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 อ่านในwww.facebook.com/penroongyaisamsen #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #บางจาก #พระเขี้ยวแก้วเพลาเพลิน
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://www.facebook.com/share/v/1EX4PFE3rN/
ช่วงที่
1 สัมภาษณ์ !! “นิธี สีแพร”
รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คลิกออฟสื่อสารตลาดปีงบประมาณ
2569 เริ่มไฮซีซั่นนี้ ต.ค.-ธ.ค.68
“ตลาดในประเทศ” อัด 2 แคมเปญ “ฟังเสียงหัวใจ
เที่ยวไทยไม่รู้ลืม” นำอินฟลูชิงคนไทยกระเป๋าหนัก ครอบครัวรุ่นใหม่ กับ โซโล
แทรเวลเลอร์ หันเที่ยวไทยไม่ทัวร์นอก ผนวกขาย “5เทศกาลใหญ่”
วิจิตรเจ้าพระยา ดนตรี ลอยกระทง ซีเกมส์ เคาน์ดาวน์ ด้าน “ตลาดต่างประเทศ” ต่อยอด Amazing
Thailand ในเวทีโลก 2 งาน “WTM 2025” อังกฤษ พ.ย.68 กับ “ITB Berlin” เยอรมัน ต้น มี.ค.69 คู่ขนาน “เที่ยวอย่างสมดุล”
เชิงพื้นที่ รุกกระจายจากเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว
เชิงเวลาโหมขายวันธรรมดาน่าเที่ยวกับกลุ่มสูงวัย ไมซ์ ใช้แพลตฟอร์มเทรนด์ใหม่ Thailand
Connex จับคู่ธุรกิจกับอินฟลูโปรโมททุกช่องทาง
ยกระดับเที่ยวยั่งยืนแบบพื้นที่นำร่องในกระบี่ มีให้เลือกทั้งแหล่งและชุมชน
นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า แผนงานสื่อสารการตลาดพร้อมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเริ่มต้นปีงบประมาณ 2569 จะเร่งกระตุ้นช่วงฤดูท่องเที่ยวปลายปีระหว่างตุลาคม-ธันวาคม 2568 เน้น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 “ตลาดในประเทศ” ต้องสร้างแรงจูงใจให้คนไทยเที่ยวในประเทศมากที่สุด เพราะต้องแข่งขันกับนานาชาติพากันจัดแคมเปญชวนคนไทยไปเที่ยวเช่นกัน ททท.จะเน้นเจาะกำลังซื้อศักยภาพสูงโดยลงทุนผลิต แคมเปญที่ 1 “ฟังเสียงหัวใจ เที่ยวไทยไม่รู้ลืม” เข้ามากระตุ้น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
กลุ่มที่ 1 มิลเลนเนียล กลุ่มครอบครัวอายุน้อย เดินทางพร้อมกันพ่อแม่ลูก สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันอย่างมีความสุขมากมาย ทั้งการเรียนรู้ ช้อปปิ้ง
กลุ่มที่
2 Solo Travellers สร้างความสุขให้ตัวเองและคนที่รัก
ส่วนใหญ่ไม่มีครอบครัว ชอบเดินทางแบบสบาย ๆ เช่น กลุ่ม LGBTQ+ กลุ่มเดินทางพร้อมสัตว์เลี้ยงที่รัก กลุ่มรักษาสุขภาพ จะใช้ Celebrabity
marketing โดยเลือก “ครอบครัวของลิเดีย”
ศิลปินและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังเป็นตัวแทนเชิญชวนแฟนคลับออกเดินทาง
แคมเปญที่ 1 “ฟังเสียงหัวใจ เที่ยวไทยไม่รู้ลืม” มีพันธมิตรโรงแรมรีสอร์ตทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 200 แห่ง โดยมอบส่วนลดที่พัก 10-30 % สามารถจองได้ตั้งแต่วันนี้ -30 พฤศจิกายน 2568 แล้วนำสิทธิ์ไปใช้ได้ยาวข้ามปีจนถึง 31 มีนาคม 2569 เข้าไปดูรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ เที่ยวไทยไม่รู้ลืม.com เพื่อให้คนไทยหันมาเที่ยวเมืองไทยกันให้ได้มากที่สุด
แคมเปญที่
2 เที่ยวงานเทศกาล ประเพณี ไฮไลต์ปลายปีนี้
รวม 5 งาน ได้แก่ งานที่ 1 เที่ยวแสงสีเสียงงาน
Vijit Chaopraya ต่อเนื่อง 45 วัน
ระหว่าง 1 พฤศจิกายน -15 ธันวาคม 2568
งานที่ 2 เที่ยวงานประเพณีลอยกระทงตามจังหวัดยอดนิยม
งานที่ 3 การท่องเที่ยวเชิงกีฬามหกรรมซีเกมส์
และวิ่งกรุงเทพมาราธอน งานที่ 4 มหกรรมดนตรีอย่าง Wonder
Fruit และ งานที่ 5 เคาน์ดาวน์ปีใหม่
สามารถสร้างสีสันได้จนถึงสิ้นปี 2568
ส่วนที่ 2 “ตลาดต่างประเทศ” จะต่อยอดสื่อสารการตลาดท่องเที่ยวทั่วโลกด้วยแคมเปญ Amazing Thailand เจาะเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งอาจจะมีทั้งความคาดหวัง ความเครียด อยากหลีกหนีความวุ่นวายมาปลดปล่อยผ่อนคลายในเมืองไทยตามแบบ Healing is Luxury จะนำเสนอสินค้าท่องเที่ยวภายใต้ 5 Must Do in Thailand บวกกับ “กิจกรรมผ่อนคลายอันหลากหลาย” มีทั้งการทำเมดิคัล เวลเนส สปา แพทย์แผนไทย และการใช้เสียงดนตรี รวมถึง “อาหารอร่อย” จะโปรโมทครั้งแรกในงาน World Travel Mart : WTM 2026เดือนพฤศจิกายน 2568 ที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และงาน International Travel Berlin : ITB 2026 ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2569 ที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมัน มุ่งสร้างการรับรู้ถึงเมืองไทยพร้อมต้อนรับนานาชาติ
โดยจะสร้างความเชื่อมั่นกับตลาดท่องเที่ยวทั่วโลกด้วย “Trusted in Thailand” พุ่งเป้าไปยัง “ตลาดจีน” มากเป็นพิเศษ ใช้สื่อกับเซเลบริตี้ กับสื่อต่างชาติทุกประเภท
นายนิธี
กล่าวว่าปี 2569 แผนสื่อสารการตลาดยังเน้น
“สร้างสมดุลการท่องเที่ยว” หลายรูปแบบ ได้แก่“สมดุลเชิงพื้นที่”
กระจายตัวจากเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว เช่น “ตลาดในประเทศ” มีแคมเปญหลักคือ
สุขทันทีที่เที่ยวเมืองไทย ใช้ข้อมูลกับกิจกรรมผ่านอินฟลูเอนเซอร์ ส่วน
“ตลาดต่างประเทศ” จะเน้นส่งเสริมการขายรายการใหญ่ ๆ ใน WTM ลอนดอน
ITB เบอร์ลิน และงานโร้ดโชว์ เทรดโชว์ต่าง ๆ ของ ททท.
“สมดุลเชิงเวลา” ส่งเสริมการท่องเที่ยววันธรรมดา รุกขยายฐานกลุ่มนักเดินทางสูงวัย ซึ่งสามารถเที่ยวได้โดยไม่จำกัดวันเวลา หรือกลุ่มประชุม สัมมนา MICE
ขณะที่การขับเคลื่อน “Thailand Connex Creator” ในยุคที่ ททท.ต้องทำงานสื่อสารผ่าน Content Creator อินฟลูเอนเซอร์ เพื่อรุกเข้าถึงนักเดินทางกลุ่มใหม่ ๆ จึงต้องสร้างพื้นที่เพื่อให้การทำงานได้ง่ายขึ้นระหว่าง “ผู้ประกอบการ” กับ “คอนเทนท์ ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์” ทุกแขนงที่มีความเชี่ยวแตกต่างกันไป ให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้มาพบกันบนแพลตฟอร์ม Thailand Connex ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนฟรีสร้างโปรไฟล์ เพื่อตกลงเจรจาธุรกิจเดินหน้าโปรโมทตามช่องทางที่หลากหลายทั้งการทำ 1.โฟโต้ อัลบั้ม 2.ทำคลิปวิดีโอ จับคู่ให้เหมาะกับการโปรโมทให้ตรงกลุ่มตลาดเป้าหมาย
ล่าสุด ททท.ได้จัด TAT Connex Challenge จัด Thailand Connex Awards 2025 ขึ้น เพื่อให้คอนเทนท์ ครีเอเตอร์ ต่าง ๆ มีผลงานโชว์กับผู้ประกอบการ จัดทำรีวิว นำเสนอคอนเทนท์ที่ดี เกิดการรับรู้สู่นักเดินทางเป็นวงกว้าง ตอนนี้มีกลุ่มที่เข้าร่วมแล้วกว่า 2,000 ราย เข้ามาจับคู่ธุรกิจพร้อมโปรโมทผ่านคอนเทนท์ ครีเอเตอร์ ที่ต้องการได้
นายนิธีกล่าวว่า ปี 2569 ยังได้เน้นขับเคลื่อน “การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน :Sustainal Tourism” จะยกระดับจัดทำเป็น “พื้นที่จุดหมายปลายทาง :Sustainable Destination” นำเสนอ “Krabi Pototype” สามารถเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวได้ครบวงจร มีทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ชุมชนท่องเที่ยว เช่น บ้านหยีเพ็ง/เกาะลันตา บ้านนายหนัง บ้านแหลมสัก บ้านเกาะกลาง รวมทั้ง “ผู้ประกอบการ” ที่เข้าร่วมโครงการท่องเที่ยวยั่งยืนกับ ททท.โดยมีมาตรฐานการรับรองชัดเจน ได้แก่ ธุรกิจที่ได้รับรางวัลกินรี ผ่านมาตรฐาน STAR Rating ระดับดาวการท่องเที่ยว ตามเกณฑ์ STGs :Sustainable Tourism Goals เป้าหมายสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และ CF-Hotel
รวมทั้งมีอีกจังหวัดได้นำเสนอการท่องเที่ยวยั่งยืนด้วน เส้นทาง Eco Trail กับ Geo Park นครราชสีมา หรือ Eco Learning Park เส้นทางอาบป่า และอื่น ๆ
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1-เดือนเกิด“คิงเพาเวอร์”ลดแรงลดเพิ่มแจกรถหรู 1-31ต.ค.
ลดแรง! ลดเพิ่ม! แจกรถฟรี! ตลอดเดือนเกิด คิง เพาเวอร์ ระหว่างวันที่ 1-31 ตุลาคม 2568 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และภูเก็ต คุ้มจนต้องช้อป ON-TOP OF THE YEAR ยกเว้นวันที่ 17 - 23 ตุลาคม 2568 ซึ่งจะมีงานใหญ่มาเซอร์ไพรส์ด้วย
1.ลดแรง! สูงสุด 25%
2.ลดเพิ่ม! ON-TOP 10% สำหรับสมาชิก POWER PASS
3.แจกรถฟรี! ลุ้นรับรางวัลใหญ่แห่งปี รถยนต์ LEXUS รุ่น NX 350h Luxury พร้อม กิฟท์ โวเชอร์ กะรัตรีวอร์ดส์ และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย ทุกการช้อปครบ 5,000 บาท(สุทธิ)
ข่าวที่ 2 -สมัคร POWER PASS รับฟรี+เพิ่มเซ็ตคูปอง4ใบลด40%
สมัครด่วน !! สมาชิก POWER PASS สมัครฟรี! ใช้โปรโมชั่นได้ทันที “คิง เพาเวอร์” พร้อมให้ด้วยใจทั้งรับฟรี และรับเพิ่ม กับเซ็ตคูปองพิเศษ เพื่อนำไปซื้อสินค้าได้ทุกสาขา
1.รับฟรี! เงินในบัญชีสมาชิก 100 บาท
2.รับเพิ่ม! เซ็ตคูปองพิเศษ ลดสูงสุด 40% รับคูปอง 4 ใบ เพื่อนำไปเลือกซื้อสินค้าคิง เพาเวอร์ ได้ทุกสาขา ดังนี้
● คูปองใบที่ 1 ส่วนลด 40% นำไปซื้อสินค้า 1 ชิ้น ที่ คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีก
● คูปองใบที่ 2 ส่วนลด 36% นำไปซื้อสินค้าแผนกเครื่องสำอาง-น้ำหอม 1 ชิ้น ที่ คิง เพาเวอร์ ท่าอากาศยานทุกสาขา
● คูปองใบที่
3 ส่วนลด 4,000 บาท นำไปช้อป 10,000
บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และภูเก็ต
● คูปองใบที่
4 ส่วนลด 4,000 บาท ใช้ช้อป 10,000
บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ ทางออนไลน์และแอปพลิเคชั่น Kingpower.com หรือ Application
King Power
ข่าวที่ 3-ด่วน!!สมาชิกคิงเพาเวอร์ใช้สิทธิ์ที่The
Atlas Club สุวรรณภูมิ
คิง
เพาเวอร์ ชวนพบประสบการณ์พิเศษก่อนเดินทางที่ THE ATLAS CLUB ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
วันนี้ -31 ธันวาคม 2568 ผ่อนคลายเหนือระดับ
ดื่มด่ำกับอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
1.สมาชิก VEGA รับสิทธิพิเศษใช้บริการ
ได้ไม่จำกัดสิทธิ์ และสามารถมอบสิทธิ์แก่ผู้ติดตาม ครั้งละไม่เกิน 2 ท่าน / ครั้ง / วัน
● รับสิทธิพิเศษ CARAT
REWARDS เพื่อแลกรับบริการเพิ่มเติมได้
● เพิ่มผู้ติดตามเข้าใช้บริการ
เพียงแลก 4,000 CARAT พร้อมชุดอาหาร 1 เซต
● สัมผัสความอร่อยเพิ่ม
เพียงแลก
2,000 CARAT ต่อชุดอาหาร 1 เซต
2.สมาชิก CROWN และ SCARLET เพียงแลก
3,500 CARAT รับสิทธิ์อัปเกรดเข้าใช้บริการ THE ATLAS
CLUB
สามารถแลก
CARAT REWARDS ได้เลยวันนี้ คลิก : https://kp.group/W1KfRt
ข่าวที่ 4-ททท.ปลุกNihao Monthทัวร์จีนหนุนเช่าเหมาลำ+ซัมเมอร์แบลช
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดเผยว่า ททท.อัพเดทโครงการ “Nihao Month” จัดแคมเปญและกิจกรรมกระตุ้นจีนเที่ยวไทยช่วง
“เทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีน” สร้างภาพลักษณ์เชิงบวกต่อเนื่องเฉลิมฉลอง
50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน หลังสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลง
จึงได้เร่งทำเพิ่มอีก 3 โครงการ คือ 1.Trusted Thailand สร้างความมั่นใจนักเดินทางจีนเที่ยวไทย
2.สนับสนุนสายการบินเช่าเหมาลำ (Charter Flight) จากเมืองรอง Tier 2-3 ของจีน และ 3.โครงการ Summer Blash เจาะตลาดได้รางวัลการเดินทาง (Incentive) มาเป็นหมู่คณะ ช่วงเป็นวันหยุดยาวและฤดูท่องเที่ยวสำคัญเดือนตุลาคม 2568
ททท.จึงได้จัดโครงการ
“Nihao Month” โดยมีกิจกรรมต่อเนื่องทั้งส่งเสริมภาพลักษณ์และอัดแน่นแคมเปญทางการตลาด
ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน และช่วงวันหยุดยาวต้นเดือนตุลาคมไปจนถึงช่วงปลายปีนี้
โดยตั้งเป้านำ “Nihao Month” เป็นมากกว่าแคมเปญส่งเสริมการตลาด
แต่คือ “สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความผูกพัน” อันแน่นแฟ้นระหว่างไทย–จีน ในวาระครบ
50 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต นำเสนอ “เทศกาลไหว้พระจันทร์” อันทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมมาเป็นสะพานเชื่อมโยงผู้คนทั้งสองชาติ
ช่วยสร้างภาพลักษณ์ไทยกลับมาครองใจนักท่องเที่ยวจีนอีกครั้งเป็น Top of
Mind Destination ตลอดไป
โครงการ “Nihao Month” ปีที่ 2 จัดช่วงเดือนกันยายน–ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นการเดินทาง
ฟื้นความเชื่อมั่น และสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางคุณภาพ (Quality
Destination) เมื่อ 15 กันยายน 2568 ได้เปิดตัวโครงการอย่างยิ่งใหญ่ในนครกว่างโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน ททท.นำศิลปินนักแสดงชื่อดัง
ป้อง- ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์
เข้าร่วมและได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าร่วมงานชาวจีน
สำหรับกิจกรรมสำคัญภายใต้โครงการ Nihao Month
เพิ่มความพิเศษด้วย 4 กิจกรรม ได้แก่
● 1.“Thailand,
Told by You – UGC Challenge & FAM Trip” เปิดโอกาสให้ Content
Creators จีน ร่วมประกวดสร้างสรรค์ผลงานสะท้อนเสน่ห์ไทย
ภายใต้แนวคิด “5 Must Do in Thailand” และ “Soft
Power 5F” เมื่อ 1-12 กันยายน 2568 คัดเลือกผู้ชนะร่วมเดินทางมาไทยวันที่
5-11 ตุลาคม 2568 แล้วนำเรื่องราวที่ได้สัมผัสประสบการณ์ถ่ายทอดผ่านสื่อออนไลน์ของตนเอง
● 2.เข้าร่วม “Amazing
Mid-Autumn in Thailand, Welcome Reception” เทศกาลไหว้พระจันทร์
วันที่ 6 ตุลาคม 2568 ที่ วัน แบงค็อก เปิดให้ KOLs
และ Influencers จีนชื่อดัง มีโอกาสได้พบปะนักร้องและศิลปินชื่อดังขวัญใจชาวจีน อย่าง
บิวกิ้น - พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ ป้อง- ณวัฒน์ กุลรัตนรักษ์
● 3.ร่วมแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรม
เช่น ทำขนมไหว้พระจันทร์ เขียนพู่กันจีน และเวิร์กชอปร่วมสมัย
● 4.เดินทางสัมผัสและแชร์ประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวเมืองไทย 4 เส้นทาง ได้แก่ เชียงใหม่ พัทยา(ชลบุรี) ภูเก็ต และเกาะสมุย
สุราษฎร์ธานี ร่วมสร้างแรงบันดาลใจนักท่องเที่ยวเกิดการเดินทางตามรอยอินฟลูเอนเซอร์ดัง
รวมทั้ง ททท.ได้จัด “Chinese Passport Privilege” ระหว่าง 20 กันยายน -31 ธันวาคม 2568
มอบสิทธิพิเศษ Grand Privilege ให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาไทย อีก
3 กิจกรรม ดังนี้
● รับสิทธิประโยชน์
เพียงแสดงหนังสือเดินทางจีน เมื่อใช้จ่ายในร้านค้า ห้างสรรพสินค้า สปา
บริการด้านการท่องเที่ยว
พร้อมใจกันมอบสิทธิพิเศษและความคุ้มค่าทุกการใช้จ่ายให้นักท่องเที่ยวจีนในห้างสรรพสินค้าและซุปเปอร์มาร์เกตของไทย
เช่น สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัพเวอรี่ ไอคอนสยาม ห้างเซ็นทรัล วันแบงค็อก เดอะมอลล์
เอ็มดิสตริก โลตัส แม็คโคร ท็อปส์ ร่วมกันมอบสิทธิพิเศษและความคุ้มค่าทุกการใช้จ่ายให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีน
● จัดกิจกรรมโปรโมชั่นร่วมกับพันธมิตรแพลตฟอร์มชั้นนำของจีนทางด้านไลฟ์สไตล์
การท่องเที่ยวการชำระเงิน เช่น Meituan,
Ctrip, Alipay มอบสิทธิพิเศษ มีทั้งส่วนลด เงินคืน (Cash
Back) อี-คูปอง นำไปใช้ตามร้านค้าในไทยที่ร่วมรายการ
● ทำกิจกรรม Live
Streaming ร่วมกับผู้มีอิทธิพลบนสื่อออนไลน์ของตลาดจีน
มุ่งสื่อสารกับกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง นักเดินทางรุ่นใหม่ กลุ่มครอบครัว
กลุ่มที่มีแนวโน้มเดินทางซ้ำ
สถิติจีนเที่ยวเมืองไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 22 กันยายน 2568 รวม 3,312,151 คน ททท. เชื่อมั่นการใช้มาตรการกระตุ้นตลาดที่ร่วมกับพันธมิตรนำเสนอต่อเนื่องด้วยรูปแบบต่าง
ๆ ควบคู่การปรับภาพลักษณ์
สร้างความเชื่อมั่นการเดินทางมาเยือนไทย และโครงการ Nihao Month จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยได้ตามเป้าหมายปี
2568
ข่าวที่ 5-บางจากลุย“Bangchak 100x”ปี’71 เร่ง EBITDAโตเพิ่ม100%
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก
คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บางจากเดินหน้าประกาศกลยุทธ์ ‘Accelerating
Bangchak 100x: Pivoting toward Energy Security and
Sustainability’ ตั้งเป้าเติบโตแบบก้าวกระโดด ภายในปี 2571
จะทำ EBITDA เพิ่มขึ้น 100% เร่งสร้างคุณค่าและยกระดับศักยภาพการแข่งขัน รักษาความเป็นเลิศทุกด้าน โดยต่อยอด 4 แกนยุทธศาสตร์ เน้นลงทุนบนพื้นฐานวินัยทางการเงิน
พัฒนาและดูแลบุคลากรซึ่งเป็นกำลังสำคัญขององค์กร รักษาสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม
สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยได้ขยายธุรกิจพลังงานครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ดำเนินธุรกิจ ทั่วโลกกว่า 10 ประเทศปี 2567 มีสินทรัพย์รวมกว่า 316,000 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นจากปี 2553 กว่า 5 เท่า
จากเดิม 59,000 ล้านบาทเป็นความสำเร็จนี้สะท้อนถึงองค์กรสามารถปรับตัว
เปลี่ยนผ่าน สร้างการเติบโตได้ภายในเวลารวดเร็ว
ปัจจุบันต้องเผชิญความท้าทายที่ซับซ้อน
ท่ามกลางความผันผวนของภูมิรัฐศาสตร์ ราคาพลังงานที่ไม่แน่นอน
และแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านด้านสภาพภูมิอากาศ
แม้สังคมโลกจะเร่งผลักดันการลดคาร์บอน แต่หลายสำนักยังคงชี้ไฮโดรคาร์บอนจะคงเป็นพลังงานหลักของเศรษฐกิจโลกจนถึงปี 2593 “บางจาก” จึงเร่งทำกลยุทธ์ Bangchak 100x เติบโตอย่างมั่นคง มุ่งเน้นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทน (Return-Focused
Investment) ควบคู่ขยายผลดำเนินงานในระดับสากล
โดยให้ความสำคัญกับการสร้างคุณค่าธุรกิจหลักและการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อรักษาความเป็นผู้นำผลตอบแทนผู้ถือหุ้นตลอด 5 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงกว่าคู่แข่ง พร้อมผลักดันให้ดียิ่งขึ้น
มุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ด้วยการลงทุนรองรับอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงโมเลกุลสะอาด
พลังงานทางเลือกที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนสู่บรรยากาศ
และตอบโจทย์ความยั่งยืนในระยะยาว
พร้อมใช้ยุทธศาสตร์หลัก 4 ด้าน คือ 1. การตั้งเป้าหมายใหม่ที่ท้าทาย มุ่งผลักดันภายในปี /ถึ ทำ EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้น 100% พร้อมเสริมสร้างศักยภาพองค์กรสู่ Thailand’s Top
Employer ตอกย้ำความเป็นผู้นำความยั่งยืน ด้วยการจัดอันดับ Top
1% ESG Ranking และ Top 5% ของดัชนี DJSI ควบคู่ลดต่อเนื่องความเข้มข้นการปล่อยคาร์บอน (Carbon
2.ขับเคลื่อนสู่ความมั่นคงทางพลังงานและความยั่งยืน มุ่งเน้นการลงทุนที่สร้างผลตอบแทน ธุรกิจต้นน้ำระยะกลาง
ตลอดจนพลังงานไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานใหม่
3.ยกระดับศักยภาพธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถการทำกำไร
ด้วยวิธีปรับโครงสร้างธุรกิจ ตอบโจทย์การลงทุนและเป้าหมายใหม่
ครอบคลุมธุรกิจการกลั่นน้ำมันและการตลาด เชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงแห่งอนาคต (SAF,
HVO) การค้าพลังงานแบบ ด้วยการขยายกำลังการผลิตโรงกลั่น
พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ขยายเครือข่ายการตลาดควบคู่กับการผลักดันธุรกิจ Non-Oil ให้เติบโต
4.สร้างคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อหุ้นคืน 3 ปี เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้ถือหุ้น
เสริมความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการเติบโต เพื่อความชัดเจนในการดำเนินงาน บริษัทฯ
จะปรับโครงสร้างธุรกิจเสริมสร้างความแข็งแกร่งระยะยาว โดยมุ่งสร้าง Synergy ระหว่างหน่วยธุรกิจให้เกิดประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจโรงกลั่น การตลาด และพลังงานชีวภาพ พร้อมเร่งกลไกการเติบโตใหม่ผ่านธุรกิจการค้าน้ำมันและธุรกิจต้นน้ำ
ปรับบทบาท BCPG ให้ก้าวสู่ผู้ดำเนินธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
รองรับทั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืนและรายได้ที่มั่นคง และการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคตผ่านกองทุน CVC มูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
วางรากฐานให้องค์กรก้าวนำการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
ตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 จะจัดโครงสร้างธุรกิจใหม่เป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่
กลุ่มที่
1 ธุรกิจโรงกลั่นและการตลาด และพลังงานชีวภาพ (Refinery & Marketing and Biofuels) บริหารโรงกลั่นน้ำมันบางจากพระโขนงและโรงกลั่นน้ำมันบางจากศรีราชาแบบ
วัน ทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ขยายกำลังการกลั่นรวมปี 2568 วันละ 265,000 บาร์เรล ปี 2571 วันละเป็น 285,000 บาร์เรล ปี 2573
วันละมากกว่า 290,000 บาร์เรล ควบคู่การลงทุนน้ำมันอากาศยั่งยืนหรือ SAF และ HVO (Hydrotreated Vegetable
Oil) ปี 2570 รวมวันละ 7,000 บาร์เรล ซึ่งตอนเริ่มต้นผลิตในเชิงพาณิชย์เดือนมิถุนายน 2569 ผลิตได้วันละ5,000 บาร์เรล
“ด้านพลังงานชีวภาพ” ปี 2569
0tขยายกำลังการผลิตเอทานอลเป็น 292 ล้านลิตร/ปี
และเพิ่มประสิทธิภาพการเดินเครื่องโรงงานไบโอดีเซลสู่กำลังการผลิตเต็มที่ 330 ล้านลิตรต่อปี
เสริมสร้างซินเนอร์ยีระหว่างหน่วยธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ด้านการตลาด” ปี
2568 ขยายสถานีบริการเป็นราว 2,300 แห่ง ปี 2571 เพิ่มมากกว่า 2,300 แห่ง ปี 2573 จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดกว่า 33% จากปี 2568 ทำได้ 29 % ควบคู่กับการผลักดันธุรกิจ Non-Oil ทั้งอินทนิลและค้าปลีก
ภายในปี 2571 ตั้งเป้ามี EBITDA ของธุรกิจนี้เติบโต 3 เท่า
กลุ่มที่
2 ธุรกิจการค้าน้ำมัน (Trading) กลุ่มธุรกิจหลักใหม่ (new flagship) กลไกขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ของบางจากฯ
ยกระดับจากบทบาทเดิมสนับสนุนโรงกลั่นสู่ธุรกิจหลักสร้างผลตอบแทนสูง โดยมุ่งพัฒนาซื้อขายพลังงานแบบมีสินทรัพย์รองรับ
(asset-backed trading) ใช้ความได้เปรียบจากการมีโรงกลั่นน้ำมัน
คลังน้ำมัน และระบบขนส่งที่ครอบคลุมเป็นฐานขยายตลาด
ควบคู่การบริหารความเสี่ยงด้านราคาและปริมาณ
ขยายทั้งปริมาณและมูลค่าการซื้อขายในประเทศและภูมิภาค
กลุ่มที่
3 ธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) ตั้งเป้าเป็นผู้ดำเนินธุรกิจแหล่งปิโตรเลียมระยะกลางชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยใช้ประสบการณ์ระดับสากลจากนอร์เวย์ บริหารแหล่งผลิตให้มีประสิทธิภาพ
เสริมความคล่องตัวและกระแสเงินสดมั่นคง พิจารณาการลงทุนที่เหมาะสม
เสริมความมั่นคงด้านพลังงานและการเติบโตระยะยาว
กลุ่มที่
4 ธุรกิจไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน (Power and Infrastructure) ต่อยอดพลังงานหมุนเวียนสู่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานยุทธศาสตร์
ได้แก่ ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ และธุรกิจรีไซเคิลแบตเตอรี่
ตั้งเป้าภายในปี 2571 เพิ่ม EBITDA เป็น 7,000 ล้านบาท
ผ่านการบริหารพอร์ตเพื่อเพิ่มผลตอบแทนและหมุนเวียนทุน
กลุ่มที่
5 ธุรกิจใหม่และโฮลดิ้งส์ (New Businesses and Holdings) มุ่งสร้างการเติบโตผ่านการขยายศักยภาพธุรกิจหลัก
ทั้งด้านการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ธุรกิจการกลั่นและการตลาด
ควบคู่การลงทุนใหม่มูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
เตรียมพร้อมสู่อนาคต โดยเน้นยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน
การสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่ทันสมัย การพัฒนาพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ เช่น Bio-LNG,
Nuclear Fusion,
กรีนแอมโมเนีย เชื้อเพลิงสังเคราะห์ เทคโนโลยีชีวภาพและระบบแบตเตอรี่
เสริมพลังให้ธุรกิจหลักขยายโอกาสใหม่
สร้างเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนให้กลุ่มบริษัทบางจาก
“ด้านการเงิน”
บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ 4 ด้าน ได้แก่ 1.เพิ่มอัตรากำไร ผ่านการยกระดับประสิทธิภาพของธุรกิจที่มีอยู่ และจัดสรรงบลงทุน (CAPEX) อย่างเหมาะสม 2.การลงทุนที่มุ่งผลตอบแทน ให้ความสำคัญกับธุรกิจต้นน้ำ การค้า
และโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโต 3.สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในระดับแนวหน้า ผ่านโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี และสร้างกระแสเงินสดรองรับการจ่ายเงินปันผล 4.การเตรียมความพร้อมสู่อนาคต เปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยใช้โอกาสจากเทคโนโลยีใหม่
รักษาความแข็งแกร่งทางการเงินภายใต้วินัยการลงทุนอย่างเข้มงวด ปี 2569-2571
มีจัดสรรงบลงทุนรวม 35,000 ล้านบาท
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก ขยายสู่โครงสร้างพื้นฐานอนาคต รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน
ข่าวที่ 6-“TCEB-แอมเวย์ไชน่า”นำกทม.เจ้าภาพไมซ์ปี’69 โกย 858ล้าน
ดร.
ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ทีเส็บ กับ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และแอมเวย์ ไชน่า
ร่วมมือกันประกาศความสำเร็จระหว่างเข้าร่วมงาน IT&CM Asia and CTW
Asia-Pacific 2025 ที่กรุงเทพฯ พร้อมทั้งจะนำกลุ่มตัวแทนขายต่างประเทศของจีนกว่า
10,000 คน ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาประชุมสัมมนาผู้นำประจำปี Amway
Leadership Seminar – Bangkok ระหว่างวันที่ 4 มีนาคม – 13
เมษายน 2569 ที่กรุงเทพฯ สอดคล้องกับแนวคิดของทีเส็บมุ่งจัด “Slow Living”
Travel Experience ผสมผสานการประชุมทางธุรกิจกับประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมวิถีริมฝั่งน้ำและไลฟ์สไตล์ที่ลึกซึ้งใจกลาง
เป็นโอกาสที่ดีครบรอบ
50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน ที่จะทำให้กรุงเทพฯเป็น “สะพานแห่งมิตรภาพ”
ของ 2 ประเทศ เป็นเจ้าภาพต้อนรับผู้นำ “แอมเวย์ ไชน่า”
ที่เลือกนำงานครั้งสำคัญมาจัดในเมืองไทยเชื่อมโยงสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของประชาชนสองประเทศได้ด้วย
“ทีเส็บ กับ แอมเวย์ ไชน่า”
และหน่วยงานพันธมิตรไทย ร่วมมือกันต่อเนื่องมาตลอดกว่า 2 ปี เกี่ยวกับการนำงานประชุมสัมมนาผู้นำประจำปี Amway
Leadership Seminar – Bangkok มาจัดในไทย เริ่มครั้งแรกเมื่อปี
2540 ทีเส็บได้สนับสนุนแอมเวย์ ไชน่าในต่างประเทศมาจัดประชุมที่กรุงเทพฯ
อนาคตปี 2569 ทีเส็บยังคงมีบทบาทสำคัญต่อยอดพัฒนาตลาดดังกล่าวด้วยแนวคิด “Slow
Living” ชูประสบการณ์วิถีวัฒนธรรมท้องถิ่นให้คณะของแอมเวย์
ไชน่า ทุกคน มุ่งตอกย้ำ “บทบาททีเส็บ” คือองค์กรผลักดันประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางไมซ์ชั้นนำของเอเชีย
โดยทีเส็บพร้อม
“อำนวยความสะดวก” ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ด้วย 4 ภารกิจหลัก ได้แก่
1.นำเสนอบริการ MICE Lane Service
ให้แขกไอพีที่เดินทางมาร่วมประชุม ด้วยวิธีประสานงานหน่วยงานรัฐ
การให้บริการตรวจคนเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว 2.สนับสนุนงานการแสดงทางวัฒนธรรม
3.มอบสิทธิพิเศษจากพันธมิตรภาคธุรกิจ 4.ดูแลมาตรการต้อนรับ ความปลอดภัย และการท่องเที่ยวทั่วประเทศ โดยจัดเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินทางถึงสนามบิน
โรงแรม และสถานที่จัดงาน
ดร.
ศุภวรรณ กล่าวว่ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งได้ร่วมกับ ททท.
ภายใต้แนวคิด “ทีม ไทยแลนด์” ให้การต้อนรับ “แอมเวย์ ไชน่า” กลับสู่ประเทศไทยรองรับการจัดประชุมผู้นำกว่า
10,000 คน สะท้อนทั้งเรื่องความสัมพันธ์ไทย–จีนอันแน่นแฟ้น
กับสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพเชิงสร้างสรรค์ของไทยพร้อม “มอบประสบการณ์ไมซ์นอกกรอบความคิดเดิม”
ที่มีคุณค่าและแปลกใหม่ ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่
นำอุตสาหกรรมไมซ์และการท่องเที่ยวไทยก้าวสู่เป้าหมายสำคัญด้วยกลยุทธ์ยกระดับไทยโดดเด่นในฐานะจุดหมายปลายทางระดับพรีเมียมของเอเชีย
ช่วงที่ 2 ไปเที่ยวอีสานใต้ฟรี ๆ สายบุญเช็คอินด่วน ไหว้ “พระเขี้ยวแก้ว” สักการะ
“หน่อต้นศรีมหาโพธิ์” ที่ “เพ ลา เพลิน” อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ต้อนรับ
ททท.สำนักงานใหม่บุรีรัมย์ ครบรอบ 9 ปี
กับต้นศรีมหาโพธิ์กว่า 2,300 ปี ต่อด้วย
“คู่มือฉบับญี่ปุ่นเมื่อเจอถนนยุบ” ระหว่างขับรถและคนเดินถนน พร้อมเกาะติดข่าวฟังๆ
ข่าวแรก “ธรรมนัส” สั่งก.ท่องเที่ยวลุยใน 4 เดือนดึงทัวร์จีนกลับมาเที่ยวไทย
2 ล้านคน ข่าวที่สอง “ททท.-TCEB”ผนึกแผนปี68-69 กวาดอินเซนทีฟไมซ์โลกเร่งทำ 5 โรดโชว์
ท่องเที่ยว
–เพ ลา เพลินด เปิดฟรีทัวร์บุญไหว้พระเขี้ยวแก้ว-ศรีมหาโพธิ์
เปิดโลกแห่งการเดินทางในเมืองน่าเที่ยวแดนอีสานใต้
กับพิกัดเส้นทางบุญและสายศรัทธา “อุทยานเรียนรู้ เพ ลา เพลิน” อำเภอคูเมือง จังหวัดบุรีรัมย์
ต้อนรับการเปิดสำนักงานใหม่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานบุรีรัมย์
เชิญชวนพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวเข้าฟรีตลอดเดือนแห่งบุญกฐินออกพรรษาตลอดตุลาคม
2568
“ตุลาคม 2568” เดินทางมาร่วมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่พระพุทธศาสนาโลก
“พระเขี้ยวแก้ว (จำลอง)” และ “หน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์” อายุกว่า 2,300 ปี
“อุทยานเรียนรู้ เพ ลา เพลิน” เปิดรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มวัย
ร่วมทำบุญเสริมบารมี ช่วงเทศกาลสำคัญทางพุทธศาสนา และส่งเสริมพื้นที่อีสานใต้ขยายการท่องเที่ยวเชิงศรัทธาเติบโตอย่างยั่งยืน
“กิจกรรมพิเศษ” ช่วงเดือนแห่งบุญ ตุลาคม 2568 ทางอุทยานเรียนรู้ เพ ลา เพลิน เปิดฟรี !! ให้ประชาชนเข้าชมและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ น้อมนำคุณค่าสิ่งที่ดีมอบให้ทุกคนได้ร่วมทำบุญและสร้างกุศลร่วมกัน
ร่วมกิจกรรมและแหล่งเรียนรู้เชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติอีกมากมายในพื้นที่กว่า 390
ไร่ ชวนครอบครัว เพื่อนฝูง และคนรู้ใจ ที่ต้องการท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้
สักการะฟรี จากปกติค่าเข้าชม เพ ลา เพลิน จะคิดค่าเข้าพื้นที่ ผู้ใหญ่ 150 บาท/คน เด็กและผู้สูงอายุ ครึ่งราคา เพียง 80 บาท/คน
สำหรับ “พระเขี้ยวแก้ว” หรือ “พระทันตธาตุส่วนเขี้ยวของพระพุทธเจ้า”
ถือเป็นสิ่งสักการะสูงสุดปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก และเป็นหนึ่งใน
“มหาปุริสลักขณะ” หรือลักษณะอันยิ่งใหญ่ของมหาบุรุษ
ปัจจุบันเชื่อกันว่ามี “พระเขี้ยวแก้ว” ประดิษฐานอยู่ในโลกเพียง 2 องค์ คือ “วัดพระเขี้ยวแก้ว” เมืองแคนดี้ ศรีลังกา และ “วัดหลิงกวง”
กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
ส่วน “องค์พระเขี้ยวแก้ว (จำลอง)” ที่ อุทยาน เพ ลา เพลิน จังหวัดบุรีรัมย์ อัญเชิญมาประดิษฐานเป็นองค์ที่
9 และองค์สุดท้ายที่เคยประดิษฐานอยู่ในวัดพระเขี้ยวแก้ว เมืองแคนดี้ โดยได้รับความเคารพอย่างสูงเทียบเท่าองค์จริง
“หลักฐานบันทึกการสร้าง” ยังไม่ปรากฏแน่ชัด เพียงมีการกล่าวถึงว่าองค์จำลองที่สร้างนี้เกิดขึ้นช่วงเวลาเดียวกับที่
“พระอุบาลีมหาเถระ” เดินทางถึงศรีลังกา เพื่อฟื้นฟูพระพุทธศาสนาและสถาปนา
นิกายสยามวงศ์ ขึ้น
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์และศรัทธาระหว่างไทยกับศรีลังกา
“ประวัติ” การอัญเชิญองค์พระเขี้ยวแก้ว (จำลอง) องค์ที่ 9 มาประดิษฐานที่ อุทยานเรียนรู้ เพ ลา เพลิน บนผืนแผ่นดินไทยสืบเนื่องในวาระสำคัญเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไทย
- ศรีลังกา 700 ปี และในโอกาส พ.ศ.2559 เป็น “ปีมหามงคล” พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี
และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 84 พรรษา
ด้วยความเมตตาจากสมเด็จพระสังฆราช “วะระกาเดอะ
ญาณะรัตนะมหานายกะเถระ” พระมหาสังฆนายกสยามวงศ์ ฝ่ายมัลวัตตะ
ทรงประทานพระเขี้ยวแก้วจำลอง และหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากต้นเก่าแก่ อายุกว่า 2,300 ปี มาปลูกในประเทศไทย ที่ “อุทยานเรียนรู้เพ ลา เพลิน” พร้อมทั้งได้จัดพิธีอัญเชิญเมื่อ
19 กันยายน 2559 โดย “พระเทพปริยัติมุนี”
เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก ภาค 11 เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพลเอก
เชษฐา ฐานะจาโร ประธานมูลนิธิส่งเสริมพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย - ศรีลังกา
เป็นประธานฝ่ายฆราวาส มุ่งเน้นเชื่อมความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนาระหว่างไทยกับศรีลังกา
เป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของชาวอีสานใต้และชาวไทยทุกคนมาจนถึงทุกวันนี้
สอบถามข้อมูลเพิ่ม โทร. 087 797 6425 LINE: @PlayLaPloen อัพเดทรายละเอียดได้ทาง
https://lin.ee/jIufYzR และ Facebook: www.facebook.com/PlayLaPloen
สุขภาพ –เปิดคู่ปฏิบัติฉบับญี่ปุ่นเมื่อเจอถนนยุบ“คนขับรถ-คนเดินถนน”
เปิดวิธีปฏิบัติ
เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์ ถนนยุบ , ถนนทรุด
เอาตัวรอดให้ปลอดภัย เวลาเจอเช่นเหตุการณ์ช็อก แบบเดียวกับบริเวณหน้าโรงพยาบาลวชิรพยาบาล
เมื่อ 24 กันยายน 2568
ภาพหลุมยุบขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นแบบไม่มีใครคาดคิด
หลุมขนาดความกว้าง 30×30 เมตร และลึกถึง 50 เมตร
เสาไฟฟ้า 2 ต้น และรถยกของสถานีตำรวจนครบาลสามเสน
ตกลงไปในหลุม ขณะที่การทรุดตัวยังคงขยายวงกว้างต่อเนื่อง
หากเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ถนนยุบตรงหน้า
ควรจะปฏิบัติตัวอย่างไร?
สำหรับ
คน กทม. นี่อาจเป็นภัยพิบัติรูปแบบใหม่
แต่ในประเทศที่เผชิญกับภัยธรรมชาติบ่อยครั้งอย่าง “ญี่ปุ่น” ได้จัดทำคู่มือเบื้องต้นการเอาชีวิตรอดเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉิน
ไว้ดังนี้ ที่คนไทยนำมาประยุกต์ใช้ได้ คือ
1. สำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ หากเรากำลังขับรถและสังเกตเห็นสัญญาณของถนนยุบอยู่เบื้องหน้า
ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด:
● ตั้งสติและควบคุมความเร็ว:
สิ่งแรกที่ต้องทำคือการมีสติ อย่าตื่นตระหนกจนเบรกกะทันหัน
เพราะอาจทำให้รถเสียหลักหรือเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนได้
ให้จับพวงมาลัยให้มั่นคงแล้วค่อยๆ ชะลอความเร็วลง
● เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน:
กดเปิดไฟฉุกเฉินทันทีเพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้ขับขี่คันหลังได้รับทราบถึงอันตรายและเตรียมพร้อมชะลอความเร็ว
● ประเมินสถานการณ์และหาที่จอดที่ปลอดภัย:
มองหาพื้นที่ปลอดภัยเพื่อจอดรถ
โดยควรจอดชิดขอบทางด้านซ้ายและทิ้งระยะห่างจากขอบหลุมให้มากที่สุด
ห้ามเข้าใกล้ขอบหลุมโดยเด็ดขาด
เนื่องจากมีโอกาสสูงที่จะเกิดการยุบตัวเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา
● อพยพออกจากรถไปยังที่ปลอดภัย:
หลังจากจอดรถสนิทแล้ว ให้ดับเครื่องยนต์และรีบออกจากรถ
พาตนเองและผู้โดยสารไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่มั่นคงแข็งแรง เช่น
บนทางเท้าที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุมากๆ
● แจ้งเหตุฉุกเฉิน
: ในไทย โทรแจ้งเหตุได้ที่ สายด่วน 199 (เหตุวินาศภัย),
191 (ตำรวจ) หรือ 1555 (ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์
กทม.) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าควบคุมสถานการณ์โดยเร็วที่สุด
● ช่วยเตือนผู้อื่น:
หากอยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยแล้ว อาจช่วยส่งสัญญาณเตือนรถคันอื่น ๆ
ที่กำลังมุ่งหน้ามายังจุดเกิดเหตุ อันดับแรกต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของตนเองด้วย
2. สำหรับคนเดินเท้า หากเรากำลังเดินอยู่บนทางเท้าหรือในบริเวณใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุ:
● อย่าเข้าใกล้โดยเด็ดขาด:
สิ่งที่อันตรายที่สุดคือความอยากรู้อยากเห็น
ให้รีบถอยห่างออกจากบริเวณที่ถนนยุบให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
● แจ้งเจ้าหน้าที่:
ใช้โทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินทันทีตามหมายเลขที่กล่าวไปข้างต้น
● สังเกตอาคารโดยรอบ:
หากหลุมยุบอยู่ใกล้อาคารบ้านเรือน ให้สังเกตสัญญาณความผิดปกติของอาคาร เช่น
รอยร้าวใหม่ๆ บนกำแพง เสียงลั่นของโครงสร้าง
และเตรียมพร้อมอพยพหากทางการประกาศหรือเมื่อรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก –“ธรรมนัส”สั่งก.ท่องเที่ยว4เดือนเร่งดึงจีนทัวร์ไทย 2ล้านคน
ร.อ.ธรรมนัส
พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางบูรณาการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์
เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 โดยมี “นายอรรถกร
ศิริลัทธยากร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์
ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพัฒน์พงศ์ พงษ์สกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวง
นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว พล.ต.ท.ศักย์ศิรา เผือกอ่ำ
ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟังแผนงานเชิงนโยบายดังกล่าว
ร.อ.ธรรมนัส
กล่าวว่าอนาคตช่วง 4 เดือนหน้ารัฐบาลจะทำมาตรการเชิงรุกเดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเยือนไทยไม่ต่ำกว่า
2 ล้านคน โดยทำเรื่องสำคัญมากคือการสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย และความสัมพันธ์ระหว่างไทย–จีน
ต้องเร่งเดินหน้าทำให้เกิดการสัมฤทธิ์ผลโดยเร็ว
“นายอรรถกร
ศิริลัทธยากร” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า พร้อมจะนำกระทรวงฯ ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้ากำหนดมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย
ดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยอีกครั้ง ตั้งเป้า “จำนวนคน” ใกล้เคียงกับช่วงปี
2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งมีจีนมาไทยเกือบ 11 ล้านคน ด้วยนโยบายสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยระหว่างการเดินทางให้นักท่องเที่ยวจีนทุกคนเกิดความมั่นใจทุกครั้งที่มาเที่ยวเมืองไทย
ขณะนี้
“มาตรการด้านความปลอดภัย” ทางทีมตำรวจท่องเที่ยวของไทยได้เตรียมความพร้อมต้อนรับการเดินทางช่วงฤดูท่องเที่ยวไฮซีซั่น
ประกอบด้วย 1.เปิดศูนย์รับแจ้งเหตุ 1155 ทำงาน 24 ชั่วโมง 2.จัดทำแอปพลิเคชัน Thailand Tourist Police รองรับ 8
ภาษา ได้แก่ อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และรัสเซีย โดยมีฟังก์ชันแจ้งเหตุ
สอบถามข้อมูล และปุ่ม SOS ส่งต่อไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุของกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวในทุกจังหวัดและสถานีตำรวจพื้นที่ทั่วไทย
ส่วน
“เนื้อหาการประชุม” ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้กำชับให้ตำรวจท่องเที่ยวจัดทำเพิ่มอีก
3 ส่วน คือ 1.ทำสถิติเปรียบเทียบอาชญากรรมกับนักท่องเที่ยวทั้งในไทยและต่างประเทศ
2.เพิ่มการประชาสัมพันธ์พื้นที่ปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ
โดยใช้ระบบ AI Detect สแกนใบหน้าเชื่อมโยงหมายจับจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
3.เฝ้าระวังบุคคลที่มีพฤติการณ์เสี่ยงก่ออาชญากรรม
เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ทั้งประชาชนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เน้นการดำเนินงานแบบการบูรณาการร่วมกัน
5 หน่วย ได้แก่ 1.กรมการท่องเที่ยว
2.กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว 3.ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว
4.ศูนย์ประสานงานช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (Tourist
Assistance Center: TAC) โดยมีเจ้าหน้าที่รวม 274 คน ครอบคลุมทั่วประเทศ
79 แห่ง เป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการท่องเที่ยวและการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ไฮซีซั่นปี
2568
ข่าวที่สอง –“ททท.-TCEB”ผนึกแผนปี68-69 กวาดไมซ์โลกโร้ดโชว์5ตลาดใหญ่
นางสาวฐาปนีย์
เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) เปิดเผยว่า ททท.ร่วมประชุมกับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือดึงตลาดนักเดินทางเพื่อเป็นรางวัล
(Incentive Travel) จากทั่วโลก ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์
( MICE Destination) ภูมิภาคเอเชีย
โดยจะทำควบคู่กันหลายมิติทั้งแผนการตลาด เพิ่มการลงทุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในอนาคต
ขยายฐานตลาดอินเซ็นทีฟซึ่งเป็นกลุ่มคุณภาพใช้จ่ายเงินเฉลี่ยสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป
ซึ่งมีผลเชิงบวกเรื่องการบอกต่อประสบการณ์และสร้างการรับรู้ภาพลักษณ์ไทย
หลังเสร็จสิ้นการหารือ ททท. และ TCEB มุ่งมั่นทำความร่วมมือเชิงรูปธรรมเดินหน้าตลาดอินเซ็นทีฟเชิงรุกช่วงปี
2568–2569 เตรียมประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัด “iVoyage Global”
เวทีสำคัญที่รวบรวมเอเย่นต์ตลาดหรูหรา จากยุโรป อเมริกาใต้ และเอเชียกว่า 300 คน
ททท. ได้สนับสนุนการจัดพิธีต้อนรับหรือจัดงานเลี้ยงรับรองกลางคืน (Gala
Night) สร้างความประทับใจ โดยจะออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวหรูด้วยสินค้าเชิงคุณภาพ
ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและการให้บริการ
ใช้โอกาสดังกล่าวสร้างเครือข่ายธุรกิจใหม่ ๆ และต่อยอดดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวหรูเข้ามาใช้จ่ายเงินสูง
ๆ ในไทย
ทั้ง 2 องค์กรยังพร้อมทำแผนบูรณาการจัดโรดโชว์ลุยเจาะตลาดศักยภาพ 5 พื้นที่
ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ยุโรป (เยอรมนีและสหราชอาณาจักร)
ประเทศกลุ่ม CIS (มอสโก รัสเซีย และคาซัคสถาน)
ททท.พร้อมทำโร้ดโชว์จัดงานส่งเสริมการขายโดยยินดีให้
TCEB เข้ามาเสริมกำลังร่วมเชิญผู้ประกอบการกลุ่มตัวแทนผู้ซื้อและผู้ขาย
เช่น บริษัทบริหารจัดการนำเที่ยว (DMC) โรงแรมชั้นนำ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยได้พบปะพันธมิตรธุรกิจโดยตรง
ต่อยอดการเจรจาและเพิ่มช่องทางทางการตลาดอย่างเป็นรูปธรรม
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น