วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2568

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯจัดใหญ่ MFLF Forum 2025 ผนึกพลังชี้เป้าไทยสู่ยั่งยืน

 มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯจัดใหญ่ MFLFSustainability Forum2025

ผนึกพลังชี้เป้าไทยสู่ยั่งยืน-ส่งมอบคาร์บอนเครดิต4.3หมื่นตัน

 

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จัด MFLFSustainabilityForum2025 ธีม“วิกฤตโลกทางออกไทย”

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT  #เที่ยวกับกู๋ #มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง #MFLFSustainabilityForum2025

 

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดเวที MFLFSustainabilityForum2025 ชูธีม“วิกฤตโลกทางออกไทย”ดึงผู้นำความคิดชี้เป้า “ประเทศไทยสู่ความยั่งยืน” ก้าวข้ามวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลก ปลุก รัฐ เอกชน ชุมชน ผสานพลังเป็นหนึ่งเดียว โชว์ส่งมอบคาร์บอนเครดิต 4.3 หมื่นตัน ให้ภาคเหนือ 4 จังหวัด


          มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯในพระบรมราชูปถัมภ์จัดงานMFLFSustainabilityForum2025ภายใต้แนวคิด“วิกฤตโลกทางออกไทย” (GlobalChallenges,LocalSolutionsatScale) โดยมีท่านผู้หญิงบุตรี

วีระไวทยะประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯเป็นประธานพิธีเปิด พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ
หม่อมหลวง
ดิศปนัดดาดิศกุลเลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิฯ ผู้แทนภาครัฐ เอกชน และชุมชน เข้าร่วมอย่างคับคั่งเมื่อ 22 กันยายน 2568 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ  โดยเปิดเวทีระดมความคิดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงปฏิบัติด้านความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยในการก้าวข้ามวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลก ผสานความร่วมมือรัฐ เอกชน และชุมชน

 

@มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงกรณีศึกษาการอนุรักษ์แก้โจทย์โลก

“ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช” อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่าโลกและไทยกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง การค้า และกฎระเบียบสากลที่เข้มขึ้น ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อม เช่น ทั่วโลกสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและไฟป่ากว่า 42 ล้านไร่  กดดันเศรษฐกิจฐานรากของไทย แม้ป่าไม้ในประเทศลดลงช้ากว่าหลายภูมิภาค แต่หากไม่มีมาตรการเชิงรุกจะปรับตัวไม่ทัน  อ้างอิงตามรายงาน IPCC ชี้เรื่องการดำเนินงาน “ด้านการเงินและการเชื่อมโยงชุมชน” ยังไม่พอ จึงได้เน้นย้ำ “วิธีแก้ปัญหา” ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน

ดร.พิรุณ ยก “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง” เป็นกรณีศึกษาเรื่องการอนุรักษ์ต้องทำควบคู่การใช้ประโยชน์และแบ่งปันผลลัพธ์อย่างเป็นธรรม ด้านที่ 1 การค้า มาตรการ CBAM และ EUDR ของสหภาพยุโรปจะกระทบสินค้าส่งออกและรายได้ของประเทศ ด้านที่ 2 ตลาดคาร์บอนในไทยยังอ่อน จำเป็นต้องเชื่อมโยง T-VER กับภาคบังคับ และผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พุ่งเป้าสำคัญสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน ออกกฎหมายและกองทุนภูมิอากาศเชื่อมตลาดคาร์บอนกับภาคบังคับ กระจายประโยชน์สู่ประชาชน ภายในปี 2593 ไทยก้าวสู่ net zero ได้อย่างมั่นคง


 

@ซีอีโอมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงแนะขับเคลื่อนเพิ่มใหม่4เรื่อง



“หม่อมหลวงดิศปนัดดาดิศกุล”เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯกล่าวว่าบทบาทสำคัญของชุมชนและทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนความยั่งยืน เน้นทำเรื่อง “ส่งมอบคาร์บอนเครดิต”จากป่าชุมชนวันนี้ทำได้เกินกว่าเป้าที่คาดไว้ถึง 4 เท่า ทุกฝ่ายทำงานหนักและชุมชนร่วมมือดี รวมทั้งเน้นการอนุรักษ์และการป้องกันจะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน

ส่วนประเด็นสำคัญที่ควรขับเคลื่อนต่อไปคือ  BAU (Business As Usual) ไม่เพียงพอ ต้องเน้นเพิ่ม 4 เรื่อง ดังนี้

1.แนวทางการทำงานต้องลงลึกกว่าแบบเดิม ต้องครอบคลุมถึง “ความผาสุกโดยรวม” ผนวกกับเรื่อง well-being ให้มีธรรมชาติอยู่ในนั้นด้วย

2.ควรคว้าโอกาสจากปัญหา พร้อมจะลงทุนหรือยัง “ด้านเครดิตทางธรรมชาติ” เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยต้องพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง อย่างโครงการ “คาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน” แสดงให้เห็นความสำเร็จเกิดขึ้นได้จริงเมื่อทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกัน มองข้ามรุ่นในระยะยาว เพราะความยั่งยืนไม่ใช่แค่ 10–15 ปี แต่ต้องทำไปถึงรุ่นถัดไปที่อาจได้รับผลกระทบ เศรษฐกิจและความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องเดียวกัน

3.ต้องหากฎเกณฑ์ใหม่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง และป้องกันธุรกิจไม่ให้เข้าไปครอบงำการพัฒนา ควรปล่อยให้เป็นของชุมชน มีภาคการเกษตรคือหัวใจ หากเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาคการเกษตรจะสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้าง เพราะซัพพลายเชนทั้งหมดเกิดขึ้นในประเทศเรา

4.ทุกภาคส่วนต้องคำนึงถึงต้นทุนในและนอกปฏิบัติการลงมือหรือการเพิกเฉยจะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร

 



@3วงเสวนาเร่งปรับสมดุล “ธุรกิจ-สิ่งแวดล้อม-สังคม”

 

ส่วนผลลัพธ์จากเสวนาหลักตลอดงานครั้งนี้ ประกอบด้วย3ช่วง ได้แก่

ช่วงที่1 “วิกฤตโลกทางออกไทย” มีผู้ร่วมแลกเปลี่ยนคือคุณปิยะชาติอิศรภักดีประธานร่วมBRANDiInstituteofSystematicTransformation(BiOST) ดร.กรินทร์บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกสิกรไทย และ
ดร.สุภัชญาเตชะชูเชิดผู้เชี่ยวชาญด้านNature basedSolutionsมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สะท้อนภาพรวมของโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จนหลายคนมองเรื่อง “ขับเคลื่อนความยั่งยืน” ขัดกับ “การเติบโตทางเศรษฐกิจ” ในเนื้อหาพูดคุยชี้ให้เห็นถึง “ความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจ” สามารถเดินไปด้วยกันได้ หากเกิดการ “ปรับสมดุล” ระหว่างผลกำไรกับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

โดยทุกภาคส่วนต้องปรับตัวและมองโอกาสจากการลงทุนสีเขียวสร้างS curveใหม่ ลดต้นทุนของการไม่ทำ และใช้กลไกพันธมิตรการร่วมทุนภาครัฐกับเอกชน(Public PrivatePartnership: PPP) กับระบบนิเวศเอื้อการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจกับชุมชน รวมทั้งเน้น “การบริหารจัดการทรัพยากร” ควรเริ่มจากการกระจายอำนาจสู่ชุมชน คิดเชิงป้องกันมากกว่ารอแก้ไข เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติกว้าง ใช้ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางช่วยให้ประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 



ช่วงที่2 “กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ” มีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ คุณณกรณ์ตรรกวิรพัทผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(อบก.) คุณทวิโรจน์ทรงกำพลประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กรบริษัทการบินไทยจำกัด(มหาชน) คุณนิรันดร์นิรันดร์นุต CountryProjectManager,UNDPBIOFIN และคุณสมิทธิหาเรือนพืชน์หัวหน้าสายงานNature basedSolutionsมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ผู้เสวนาย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคป่าไม้ต่อนำประเทศสู่เป้าหมายNetZero กับความจำเป็นการทำคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงและเครื่องมือทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในฐานะตัวเชื่อมมนุษย์ คาร์บอน และสิ่งแวดล้อม

ต้องเร่งรักษาและขยายพื้นที่สีเขียวที่ไม่ใช่แค่ป่าไม้ แต่ขยายสู่การมีระบบนิเวศน์สมบูรณ์ โดยเฉพาะป่าชุมชนให้สอดคล้องกับSDGsและเป้าหมาย NetZero ควบคู่การลงทุนนวัตกรรมทางการเงิน เช่นblendedfinanceการกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน จะเปิดโอกาสสร้างผลลัพธ์หลายด้าน ทั้งลดก๊าซเรือนกระจก รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และยกระดับชีวิตชุมชน พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจผนวกประเด็นสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์สร้างมูลค่า

“โครงการป่าชุมชน” ถูกยกเป็นตัวอย่างความสำเร็จการทำ “คาร์บอนเครดิต” ที่มีมาตรฐานสูงและการมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นสะพานสู่นวัตกรรมการเงินใหม่ ๆ เช่นbiodiversitycreditและnaturecredit กระจายโอกาสการพัฒนถึงพื้นที่ชนบท ทำให้การลงทุนด้านความยั่งยืนเป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจ และกุญแจสู่การอยู่รอดของทั้งคนและธรรมชาติ ทั้งการรักษาและเพิ่มปริมาณความหลากหลายทางชีวภาพที่โลกกำลังสูญเสียไปมากให้กลับคืนมาเพื่อความอยู่รอดของคนรุ่นต่อไป เพราะถ้าคนไม่รอด ป่าไม่รอด ธุรกิจก็ไม่รอด

 



ช่วงที่3 “เสวนาพิเศษ” โดยมี คุณวิชัยเป็งเรือนผู้ใหญ่บ้านต้นผึ้งและประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ คุณทอนใจดี ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดพะเยา และตัวแทนภาคธุรกิจไพบูลตันกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการหุ้นส่วนและกรรมการบริษัทPwCThailand ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของชุมชนที่ร่วมโครงการป่าชุมชน โดยย้ำเรื่อง “การดูแลป่าอย่างเป็นระบบ” ช่วยให้คนกับธรรมชาติเกื้อกูลกันได้ทุกมิติ ชุมชนทั้งที่ “แม่โป่งและบ้านปี้” มีคณะกรรมการและชาวบ้านทุกช่วงวัยร่วมกันวางกฎระเบียบ ใช้ประโยชน์และดูแลป่าอย่างยั่งยืน จัดการแหล่งน้ำและเชื้อเพลิง ลดไฟป่า และต่อยอดเป็นอาชีพเสริม เช่น ทำจานใบไม้ ไม้กวาด น้ำผึ้ง และการท่องเที่ยวชุมชนจนเกิดกองทุนและเครือข่ายปลอดการเผา พร้อมทั้งเปิดพื้นที่เป็นแหล่งศึกษาและถ่ายทอดความรู้ให้ชุมชนอื่น

“ภาคเอกชน” มองโครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและการลงทุนด้านความยั่งยืน  จึงเข้ามาสนับสนุนและให้คำปรึกษาด้านการตรวจติดตามการเงิน เพื่อเสริมสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่สะท้อนประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง



@ส่งมอบคาร์บอนเครดิต4.3หมื่นตัน7องค์กร4จังหวัดภาคเหนือ

 

ภายในงานได้จัดพิธีสำคัญ “ส่งมอบ” คาร์บอนเครดิต43,123ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า(tCOe) เป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่ามากที่สุดที่เคยส่งมอบในไทย จากโครงการ “คุณดูแลป่าเราดูแลคุณ:การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” เริ่มทำตั้งแต่ปี2564ครอบคลุม12โครงการ ในภาคเหนือ4จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา โดยส่งมอบให้แก่7องค์กรเอกชน ความสำเร็จนี้อาศัยความร่วมมือจาก14หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน และตั้งอยู่บนรากฐาน “ปลูกป่าปลูกคน”

ซึ่งทางมูลนิธิฯ สานต่อร่วมกับกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชนกว่า30ราย ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาฟื้นฟูป่าชุมชนแล้วกว่า250,000ไร่ มุ่งให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม พร้อมส่งเสริมศักยภาพชุมชรักษาป่าและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่า การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

สำหรับงานMFLFSustainabilityForum2025ครั้งนี้เป็นมากกว่าเวทีแห่งปีในการระดมความคิด ความร่วมมือ และร่วมหาทางออกด้านความยั่งยืน หากยังสะท้อน “พันธกิจระยะยาวของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ”จะยืนหยัดเป็นผู้นำขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจแข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน ใช้กลไกจากเวทีนี้และกิจกรรมอื่นๆผลักดัน “ความยั่งยืน” ให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจริงในระดับบุคคล องค์กร และประเทศ ได้อย่างแท้จริง

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เปิดเบื้องลึก!!โฮปเวลล์โมเดลรุกไทยรอบใหม่เร่งแก้3อำนาจลุยทวงถามเงินลงทุน 1.18 หมื่นล้าน

เปิดเบื้องลึก !! โฮปเวลล์โมเดลรุกไทยรอบใหม่เร่งแก้ 3 อำนาจ ต่างชาติเคลียร์ข้อกล่าวหา-ยื่นทวงถามเงินลงทุน 1.18 หมื่นล้าน ทีมโฮปเวลล์ต่างชา...