มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯจัดใหญ่ MFLF Sustainability Forum 2025
ผนึกพลังชี้เป้าไทยสู่ยั่งยืน-ส่งมอบคาร์บอนเครดิต4.3หมื่นตัน
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT #เที่ยวกับกู๋ #มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง #MFLFSustainabilityForum2025
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เปิดเวที MFLF Sustainability Forum 2025 ชูธีม “วิกฤตโลก ทางออกไทย” ดึงผู้นำความคิดชี้เป้า “ประเทศไทยสู่ความยั่งยืน” ก้าวข้ามวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลก ปลุก รัฐ เอกชน ชุมชน ผสานพลังเป็นหนึ่งเดียว โชว์ส่งมอบคาร์บอนเครดิต 4.3 หมื่นตัน ให้ภาคเหนือ 4 จังหวัด
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์จัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด“วิกฤตโลก ทางออกไทย” (Global Challenges, Local Solutions at Scale) โดยมี ท่านผู้หญิงบุตรี
วีระไวทยะ ประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็นประธานพิธีเปิด
พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ
หม่อมหลวง ดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารมูลนิธิฯ
ผู้แทนภาครัฐ เอกชน และชุมชน เข้าร่วมอย่างคับคั่งเมื่อ 22 กันยายน 2568 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
กรุงเทพฯ โดยเปิดเวทีระดมความคิดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงปฏิบัติด้านความยั่งยืน
โดยชี้ให้เห็นความท้าทายและโอกาสของประเทศไทยในการก้าวข้ามวิกฤตสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจโลก
ผสานความร่วมมือรัฐ เอกชน และชุมชน
@มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงกรณีศึกษาการอนุรักษ์แก้โจทย์โลก
“ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช” อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่าโลกและไทยกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน
ทั้งความขัดแย้งทางการเมือง การค้า และกฎระเบียบสากลที่เข้มขึ้น ท่ามกลางวิกฤตสิ่งแวดล้อม
เช่น ทั่วโลกสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและไฟป่ากว่า 42 ล้านไร่ กดดันเศรษฐกิจฐานรากของไทย
แม้ป่าไม้ในประเทศลดลงช้ากว่าหลายภูมิภาค
แต่หากไม่มีมาตรการเชิงรุกจะปรับตัวไม่ทัน อ้างอิงตามรายงาน IPCC ชี้เรื่องการดำเนินงาน
“ด้านการเงินและการเชื่อมโยงชุมชน” ยังไม่พอ จึงได้เน้นย้ำ “วิธีแก้ปัญหา” ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน
ดร.พิรุณ ยก “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง” เป็นกรณีศึกษาเรื่องการอนุรักษ์ต้องทำควบคู่การใช้ประโยชน์และแบ่งปันผลลัพธ์อย่างเป็นธรรม
ด้านที่ 1 การค้า มาตรการ CBAM และ EUDR
ของสหภาพยุโรปจะกระทบสินค้าส่งออกและรายได้ของประเทศ ด้านที่ 2
ตลาดคาร์บอนในไทยยังอ่อน จำเป็นต้องเชื่อมโยง T-VER กับภาคบังคับ และผลักดันร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พุ่งเป้าสำคัญสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน
ออกกฎหมายและกองทุนภูมิอากาศเชื่อมตลาดคาร์บอนกับภาคบังคับ กระจายประโยชน์สู่ประชาชน
ภายในปี 2593 ไทยก้าวสู่ net zero ได้อย่างมั่นคง
@ซีอีโอมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงแนะขับเคลื่อนเพิ่มใหม่4เรื่อง
“หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล” เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่าบทบาทสำคัญของชุมชนและทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนความยั่งยืน
เน้นทำเรื่อง “ส่งมอบคาร์บอนเครดิต”จากป่าชุมชนวันนี้ทำได้เกินกว่าเป้าที่คาดไว้ถึง
4
เท่า ทุกฝ่ายทำงานหนักและชุมชนร่วมมือดี รวมทั้งเน้นการอนุรักษ์และการป้องกันจะเกิดผลอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อทุกคนได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ส่วนประเด็นสำคัญที่ควรขับเคลื่อนต่อไปคือ
BAU
(Business As Usual) ไม่เพียงพอ ต้องเน้นเพิ่ม 4 เรื่อง ดังนี้
1.แนวทางการทำงานต้องลงลึกกว่าแบบเดิม ต้องครอบคลุมถึง “ความผาสุกโดยรวม” ผนวกกับเรื่อง
well-being ให้มีธรรมชาติอยู่ในนั้นด้วย
2.ควรคว้าโอกาสจากปัญหา พร้อมจะลงทุนหรือยัง “ด้านเครดิตทางธรรมชาติ” เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยต้องพิสูจน์ด้วยผลลัพธ์จริง อย่างโครงการ “คาร์บอนเครดิตจากป่าชุมชน” แสดงให้เห็นความสำเร็จเกิดขึ้นได้จริงเมื่อทุกฝ่ายให้ความสำคัญและร่วมมือกัน
มองข้ามรุ่นในระยะยาว เพราะความยั่งยืนไม่ใช่แค่ 10–15 ปี
แต่ต้องทำไปถึงรุ่นถัดไปที่อาจได้รับผลกระทบ
เศรษฐกิจและความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องเดียวกัน
3.ต้องหากฎเกณฑ์ใหม่สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง และป้องกันธุรกิจไม่ให้เข้าไปครอบงำการพัฒนา
ควรปล่อยให้เป็นของชุมชน มีภาคการเกษตรคือหัวใจ หากเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ภาคการเกษตรจะสร้างและกระจายรายได้ในวงกว้าง เพราะซัพพลายเชนทั้งหมดเกิดขึ้นในประเทศเรา
4.ทุกภาคส่วนต้องคำนึงถึงต้นทุนในและนอกปฏิบัติการลงมือหรือการเพิกเฉยจะส่งผลต่ออนาคตอย่างไร
@3วงเสวนาเร่งปรับสมดุล “ธุรกิจ-สิ่งแวดล้อม-สังคม”
ส่วนผลลัพธ์จากเสวนาหลักตลอดงานครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 ช่วง
ได้แก่
● ช่วงที่ 1 “วิกฤตโลก ทางออกไทย”
มีผู้ร่วมแลกเปลี่ยนคือ คุณปิยะชาติ อิศรภักดี ประธานร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST)
ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์
รองผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกสิกรไทย และ ดร. สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature
based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
สะท้อนภาพรวมของโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
จนหลายคนมองเรื่อง “ขับเคลื่อนความยั่งยืน” ขัดกับ “การเติบโตทางเศรษฐกิจ” ในเนื้อหาพูดคุยชี้ให้เห็นถึง
“ความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจ” สามารถเดินไปด้วยกันได้ หากเกิดการ “ปรับสมดุล”
ระหว่างผลกำไรกับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยทุกภาคส่วนต้องปรับตัวและมองโอกาสจากการลงทุนสีเขียวสร้าง S
curve ใหม่
ลดต้นทุนของการไม่ทำ และใช้กลไกพันธมิตรการร่วมทุนภาครัฐกับเอกชน (Public
Private Partnership : PPP)
กับระบบนิเวศเอื้อการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจกับชุมชน รวมทั้งเน้น “การบริหารจัดการทรัพยากร”
ควรเริ่มจากการกระจายอำนาจสู่ชุมชน คิดเชิงป้องกันมากกว่ารอแก้ไข เตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติกว้าง ใช้ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางช่วยให้ประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
● ช่วงที่ 2 “กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ”
มีผู้ร่วมเสวนาได้แก่ คุณณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
คุณทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)
คุณนิรันดร์ นิรันดร์นุต Country Project Manager, UNDP BIOFIN
และคุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature
based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ
ผู้เสวนาย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคป่าไม้ต่อนำประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero กับความจำเป็นการทำคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงและเครื่องมือทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในฐานะตัวเชื่อมมนุษย์
คาร์บอน และสิ่งแวดล้อม
ต้องเร่งรักษาและขยายพื้นที่สีเขียวที่ไม่ใช่แค่ป่าไม้ แต่ขยายสู่การมีระบบนิเวศน์สมบูรณ์
โดยเฉพาะป่าชุมชนให้สอดคล้องกับ SDGs และเป้าหมาย Net Zero
ควบคู่การลงทุนนวัตกรรมทางการเงิน เช่น blended finance การกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน
จะเปิดโอกาสสร้างผลลัพธ์หลายด้าน ทั้งลดก๊าซเรือนกระจก รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
และยกระดับชีวิตชุมชน
พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจผนวกประเด็นสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์สร้างมูลค่า
“โครงการป่าชุมชน” ถูกยกเป็นตัวอย่างความสำเร็จการทำ “คาร์บอนเครดิต”
ที่มีมาตรฐานสูงและการมีส่วนร่วมของชุมชน เป็นสะพานสู่นวัตกรรมการเงินใหม่ ๆ เช่น biodiversity credit และ nature credit
กระจายโอกาสการพัฒนถึงพื้นที่ชนบท ทำให้การลงทุนด้านความยั่งยืนเป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจ
และกุญแจสู่การอยู่รอดของทั้งคนและธรรมชาติ ทั้งการรักษาและเพิ่มปริมาณความหลากหลายทางชีวภาพที่โลกกำลังสูญเสียไปมากให้กลับคืนมาเพื่อความอยู่รอดของคนรุ่นต่อไป
เพราะถ้าคนไม่รอด ป่าไม่รอด ธุรกิจก็ไม่รอด
● ช่วงที่ 3 “เสวนาพิเศษ” โดยมี คุณวิชัย เป็งเรือน ผู้ใหญ่บ้านต้นผึ้งและประธานเครือข่ายป่าชุมชน จังหวัดเชียงใหม่
คุณทอน ใจดี
ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดพะเยา และตัวแทนภาคธุรกิจ ไพบูล ตันกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หุ้นส่วนและกรรมการบริษัท PwC Thailand
ถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของชุมชนที่ร่วมโครงการป่าชุมชน โดยย้ำเรื่อง “การดูแลป่าอย่างเป็นระบบ”
ช่วยให้คนกับธรรมชาติเกื้อกูลกันได้ทุกมิติ ชุมชนทั้งที่ “แม่โป่งและบ้านปี้” มีคณะกรรมการและชาวบ้านทุกช่วงวัยร่วมกันวางกฎระเบียบ
ใช้ประโยชน์และดูแลป่าอย่างยั่งยืน จัดการแหล่งน้ำและเชื้อเพลิง ลดไฟป่า
และต่อยอดเป็นอาชีพเสริม เช่น ทำจานใบไม้ ไม้กวาด น้ำผึ้ง
และการท่องเที่ยวชุมชนจนเกิดกองทุนและเครือข่ายปลอดการเผา พร้อมทั้งเปิดพื้นที่เป็นแหล่งศึกษาและถ่ายทอดความรู้ให้ชุมชนอื่น
“ภาคเอกชน” มองโครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและการลงทุนด้านความยั่งยืน
จึงเข้ามาสนับสนุนและให้คำปรึกษาด้านการตรวจติดตามการเงิน
เพื่อเสริมสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่สะท้อนประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม
และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
@ส่งมอบคาร์บอนเครดิต4.3หมื่นตัน7องค์กร4จังหวัดภาคเหนือ
ภายในงานได้จัดพิธีสำคัญ “ส่งมอบ” คาร์บอนเครดิต 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) เป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่ามากที่สุดที่เคยส่งมอบในไทย
จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน”
เริ่มทำตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการ
ในภาคเหนือ 4 จังหวัด
ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา โดยส่งมอบให้แก่ 7 องค์กรเอกชน
ความสำเร็จนี้อาศัยความร่วมมือจาก 14 หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน
และตั้งอยู่บนรากฐาน “ปลูกป่า ปลูกคน”
ซึ่งทางมูลนิธิฯ สานต่อร่วมกับกรมป่าไม้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชนกว่า 30 ราย ตลอด
5 ปีที่ผ่านมาฟื้นฟูป่าชุมชนแล้วกว่า 250,000 ไร่ มุ่งให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ
สังคม และวัฒนธรรม พร้อมส่งเสริมศักยภาพชุมชรักษาป่าและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่า การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
สำหรับงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ครั้งนี้เป็นมากกว่าเวทีแห่งปีในการระดมความคิด
ความร่วมมือ และร่วมหาทางออกด้านความยั่งยืน หากยังสะท้อน “พันธกิจระยะยาวของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ” จะยืนหยัดเป็นผู้นำขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจแข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน
ใช้กลไกจากเวทีนี้และกิจกรรมอื่นๆ ผลักดัน “ความยั่งยืน” ให้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจริงในระดับบุคคล
องค์กร และประเทศ ได้อย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น