ผู้นำTCEBผนึก2อุตสาหกรรม“ไมซ์+ท่องเที่ยว”ปั๊มตลาดโลก
ครึ่งปีหลัง68ใส่เกียร์เร่งเพิ่มรายได้ 2 Man Made Destination
บูมศูนย์บริการครบวงจรราชประสงค์-เวลเนสสปาอันดามัน
คิง เพาเวอร์ช้อปก่อนบินชิคสบายจุใจโลเกชั่นทั่วไทย 6 จุด
ปลุกช้อปคิงเพาเวอร์Online Exclusive รับฟรีพาสเทล-สป
EsteeLauderคิงเพาเวอร์รางน้ำช้อปรับแฮนด์ครีมสูงสุด12ชิ้น
ททท.อบรมหลักสูตรท่องเที่ยวTME#6 ดันไทยฮับท่องเที่ยว
“บางจาก”
Q1/68 EBIDAพุ่ง1.26 หมื่นล้านบาทกำไรโตเท่าตัว
TCEB เปิด“One Influe One MICE Soft
Power”เจาะ3ล้านวิว
สุขทันทีที่เที่ยวกระบี่ “หนองทะเล-คลองน้ำใส-ทะเลแหวก”
กินอาหาร 5 ชนิดเพิ่มภูมิคุ้มกันเน้นแข็งแรงต้านสารพัดโรค
AOT ครึ่งปีแรก68
กวาดรายได้ 3.6หมื่นล้าน กำไรหมื่นล้าน
การบินไทยนำร่องเช่าฝูงบินใหม่ลำตัวแคบ A321neo 5 ลำ
วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม 2568 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 อ่านในwww.facebook.com/penroongyaisamsen #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #บางจาก #TCEB
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... .https://www.facebook.com/share/v/12HiiFiDvCQ/
ช่วงที่ 1 !! สัมภาษณ์ นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” นำ 2 อุตสาหกรรมใหญ่ของไทย “ไมซ์-ท่องเที่ยว”
ผนึกทีมสร้างทางออกใหม่ “เพิ่มรายได้” ทดแทนจีนชะลอตัว ชี้เป้าใช้ด่วน 3 กลยุทธ์ 1.ชู “3S-เพิ่มใช้จ่ายเงิน/วันพัก/เลือกมาไทยซ้ำๆ”
2.งัดจุดขายเชื่อมโยง “Man Made Destination” ที่ไทยพร้อมแล้ว 2 บิ๊กโปรเจกต์
“ศูนย์บริการครบวงจร” ย่านราชประสงค์ กับ “เมดิคัล ฮับ & เวลเนส สปา” นำร่องด้วยศูนย์สุขภาพครบวงจร อันดามัน 3.ปรับรูปแบบโร้ดโชว์ต่างประเทศเพิ่มข้อมูลเชิงลึก
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป จะนำอุตสาหกรรมไมซ์เข้าไปช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรับมือสถานการณ์ความท้าทายจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ปี 2568 “รายได้เฉลี่ย” จากนักเดินทางตลาดไมซ์ กลุ่มที่ 1 จัดงานแสดงสินค้า /Exhibition ใช้จ่ายเฉลี่ยกว่า 80,000 บาท/คน/ทริป และอีก 3 กลุ่ม MIC : Meeting-Incentive-Convention :สัมมนา-เดินทางเพื่อเป็นรางวัล-ประชุมขนาดใหญ่ เฉลี่ยกว่า 60,000 บาท/คน/ทริป เป็นค่าห้องพัก โรงแรม ซึ่งสามารถเพิ่มรายได้จากกิจกรรมหรือบริการเมดิคัล กับ เวลเนส สปา มูลค่าสูงมาก
สถานการณ์ขณะนี้ยังคงมี “ตลาดต่างประเทศ” นำไมซ์รูปแบบต่าง ๆ เดินทางเข้ามาเมืองไทย แต่ก็ยอมรับตั้งแต่เมษายนนี้เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนมีบางตลาดลดลงอย่างนัยสำคัญ ได้แก่ “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ลดลง 25 % ตัวอย่างช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้จีนมีกำหนดจัดงานอินเซ็นทีฟในไทย ยืนยันคนเดินทางมาต่ำกว่าที่ตั้งไว้เดิม 6,000 คน เหลือแค่ 5,000 คน
มาจาก
3 สาเหตุหลัก ได้แก่ 1.ไมซ์จีนเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางโดยยังคงมาประชุมในไทยแต่หลังเสร็จงานจะไม่พักค้างต่อเนื่อง
และไม่นำครอบครัวหรือผู้ติดตามมาด้วยเหมือนอดีตที่ผ่านมา จึงทำให้จำนวนคนลดลงไป 2.รัฐบาลจีนส่งเสริมให้คนใช้จ่ายเงินจัดงานในประเทศมากขึ้น
ล่าสุดวันแรงงานเมย์เดย์จีนใช้วันหยุดอยู่ในจีนมากขึ้น 3.ข่าวเชิงลบด้านความปลอดภัยยังคงมีผลกระทบต่อเนื่อง
“ทางออก” ขณะนี้ทีเส็บ หารือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และหน่วยงานเกี่ยวข้องทั้งหมด ร่วมมือกันเดินหน้า เรื่องที่ 1 เพิ่มความเข้มข้นมาตรการ “ดูแลความปลอดภัย” ให้นักเดินทางทุกกลุ่ม เรื่องที่ 2 ทีเส็บเน้นการใช้กลยุทธ์ 3 S ได้แก่ S1 : Stay Longer เพิ่มวันพักนานขึ้น S2 : Spending Morใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้น S3-See You Again กลับมาจัดงานในไทยซ้ำ ๆ เรื่องที่ 3 ปรับรูปแบบการจัดโร้ดโชว์ โดยทีเส็บจะร่วมกับพันธมิตรเพิ่มเนื้อหาข้อมูลมากกว่าทำการขายแบบรุกหนักมากเกินไป
ตามโปรแกรมทีเส็บจะนำเอกชนไปจัด “ประชุมสัมมนา” ที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ 2 มณฑลใหญ่ในจีน เดือนมิถุนายน 2568 โดยจะร่วมกับบริษัทสื่อสารอันดับต้น ๆ ของจีน เพื่อเปิดรับฟังข้อเสนอแนะถึงการปรับกลยุทธ์ใหม่ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของตลาดไมซ์จีนยุคใหม่ รวมถึงงานต่าง ๆ จะใส่สิ่งสำคัญทางสภาพแวดล้อม โปรดักซ์เข้าไปในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องการจัดงานประชุมให้ลูกค้าเห็นสิ่งพิเศษมากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้จากไมซ์แต่ละงานให้ได้มากที่สุด
ประการสำคัญสุดจะใช้เวทีในปักกิ่ง
เซี่ยงไฮ้ สร้างความมั่นใจ ความเชื่อมั่น ให้ตลาดไมซ์ในจีนมากที่สุด
โดยใช้พลังความร่วมมือของทุกฝ่ายร่วมกับฝ่าท้าความท้าทายครั้งนี้ก้าวสู่ความสำเร็จปี
2568
สำหรับการจัดงาน “MICE Summit 2025” ทีเส็บเจ้าภาพจัดเป็นปีที่ 5 เลือกพื้นที่ “เกาะสมุย” เมืองไมซ์ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี จัดเรียบร้อยแล้วเมื่อ 6-7 พฤษภาคม ตั้งเป้าใช้ศักยภาพงานดังกล่าว โดยได้ระดม 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มที่ 1 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ส่วนจังหวัด (อบจ.) ผู้ว่าราชการจังหวัด กลุ่มที่ 2 ภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมไมซ์ โรงแรม ออร์แกไนเซอร์ กลุ่มที่ 3 ชุมชน เพื่อวางแผนกระจายรายได้ตรงสู่ท้องถิ่น
ไฮไลต์ในงานคือ “MICE Bazaar” ใช้เป็นเวทีเจรจาระหว่างผู้ซื้อ 155 ราย พบกับผู้ขายซึ่งเป็นผู้ประกอบการบนเกาะสมุยและสุราษฏร์ธานี 38 ราย คาดจะช่วยกระตุ้นรายได้จากอุตสาหกรรมไมซ์เข้าสู่เกาะสมุยมูลค่า 30-40 ล้านบาท รวมทั้งได้มีโอกาสทางธุรกิจเป็นสถานที่จัดงาน ควบคู่กับเปิดตัวอัพเดทสถานที่พร้อมมีศักยภาพรองรับการจัดงานให้กลุ่มผู้ซื้อในอนาคตด้วย
ตลอดงาน MICE Summit 2025 ปีนี้ประสบความสำเร็จสูงมาก มีผู้ว่าและรองผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าร่วมครบ 10 เมืองไมซ์ ร่วมมือกับสภาหอการค้าไทย ผลักดันให้เกิดการลงทุนปรับโครงสร้างพื้นฐาน พร้อมทั้งทาง ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นักวิชาการ ขึ้นเวทีนำเสนอเรื่อง “เทรน์การใช้ AI และไมซ์ในอนาคต” รวมถึงเชิญชวนชุมชนร่วมการประกวด “ออกแบบอาหารว่าง” จากวัตถุดิบในชุมชุนให้ชาวเกาะสมุยและผู้ประกอบการไมซ์ร่วมมือกันส่งประกวดชิงรางวัล กระตุ้นคิดสร้างสรรค์ตอบโจทย์นักเดินทางกลุ่มไมซ์ สร้างโปรดักซ์ใหม่ ๆ ในอนาคตต่อไป มีบางกอก แอร์เวย์ส โรงแรมต่าง ๆ ร่วมเป็นสปอนเซอร์ด้วย
นายจิรุตถ์
กล่าวว่าอุตสาหกรรมไมซ์พร้อมจะเชื่อมโยงจุดขายสถานที่จัดงานไมซ์ที่มนุษย์สร้างขึ้น
หรือ Man Made Destination เป็นจุดแข็งด้านเมดิคัล
กับ เวลเนส สปา ซึ่งปัจจุบันไทยติดอันดับ 5 ของโลก
จึงสามารถนำมาต่อยอดเพิ่มรายได้จากตลาดไมซ์ทั่วโลก
โดยวิธีส่งเสริมตลาดการขายเชื่อมโยงเป็นรูปธรรมในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ 2 โครงการหลัก ได้แก่
โครงการที่ 1 ศูนย์รวมบริการครบวงจร ตัวอย่าง “บริเวณราชประสงค์”
เอกชนใช้เงินลงทุนสร้างโรงแรม เมกะเวิลด์ ห้างสรรพสินค้า ใกล้ระบบขนส่งรถไฟฟ้า
เชื่อมต่อไปถึงพารากอน ถือเป็นหนึ่งในแมนเมดรองรับตลาดไมซ์ได้เป็นอย่างดี
ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้คน ใช้เวลาอยู่นาน ใช้จ่ายเงินเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะตลาดไมซ์ต่างประเทศ มีทั้งการประชุม สัมมนา อีเวนต์
คอนเสิร์ตระดับพรีเมี่ยมในคอมเพล็กซ์ จึงมีความสำคัญเป็นประโยชน์อย่างมากช่วยดึง
“จำนวนคนและเพิ่มรายได้” เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะทุกวัยสามารถทำกิจกรรมได้ครบวงจร
โครงการที่ 2 โครงการลงทุนพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพครบวงจร หรือ Medical Hub ในภูเก็ตมีแผนเตรียมไว้แล้วตามที่เคยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Special Expo 2029 โดยมีมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์ วิทยาเขตภูเก็ต เสนอสร้างเมดิคัล ฮับ มูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อเป็นศูนย์สุขภาพอันดามัน ใช้เงินลงทุนราว 5,116 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 วิทยาลัยนานาชาติ ผลิตบุคลากรด้านสาธารณสุขให้หน่วยงานต่าง ๆ
ส่วนที่ 2 โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ภูเก็ตให้บริการแพทย์ทางไกลแก่นักท่องเที่ยว และมีระบบส่งต่อไปยังโรงพยาบาลทั่วอันดามัน ใช้งบ 4,762 ล้านบาท เตรียมเปิดปี 2569
ส่วนที่
3 ศูนย์สุขภาพนานาชาติอันดามัน
เป็นศูนย์ทันตกรรมดิจิทัลแห่งแรกในภาคใต้ เปิดบริการแล้วเมื่อปี 2567 สามารถเพิ่มรายได้เติบโตเฉลี่ยกว่า 10 % หรือปีละกว่า
62,000 ล้านบาท
นายจิรุตถ์ กล่าวว่า การฟื้นฟูตลาดไมซ์และการท่องเที่ยวในตลาดโลก จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย 1.ขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันสื่อสารเชิงบวกเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักเดินทางทุกตลาด 2.ดีไซน์โปรดักซ์ใหม่ ๆ ทั้งอาหาร สถานที่ โปรแกรมการจัดงาน 3.ปรับกลยุทธ์ดการจัดโร้ดโชว์ งานสัมมนา ในตลาดต่างประเทศ โดยหันมาเพิ่มข้อมูลให้มากขึ้น แล้วลดทำการขายเชิงรุกหนักลงบ้าง เพื่อสร้างสัมพันธ์ทางความรู้สึกแชร์ประสบการณ์บอกเล่าเรื่องราวที่ดี ๆ ระหว่างผู้จัดงาน ตัวแทนผู้ขายและผู้ซื้อ ซึ่งจะเกิดประโยชน์เชิงบวกกับทุกฝ่ายนั่นเอง
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1-คิง เพาเวอร์ช้อปก่อนบินชิคสบายจุใจโลเกชั่นทั่วไทย6จุด
คิง เพาเวอร์ เปิดให้เช็คอินช้อปก่อนบิน 6 จุด สายช้อปห้ามพลาด ช้อปก่อนบินได้ล่วงหน้า 60 วัน ก่อนเดินทางช้อปโปรแรง เกินห้ามใจ ใกล้ที่ไหน ช้อปได้ที่นั่น
จุดที่ 1-2 คิง เพาเวอร์ ศรีวารี และพัทยา สาขาใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ และเมืองท่องเที่ยวยอดนิยม ลดครั้งใหญ่สูงสุด 50%
พิเศษ! สมาชิก คิง เพาเวอร์ ลด ON-TOP สูงสุด 20% และเสาร์-อาทิตย์ รับฟรี! คูปองส่วนลด 1,500 บาท นำปช้อปสินค้า 4,000 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ
ช้อปได้เลยวันเสาร์ที่ 17- 18 /เสาร์ 24 - อาทิตย์ 25 และเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม 2568
จุดที่ 3 คิง เพาเวอร์ ซิตี บูทีก ช้อปแบบคนชิค ๆ แล้วรับส่วนลดสูงสุด 30% เลือกช้อปเฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ
พิเศษ !! สมาชิก คิง เพาเวอร์
รับฟรี ! Carat Rewards 500 กะรัต เมื่อช้อปครบ 10,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ) รับได้คนละ 1 สิทธิ์ /วั
จุดที่ 4 คิง เพาเวอร์ มหานคร ช้อปสบายสไตล์คนเมือง ลดสูงสุด 30% เลือกที่ชอบและที่ใช่หมวดสินค้าที่เข้าร่วมรายการ
พิเศษ !! สมาชิก คิง เพาเวอร์ รับฟรี ! Carat Rewards 500 กะรัต เมื่อช้อปครบ 10,000 บาทขึ้นไป (สุทธิ) คนละ1 สิทธิ์ /วัน
จุดที่ 5-6 คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ภูเก็ต และศรีวารี ช้อปดีลพิเศษใจกลางกรุง และช้อปจุใจในเมืองใต้ รับคูปองส่วนลดมูลค่า 2,000 บาท เพื่อนำไปช้อปสินค้า 10,000 บาทขึ้นไป คนละ 2 สิทธิ์ / วัน หรือลดได้เต็มที่ไม่เกิน 4,000 บาท
ข่าวที่ 2 -คิงเพาเวอร์ปลุกช้อปOnline Exclusiveรับฟรีพาสเทล-สปา
คิง เพาเวอร์ จัดเต็ม “Online Exclusive” ช้อปปิ้งสุดคุ้มค่า พร้อมรับของแถมพิเศษฟรี! วันนี้ -31 พฤษภาคม 2568 เฉพาะลูกค้าคนโปรดของเราเท่านั้น รีบมาช้อปเลย! จากคิง เพาเวอร์ ออนไลน์! เมื่อร่วมสนุกช้อปตามกติกา จะได้สิทธิพิเศษ Online Special Offer!! ดังนี้
ฟรีแรก ! รับ พาสเทล ครีเอทีฟ แวร์ เวิร์ค แอนด์ เพลย์ โฟน แบ็ก มูลค่า 1,200 บาท ให้รอบละ 100 สิทธิ์เมื่อช้อปครบ 12,000 บาท (สุทธิ) ช้อปออนไลน์ต่อเนื่องได้ตั้งแต่วันที่ 19 - 24 พฤษภาคม 2568 และสามารถสะสมยอดช้อปออนไลน์สูงสุดตลอดทั้งเดือนพฤษภาคมนี้
ฟรีที่ 2 ! คูปองส่วนลดแพ็กเกจสปา มอบให้นักช้อปที่สามารถทำยอดสะสมได้สูงติดอันดับ TOP SPENDER 25 อันดับแรก เตรียมตัวรับได้ทันที ดังนี้
รางวัลที่
1 - 5 คูปองส่วนลดสปา มูลค่า 3,000.- จาก Divana Spa รางวัลละ 1
ท่าน
รางวัลที่ 6 - 25 คูปองสปา มูลค่า 1,500.- จาก Divana Spa รางวัลละ 1 ท่าน
คิง
เพาเวอร์ พร้อมคัดสรรสินค้าดิวตี้ฟรีสุดฮอตมาให้นักเดินทางได้ช้อปอย่างจุใจ
เมื่อมีไฟลต์บินแล้วรีบเลย! แล้วไปรับสินค้าที่สนามบินขาออกได้ทุกทริป
ข่าวที่ 3-EsteeLauderคิงเพาเวอร์รางน้ำช้อปรับแฮนด์ครีมสูงสุด12ชิ้น
คิง
เพาเวอร์ สนับสนุนแบรนด์ดัง นำเสนอ “Glam Up with Estée Lauder” ที่สุดของซีรัมรีแพร์ผิว Advanced Night Repair Serum รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น พิเศษเฉพาะประเทศไทย ชวนมาร่มกิจกรรมสุดเอกซ์คลูซิฟที่
Estée Lauder Pop-up Store ที่ คิง
เพาเวอร์ รางน้ำ เริ่มตั้งแต่วันนี้ -31 มิถุนายน 2568
แลกรับบริการครีมนวดมือหรือ
Hand Massage
จัดทำเป็นพิเศษเพื่อให้แฟนคลับได้ทดลองนำไปใช้ ด้วยการร่วมช้อปดังนี้
• ซื้อผลิตภัณฑ์
Advanced Night Repair รุ่นลิมิเต็ด ขนาด 100 ml
รับของสมนาคุณเพิ่มอีก 2 ชิ้น
• ซื้อผลิตภัณฑ์
ESTÉE LAUDER มูลค่า 10,000 บาท
ขึ้นไปรับของสมนาคุณได้มากสุดถึง 12 ชิ้น
แฟนคลับ แบรนด์ เอสเต้ ลาวเดอร์
ห้ามพลาด มาก่อน มีสิทธิ์รับก่อน
เพื่อให้ทุกคนได้ใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพที่คัดมาเป็นพิเศษเฉพาะเมืองไทยเพียงแห่งเดียวที่
คิง เพาเวอร์
ข่าวที่
4-ททท.อบรมหลักสูตรท่องเที่ยวTME#6ดันไทยฮับท่องเที่ยว
นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์
เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า เป็นประธานเปิดโครงการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) จัดอบรม “หลักสูตร “การบริหารการท่องเที่ยวสำหรับผู้บริหารระดับสูง”
รุ่นที่ 6 : (Tourism Management Program for Executives :TME#6) เริ่ม 21 พฤษภาคม – 20 สิงหาคม 2568 โดยใช้สถานที่โรงแรมดับเบิ้ลทรี บาย ฮิลตัน
สุขุมวิท กรุงเทพมหานครมุ่งพัฒนาศักยภาพบุคลากรท่องเที่ยว
สร้างความแข็งแกร่งเครือข่ายอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
เนื่องจากปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
“พฤติกรรมและความต้องการ” ของนักท่องเที่ยวในตลาดทั่วโลก
ดังนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างทันท่วงที
จำเป็นต้องเพิ่มพลังความเข้มแข็งร่วมกันทั้งระบบ เพื่อพัฒนาสังคม วัฒนธรรม
และสิ่งแวดล้อม ผ่านการจัดอบรมหลักดังกล่าว ทำต่อเนื่องเป็นรุ่นที่ 6 ประจำปี 2568
ช่วยเสริมจุดแข็งให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยเป็นเครื่องจักรสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจและยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวหรือ
Tourism Hub ของภูมิภาค
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. ก่อตั้งศูนย์พัฒนาวิชาการด้านตลาดการท่องเที่ยวหรือ TAT Academy ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการตลาดการท่องเที่ยวของประเทศ
โดยร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันการศึกษาชั้นนำถ่ายทอดองค์ความรู้อย่างเป็นระบบให้ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม จัดทำหลักสูตรอบรมการบริหารการท่องเที่ยวสำหรับผู้บริหารระดับสูง
ต่อเนื่องในปี 2568 เป็นรุ่นที่ 6 ภายใต้แนวคิด Path to Greatness:
Signature Destinations, Unforgettable Experiences
มุ่งเสริมสร้างความสามารถให้ผู้บริหารในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ออกแบบและขับเคลื่อนประสบการณ์การท่องเที่ยวอันเป็นเอกลักษณ์
สอดรับกับแนวโน้มโลกยุคใหม่ เน้นผสมผสานเทคโนโลยี นวัตกรรม การสื่อสาร
อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม นำพาประเทศสู่จุดหมายปลายทางแห่งความทรงจำ (Signature Destinations) พร้อมจะสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
ด้วยวิธีนำความรู้และประสบการณ์จากหลักสูตรไปประยุกต์ใช้ดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพให้สอดคล้องกับแนวโน้มการท่องเที่ยวของโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
สำหรับ
“โครงการอบรมหลักสูตรการบริหารการท่องเที่ยวสำหรับผู้บริหารระดับสูง” รุ่นที่ 6 จัดอบรมทุกวันพุธ
ระหว่าง 21 พฤษภาคม – 20 สิงหาคม 2568 ที่โรงแรมดับเบิ้ลทรี
บาย ฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพมหานคร ผู้เข้าอบรมรุ่นที่ 6 มีจำนวน 40 คน ประกอบด้วย
ผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐ เอกชน สื่อมวลชน สถาบันการศึกษา
และองค์กรด้านการท่องเที่ยว และจากหลากหลายอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
เช่น โรงแรม สายการบิน ธุรกิจนำเที่ยว ศิลปวัฒนธรรม ดิจิทัลแพลตฟอร์ม
ททท.
คาดการจัดอบรมหลักสูตรรุ่นที่ 6 จะเปิดมุมมองการเรียนรู้
เสริมศักยภาพบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยให้มีความรู้เข้าใจในบริบทใหม่ของโลก
เดินหน้าพัฒนาแนวคิดเชิงกลยุทธ์และต่อยอดทางธุรกิจ
เพิ่มโอกาสสร้างพันธมิตรทางธุรกิจให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตสู่ความยั่งยืนได้แท้จริง
ตลอดการอบรมจัดให้มีวิทยากรระดับแนวหน้าให้ความรู้
พร้อมจัดกิจกรรมเชิงปฏิบัติการและศึกษาดูงานจริงทั้งในประเทศ (จังหวัดนครปฐม
จังหวัดจันทบุรี) และต่างประเทศ (เดินทางไปญี่ปุ่น) ครอบคลุมทั้ง 6 หัวข้อหลัก ในรูปแบบโมดูล
ได้แก่
1. Global Trends & Tourism Dynamics – เจาะลึกเมกะเทรนด์ที่ส่งผลต่อการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
2. Culture, Storytelling & Soft Power – ใช้พลังของวัฒนธรรมและเรื่องเล่าเพื่อสร้างความผูกพันกับนักท่องเที่ยว
3. Smart Tourism & Personalization – พัฒนาแนวคิดการท่องเที่ยวอัจฉริยะที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวยุคดิจิทัล
4. Wellness & Conscious Tourism – ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความยั่งยืน
5. Designing the Destination – ออกแบบจุดหมายปลายทางที่สร้างประสบการณ์เฉพาะตัว
และ
6.Tourism Strategy with BMC Workshop – วางกลยุทธ์การท่องเที่ยวด้วย
Business Model Canvas
ข่าวที่ 5-“บางจาก”Q1/68 EBIDAพุ่ง1.26 หมื่นล้านกำไรโตกว่าเท่าตัว
กลุ่มบริษัทบางจาก
ประกาศผลประกอบการไตรมาส
1 ปี 2568 ต้อนรับศักราชใหม่อย่างแข็งแกร่ง มี EBITDA
สูงถึง 12,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน
77 % บริษัทใหญ่ “กำไรสุทธิ”เพิ่มขึ้นมากกว่า 1 เท่า
สะท้อนธุรกิจฟื้นตัวภายใต้บริบทเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง ไตรมาสนี้มีจุดเด่นสำคัญคือ
“การรับรู้ Synergy” จากการควบรวมกิจการกับ บริษัท บางจาก
ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) มี EBITDA 1,812 ล้านบาท
ตอกย้ำถึงศักยภาพการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่กับการพัฒนาเชิงกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ต่อยอดความสำเร็จการออกหุ้นกู้ดิจิทัล
การบุกเบิกพลังงานอนาคตด้วยการ “เปิดหน่วยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน
(SAF)” แบบสแตนอะโลนแห่งแรกของเมืองไทย เดินหน้าขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันและร้านกาแฟอินทนิลต่อเนื่อง
ได้เปิดสาขาแรกในสถานีบริการน้ำมันบางจาก BSRC รวมถึงปีนี้ควบรวม
BSRC ให้สมบูรณ์
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แม้ราคาน้ำมันดิบจะอ่อนตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
แต่บางจากสามารถรักษาอัตรากำไรที่ดีไว้ได้ โดยเฉพาะ “กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมันและกลุ่มธุรกิจการตลาด”
เป็นผลจากการบริหาร Synergy
ระหว่างบริษัทฯ และบริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) “BSRC” อย่างมีประสิทธิภาพ ไตรมาส 1 ปีนี้ บริษัทฯ รับรู้
EBITDA จาก Synergy ได้ถึง 1,812
ล้านบาท เป็นการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างคุ้มค่าในช่วงเวลาท้าทาย
มุ่งสู่การดำเนินงานแบบ Single Entity ไร้รอยต่อ โดย “เริ่มเห็นพัฒนาการเชิงบวก”
จากบรรยากาศการค้าระหว่างประเทศเริ่มคลี่คลาย
สะท้อนผ่านราคาน้ำมันมีเสถียรภาพมากขึ้น และกำไรดีขึ้นชัดเจนทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจ
แล้ว
“ผลการดำเนินงาน” ก็แข็งแกร่ง ท่ามกลางสภาวะท้าทาย บางจากฯ ยังได้บุกเบิกพลังงาน
แห่งอนาคต “เปิดหน่วยผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน”หรือ Neat
SAF 100% ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ (Stand-Alone) แห่งแรกของเมืองไทย
ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง ตั้งแต่ 25 เมษายน 2568
กำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตร/วัน
รวมทั้งได้ “พัฒนาโครงสร้างโลจิสติกส์” อย่างต่อเนื่อง
ทั้งการนำเข้าเรือ VLCC การขยายท่าเรือรองรับเรือ Suezmax ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชา โดยคาดจะเริ่มใช้งานได้ภายในไตรมาส 2 และสามารถรับรู้ประโยชน์ด้านต้นทุนช่วงครึ่งหลังปี 2568
“ด้านธุรกิจการตลาด”
บางจากฯ ได้เร่งขยายสถานีบริการทั่วประเทศกว่า 100 แห่ง พร้อมยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์สู่มาตรฐานสากล ทั้งพรีเมี่ยม97 และพรีเมี่ยม ดีเซล ควบคู่กับพัฒนาร้านค้าปลีก Retail Experience ภายใต้แนวคิด “Greenovative Destination for Intergeneration” ภายในสิ้นปี 2568 ตั้งเป้าขยาย “ร้านกาแฟอินทนิล” ให้ครบ
1,400 สาขา เพิ่มจุดชาร์จ EV กว่า 419
แห่ง และจุดจำหน่ายน้ำมันหล่อลื่น FURiO กว่า 2,000
แห่ง
“ผลการดำเนินงาน”
ไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มบริษัท บางจาก มีดังนี้
• บริษัทฯ
มีรายได้จากการขายและให้บริการ 134,647 ล้านบาท
• มี EBITDA
12,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
และรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 466 ล้านบาท
• บริษัทใหญ่มีกำไร
2,115 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนกว่า 1 เท่า คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.54 บาท
ข่าวที่ 6 - TCEBเปิด“One Influe One MICE Soft
Power”เจาะ3ล้านวิว
ดร.จารุวรรณ
สุวรรณศาสน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดเผยว่า
ได้นำทีมเปิดตัวโครงการ “One Influencer One MICE Soft Power” โชว์พลัง ไทยแลนด์ ซอฟท์ พาวเวอร์ ครบทั้ง 5 ด้าน ประกอบด้วย อาหาร ดนตรี
กีฬา เทศกาล/Festival และท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ
นำเสนอผ่านมุมมอง “อินฟลูเอนซอร์” 5 คน
ที่จะรับบทบาทตามที่กำหนดไว้ ตั้งเป้าหมายภายในเวลา 6 เดือน
รุกเจาะเข้าถึงผู้ชมทั่วโลกให้ได้กว่า 3 ล้านวิว
ทีเส็บผสานพลังกับอินฟลูเอนเซอร์จากทั้งหมด
30 คน คัดให้เหลือสุดยอดเพียง 5 คนเท่านั้น
มาทำภารกิจถ่ายทอดกิจกรรมไมซ์ สร้างคอนเทนต์ร่วมสมัย
สะท้อนความเป็นไทยตามแบบฉบับการสร้างแรงบันดาลใจ เข้าถึงง่าย และต่อยอดประสบการณ์
ได้จริง ในการนำเสนอคอนเทนต์ผ่านกิจกรรมไมซ์ระดับนานาชาติ
กระจายไปยังผู้ชมทั่วประเทศครอบคลุม ซอฟท์ พาวเวอร์ ไทย ทั้ง 5 สาขา ผ่าน 2
กิจกรรม เวิร์คช้อปการบ่มเบาะ (Grooming Workshop) กับ Pitching Idea ก่อนจะลงพื้นที่จริงที่จะไปสร้างสรรค์คอนเทนต์ออนไลน์สู่กลุ่มเป้าหมาย
ระหว่างเปิดตัวโครงการ
“One Influencer One MICE Soft Power” ทีเส็บได้เปิดเวทีเสวนาหัวข้อ
“Influencer x MICE : พลัง Soft
Power ขับเคลื่อนไมซ์ไทยสู่เวทีโลก” เชิญชวนผู้แทนภาครัฐ เอกชน
และอินฟลูเอนเซอร์ นำโดย ดร.จารุวรรณ สุวรรณศาสน์ ผู้ทรงคุณวุฒิทีเส็บ คุณบุญเพิ่ม
อินทนปสาธน์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท RUNRIO Thailand และผู้จัดงาน
Spartan Race Thailand คุณสุวิตา จรัญวงศ์
ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด และคุณพงษ์เทพ
บุญกุ้ม หรือ คุณฉี เจ้าของเพจ และช่อง TikTok หลากฉี
เดินหน้าเปิดตัวโครงการทั้ง 5 ด้าน ได้แก่
• Food/อาหาร : คุณดรุณีสิมบุตร (เตย) – TikTok: darunee_toei
• Sport /กีฬา : คุณจันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง (บี) – TikTok: Bee Janjaem
• Music /ดนตรี : คุณปาเจร พัฒนศิริ (ฟีโน่) – TikTok: Fino the Ranad
• Festival /เทศกาล :
คุณรัชพงษ์ แสงสุรินท์ (โจ้) และ คุณฐณินันท์ เรืองฐสิษฐ์ (หนิง) – TikTok : ผีบ้ากับขาจร
• Tourism /การท่องเที่ยว
: คุณพงษ์เทพ บุญกุ้ม (ฉี) – TikTok :
หลากฉี
ทีเส็บพร้อมนำโครงการดังกล่าวตอบรับนโยบายซอฟท์
พาวเวอร์ ของรัฐบาล โดยใช้ไมซ์เป็นเวทีแสดงศักยภาพ อัตลักษณ์
ความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยสู่ระดับโลก ปูทางสู่เป้าหมายการจัดตั้ง “MICE
Influencer Community” เดินหน้าสร้างเครือข่ายครีเอเตอร์ที่เข้าใจและถ่ายทอดเรื่องราวไมซ์ไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต
ปัจจุบัน
“ซอฟท์ พาวเวอร์ ไทย” ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเฉพาะด้านอาหาร หรือวัฒนธรรมดั้งเดิม
แต่คือพลังของคนรุ่นใหม่ในการเล่าเรื่องประเทศไทยร่วมสมัย สร้างแรงบันดาลใจ
เชื่อมโยงกับผู้ชมทั่วโลก
เตรียมพบกับรายละเอียดการเข้าร่วมโครงการเร็ว
ๆ นี้ ได้ทาง https://linktr.ee/tceb
ช่วงที่ 2 ออกไปเที่ยวเมืองไทยในเมือง
“กระบี่” ที่มีมากกว่าโมเมนท์ทะเล คือธรรมชาติ หนองทะเล คลองน้ำใส” ใกล้คลองหรูด
และแหล่งเกาะขึ้นชื่อเรื่องทะเลแหวกอย่าง เกาะปอดะ เกาะไก่ อ่าวไร่เลย์ แล้วฟัง “5อาหารกินเพิ่มภูมิคุ้มกัน” ได้ผลดี และข่าวดี ๆ ข่าวแรก “AOT ครึ่งปี68” กำไรกว่าหมื่นล้านบาท ข่าวที่สอง
“การบินไทย” เช่าฝูงบินใหม่ลำตัวแคบ A321neo 5 ลำแรกฉลุย
ท่องเที่ยว
–สุขทันทีที่เที่ยวกระบี่
“หนองทะเล-คลองน้ำใส-ทะเลแหวก
เที่ยวเมืองไทย
ลงใต้ไปสัมผัสธรรมชาติที่ “กระบี่” ช่วงจัดงาน “อะเมซิ่ง กระบี่ กรีน ไกด์
เฟสติวัล 2025”
จะพาไปสำรวจแหล่งท่องเที่ยวสไตล์หนอง คลอง ทะเลแหวกขึ้นชื่อ 3 พิกัด
ดังนี้
พิกัดที่
1 “หนองทะเล” แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของคนรักการถ่ายภาพต้องมาเก็บภาพเป็นที่ระลึกกันสักครั้งในชีวิต อยู่ไม่ไกลจากอ่าวนาง
มีลักษณะเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหินปูนมากมาย
และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์
ภายใน “หนองทะเล” มีมุมสวยๆ
ของธรรมชาติมากมาย จนทำให้เป็นนักถ่ายภาพทั้งหลายมารอชมถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
ชมความสวยงามของพระอาทิตย์ในยามเช้าขึ้นจากด้านหลังแนวเทือกเขา
แสงกระทบหมอกและแหล่งน้ำอันสงบนิ่ง
พร้อมชมฝูงเป็ดและเหลาบรรดาหมู่นกที่ออกหากิน
ช่วยเพิ่มสีสันในยามเข้าของหนองน้ำแห่งนี้
พิกัดที่
2 “คลองน้ำใส” น้ำจืดใสมากสายเล็ก
ๆ
ช่วงปลายน้ำของคลองน้ำใสเชื่อมต่อกับคลองหรูดเป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวและชาวบ้านในพื้นที่นิยมลงเล่นน้ำ
คลองน้ำใสเกิดจากตาน้ำผุดตามธรรมชาติใต้ผิวดิน อากาศร่มรื่นเย็นสบายท่ามกลางป่าชุมชนเงียบสงบ
เมื่อแสงแดดสาดสะท้อนจะเห็นผืนน้ำเป็นสีเขียวมรกตสวยใสราวคริสตัล
และบางจุดมองเห็นพื้นทรายใต้น้ำได้อย่างชัดเจนลงเล่นน้ำได้
พิกัดที่
3 เที่ยว
ทะเลแหวก เกาะไก่ เกาะปอดะ อ่าวไร่เลย์ แต่ละแห่งนักท่องเที่ยวเดินเล่นหาดทรายสีชาวเนียนละเอียด
เล่นน้ำทะเลใส ชมความสวยงามใต้ท้องทะเล รับลมทะเลแบบฟิน ๆ ได้
ด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป
สุขภาพ
–กินอาหาร 5 ชนิด เพิ่มภูมิคุ้มกันแข็งแรงต้านสารพัดโรค
การเลือกกินอาหาร
“เพิ่มภูมิคุ้มกัน” เป็นอีกวิธีช่วยเสริมความแข็งแรง มีประโยชน์และสรรพคุณเสริมภูมิคุ้มกันเป็นประจำจึงอาจช่วยให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ
ต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดี ทั้งยังอาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อและระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติได้ด้วย กับอาหาร 5 ประเภท ดังนี้
1.ผลไม้ตระกูลส้ม :
ส้มสายพันธุ์ต่าง ๆ มะนาว ส้มโอ ส้มเช้ง หรือ เลมอน เกรปฟรุต
ล้วนเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีสารอาหารกลุ่มวิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิก
(Ascorbic Acid) โดยข้อมูลส่วนหนึ่งชี้ว่าเมื่อวิตามินซีเข้าสู่ร่างกายจะช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่จัดการกับเชื้อโรคชนิดต่าง
ๆ
วิตามินซียังจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ชะลอการเสื่อมของเซลล์
ต้านการอักเสบของร่างกายที่เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรัง
2. ขิง :
เป็นพืชสมุนไพรให้รสเผ็ดร้อนและกลิ่นเป็นเอกลักษณ์
มีคุณสมบัติเสริมภูมิคุ้มกันโดดเด่นด้วยเช่นกัน
นักวิทยาศาสตร์พบว่าขิงอาจช่วยต้านเชื้อไวรัส
RSV (Respiratory Syncytial Virus) ที่ก่อโรคระบบทางเดินหายใจ
ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียเชื้อซาลโมเนลลาที่เป็นสาเหตุการติดเชื้อในทางเดินอาหาร
สารอาหารในขิงยังอาจส่งผลดีต่อคนที่มีอาการอักเสบเรื้อรัง
อย่างโรคข้ออักเสบชนิดต่าง ๆ ด้วย คนไทยคุ้นกับน้ำขิง เมนูไก่ผัดขิง และอีกหลายเมนู
3. อาหารทะเล : แนะนำ 2
ชนิดที่เป็นอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกันโดดเด่นคือ
• ปลาทะเลอุดมด้วยไขมัน เช่น ปลาทู ปลาทูน่า
และปลาแซลมอน เพราะปลากลุ่มนี้มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันดีช่วยเสริมการทำงานและปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน
ซึ่งร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้และจำเป็นต่อคนทุกวัย เช่น โรคเบาหวานชนิดที่ 1 โรคลูปัส โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
• หอยนางรม มีกรดไขมันโอเมก้า 3 น่าสนใจตรงมีปริมาณของสังกะสีค่อนข้างสูง
มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวและต้านเชื้อไวรัส
4.อาหารโพรไบโอติกส์ : เป็นจุลินทรีย์มีประโยชน์
หากในร่างกายมีไบโอติกส์ปริมาณเหมาะสมจะช่วยรักษาการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ดี
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์บางส่วนชี้ว่าการได้รับโพรไบโอติกส์อาจช่วยลดความรุนแรงของโรคหวัด
โรคไข้หวัดใหญ่ และอาการท้องเสียที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
โพรไบโอติกส์เป็นสารอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกันที่พบได้ในอาหารหมักดองหลายชนิด
เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว มอสซาเรลลาชีส คอทเทจชีส และเชดด้าชีส กิมจิ มิโซะ
5. ผักผลไม้หลากสี : กินเป็นประจำจะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ
สารอาหารจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน กับส่งผลดีต่อการทำงานของร่างกายในด้านอื่นด้วย
ทั้งผักสีม่วง สีแดง สีเหลือง สีส้ม สีเขียวหาได้ง่ายที่สุด สารอาหารเฉพาะตัว
ผักสีมีสารไฟโตนิวเทรียนท์
เป็นสารสีในผักผลไม้ต่าง ๆ เช่น สารสีแดงในกลุ่มแคโรทีนอยด์
และสารสีม่วงอย่างแอนโทไซยานิน โดยส่วนใหญ่จัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งขึ้นชื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังและปัญหาสุขภาพหลายอย่าง
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก – AOT ครึ่งปีแรก68กวาดรายได้3.6หมื่นล้านกำไรหมื่นล้าน
นางสาวปวีณา
จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง
รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) “ทอท./AOT)” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ AOT 6
เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 ระหว่าง 1 ตุลาคม 2567 –
31 มีนาคม 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน มี “รายได้รวม” 36,235.82
ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.98 % เป็น “รายได้” เกี่ยวกับกิจการการบิน
18,188.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,751.25 ล้านบาท
เติบโต 17.82 % และ “กำไรสุทธิ” รวมทั้งสิ้น 10,397.57
ล้านบาท
โดยมี “ปริมาณการจราจรทางอากาศ”
ผ่านเข้า-ออก 6 ท่าอากาศยาน ได้แก่ สุวรรณภูมิ (ทสภ.)
ดอนเมือง (ทดม.) เชียงใหม่ (ทชม.) แม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ภูเก็ต (ทภก.)
และหาดใหญ่ (ทหญ.) ช่วง 6 เดือน หรือครึ่งปีงบประมาณ 2568 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน
ประกอบด้วย
มี“เที่ยวบินรวม”
414,377 เที่ยว เพิ่มขึ้น 12.90 % แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ
237,511 เที่ยว และเที่ยวบินภายในประเทศ 176,866 เที่ยว
มี “ผู้โดยสารมาใช้บริการรวม”
68.42 ล้านคน เพิ่มขึ้น 11.76 % แบ่งเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ
42.34 ล้านคน ผู้โดยสารภายในประเทศ 26.08 ล้านคน ก
นางสาวปวีณา กล่าวว่า AOT พร้อมขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านกลยุทธ์ต่าง
ๆ ประกอบด้วย 1.ยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี
และบริการเพื่อมอบประสบการณ์เดินทางอย่างสะดวกและปลอดภัยแก่ผู้ใช้บริการ 2.มีโครงการกระตุ้น
ด้านการบิน (Incentive Scheme) และโครงการสนับสนุนการตลาด (Marketing
Fund) เพื่อให้สายการบินประกอบกิจการอย่างยั่งยืน 3.อำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาคมากยิ่งขึ้น
ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบน
โดย AOT ได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในท่าอากาศยานหลักที่อยู่ในความดูแลทั้ง
6 แห่ง เพื่อรองรับอนาคตทั้งจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น อาทิ
• โครงการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิให้มีขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารปี
2573 เพิ่มขึ้นอีกปีละ
15 ล้านคน
• โครงการพัฒนาสนามบินดอนเมือง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารตั้งแต่ปี
2576 เป็นต้นต้ไปปีละ
50 ล้านคน จากปัจจุบัน 30 ล้านคน
• โครงการพัฒนาอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศที่สนามบินเชียงใหม่
และภูเก็ต พร้อมศึกษาแนวทางการก่อสร้างสนามบินแห่งที่
2 ทั้งในเชียงใหม่ และภูเก็ต
รวมทั้ง AOT ได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับสากลมาใช้ให้บริการในสนามบินทุกขั้นตอน
เช่น
• ติดตั้งระบบให้บริการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการบิน
(Airport Collaborative Decision
Making (A-CDM)
เพื่อยกระดับการบริหารจัดการเที่ยวบินให้สอดคล้องกับแผนการเดินทางอากาศสากล
ลดความล่าช้าในการเดินทาง
• เริ่มเปิดบริการระบบเช็กอินอัตโนมัติ
ระบบโหลดกระเป๋าอัตโนมัติ ระบบสแกนใบหน้าขึ้นเครื่อง (Biometric) ช่วยให้ผู้โดยสารเช็กอินและขึ้นเครื่องได้โดยไม่ต้องแสดงเอกสารซ้ำซ้อน
เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และลดระยะเวลารอคอย
• นำระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ
(Automated Border Control: ABC) มาให้ผู้ถือ e-passport ได้ใช้งาน และใช้ Thailand Digital Arrival Card
(TDAC) แทน ตม.6 แบบกระดาษเต็มรูปแบบ เริ่ม 1 พฤษภาคม 2568
อำนวยความสะดวก ลดเวลา รอคิว
เพิ่มประสิทธิภาพการบริการของท่าอากาศยานไทยสู่การเดินทางแบบ “Smart
Airport – Smart Immigration”
ด้าน “การสร้างรายได้ที่ยั่งยืน” AOT ได้พัฒนาโครงการ
ช่วยขยายฐานทางเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ เปิดพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบท่าอากาศยานทั้ง
6 แห่ง ผ่านโครงการ “AOT Property
Showcase” ควบคู่โครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐ-เอกชน (Public
Private Partnership: PPP) โครงการให้บริการลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้นโครงการให้บริการคลังสินค้า
อยู่ระหว่างการคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุน โครงการก่อสร้างอาคาร จังชั่นบิลดิ้งอาคารจอดรถ
และศูนย์เชื่อมต่อการขนส่งระบบราง ที่สุวรรณภูมิ และดอนเมือง
ด้าน “การพัฒนาที่ยั่งยืน” AOT ได้รับการจัดอันดับเป็นสมาชิก Dow
Jones Sustainability Indices (DJSI) World และ Emerging
Market ต่อเนื่อง 6 และ 10 ปี ตามลำดับ และติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET
ESG Ratings ระดับ A ภายในปี 2587 พร้อมมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions โดยเดินหน้าใช้พลังงานสะอาด
การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ เปลี่ยนยานพาหนะในสนามบินเป็นระบบไฟฟ้า
ปี 2568 สนามบินสุวรรณภูมิยังได้รับการจัดจากสกายแท็กซ์ให้ติดอันดับที่
39 ของท่าอากาศยานดีที่สุดในโลก ขยับขึ้นมาถึง 19 อันดับ แล้วยังคว้าอันดับ 3
ของท่าอากาศยานพัฒนาดีที่สุดของโลก
“อาคาร SAT-1” คว้ารางวัล Prix
Versailles 2024 ในฐานะท่าอากาศยานสวยที่สุดในโลกอีกด้วย
สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานของ AOT ที่สมดุลในมิติเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม
ข่าวที่สอง –การบินไทยนำร่องเช่าฝูงบินลำตัวแคบA321neo 5 ลำ
บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงานว่า การบินไทยร่วมลงนามในสัญญาเช่าเครื่องบินแอร์บัส
A321neo จาก บริษัท BOC
Aviation Limited จำนวน 5 ลำ โดยได้ต่อยอดความร่วมมือที่มีมายาวนานกว่า
15 ปี สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้การบินไทยได้ใช้
“ฝูงบินลำตัวแคบ” บริการผู้โดยสาร “ข้อตกลงฉบับนี้” เป็นการปรับกลยุทธ์ก้าวสำคัญที่จะปรับปรุงฝูงบินการบินไทยนำเครื่องบินรุ่นดังกล่าวเข้าประจำฝูง
ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การจัดหาเครื่องบินระยะยาว ตั้งเป้าหมายรองรับอนาคตความต้องการของผู้โดยสารเพิ่มขึ้น
และขยายขีดความสามารถการให้บริการไปพร้อม ๆ กัน
โดยมี นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ Mr.
Steven Townend, Chief Executive Officer และ Managing
Director, BOC Aviation ร่วมลงนาม พร้อมทั้งมีนางเฉิดโฉม
เทอดสถีรศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงินและการบัญชี Mr. Michael-John
Burke, Head of Airline Leasing & Sales (Asia Pacific & Middle East),
Mr. Timothy Ross, Head of Investor Relations and Corporate Communications; และ Mr. Ali Jahanshahi, SVP Airline Leasing & Sales (Asia
Pacific & Middle East), BOC Aviation ร่วมพิธีลงนามสัญญาครั้งนี้เมื่อเร็ว
ๆ นี้ ที่สำนักงานใหญ่ การบินไทย
“เครื่องบินแอร์บัส A321neo” มีคุณสมบัติทางเทคนิคล้ำสมัย
สามารถเข้ามาสนับสนุนทั้งกลยุทธ์การขยายเครือข่ายเส้นทางระยะสั้นและระยะกลาง
ตลอดจนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยเครื่องยนต์รุ่นใหม่และการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์
สมรรถนะของเครื่องบินรุ่นนี้ “ประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยคาร์บอน”
ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเครื่องบินรุ่นก่อนหน้า จึงสอดคล้องกับพันธกิจของการบินไทยด้านความยั่งยืน
รวมทั้งยังยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสารด้วยห้องโดยสารบริการคุณภาพสูงแบบ ให้ความรู้สึกสะดวกสบายเช่นเดียวกับเครื่องบินลำตัวกว้าง
โดยจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์การบินไทยสอดคล้องมีคุณภาพสูงทั่วทั้งเครือข่ายของสายการบินชั้นนำในตลาดนานาชาติ
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น