“ยุทธศักดิ์ สุภสร”เปิดมุมมองท่องเที่ยวปี’69กับเป้า2.79ล้านล้าน
ผ่าตลาดทัวร์โลกลุยฟื้นเอเชียแปซิฟิกดึงจีนเที่ยวไทยทุกเทศกาล
ใช้เครื่องมือใหม่เร่งปรับสัดส่วนทำตลาด50%+ความปลอดภัย50%
ขยาย3ตลาด“Mass Quality-Concious
Traveller-Medical Wellness”
“อัยยวัฒน์-อภิเชษฐ์”นำขี่ม้าโปโลไทยลุยซีเกมส์หวังเหรียญทอง
GIVENCHYปลุกสายบิวตี้ช้อปก่อนบินคิงเพาเวอร์รางน้ำ/ภูเก็ต
คิงเพาเวอร์รางน้ำจัดเต็ม YEAR-END Clearance Saleลด
80%
ททท.ผนึกAAPAดันไทยฮับบินต่อยอด4เรื่องปั๊มทัวร์คุณภาพสูง
บางจากหนุนกพท.MOU8แอร์ไลน์ไทยพร้อมใช้น้ำมันยั่งยืนSAF
สุพรรณชวนสายมูตลุยทัวร์ไหว้พระบนหน้าผา-วัด-พิพิธภัณฑ์ผ้า
4กลุ่มโรคและภัยสุขภาพกำลังมาช่วงหน้าหนาวที่ควรเฝ้าระวัง
ลุ้นบอร์ดAOT
26พ.ย.เจรจาคิงเพาเวอร์ปรับค่าตอบแทนใหม่
TCEBเปิดบิ๊กแคมเปญMeet Well in Thailand4ภาค14เมืองไมซ์
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 อ่านใน www.facebook.com/penroongyaisamsen #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #KingPower #TAT #บางจาก #เที่ยวSTARสุพรรณบุรี
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://www.facebook.com/share/v/17PbPv3JYz/
ช่วงที่
1 สัมภาษณ์ !! ดร.ยุทธศักดิ์
สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดมุมมอง “ท่องเที่ยวไทยปี’69” กับความท้าทายเป้าหมายรายได้ใหม่ 2.79 ล้านล้านบาท
ผ่า “ตลาดต่างประเทศ” เร่งฟื้นนักเดินทางระยะใกล้ เอเชีย และแปซิฟิก
พลิกจุดอ่อนเรื่องสินค้าเก่า รวมพลังมองไปข้างหน้า “หาวิธีดึงจีนเที่ยวไทยทุกเทศกาล”
พร้อมใช้เครื่องใหม่ ปรับสัดส่วนการทำตลาด 50 %
เพิ่มการจัดระบบซัพพลายไซต์และความปลอดภัยอีก 50% เน้นขยายฐาน
3 กลุ่มใหญ่ “Mass Quality-Concious Traveller-Medical
Wellness” แนะ ททท.-TCEB ผนึกทีมเจาะลูกค้าคุณภาพสูงด้วยโมเดลต้นแบบ Thailand Power Up ประมวลผลทุก 3 เดือน วัดความสำเร็จ 2 เรื่อง วันพักเพิ่ม ยอดใช้จ่ายเงินเต็มที่
ตอกย้ำเชื่อมั่นเที่ยวไทยปลอดภัยแน่นอน
ดร.ยุทธศักดิ์
สุภสร ประธานกรรมการการนิคมนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า มุมมองต่อสถานการณ์อุตสาหกรรมท่องเที่ยวประมวลผลปี
2568 ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดย
ททท.คาดจะมี “นักท่องเที่ยวต่างชาติ”
มาไทย จำนวน 33-34 ล้านคน จากเดิมตั้งไว้ 37-38 ล้านคน ลดลงประมาณ 7 % ได้รับผลกระทบจากตลาดระยะใกล้
(Short haul) ส่งผลถึง “รายได้” เหลือ 1.5 ล้านล้านบาท ลดลงประมาณ 5 % ส่วน “ตลาดในประเทศ”
จะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 204.57 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สร้าง “รายได้” 1.15 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 2
%
● แนวโน้มปี
2569 ททท.ตั้งเป้า รายได้รวมทั้งสิ้นประมาณ
2.79 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น “ตลาดต่างประเทศ” จำนวนนักท่องเที่ยวเกือบ
35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4 % จะมาจากนักเดินทางระยะใกล้
แถบเอเชีย 67 % ประมาณ 23 ล้านคน
และระยะไกล (long haul) 33 % หรือ 12
ล้านคน สร้างรายได้ 1.63 ล้านล้านบาท
เพิ่มขึ้นประมาณ 8% “ตลาดในประเทศ” จำนวนนักท่องเที่ยว 210.43 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 3
% สร้างรายได้ 1.16 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1
%
● “กุญแจสำคัญเพิ่มรายได้”
ตลาดต่างประเทศให้กลับมาดีขึ้นจะต้อง “กระตุ้นตลาดระยะใกล้”
ให้ได้มากที่สุด เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลรายละเอียดจะพบใน “เอเชียตะวันออก”
ททท.ตั้งเป้าไว้ 9 ล้านคน ในจำนวนนี้มี “สาธารณรัฐประชาชนจีน” 4.3
ล้านคน โดยจะเพิ่มน้ำหนักไปยัง ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สำหรับ “เอเชียใต้” อย่าง อินเดีย จะมี 2.5
ล้านคน เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 5% ขณะที่
“ตลาดยุโรป” คาดจะเติบโตตามเป้าหมายทั้ง เยอรมัน รัสเซีย รวมทั้ง “อเมริกา” ด้วย
เนื่องจากหลายตลาดฐานจำนวนคนน้อยเมื่อเพิ่มจึงมีผลกับรายได้ที่จะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก
● “เครื่องมือกระตุ้นตลาดต่างประเทศ” ปี 2569 ต้องพลิกกลยุทธ์ปรับตลาดใหม่ จากการมีโอกาสได้คุยกับผู้เชี่ยวชาญตลาดนักท่องเที่ยวจีนให้ข้อมูลที่น่าสนใจถึงตลาดจีนหายไปจากไทย มี 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.ราคาสินค้าบริโภคในห่วงโซ่การท่องเที่ยวสูงขึ้น ทั้งอาหาร ของใช้ต่าง ๆ เปรียบเทียบกับ “ดัชนีราคา” ในอาเซียนด้วยกัน ไทยถูกกว่าสิงคโปร์เพียงประเทศเดียว เมื่อไปมาเลเซีย เวียดนาม ถูกกว่า 2.ภาพลักษณ์ความปลอดภัย จากอดีตเคยมีภาพยนตร์นำเสนอถึงการค้ามนุษย์ สแกมเมอร์ ได้รับความนิยมติดท็อปในจีน กระทั่งมามีเหตุการณ์ตอกย้ำช่วงดาราจีนโดนลักพาตัว จึงทำให้คนเชื่อเรื่องมีความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นจริง จึงหันไปเที่ยวประเทศอื่นแทน 3.การแข่งขันกันใช้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทำรายได้เข้าประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ด้วยค่าเงินเยนอ่อนตัวทำให้จีนหันไปเที่ยวมากขึ้น
ดังนั้นจะทำการตลาดเพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
จะต้องหันกลับมาทบทวนและปรับใหม่ 80-90% โดยเฉพาะ
“โปรดักซ์การท่องเที่ยวเก่า” เกินไปหรือไม่
แล้วต้องหานักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่เข้ามาเพิ่มขึ้น จึงถึงเร่งพัฒนา Supply
site เพื่อให้มีสินค้าท่องเที่ยวใหม่ๆ ดึงดูด “นักท่องเที่ยวคุณภาพ”
กลับมาได้ ควบคู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แบ่งสัดส่วนการทำตลาด 50 % กับการทำซัพพลายไซด์และความปลอดภัย 50%
● “การพัฒนาสินค้าและบริการท่องเที่ยว”
หมวดที่ควรจะเพิ่มน้ำหนักเพื่อขยายฐาน “นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง” ได้แก่
- กลุ่มที่ 1 Quality Mass อย่าง ไมซ์ เดินทางประชุมสัมมนากับการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Meeting &Incentive) การจัดประชุมนานาชาติ (Convention) การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า (Exhibition)
-กลุ่มที่ 2 Concious Traveller กลุ่มท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ สไตล์คนรักษ์โลก ต้องการเดินทางมาโดยมีเป้าหมายจะเป็นส่วนหนึ่งของความยั่งยืน
-กลุ่มที่ 3 การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ Healing is the New Luxury สอดคล้องกับนโยบาย ททท.ปี 2569
ไทยมีความพร้อมรองรับทั้ง 3 กลุ่ม เพราะไทยมีสถานที่จัดประชุมนานาชาติรวมหลายแสนตารางเมตร หรือการท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ ไม่ก่อผลเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่ง ททท.มีโครงการ STGs :Sustainable Tourism Goals ทำต่อเนื่องมาหลายปี การท่องเที่ยวที่ได้รับรางวัลดีเด่น Thailand Tourism Awards และการทำเมดิคัล เวลเนส โดยภาพรวมไทยมีซัพพลาย ไซต์ ที่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้นำ “มาจัดระบบ” เพราะจะต้องไฮไลต์สินค้าให้เห็นเด่นกันซึ่งไม่สามารถขายภาพรวมทั้งหมดได้ แต่คัด “สินค้าตัวแทนท่องเที่ยว” ในอนาคต
สำหรับการ “จัดระบบสินค้าท่องเที่ยวใหม่” ตัวอย่าง การขายการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ (Wellness &Medical) ต้องมีผู้เล่นคือโรงพยาบาล หรือการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ต้นทางคือองค์การบริหารพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) “อพท.) ควรนำสินค้ามาผ่านการขายกับ ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” ดูแลด้านไมซ์ ทุกองค์กรต้องสร้างห่วงโซ่มูลค่าสินค้าของไทย (Value chain) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
เพราะด้วยจุดเด่นของไทยเป็นประเทศที่ “มีรอยยิ้ม” อยู่แล้ว แต่จะต้องนำมาผสานเข้ากับ “สินค้าและบริการ” ตอบโจทย์ตลาดใหม่ทั้ง 3 กลุ่มได้
ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ปี 2569 ททท.กับ TCEB สามารถปรับกลยุทธ์เชิงรุกแท็กทีมออกสู่ตลาดโลกร่วมกัน มีสิ่งที่น่าดีใจตามนโยบาย Quick Win ของรัฐบาลไทย มอบให้ 2 องค์กรร่วมกันทำ “Thailand Power up” ขึ้นมาแล้วก็ทำให้ต่อเนื่องเพื่อเป็นต้นแบบ (Roll Model) เบื้องต้นตอนริเริ่มโครงการนี้จะไปสิ้นสุดประมาณกรกฎาคม 2569 ดังนั้นแนะนำให้ประเมินผลเป็นระยะ ๆ ทุก 2-3 เดือน ว่าทำได้จริงในเชิงคุณภาพและเกิดรายได้ตามเป้าหมายจริงโดยวัดจาก 1.นักท่องเที่ยวพักนานวันขึ้น 2.ใช้จ่ายเงินตลอดการพำนักเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความโจทย์ครบทั้ง 2 ส่วน คือ ส่วนแรก การเลือกพักนานวันมากขึ้น เท่ากับมั่นใจเรื่องความปลอดภัย ส่วนที่สอง เชื่อมั่นสินค้ามีคุณภาพสูงจึงกล้าใช้จ่ายเงินเต็มที่มากขึ้น
รวมทั้งความร่วมมือของสำนักงาน ททท.ทั่วโลก 29 แห่ง กับ TCEB ซึ่งมีตัวแทนการตลาดในประเทศเป้าหมายสำคัญ อาจจะต้องปรับแนวทางซึ่งจะต้องทำเพิ่มด้านการตลาดเชิงรุก โดยเพิ่มกลุ่มตัวแทนการท่องเที่ยว แพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์ (OTA) สายการบินนานาชาติ เพื่อให้ทุกเครือข่ายเป็นกระบอกเสียงอัพเดทสินค้าท่องเที่ยวของเมืองไทยต่อเนื่องในระยะยาว
ดร.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ในฐานะผู้ที่เคยอยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอยากเห็นการท่องเที่ยวของประเทศไทยกลับมาแข็งแกร่งมากกว่าเดิม รวมทั้งจะต้องมองไปข้างหน้าในอนาคต โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น จะให้ความสำคัญกับซัพพลาย ไซต์ ใส่เกียร์เดินหน้าโดยไม่ต้องมานั่งหาเหตุผลถึงเรื่องนักท่องเที่ยวไม่มาเที่ยวเมืองไทยเพราะอะไร แต่ควรจะต้อง “มองไปข้างหน้า” แล้วหาวิธีนำจีนกลับมาเที่ยวเมืองไทย เช่น ช่วงเทศกาลตรุษจีน ไหว้พระจันทร์ และอื่น ๆ ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นการฟื้นฟูนำการท่องเที่ยวเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเป็นความหวังของคนทั้งประเทศต่อไป
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1-“อัยยวัฒน์-อภิเชษฐ์”นำขี่ม้าโปโลไทยลุยซีเกมส์หวังเหรียญทอง
สมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย จัดมหกรรมงาน “Exhibition Match: Road to SEA Games 2025” ประกาศความพร้อมขี่ม้าโปโลทีมชาติไทยก่อนเข้าร่วมการแข่งขันซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพช่วงเดือนธันวาคม 2568 โดยมี นายแพทย์ไพโรจน์ บุญคงชื่น นายกสมาคมฯ พร้อมด้วย มร.ลูคัส ลูฮาน หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย และทัพนักกีฬาทีมชาติ นำโดย “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” และ “อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา” สองผู้บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เข้าร่วมงานและสาธิตการแข่งขันขี่ม้าโปโล ที่ “สนามวีเอส สปอร์ตคลับ แอนด์ สยามโปโลปาร์ค” อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ
นายแพทย์ไพโรจน์ บุญคงชื่น นายกสมาคมกีฬาขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เข้ามารับตำแหน่งช่วงสำคัญการเตรียมทีมสู่ซีเกมส์ 2568 จึงเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสจะยกระดับกีฬาขี่ม้าโปโลไทย ซึ่งทางสมาคมมีเป้าหมายชัดเจนจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางกีฬาขี่ม้าโปโลระดับภูมิภาค” ครอบคลุมทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านที่ 1 การแข่งขัน ด้านที่ 2 มาตรฐานสนาม ด้านที่ 3 การพัฒนานักกีฬาเยาวชน เพื่อวางรากฐานความแข็งแกร่งและมั่นคงให้วงการโปโลไทย และมุ่งมั่นสร้างผลงานในซีเกมส์ครั้งนี้ “ตั้งเป้า” จะคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันให้ได้ 2 ประเภท ได้แก่ Handicap 2–4 Goals และ 4-6 Goals
โดยสมาคมฯ ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อพัฒนาบุคลากร ม้า และสนามแข่งขันให้ได้มาตรฐานสากล สะท้อนถึงความพร้อมอย่างสมศักดิ์ศรีของไทยในการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ และต่อยอดพัฒนาวงการขี่ม้าโปโลไทยก้าวไกลสู่ระดับสากลต่อไป
“นายอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา” นักกีฬาขี่ม้าโปโลทีมชาติไทย กล่าวว่า ขณะนี้ทุกคนในทีมภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนทีมชาติไทย รวมทั้งมีเป้าหมายเดียวกันคือ จะต้องรวมพลังกัน “คว้าเหรียญทองซีเกมส์” ครั้งนี้ในเมืองไทย นักกีฬาทุกคนต่างมุ่งมั่นตั้งใจเก็บตัวฝึกซ้อม พัฒนาความสามารถของตนเองพร้อมลงสนามแข่งขัน และเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ใช้โอกาสสำคัญอุ่นเครื่องปรับจังหวะและเพิ่มความมั่นใจก่อนลงสนามจริง จึงขอแรงใจจากพี่น้องชาวไทยทุกคนร่วมส่งแรงเชียร์ทีมนักกีฬาขี่ม้าโปโลไทยคว้าเหรียญทองซีเกมส์ ครั้งที่ 33 สร้างความภูมิใจให้คนไทยทั้งประเทศ
เมื่อวันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2568 สมาคมขี่ม้าโปโลแห่งประเทศไทย ได้เปิดตัวนักกีฬาทีมชาติไทยชุดซีเกมส์อย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา, อภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา, ณัฐพงศ์ ประทุมลี, ธนาศิลป์ เชื้อวังคำ, สาธิต วงค์กระโซ่, ศุภชัย สุคำภา และไพทูรย์ คำตา พร้อมทั้งจัดการแข่งขันอุ่นเครื่องแมตช์พิเศษระหว่าง “Thailand A พบกับ Thailand B” เพื่อแสดงศักยภาพ ความพร้อม และทีมเวิร์กของนักกีฬาไทยสู่สายตาผู้ชมทั้งประเทศ
ข่าวที่ 2 -GIVENCHYปลุกสายบิวตี้ช้อปก่อนบินคิงเพาเวอร์รางน้ำ/ภูเก็ต
“GIVENCHY” ปลุกสายบิวตี้ช้อป “คิง เพาเวอร์” ก่อนบิน ได้ใหญ่กว่าใคร!
พบกับ เมคอัพ สกินแคร์ และน้ำหอมให้ช้อปแบบเลือกได้ทั้งที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และภูเก็ต ตั้งแต่วันนี้ -30 พฤศจิกายน 2568
1.ช้อปบิวตี้ไอเทม น้ำหอม เครื่องสำอาง แว่นตา และแผนกอื่นๆ ที่ร่วมรายการ
-ลดแรง! สูงสุด 20% เมื่อช้อปครบ 1,500 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ
-ลดเพิ่ม! ON-TOP 5% สำหรับสมาชิก POWER PASS
2.สมัครสมาชิกรับคุ้ม
-รับฟรี! เงินในบัญชีสมาชิก 100 บาท*
-รับเพิ่ม! คูปองส่วนลด 30%* จำนวน 3 ใบ สำหรับช้อปน้ำหอมและเครื่องสำอาง ตลอดรายการ ได้ คนละ 1 สิทธิ์
ข่าวที่ 3-คิงเพาเวอร์รางน้ำจัดเต็มYEAR-END Clearance Saleลด80%
ช้อปของขวัญ ได้ “เยอะ” กว่าใคร! ลดสูงสุด 80% พบกับแบรนด์ดัง ที่ YEAR-END Clearance Sale เพียบ เตรียมตัวมาช้อปได้เลย “คิง เพาเวอร์ รางน้ำ” เท่านั้น เริ่มแล้ว 22 พ.ย. 2568 - 4 ม.ค. 2569
รีบมาช้อปก่อน ได้เลือกก่อน! โซนสินค้า Year-End Clearance Sale สินค้าราคาพิเศษ ลดสูงสุด 80%
ห้ามพลาด !! ช้อปให้ครบทุกหมวดทั้ง แฟชั่น | บิวตี้ | น้ำหอม | แว่นตา
แวะมา
“คิง เพาเวอร์ รางน้ำ” ได้ตลอดเทศกาล บริเวณโซน Hallway ชั้น 1 และ โซนบิวตี้-น้ำหอม, แว่นตา
ชั้น 2 มาก่อนได้สิทธิ์ก่อน สินค้ามีจำนวนจำกัด
ตรวจสอบสินค้าเพิ่มเติมได้บริเวณจุดขาย
ข่าวที่ 4-ททท.ผนึกAAPAดันไทยฮับบินต่อยอด4เรื่องปั๊มทัวร์คุณภาพสูง
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยวา ททท.ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดประชุมใหญ่สมาคมสายการบินแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (AAPA) ครั้งที่ 69 ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเวทีสำคัญของผู้นำสายการบินระดับภูมิภาคได้ร่วมแลกเปลี่ยนหารือกันถึงอนาคตของอุตสาหกรรมการบินในศตวรรษที่ 21 ครั้งนี้จัดการประชุมขึ้น โดยจะผลักดันไทยแสดงพลังการเป็นประเทศศักยภาพทางการบินระดับโลก และเป็นกลไกสำคัญส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยเครือข่ายเส้นทางบินระหว่างประเทศ ททท. ได้ใช้โอกาสนี้ต่อยอดความร่วมมือกับสายการบินชั้นนำ 4 เรื่อง
● เรื่องที่ 1 ส่งเสริมการเปิดเส้นทางบินใหม่และเพิ่มความถี่เที่ยวบินสู่ประเทศไทย
● เรื่องที่ 2 ผลักดันความร่วมมือด้านการตลาดการบิน (Aviation
Marketing Cooperation)
● เรื่องที่ 3 สร้างเครือข่ายพันธมิตรกับสายการบินระดับโลก
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการแข่งขันกับตลาดท่องเที่ยวโลก
● เรื่องที่ 4 ขยายความร่วมมือโครงการด้านความยั่งยืน (Sustainable Tourism) ให้สอดคล้องกับแนวทางการบินสีเขียวของภูมิภาค
ททท. มั่นใจความร่วมมือครั้งนี้จะเสริมจุดแข็งเมืองไทยก้าวสู่ “ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค” หรือAvaiation Hub” ยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวไทยสู่คุณภาพสูงด้วย “Amazing Thailand : Healing is the New Luxury” อย่างแท้จริง
ผู้ว่าฯ ฐาปนีย์ กล่าวว่า ททท.ใช้เวทีประชุมร่วมกับสมาคมสายการบินภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก นำเสนอโอกาสเชิงกลยุทธ์สร้างความเชื่อมั่นเจาะเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ ควบคู่สนับสนุนเป้าหมายอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกลยุทธ์กระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวศักยภาพสูง รวมทั้งได้จัดกิจกรรมเดินทางท่องเที่ยวภายใน 1 วัน (One-day Trip) ให้ผู้เข้าร่วมประชุม AAPA วันที่ 16 พฤศจิกายน 2568เลือกเส้นทาง เยี่ยมชมวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ล่องเรือรับชมทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน
ข่าวที่ 5-บางจากหนุนกพท.MOU 8แอร์ไลน์ไทยใช้น้ำมัน SAF
นายบัณฑิต
หรรษาไพบูลย์ รักษาการผู้จัดการใหญ่
กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า
นำทีมบริหารร่วมเป็นสักขีพยาน
สนับสนุนความร่วมมือระหว่างสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) และผู้ประกอบการสายการบินที่ได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศของไทย 8
สายการบิน เพื่อเดินหน้าใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมการบิน มุ่งสู่เป้าหมาย Net
Zero 2050 อย่างเป็นรูปธรรม
โดยมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน
(Sustainable Aviation Fuel: SAF) ระหว่าง กพท. โดยมี พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการ และ นายศรัณย เบ็ญจนิรัตน์
รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาเศรษฐกิจการบิน กพท. ร่วมลงนามกับผู้บริหารระดับสูงของสายการบิน
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2568 ที่โรงแรมอัศวิน
แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
8 สายการบิน ประกอบด้วย
1.การบินไทย 2.บางกอกแอร์เวย์ส 3.เค-ไมล์ แอร์ 4.นกแอร์ 5.แอร์เอเชีย
6.ไทยแอร์เอเชีย เอ็กซ์ 7.ไทย ไลอ้อน
แอร์ และ 8.เวียตเจ็ทไทยแลนด์
นายบัณฑิต กล่าวว่า กลุ่มบริษัทบางจาก มีความยินดีที่ได้เป็นพยานการลงนาม MOU ครั้งนี้ ในฐานะผู้ผลิต Neat SAF 100%
จากหน่วยผลิต SAF แบบ stand-alone แห่งแรกของเมืองไทยที่ได้การรับรองมาตรฐานความยั่งยืนสากล ISCC
(International Sustainability & Carbon Certification) ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน
และผลิตตามมาตรฐานเชื้อเพลิงการบินสากล American
Society for Testing and Materials (ASTM) D7566 สำหรับการบินพาณิชย์
รองรับการใช้งานตามกลไก CORSIA เพื่อการลดและชดเชยการปล่อยคาร์บอนของภาคการบิน
กลุ่มบางจากพร้อมทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขันของประเทศพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมการบินสีเขียวหรือ Green
Aviation และสนับสนุนการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานเชื้อเพลิงการบินอากาศยานแบบยั่งยืนหรือ SAF ของไทย ให้แข็งแกร่งตามมาตรฐานระดับสากล รวมพลังกันนำอุตสาหกรรมก้าวสู่เป้าหมาย
Net Zero 2050 ลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์
ช่วงที่ 2 หนาวนี้มีทริปชวนสายมูไปเที่ยวใกล้กรุง “ทัวร์เมืองสุพรรณบุรี”
ตามแหล่งท่องเที่ยว STAR ไหว้พระบนหน้าผา ทัวร์วัด
และพิพิธภัณฑ์ผ้า กับชุมชน แล้วฟัง “4กลุ่มโรคมาช่วงหน้าหนาว”
ควรเฝ้าระวังให้ดี เกาะติดข่าวดี ๆ ข่าวแรก “ลุ้นบอร์ด AOT 26 พ.ย.68” เจรจาคิง เพาเวอร์ ปรับค่าตอบแทนใหม่ดิวตี้ฟรี
5 สนามบิน ข่าวที่สอง “TCEBเปิดบิ๊กแคมเปญ
Meet Well in Thailand” บูม 4 4ภาค 14
เมืองไมซ์
ท่องเที่ยว –สุพรรณชวนสายมูตลุยเที่ยวพระบนหน้าผา-วัด-พิพิธภัณฑ์ผ้า
เที่ยวใกล้ทริปนี้ แนะนำ ททท.เส้นทางมงคล
จังหวัดสุพรรณบุรี เสริมความปัง เรื่อง เงิน การงานและเสน่ห์โชคลาภ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) สำนักงานสุพรรณบุรี ชวนไปเช็คอินสถานที่ท่องเที่ยวยั่งยืนในโครงการดาวเด่นหรือ
STAR 6 พิกัด
พิกัดที่ 1 พระพุทธปุษยคีรีศรีสุวรรณภูมิ
พุทธมณฑลประจำจังหวัดสุพรรณบุรี ชมพระใหญ่แกะสลักหน้าผาหิน
ไหว้ขอพรเสริมบุญบารมีให้รุ่งเรืองและเจิมมือเปิดดวงเศรษฐี เรียกทรัพย์ รับโชคลาภ
พิกัดที่ 2 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอู่ทอง
เป็นสถานที่รวบรวมศิลปะโบราณวัตถุในสมัย ก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยวัฒนธรรมทวารวดี
พร้อมรับชมด้วยสื่อดิจิตอลที่ทันสมัย
พิกัดที่ 3 ศูนย์หัตถกรรมผ้าด้นมืออู่ทอง ชุมชนบ้านดอนยายเหม สนุกสนามกับกิจกรรมการตกแต่งหมวกหรือผ้าเช็ดหน้าด้วยการพิมพ์ลาย ที่แกะลายมาจากโบราณวัตถุศิลปะสมัยทวารวดี และทำผ้าพิมพ์ Eco Print
พิกัดที่ 4 วิสาหกิจชุมชนตำลึงหวาน เป็นชุมชนที่ได้รับการการันตีด้วยรางวัลด้านความยั่งยืนมากมายไม่ว่าจะเป็น TTA, STAR ร่วมทำกิจกรรม
"ตาล-ต้าน-ตึง" และอร่อยเพลินไปกับอาหารกลางวัน
พื้นถิ่นด้วยสำหรับกระด้งตำลึงหวาน
พิกัดที่ 5 เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านป่าสะแก แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์สำคัญของชุมชนป่าสะแก
อัดแน่นด้วยเสน่ห์วิถีชีวิตชาวสุพรรณบุรี
มี 3 ไฮไลต์ดี ๆ
คือ •
ชมผลิตภัณฑ์พืชผลเกษตรจากภูมิปัญญาชาวบ้าน • ฟังเรื่องเล่าตำนาน
“เสือดำเมืองสุพรรณบุรี” ความเชื่อ–ความศรัทธาที่อยู่คู่ชุมชน •
เรียนรู้ดนตรีพื้นบ้านอันขึ้นชื่อของสุพรรณบุรี ทั้ง เพลงฉ่อย - เพลงอีแซว
และเรียนดนตรีไทย ภายใน 5 นาที
พิกัดที่ 6 “วัดเขาดิน”หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ วัดไทยสไตล์ญี่ปุ่น กับบรรยากาศที่ผสมผสานไทย – ญี่ปุ่นแบบลงตัว ทั้งซุ้มเสาแดง โทริอิ และธรรมชาติที่ชวนให้ได้ภาพสวยทุกมุมเหมาะกับสาว ๆ ที่ชอบทั้งความมูและความมินิมอลในที่เดียว!
กิจกรรมสุดพิเศษ ร่วมทำน้ำหอมเสริมพลังตามธาตุประจำตัว
ช่วยเสริมดวง เพิ่มความมั่นใจ เป็นของที่ระลึกสุดพิเศษนำกลับบ้านได้ด้วย
เที่ยวใกล้ เที่ยวง่าย ว่างวันไหน
มาเที่ยวได้ทันที จังหวัดสุพรรณบุรี ยินดีต้อนรับทุกคน
สุขภาพ –4กลุ่มโรคและภัยสุขภาพในช่วงหน้าหนาวที่ควรเฝ้าระวัง
เดือนพฤศจิกายนนี้ ลมหนาวเริ่มมาเป็นระยะ
ๆ บางพื้นที่จะมีอุณหภูมิลดลงต่อเนื่อง
อากาศที่หนาวเย็นอาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน เสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่าย
จึงขอให้หมั่นดูแลร่างกายให้อบอุ่นและแข็งแรงอยู่เสมอ
เพื่อลดโอกาสที่จะเจ็บป่วยจากโรคและภัยสุขภาพ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่
โรคไข้หวัดใหญ่ ติดต่อจากการไอ จามรดกัน หรือสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อร่วมกัน
หากได้รับเชื้อแล้วจะมีอาการไข้ ไอแห้งๆ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ
เยี่อบุโพรงจมูกอักเสบและเจ็บคอ โรคปอดอักเสบ จะมีอาการไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย
อาการดังกล่าวมักเป็นเฉียบพลัน และพบได้ในทุกกลุ่มอายุ
แต่จะมีอาการรุนแรงในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและมีโรคประจำตัว
“วิธีป้องกัน”
ต้องดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล
ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน
กลุ่มที่ 2 โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ไม่สะอาด
ปนเปื้อนเชื้อโรค จะเกิด “อาการ” ถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งขึ้นไปใน
1 วัน อาจมีไข้หรืออาเจียนร่วมด้วย
“วิธีป้องกัน” ดูแลสุขอนามัย
ดื่มน้ำสะอาด และรับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด
กลุ่มที่ 3 โรคติดต่อที่สำคัญอื่นๆ ช่วงฤดูหนาว ได้แก่ โรคหัด เกิดจากการหายใจเอาละอองอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสจากการไอ
จามของผู้ป่วย หรือพูดคุยกันในระยะใกล้ หากป่วยอาการจะคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา
แต่จะมีไข้สูง ตาแดงและแฉะ และมีผื่นนูนแดงขึ้นติดกันเป็นปื้นๆ
ปัจจุบันไม่มียารักษาจำเพาะ แต่มีวัคซีนที่สามาถป้องกันได้ โดยต้องฉีดเข็มแรก
ตอนอายุ 9 - 12 เดือน เข็มสอง ตอนอายุ 1 ปีครึ่ง
กลุ่มที่ 4 ภัยสุขภาพ การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาว
โดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เพราะขาดเครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องห่มกันหนาวไม่เพียงพอ
มีประวัติการดื่มสุราเป็นประจำ
“วิธีป้องกัน” เตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวให้พร้อมและเพียงพอ
งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูแลร่างกายให้แข็งแรง
ออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก –ลุ้นบอร์ดAOT 26พ.ย.เจรจาคิงเพาเวอร์ปรับค่าตอบแทนใหม่
บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด
(มหาชน) “AOT” รายงานว่า การประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) วันที่
26 พฤศจิกายน 2568 เตรียมเสนอพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาคู่ค้าผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร
(duty free) บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ต่อเนื่องครั้งที่ 2 กรณีที่เอกชนยื่นหนังสือขอให้พิจารณาการดำเนินธุรกิจร้านค้าดิวตี้ฟรีใน
5 ท่าอากาศยาน รวม 3 สัญญา
ต่อจากการประชุมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 เบื้องต้นบอร์ดได้มีมติให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเปิดเจรจากับ คิง เพาเวอร์
ถึงแนวทางลดการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนตามเกณฑ์ใหม่โดยให้ยึดต้องไม่ต่ำกว่ารายที่สองเคยเสนอไว้ตั้งแต่ตอนลงแข่งขัน
ประกอบด้วย 3 สัญญา คือ 1.สุวรรณภูมิ 2.ดอนเมือง 3.ในภูมิภาค ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่
และหาดใหญ่
สำหรับแนวทางการเจรจาเพื่อขอแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรี KPD ประเด็นหลัก จะเป็นเรื่อง ปรับลด
“ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายปี” (Minimum Guarantee) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2562 ขณะที่ KPD ชนะการประมูลได้ยื่นข้อเสนอวงเงินทั้ง 3 สัญญา
มูลค่าผลประโยชน์ตอบแทนรวม 1.9 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย
สัญญาที่ 1 ดิวตี้ฟรีท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ข้อเสนอจ่ายผลตอบแทนขั้นต่ำปีแรก สูงสุด 15,400 ล้านบาท
อันดับที่ 2 กิจการร่วมค้าการบินกรุงเทพ
ล็อตเต้ ดิวตี้ฟรี เสนอ 8,500 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 28 กันยายน
2563 - 31 มีนาคม 2574
สัญญาที่ 2 ดิวตี้ฟรีท่าอากาศยานดอนเมือง คิงเพาเวอร์ ยื่นเพียงรายเดียว 1,500
ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน ระหว่าง 1 ตุลาคม 2565 – 31 มีนาคม 2576
สัญญาที่ 3 ดิวตี้ฟรีท่าอากาศยานภูมิภาค 3 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่
หาดใหญ่ คิงเพาเวอร์ ยื่นข้อเสนอผลตอบแทนขั้นต่ำปีแรก รวม 2,300 ล้านบาท อันดับที่ 2 เสนอประมาณ 2,000 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน
ระหว่าง 28 กันยายน 2563 -31 มีนาคม 2574
รายละเอียดดังกล่าว
จะต้องรอความชัดเจนอีกครั้งจากที่ประชุมบอร์ด AOT ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568
ข่าวที่สอง –TCEB
เปิดบิ๊กแคมเปญ Meet Well in Thailand 4ภาค14เมืองไมซ์
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
(องค์การมหาชน) “TCEB” เปิดตัวแคมเปญ “Meet Well in Thailand” ในงาน IBTM World 2025 ระหว่างวันที่ 21-23 พฤศจิกายน 2568 ที่คูหานิทรรศการประเทศไทย L50 ฮอลล์ 3 พร้อมโชว์พลังความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในระบบนิเวศอุตสาหกรรมไมซ์ไทย
ที่ได้ระดมผู้ให้บริการทั่วประเทศมารวมตัวกันกว่า 130 ราย รวมพลังมุ่งเจาะกลุ่มผู้วางแผนจัดงานและนักเดินทางไมซ์นานาชาติทั่วโลก
ด้วยการนำเสนอสิทธิประโยชน์อย่างหลากหลายมีทั้ง
โปรแกรมสุขภาพ ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่จัดงานแนว offsite การขนส่ง ช้อปปิ้ง เวิร์กช็อป ประสบการณ์ท้องถิ่น กิจกรรมคาร์บอนต่ำ
และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
พร้อมทั้งนำผู้ให้บริการไมซ์ไทยเข้าร่วมแคมเปญครอบคลุมทั้ง
4 ภูมิภาค กระจายใน 14 เมือง/จังหวัด ประกอบด้วย 5 เมืองไมซ์ และ 9
เมืองศักยภาพสูง ส่วนใหญ่เคยคว้ารางวัลระดับโลกและมาตรฐานสากล เช่น
โรงแรมและรีสอร์ท 5 ดาว 40 แห่ง สถาบันสุขภาพสมัยใหม่ระดับนานาชาติ 4 แห่ง
ศูนย์การค้าแถวหน้าของไทย 4 แห่ง
“ไฮไลต์สิทธิพิเศษ”
ได้แก่ 1.ส่วนลดสูงสุด 20% โปรแกรมดูแลสุขภาพ 2.ส่วนลดช้อปปิ้ง 40–80% 3.มอบราคาพิเศษให้กลุ่มนักเดินทางไมซ์เมื่อจองพักครบ
15 ห้อง
ตามแผนยังได้นำแคมเปญดังกล่าวนี้
ทยอยเปิดตัวในช่วงปีที่มีการจัดงานขนาดใหญ่ระดับโลก ในกรุงเทพและเมืองอื่น ๆ เช่น
งาน Global Sustainable Tourism Conference, งาน Global
Wellness Summit, งาน World & InterPride’s 2026 General Meeting & World Conference ที่ภูเก็ต
งาน Spartan SUPER World Championship ที่เชียงราย และงาน Tough
Mudder ที่พัทยา
ทีเส็บได้เปิดให้ผู้ร่วมงานในเมืองดังกล่าว
ใช้สิทธิประโยชน์จากแคมเปญได้เต็มที่ ส่วนนักวางแผนงานก็มีตัวเลือกเป็นไปจัดงานตามเมืองจุดหมายที่หลากหลายในเมืองไทย
โดยสามารถปรับเนื้องานหรือกิจกรรมให้สอดคล้องไปกับงานขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นต่อไป
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.












ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น