วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

TCEBใส่เกียร์เร่งอุตฯไมซ์ปี’69โกย1.6 แสนล้าน ข่าวดี!! MICE+เฟสติวัลทั่วโลกเลือกมาไทย25 งาน


 ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผอ.สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” 

ดร.ศุภวรรณนำTCEBใส่เกียร์เร่งอุตฯไมซ์ปี’69โกย1.6 แสนล้าน

ข่าวดี!! MICE+เฟสติวัลทั่วโลกหอบเงินเลือกจัดในไทย 25 งาน

ชูโครงการฮีโร่พันล้านQuick Big Win-ผนึกททท.รุก3ตลาดโลก

ชงรัฐขยับใหม่ค่าที่พักประชุมสัมมนา-ลดหย่อนภาษีในประเทศ

“คิง เพาเวอร์-AVOLTA”พลิกดิวตี้ฟรีโลกให้สมาชิก70ประเทศ

SPECIAL ONLINE SALE ช้อปคิง เพาเวอร์ ออนไลน์ลด50%

ช้อปใหญ่ได้เยอะชุดของขวัญที่คิงเพาเวอร์รางน้ำกับภูเก็ต

บางจาก Q3/68 โชว์EBIDAโตดีเท่าตัวย้ำการเงินแข็งแกร่ง

ททท.ชู“Passport Privileges”คึกคัก3สนามบินลุยปั๊มรายได้

เที่ยว5งาน“Vijit-ณสัทธา-DelMar-WonderFruit-RollingRound

5 กลุ่มอาหารสำคัญช่วยป้องกันกระดูกพรุนกินได้สุขภาพดี

กรมท่องเที่ยวบุกตลาดหนังโลกAmerican Film Market 2025

ดุสิตธานี!!สร้างชื่อไทยติดอันดับ 60 โรงแรมดีที่สุดของโลก

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2568 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 อ่านในwww.facebook.com/penroongyaisamsen #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97  #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋  #KingPower  #TAT   #บางจาก  #TCEB

ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://www.facebook.com/share/v/17H3VrCLmW/

ช่วงที่ 1 สัมภาษณ์ !! ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB” ใส่คันเร่งอุตสาหกรรมไมซ์คลิกฟออฟปีงบประมาณ 2569 ดันรายได้พุ่ง 1.5-1.6  แสนล้านบาท ได้แรงหนุน “ตลาดไมซ์ต่างประเทศ” ระดับโลกมาจัด M-I-C-E บวกเทศกาลนานาชาติได้แล้วกว่า 25 งาน ไฮไลต์ “เวิลด์แบงก์-Gastech” กับเวิลด์อีเวนต์ “ทูมอโร่แลนด์-F1-โมโตจีพี” ชูใช้โครงการ “ฮีโร่พันล้าน” ลุยทำนโยบาย Quick Big Win พร้อมเดินหน้าผนึกพันธมิตรทุกเครือข่าย เน้นองค์กรใหญ่ ททท.ผนึกเจาะตลาดใหม่ 3 พื้นที่ “เอเชีย-ตะวันออกกลาง-ยุโรป” และร่วมกับสมาคมเอกชนเสนอสมุดปกขาวรัฐบาลสนับสนุน 2 มาตรการ “ลดหย่อนภาษีกลุ่มงานไมซ์-ปรับใหม่ค่าที่พัก” ข้าราชการเพิ่มรายได้ประชุมสัมมนาในประเทศ

 


ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) “TCEB เปิดเผยว่า ได้ประมวลสผลอุตสาหกรรมไมซ์ในปีงบประมาณปี 2568 (1 ตุลาคม 2567-30 กันยายน 2568) กลุ่มนักเดินทาง MICE ประกอบด้วย กลุ่มประชุมและสัมมนา (MI :Meeting &Incentive) จัดงานนานาชาติ (C :Convention) และจัดนิทรรศการแสดงสินค้า (E :Exhibition) และเพิ่ม กลุ่มเทศกาล (Festival) “ตลาดต่างประเทศ” มาไทย 1,160,569 คน “ตลาดในประเทศ” ที่เดินทางข้ามจังหวัดและข้ามภูมิภาค 25.6 ล้านคน

           

สิ่งที่ “เปลี่ยนแปลง” ในตลาดไมซ์ต่างประเทศคือ “รายได้ลดลง” เกือบ 64,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 7  %  จากที่เคยทำได้กว่า 70,000 ล้านบาท เนื่องจากนักเดินทางใช้จ่ายเงินลดลงเหลือประมาณ 60,000-65,000 บาท/คน/ทริป เพราะวันพักเฉลี่ยเหลือ 4-5 วัน/คน/ทริป จากเคยได้ 70,000-80,000 บาท/คน/ทริป วันพักเฉลี่ย 7-8 วัน/คน/ทริป ด้าน “ตลาดในประเทศ” รายได้กว่า 83,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 8 % เนื่องจากมีจำนวนคนเพิ่มมากขึ้น


            คาดการณ์แนวโน้มรายได้อุตสาหกรรมไมซ์ปีงบประมาณ 2569 จะทำได้เกิน 150,000-160,000 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมตลาดทั่วโลกเดินทางประชุมและจัดงานต่าง ๆ มากขึ้น สูงกว่าปีงบประมาณ 2568 ทำได้รวมประมาณ 140,000 ล้านบาท

           


ดร.ศุภวรรณ กล่าวว่า ขณะนี้เข้าสู่ปีงบประมาณ 2569 เริ่มตั้งแต่ตุลาคม 2568 เป็นต้นมา ทีเส็บเร่งดำเนินการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบายรัฐบาลด้วย Quick Big Win สอดคล้องกับช่วงไฮซีซั่นตลาดไมซ์ ทีเส็บขานรับนโยบายรัฐบาลดังกล่าวได้ทันทีด้วยโครงการ “ฮีโร่พันล้าน” ให้งบการโปรโมทดึงงานจากทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาจัดในไทย ควบคู่กับทำให้เกิดการเดินทางข้ามจังหวัดเพิ่มมากขึ้น ด้วยศักยภาพของไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคเอเชีย ก็น่าจะได้เป็นจุดหมายปลายทางการจัดงานไมซ์นานาชาติ 

หัวใจหลักของโครงการ “ฮีโร่พันล้าน” ทีเส็บรวบรวมการรวมศูนย์งานเทศกาลกับงานแสดงสินค้าทั่วประเทศ แล้วสนับสนุนงบประมาณโปรโมทให้ดึงงานทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาจัดในไทย เริ่มคลิกออฟตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 เช่น งาน Gamecom Asia 2025 จัดร่วมกับงาน  Thailand Game Show ได้รับเสียงชื่นชมกับทางโคโลญเมสเซ่อย่างมาก ประทับใจที่เลือกมาจัดในกรุงเทพฯ โดยมีผู้จัดงานและคนเดินทางจากทั่วโลกเข้าร่วมมากกว่า 3 แสนราย หรืองาน PET Fair Asia 2025 ก็มีคนจากเอเชียเดินทางมาร่วมหลักหมื่นรายเช่นกัน

 


ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป ยังมีไทยข่าวดีไมซ์ตลาดต่างประเทศ เลือกไทยเป็นสถานที่จัดงานระดับโลก ครบทั้ง M-I-C-E เบื้องต้นรวมไม่ต่ำกว่า 25 งาน  Convention :ประชุมนานาชาติ” 2 งาน “MI :งานประชุมสัมมนาและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล” 5 งาน “Exhibition : งานการแสดงสินค้า” อีก 15 งาน เพิ่ม “Festival : งานเทศกาลนานาชาติ” อีก 3 งาน แบ่งได้ดังนี้

           

กลุ่มที่ 1 งานประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ระดับโลก หรือ C: Convention  2 งาน ได้แก่

 

1.การประชุม IMF-WBG Annual Meetings 2026 หรือการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank Group) ระหว่างวันที่ 12-18 ตุลาคม 259 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ จะมีบุคคลสำคัญมาร่วมหารือกันเรื่องเศรษฐกิจและการเงินของผู้บริหารระดับสูง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางจากทั่วโลก

2.GASTECH 2026 GASTECH 2026 ระหว่างวันที่ 15-18 กันยายน 2569 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมนานาชาติไบเทค กรุงเทพฯ จะมีภาคธุรกิจพลังงานมารวมตัวกันอยู่ในเมืองไทยกว่า 50,000 คน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านพลังงานระดับโลก ทั้งด้านก๊าซธรรมชาติ (LNG) พลังงานไฮโดรเจนเทคโนโลยีภูมิอากาศ และปัญญาประดิษฐ์

 

กลุ่มที่ 2 และกลุ่มที่ 3 งาน MI : Meeting & Incentive การประชุมองค์กรและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลของบริษัทต่าง ๆ มอบให้กับพนักงาน ปี 2569 ไทยได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพเบื้องต้น 5 งาน ได้แก่

        1.Amway Leadership Seminar - Bangkok 2026” ระหว่าง 4 มีนาคม - 13 เมษายน 2569 แอมเวย์ ไชน่า จะนำตัวแทนเกือบ 15,000 คน ประเมินแล้วจะสร้างรายได้หลัก 1,000 ล้านบาท จากนักเดินทางที่มาจัดประชุมสัมมนาผู้นำประจำปีในไทย ถือเป็นงานประชุมองค์กรขนาดใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขานรับแนวคิดทีเส็บจะจัด “Slow Living” Travel Experience ผสมผสานการประชุมทางธุรกิจกับประสบการณ์เชิงวัฒนธรรมวิถีริมฝั่งน้ำและไลฟ์สไตล์ที่ลึกซึ้งใจกลางกรุงเทพฯ ยอดจองที่พักเต็มเกือบหมดทั้ง โรงแรม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เรือดินเนอร์ครูซส์ 

รวมทั้งเป็นโอกาสสำคัญตรงกับโอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน โดยกรุงเทพฯ ในฐานะ “สะพานแห่งมิตรภาพ” สองประเทศจะเป็นเจ้าภาพต้อนรับแอมเวย์ ไชน่า เชื่อมโยงความแน่นแฟ้นของประชาชนทั้งสองประเทศด้วย

 

“ประโยชน์มากสุด” ทั้งงานประชุมธนาคารโลก งานแอมเวย์ ไชน่า ถือเป็นอีเวนต์ลักชัวรี่ที่มี “ผู้นำระดับโลก” มาร่วมงาน ก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงบวกทางเศรษฐกิจคือ 1.“โรงแรมระดับ 5-6 ดาว” มียอดจองที่พักเต็ม 2.รถเช่าลีมูซีนซีรี่ย์ต่าง ๆ จองใช้บริการเต็มเช่นกัน

2.งาน Global Sustainable Tourism Conference 2026 (GSTC 2026)  ภูเก็ตได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพ ถือเป็นครั้งแรกในไทยที่จะได้ยกระดับภูเก็ตสู่เมืองท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก ผ่านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวทางปฏิบัติด้านการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

 


3.งาน Global Wellness Summit 2026 (GWS 2026) ที่ภูเก็ต ปี 2569 เป็นเวทีสุขภาพได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญ นักธุรกิจ นักลงทุน ผู้กำหนดนโยบายด้านสุขภาพจากทั่วโลก มาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคต ผู้ที่จะเข้าร่วมคอนเว็นชั่นภายในงานนี้กำหนดค่าตั๋วไว้สูงหลักแสนบาท ล่าสุดกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุขประกาศจะใช้โอกาสสำคัญขับเคลื่อนนวดแผนไทยภูมิปัญญาดั้งเดิม และสมุนไพรสู่เวทีสากล สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 100 ล้านบาท

 

4.งาน the 50th Annual Interferry Conference 2026 ระหว่าง 29 ตุลาคม -4 พฤศจิกายน 2569 ที่กรุงเทพฯ ทางสมาคมอินเตอร์เฟอรี่เลือกให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมนานาชาติด้านการเดินเรือเฟอร์รี่ เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดเห็น กลยุทธ์ทางการตลาด และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ธุรกิจการเดินเรือเฟอร์รี่นานาชาติ

5.งานประชุมด้านแพทย์ ต่อเนื่องจากปี 2568 มีกลุ่มแพทย์ทางเลือก Alternative Medicine มาจัดในกรุงเทพฯ พัทยา และอื่น ๆ

 

สำหรับ “ประชุมสัมมนา” (M :Meeting) จะร่วมกับ “มหาวิทยาลัยในไทย” ซึ่งมีคณะแพทย์ศาสตร์จำนวนมาก โดยจะทำโร้ดโชว์ไปทั่วประเทศเพื่อเชิญชวนให้ดึงงานจากนานาชาติมาจัดประชุมมากขึ้น

 

กลุ่มที่ 4 การจัดนิทรรศการแสดงสินค้า (E :Exhibition) ปี 2569 มีผู้จัดงานต่างประเทศเตรียมนำงานต่าง ๆ มาจัดไม่ต่ำกว่า 12-15 งาน เช่น ดิจิทัล สิ่งแวดล้อม ต่อเนื่องจากปี 2568 เมื่อเร็ว ๆ นี้ จัดไปแล้ว ได้แก่

1.งาน gamescom Asia 2025 ระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม 2568 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ร่วมแมสเซ่ โดยทีเส็บได้โคลนนิ่งงานมาจัดในไทยรายการใหญ่สุดในเอเชีย เปิดจับคู่เจรจาธุรกิจ สตาร์ตอัพไทยร่วมเสนอขาย และผู้บริโภคเข้าร่วม โดยเปิดเยาวชนเข้าชมงานแปลกใหม่ด้วย

 

2.งาน Pet Fair South East Asia 2025 เมื่อ 29–31 ตุลาคม 2568 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ขานรับไทยเป็นประเทศส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงสูงอันดับ 2 ของโลก เพราะมีวัตถุดิบอยู่ภายในประเทศจำนวนมาก แล้วคนไทยก็ดูแลสัตว์เลี้ยงเหมือนเป็นคนในครอบครัว แล้วงในงานครั้งนี้ก็มีการจับคู่ธุรกิจ สร้างเครือข่ายธุรกิจอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงระดับนานาชาติ สินค้ามาจัดแสดงหลากหลาย ทั้ง อาหารและโภชนาการ สุขภาพและการดูแล ของเล่นและไลฟ์สไตล์ เทคโนโลยีเพื่อสัตว์เลี้ยงมากมาย

 

3.งานด้านการศึกษา และอื่น ๆ ก็ทยอยเข้ามาจัดในเมืองไทยต่อเนื่องตลอดปี 2568 ต่อเนื่องถึงปี 2569

 

ดร.ศุภวรรณ กล่าวว่า ปี 2569 ทีเส็บได้ขยายความร่วมมือทำตลาดเชิงรุก เพิ่มรายได้จากตลาดต่างประเทศกลุ่ม MI พุ่งเป้าไปยังการประชุมองค์กรที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ หรือ Corperate Meeting ด้วยกลยุทธ์การจับมือกับ “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) ทำโครงการ Thailand Power Up ตั้งแต่วันนี้-มิถุนายน 2569 ตั้งเป้าจะดึงงานทั่วโลกมาไทยไม่ต่ำกว่า 250 งาน สร้างรายได้ 4,600 ล้านบาท เริ่มขับเคลื่อน งานแรก inVOYAGE Global 2026 ที่กรุงเทพฯ ยกระดับไทยสู่จุดหมายปลายทางพรีเมี่ยมจัดงานไมซ์ชั้นนำระดับโลก ขยายฐานในเส้นทางที่มีเที่ยวบินเข้าไทย 3 พื้นที่ ประกอบด้วย

 



พื้นที่แรก “เอเชีย” ไฮไลต์ตลาดแรก เอเชียตะวันออก “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ก็จะร่วมมือกับ ททท.และ Tencent อีคอมเมอร์ซแถวหน้าขยายเจาะตลาดพื้นที่ใหม่ ๆ ในจีนเพื่อนำตลาดคอร์ปอเรตมาไทยอย่าง เซินเจิ้น ฉงชิ่ง เฉินตู  ญี่ปุ่น ไต้หวัน ต่อด้วย “เอเชียใต้” อย่าง “อินเดีย” จะเน้นเจาะกลุ่มพรีเมี่ยมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเลือกนำอินเซ็นทีฟไมซ์มาไทย

 

พื้นที่สอง “ตะวันออกกลาง” ทีเส็จะกระทรวงการต่างประเทศ” ผนึกเจาะตลาดไมซ์อย่าง ซาอุดิอาระเบีย ที่มีศักยภาพสูง

 

พื้นที่สาม “ยุโรป” กลุ่มประเทศ CIS ที่แยกตัวออกมาจากรัสเซียเดิม ตอนนี้มี 11 ประเทศ หลายประเทศมีเที่ยวบินตรงเข้าออกไทย ได้แก่  อาเซอร์ไบจาน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน

 

กลุ่มที่ 5 งานเทศกาลนานาชาติ (F : Global Festival) ระดับโลกเลือกมาจัดในไทย ได้แก่

 

1.งาน Tomorrowland 2026 ช่วงเดือนธันวาคม 2569 สถานที่จัด Wisdom Valley อำเภอเขาไม้แก้ว จังหวัดชลบุรี เป็นครั้งแรกการจัดงานเทศกาลดนตรีระดับโลกนี้จัดขึ้นในเมืองไทยและเอเชีย

 

2.งาน Formula 1 (F1) ตามมติคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการแล้ว โดยไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันเป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2571-2575 โดยวางแผนทำสนามแข่งแบบ Street Circuit

 

3.งาน MotoGP ตามมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี (MotoGP) ต่อเนื่อง5 ปี ระหว่าง 2570-2574 ตามกรอบวงเงินงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายจัดการแข่งขันตลอดโครงการ 3,997.86 ล้านบาท

 

ดร.ศุภวรรณ กล่าวว่า เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2568 ทีเส็บประชุมร่วมกับสมาคมต่าง ๆ ซึ่งมีผู้ประกอบการไมซ์ของไทยเป็นสมาชิกหารือกันถึงการเตรียมเสนอ “สมุดปกขาว” เสนอให้รัฐบาลสนับสนุนไมซ์เพิ่มการดึงงานพรีเมี่ยม และอีเวนต์สำคัญเลือกจัดในไทยเพิ่มขึ้น ด้วยการใช้ 1.มาตรการลดหย่อนภาษีได้ 2-3 เท่า ให้กับผู้จัดงาน องค์กรบริษัทต่าง ๆ ของไทยที่เข้าร่วมงาน ผู้ร่วมแสดงสินค้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่าพื้นที่ อุปกรณ์จัดแต่ละงาน 2.กระตุ้นหน่วยงานรัฐจัดประชุมในประเทศด้วยอัตราห้องพักใหม่ ทีเส็บได้หารือกับสมาคมโรงแรมไทย เพื่อเสนอรองนายกรัฐมนตรีกำกับดูแลไมซ์ ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อพิจารณาปลดล็อกสิทธิประโยชน์เรื่อง “อัตราค่าใช้จ่ายหน่วยราชการ” ให้เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน

 

ดร.ศุภวรรณ กล่าวว่า จะขอความร่วมมือกับทุกฝ่ายเน้น เรื่องที่ 1 มาตรฐานสถานที่จัดงาน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด เรื่องที่ 2 จัดงานตามรูปแบบเน้นความยั่งยืนมากขึ้น ทีเส็บกำลังให้ทางสถานที่และผู้จัดแต่ละงานใช้ระบบการจัดงานแบบปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Carbon Neutral ) ผ่านแอปพลิเคชั่นวัดแต่ละงานปล่อยคาร์บอนเท่าไร แล้วสามารถชดเชยด้วยการไปปลูกป่าเพิ่มพื้นที่สีเขียว ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมารณรงค์ให้โรงแรมทั่วประเทศจัดสภาพแวดล้อมให้เป็นมิตร Eco Friendly ไปจนถึงการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนรอบพื้นที่จัดแต่ละงานเติบโตอย่างยั่งยืนได้ด้วย

ฟังข่าวต้นชั่วโมง

ข่าวที่ 1-“คิง เพาเวอร์-AVOLTA”พลิกดิวตี้ฟรีโลกให้สมาชิก70ประเทศ

นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ผู้นำร้านค้าปลอดอากร (duty free) ธุรกิจค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยวของไทย ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ “AVOLTA” ผู้นำธุรกิจค้าปลีกเพื่อการเดินทางและร้านอาหารระดับสากล ที่มีเครือข่ายครอบคลุมกว่า 70 ประเทศ และมีฐานสมาชิกทั่วโลกกว่า 10 ล้านคน รวมพลังกันเดินหน้ากลยุทธ์หลัก “Customer Centricity

นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดิวตี้ฟรี ที่ธุรกิจหันมาร่วมกันสร้างเครือข่ายแทนการแข่งขัน ด้วยวิธียกระดับโปรแกรมความจงรักภักดีต่อแบรนด์ของทั้งสององค์กรหรือ Loyalty Programme โดยจะเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ระหว่างกันแบบไร้พรมแดน มอบ “ประสบการณ์และสิทธิพิเศษเหนือระดับ” ให้ลูกค้า จึงเป็นอีกบทพิสูจน์ถึง “พลังแห่งความเป็นไปได้” (The Power of Possibilities) ที่เปลี่ยนขีดจำกัดเป็นโอกาสเพื่อสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนร่วมกัน

ไฮไลต์ความร่วมมือครั้งนี้จะมอบสิทธิประโยชน์ให้สมาชิกของทั้งสององค์กรได้รับประโยชน์ร่วมกันบน Loyalty Programme อย่างคุ้มค่า ประกอบด้วย

“สมาชิก POWER PASS” ของ คิง เพาเวอร์ เมื่อสมัครเข้าร่วม CLUB AVOLTA จะได้รับสิทธิประโยชน์ระดับ แพลทินัม” นาน 1 ปี พร้อมรับ “ส่วนลดพิเศษ” ในร้านค้าดิวตี้ฟรี โรงแรม ร้านอาหาร สายการบิน บริการเช่ารถในเครือ AVOLTA ทั่วโล 

สมาชิก CLUB AVOLTA เมื่อ “สมัครสมาชิก POWER PASS” ของ คิง เพาเวอร์ จะสามารถเข้าถึงเอกสิทธิ์ในแบบเอ็กคลูซีฟในกลุ่มบริษัท คิง  เพาเวอร์ทั้งหมดคือ “ร้านค้าดิวตี้ฟรี” และสิทธิพิเศษธุรกิจในเครือคิง เพาเวอร์ อีกหลากหลายที่จะมอบ “ส่วนลด” ร้านอาหาร โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวไลฟ์สไตล์ครบวงจร ช่วยเติมเต็มการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองไทยด้วยประสบการณ์สุดคุ้มค่าและน่าจดจำอย่างยิ่งกับเสน่ห์แห่งมิตรไมตรีที่ดีงาม

            นายอัยยวัฒน์ กล่าวย้ำว่า ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดิวตี้ฟรี ที่คู่แข่งเลือกจะจับมือกันแทนการแข่งขัน ผนึกกำลังสร้างเครือข่ายทางสิทธิประโยชน์สมาชิกแบบไร้พรมแดนมอบให้ลูกค้า โดยมีเป้าหมายสูงสุดร่วมกันเพียงหนึ่งเดียวคือ “Customer Centricity ยกระดับทั้งประสบการณ์ลูกค้า Customer Experience และเส้นทางของลูกค้า Customer Journey ผ่านการผสานจุดแข็งของทั้งสององค์กร ตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในอนาคตะเร่งต่อยอดความร่วมมือและนวัตกรรมอีกมากมายเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากยิ่งขึ้นต่อไป

“คิง เพาเวอร์ และ AVOLTA พร้อมแล้วที่จะร่วมกันพลิกโฉมหน้าใหม่อุตสาหกรรมค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญยกระดับค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยวทั่วโลก เสริมเพิ่มให้มากกว่าการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้นักเดินทางทุกคน ในอนาคตอันใกล้นี้ เตรียมพบเฟสถัดไปที่จะขยายประโยชน์สูงสุดให้สมาชิกทั้งสององค์กรรับสิทธิพเศษ ตอกย้ำ “พลังที่เป็นไปได้ ไม่สิ้นสุด” แบบไร้พรแดน 

สำหรับ “AVOLTA AG เป็นผู้นำระดับสากลที่มีชื่อเสียงด้านบริการร้านค้าปลีกเพื่อการท่องเที่ยว (Travel Retail) กับร้านอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage) ก่อตั้งและมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองบาเซิล สวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุบันดำเนินธุรกิกระจายอยู่กว่า 70 ประเทศ ครอบคลุมใน สนามบิน สถานีรถไฟ ท่าเรือ เรือสำราญ และร้านค้าดิวตี้ฟรีในเมือง (duty free downtown) โดยนำเสนอแบรนด์และบริการชั้นนำในร้านค้าปลอดอากร ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารระดับพรีเมียม มุ่งมั่นสร้างประสบการณ์การเดินทางไร้รอยต่อ พร้อมยึดหลักความยั่งยืน (Sustainability) และการสร้างคุณค่าให้กับพันธมิตรทุกภาคส่วน เติบโตอย่างแข็งแกร่งไปด้วยกัน

ล่าสุด AVOLTA ได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้ค้าปลีกการเดินทางอันดับ 1 ของโลก โดย The Moodie Davitt Report ประกาศจัดอันดับในงาน The Airport Food & Beverage + Hospitality Awards 2025 ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการข้อมูลชั้นนำภาคธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดภาษี มีรายได้เชิงพาณิชย์ในสนามบินทั่วโลก 


ข่าวที่ 2 -SPECIAL ONLINE SALE ช้อปคิง เพาเวอร์ ออนไลน์ลด50%

ดีลเด็ด!  ช้อป “คิง เพาเวอร์ ออนไลน์” โอกาสสุดท้ายก่อนบิน! SPECIAL ONLINE SALE วันนี้ -30 พฤศจิกายนนี้ ลดเต็มเหนี่ยว 50% จัดเต็มสินค้าทุกหมวดหมู่มาให้คุณช้อปได้อย่างจุใจ ตั้งแต่ของใช้ส่วนตัวไปจนถึงของขวัญสำหรับคนพิเศษ ช้อปสะดวก คุ้มค่า ครบจบในที่เดียว

อย่ารอช้า ดีลดีๆ ลดสูงสุด 50%  มีจำนวนจำกัด ช้อปสินค้า DUTY-FREE SALE แล้วออกเดินทางอย่างมั่นใจ พร้อม Must-Haves สุดปัง! เราเชื่อว่าการเตรียมตัวที่ดี คือจุดเริ่มต้นของทริปที่น่าประทับใจ รีบช้อปก่อนและรอรับของที่สนามบินขาออกประเทศ

ลดสูงสุด 50% โดยไม่ต้องมียอดซื้อขั้นต่ำ ไม่ต้องกรอกรหัสส่วนลด

-สินค้า Duty-Free สุดฮอต มีไฟลต์บินแล้วรีบเลย! รับสินค้าที่สนามบิน

-แบ่งชำระ 0% นานสูงสุดถึง 6 เดือน

-รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 16,000 บาท

-ฟรี! ของสมนาคุณสุดพิเศษ จากแบรนด์ดัง (ของแถมมีจำนวนจำกัดและอาจมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า)

-รับเลย! ส่วนลด 800 บาท เมื่อสมัครสมาชิกออนไลน์

-รับสิทธิ์การสมัครสมาชิก คิง เพาเวอร์ เมื่อช้อปขั้นต่ำ 1,000 บาท (สุทธิ)

 


ข่าวที่ 3-ช้อปใหญ่ได้เยอะชุดของขวัญที่คิงเพาเวอร์รางน้ำกับภูเก็ต 

TOP PICKED GIFT GUIDE ช้อปได้ใหญ่ ให้ได้เยอะ! ที่ “คิง เพาเวอร์” ได้เวลาช้อปของขวัญสำหรับคนพิเศษ กับโปรสุดคุ้มที่จะทำให้ทุกคนช้อปของขวัญได้เยอะกว่าเดิม วันนี้ -30 พ.ย.268 ที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ และภูเก็ต ดังนี้

1.ช้อปบิวตี้ไอเทม น้ำหอม เครื่องสำอาง แว่นตา และแผนกอื่นๆ ที่ร่วมรายการ

-ลดแรง! สูงสุด 20% เมื่อช้อปครบ 1,500 บาทขึ้นไป/ใบเสร็จ

-ลดเพิ่ม! ON-TOP5%* สำหรับสมาชิก POWER PASS 

2.สมัครสมาชิกรับคุ้ม

-รับฟรี! เงินในบัญชีสมาชิก 100 บาท

-รับเพิ่ม! คูปองส่วนลด 30% จำนวน 3 ใบ สำหรับช้อปน้ำหอมและเครื่องสำอาง ตลอดรายการให้ได้คนละ 1 สิทธิ์


ข่าวที่ 4-ททท.ชู“Passport Privileges”คึกคัก3สนามบินเร่งปั๊มรายได้

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท.เริ่มวันแรกโครงการ “Amazing Thailand Passport Privileges 2025” ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วยสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟ โดยเปิดบูทกิจกรรมอย่างเป็นทางการ เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษและสิทธิประโยชน์มากมายให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยระหว่างวันนี้ -15 ธันวาคม 2568

บรรยากาศงานคึกคักตั้งแต่แรกมาจนถึงปัจจุบัน โดยได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม และการต้อนรับอย่างอบอุ่น ด้วยแรงบันดาลใจจากแนวคิด 5 Must Do in Thailand “AMAZING BAG”นักท่องเที่ยวอย่างล้นหลาม จากหลากหลายประเทศที่เดินทางมาถึงเมืองไทย พากันทยอยเข้ามาเช็คอินที่บูทกิจกรรม Amazing Thailand Passport Privileges ร่วมกิจกรรมและรับของที่ระลึกอย่างมีความสุข

บริเวณบูทกิจกรรม Amazing Thailand Passport Privileges จัดขึ้นพร้อมกันใน 3 ท่าอากาศยานหลักของไทย ได้แก่ สุวรรณภูมิ ดอนเมือง และภูเก็ต

เพียงแค่นักท่องเที่ยวต่างชาติ “แสดงหนังสือเดินทาง” (Passport) ของแต่ละคนที่บูธ Amazing Thailand Passport Privileges ก็รับได้ทันที “Amazing Bag :ถุงของที่ระลึก” พร้อมสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษอีกมากมาย ตลอดการพำนักอยู่ในเมืองไทย

โครงการนี้มุ่งส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับพรีเมียม และกระตุ้นการใช้จ่ายเงินหมุนเวียนหลั่งไหลเข้าสู่ธุรกิจท่องเที่ยวประเภทต่าง ๆ ที่มีพันธมิตรทั่วประเทศร่วมมือกันมอบสิทธิพิเศษทั้งจาก ร้านค้า โรงแรม ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วประเทศ



ข่าวที่ 5 -บางจากQ3/68โชว์EBIDAโตดีเท่าตัวย้ำการเงินแข็งแกร่ง

 

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจาก และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กลุ่มบริษัท มีผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 มีศักยภาพการบริหารจัดการแข็งแกร่งท่ามกลางภาวะตลาดพลังงานยังคงผันผวน สามารถทำ “รายได้” จากการขายและให้บริการ” 123,305 ล้านบาท มี “EBITDA 10,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนมากกว่า 1 เท่า และเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 43 % “กำไรสุทธิ” จากการดำเนินงานปกติ 3,186 ล้านบาท กำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 1,108 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.80 บาท

 

สะท้อนการฟื้นตัวต่อเนื่องของ โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนงและโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชา ซึ่งมีค่าการกลั่นพื้นฐานขึ้นเป็น 7.38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก Crack Spread เพิ่มขึ้นและต้นทุนน้ำมันดิบลดลง แล้วทาง บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับไตรมาสนี้โดยคงอันดับเครดิตองค์กรบางจากฯ“A+” แนวโน้ม “คงที่” ต่อเนื่องปีที่สอง ตอกย้ำถึงสถานะทางธุรกิจและโครงสร้างการเงินอันแข็งแกร่ง

 

แนวโน้มไตรมาส 4 ปี 2568 มีทิศทางดีขึ้นมาก ภายหลังปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ประกอบกับ GRM และยอดขายปรับตัวดีขึ้น แล้วกลุ่มบริษัทบางจากได้เปิดใช้ท่าเรือรับเรือบรรทุกน้ำมันดิบขนาดใหญ่มาก (Very Large Crude Carrier: VLCC) ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชา จ.ชลบุรี ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการจัดหาและขนส่งน้ำมันดิบ ตลอดจนยกระดับความสามารถการแข่งขัน รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

ขณะที่ “ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม” ยังมีบทบาทสร้างรายได้และโอกาสเติบโต ช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของโครงสร้างทางธุรกิจ สนับสนุนการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนในธุรกิจที่หลากหลายให้ความสมดุลยิ่งขึ้น ส่วนกระบวนการเพิกถอนหลักทรัพย์ของ บริษัท บางจาก ศรีราชา จำกัด (มหาชน) (BSRC) อยู่ในขั้นตอนการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer)

 

“นางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน กล่าวว่าไตรมาส 3 ปี 2568 แต่ละกลุ่มธุรกิจ มีผลการดำเนินงาน ดังนี้

 

กลุ่มที่ 1 ธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน มีรายได้ 99,851 ล้านบาท มี EBITDA 2,891 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากช่วงไตรมาสก่อนและปช่วงปีก่อน 100 % จากค่าการกลั่นพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7.38 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากไตรมาสก่อน 4.45 เหรียญสหรัฐ ตามการปรับตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่ม Middle Distillates ได้แก่ น้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน ขยายตัวด้วยข้อจำกัดด้านอุปทานในตลาดโลก ผนวกต้นทุนน้ำมันดิบลดลงและส่วนต่างราคาน้ำมันดิบเบรนท์ต่ำกว่าน้ำมันดิบดูไบ (DTD-DB) ทำให้ค่าการกลั่นโดยรวมปรับตัวดีขึ้น และผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากไตรมาสก่อนหน้า ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานโดยรวม

 

กลุ่มที่ 2 ธุรกิจการตลาด มีรายได้ 88,200 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 1%และจากปีก่อน 7 %แต่สร้าง EBITDA ได้ 1,629 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดดจากไตรมาสก่อน 38 % และมากกว่าปีก่อน 100 %จากค่าการตลาดสุทธิปรับเพิ่มขึ้นเป็น 0.85 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 16 % โดยมีแรงหนุนจากการรับรู้ผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันลดลงมาก มาร์จิ้นสูงขึ้นของน้ำมันเรือเดินสมุทร (Marine Fuels) และการเพิ่มสัดส่วนจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นผ่านช่องทางที่มีค่าการตลาดสูง

           

บางจากฯ ได้รักษาส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกไว้ได้ที่ 29 % พร้อมเพัฒนาเครือข่ายค้าปลีกและยกระดับประสบการณ์ลูกค้าด้วยแนวคิด “Greenovative Destination for Intergeneration” สิ้นไตรมาส 3 มีสถานีบริการน้ำมันรวม 2,173 แห่ง จุดชาร์จ EV 502 แห่ง และร้านกาแฟอินทนิลทั่วไทย 1,108 สาขา

 

กลุ่มที่ 3 ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีรายได้ 1,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า  41 %ลดลงจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน 2 % มี EBITDA 1,620 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 66 % และจากปีก่อน 23 % สาเหตุหลักคือจำหน่ายไฟฟ้าได้เพิ่มจากโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว การทยอยเปิดเชิงพาณิชย์ครบในโรงไฟฟ้าพลังงานลม สปป.ลาว และได้รับส่วนแบ่งกำไรเงินลงทุนในบริษัทร่วม 757 ล้านบาท จากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา ทั้งจากค่าความพร้อมจ่าย (Capacity Revenue) และปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในฤดูร้อน

 

กลุ่มที่ 4 ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีรายได้ 4,363 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 15% ลดลงจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน 19 % มี EBITDA 286 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 100 % และจากปีก่อน 78 % เนื่องจากปริมาณจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น อย่าง “เอทานอล”เดินเครื่องผลิตในระดับสูงต่อเนื่อง การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง “ไบโอดีเซล” (B100) ได้แรงหนุนจากราคาขายเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันปาล์มดิบสูงขึ้น การบริหารต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ

 

กลุ่มที่ 5 ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ มีรายได้ 7,056 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 9 % ลดลงจากปีก่อน 26% มี EBITDA 4,039 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 15 %  ลดลงจากปีก่อน 40 % โดยได้แรงหนุนจากปริมาณการผลิตสูงกว่าประมาณการ และการจำหน่ายเพิ่มขึ้น 10 % จากการเริ่มผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของหลุมผลิต Sognefjord East ในแหล่งผลิต Brage ตั้งแต่กรกฎาคม รวมราคาขายเฉลี่ยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเหลวปรับเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวราคาตลาดโลก

 

          ช่วงที่ 2 ปลายปีนี้มีโปรแกรมเช็คอินเทศกาลท่องเที่ยวฟิน ๆ 5 งาน เริ่มจาก “วิจิตร เจ้าพระยา” เริ่ม 15 พ.ย. “ดูไฟสวยงาม ณ สัทธา อุทยานไทย” ราชบุรี เพลินกับ “Café Del Mar” ภูเก็ต “Wonder Fruit” มหกรรมดนตรีพัทยา และ “RollingRound” เลเจนด์ สยาม พัทยา แล้วฟัง “5กลุ่มอาหาร” กินต่อเนื่องป้องกันกระดูกพรุนได้ และข่าวดี ๆ ข่าวแรก “กรมการท่องเที่ยว” นำทีมบุกตลาดหนังโลก Amarican Film Market 2025 ข่าวที่สอง “ดุสิตธานี” สร้างชื่อให้ไทย ติดอันดับ 60โรงแรมดีที่สุดในโลก

 

 

ท่องเที่ยว –เที่ยว5งาน“Vijit-ณสัทธา-CaféDelMar-วันเดอร์ฟรุต-RollingRound

 

เที่ยวเมืองไทยส่งท้ายปี 2568 มีเทศกาลดี ๆ มาบอกกัน วางแผนวันหยุดให้พร้อม แล้วออกตลุยไปร่วมประสบการณ์ 5 งาน 5 พิกัด กันได้เลย

 

พิกัดที่ 1 Vijit Chao Phraya 2025 แสงแห่งสยามแม่ของแผ่นดิน เที่ยวได้ต่อเนื่อง 45 วัน เริ่ม 16 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568 ชมความยิ่งใหญ่ตระการตาเปลี่ยนแม่น้ำเจ้าพระยาให้กลายเป็นเส้นทางศิลปะและนวัตกรรมแห่งแสงไฟสุดตระการตา สองฝั่งเจ้าพระยา 15 แลนด์มาร์ก พร้อมไฮไลต์ การแสดงโดรนกว่า 500 ลำที่สะพานพระราม 8 ทุกคืนวันศุกร์ และการแสดงพลุไฟสุดอลังการบริเวณสะพานพุทธฯ ทุกคืนวันเสาร์และวันอาทิตย์

 

พิกัดที่ 2 เทศกาลแสดงไฟนานาชาติ Nasatta Light Festival Winter Illumination 2025 ระหว่าง21 พฤศจิกายน 2568 – 27 เมษายน 2569 ที่ ณ สัทธา อุทยานไทย จ.ราชบุรี ได้เนรมิตพื้นที่กว้างใหญ่ให้กลายเป็น “เมืองแห่งแสงไฟ” สายศิลปะชื่นชอบการถ่ายภาพต้องห้ามพลาด ไฮไลต์สำคัญคือโซน “Thai Spirit” ที่ถ่ายทอดตำนานพื้นบ้านและเรื่องราวทางวัฒนธรรมของไทย ผ่านแสง สี ลวดลายอันวิจิตรงดงาม

 

พิกัดที่ 3 Café Del Mar อีเวนต์ดีเจระดับโลก บริเวณหาดกมลา จ.ภูเก็ต ศูนย์รวมนักเดินทางสายดนตรี รอคอยจะได้พบกับศิลปินระดับตำนานอย่าง Carl Cox, Bob Sinclar และ Rampa

 

 

พิกัดที่ 4 Wonderfruit 11–15 ธันวาคม) จ.ชลบุรี ยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล   ที่จัดขึ้น ณ The Fields, Siam Country Club เทศกาลศิลปะและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย

 

พิกัดที่ 5 Rolling Loud Thailand 2025 วันที่ 14-16 พฤศจิกายน 2568 ที่เลเจนด์ สยาม พัทยา กำลังจะระเบิดความมันส์บนเวทีใหญ่ที่สุดในเอเชีย ชวนสายดนตรีชาวไทยและต่างชาติที่ชื่นชอบความบันเทิงอย่างมีสีสันมารวมตัวกันในงาน

 

เที่ยวเมืองไทย เที่ยวได้ตลอดปลายปี 2568 กับ เทศกาลงานที่จะสร้างรายได้กระจายเข้าถึงเศรษฐกิจฐานรกทั่วประเทศ

 

สุขภาพ –5 กลุ่มอาหารสำคัญช่วยป้องกันกระดูกพรุนกินได้สุขภาพดี

 

การเลือกกินอย่างถูกวิธี จะช่วยนำพาชีวิตดี๊ดีมีความสุข โดยเฉพาะผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ตื่นตัวกับเรื่องการเลือกกิน “5 กลุ่มอาหารสำคัญช่วยป้องกันกระดูกพรุน” ได้

 

กลุ่มที่ 1 ปลาทะเล ปลาเล็กปลาน้อย และกุ้งแห้ง -ปลาเป็นอาหารอุดมแคลเซียม โดยเฉพาะปลาซาร์ดีน ปลาทู ปลาแซลมอล ที่มีกรดไขมันจำเป็นอย่างโอเมก้า 3 อยู่สูง เป็นแหล่งสร้างคอลลาเจนช่วยเสริมสร้างกระดูกอ่อน รวมถึงข้อต่อต่างๆ ที่เสื่อมได้ ส่วน “ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง มีแคลเซียมสูง รักษามวลกระดูกให้คงสภาพได้ดีขึ้น

 

กลุ่มที่ 2 กลุ่มนมและโยเกิร์ต มีแคลเซียมมากในนมที่ร่างกายดูดซึมนำไปใช้ได้ง่ายและรวดเร็ว ควรดื่มนมเป็นประจำเพื่อเสริมสร้างแคลเซียมให้ร่างกาย ส่วน “โยเกิร์ต” ยังแคลเซี่ยม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน D ค่อนข้างสูง ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงเช่นกัน

 

กลุ่มที่ 3 กลุ่มผลไม้ กีวี กล้วย และมะละกอ -เป็นผลไม้อุดมแคลเซียม กีวี 1 ผลให้แคลเซียมถึง 60 มก. ทั้งยังมีวิตามิน C, K และ E โฟเลตและโพแทสเซียมสูง ส่วน “กล้วย” 100 กรัม มีแคลเซียมอยู่ 26 มก. มีวิตามิน A, C และ E ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม แมกนีเซียม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญสร้างมวลกระดูก “มะละกอ” 100 กรัม จะให้แคลเซียมราว 20 มก. ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ทำให้ลำไส้สะอาดขึ้น ร่างกายจึงดูดซึมสารอาหารต่างๆ และแคลเซียมได้ดีด้วย

 

กลุ่มที่ 4 กลุ่มถั่วเมล็ดแข็ง พืชตระกูลถั่ว งาดำ และเต้าหู้ก้อน - ถั่วเมล็ดแข็งอย่างอัลมอนด์ เป็นแหล่งรวมของแมงกานีส วิตามิน E ไบโอติน สังกะสี และไบโอฟลาวิน ช่วยเสริมสร้างและเพิ่มมวลกระดูก การรับประทานถั่วอัลมอลด์เป็นประจำจะช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น “งาดำ” มีแคลเซียมสูงถึง 975 มก. ต่อ 100 กรัม ซึ่งนับว่าสูงมากๆ จนเพียงพอต่อปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน “ถั่วฝักยาวและถั่วงอก” ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านมีทุกฤดูพบแคลเซียมสูง และ “เต้าหู้ก้อน” มีทั้งแคลเซียม สังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินอีกหลายชนิด

 

5. กลุ่มผักตระกูลกะหล่ำ -กะหล่ำปลี กะหล่ำปม ผักกาด บรอกโคลี ผักเคล ผักน้ำ และผักคะน้า จะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน B6 โฟเลต ธาตุเหล็ก รวมถึงแมงกานีส ทั้งยังมีแมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และแคลเซียมสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อการบำรุงและเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงเป็นอย่างมาก

 

ฟังข่าวท้ายชั่วโมง

 

ข่าวแรก –กรมท่องเที่ยวบุกตลาดหนังโลกAmerican Film Market 2025

 

นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า ทางกองกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ต่างประเทศ (Thailand Film Office: TFO) เตรียมพร้อมเข้าร่วมออกคูหานิทรรศการงาน American Film Market 2025 (AFM 2025) ระหว่างวันที่ 11 – 15 พฤศจิกายน 2568 ที่โรงแรม แฟร์มองต์ เซ็นจูรี่ พลาซ่า นครลอสแอนเจลิส (แอลเอ) สหรัฐอเมริกา มหกรรมงานทางการตลาดภาพยนตร์ซึ่งจะเป็นเวทีเชิญชวนผู้สร้างภาพยนตร์ระดับโลกเข้ามาถ่ายทำในเมืองไทย ด้วยการนำเสนอมาตรการคืนเงินกองถ่ายต่างประเทศสูงสุด 30% (Cash Rebate) หนึ่งในนโยบายส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ที่โดดเด่นและแข่งขันได้ในระดับสากล

 

กรมการท่องเที่ยวการเข้าร่วมงาน AFM 2025 โดยมีนัดหมายไว้ล่วงหน้าที่จะเข้าพบเจรจาทางธุรกิจเชิงรุกกับ Motion Picture Association (MPA) และผู้บริหารสตูดิโอชั้นนำ เช่น Netflix, Paramount Pictures และ Walt Disney Pictures เดินหน้าชวนสตูดิโอขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนถ่ายทำภาพยนตร์ในไทย

 

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า กรมตั้งเป้าดึงกองถ่ายระดับโลกให้เข้ามาใช้สถานที่ถ่ายทำในเมืองไทยเพิ่มสูงมากขึ้น ผ่านการนำเสนอศักยภาพทั้งด้าน 1.โลเคชันอันหลากหลาย 2.ทีมงานมืออาชีพ และ 3.มาตรการคืนเงินกองถ่ายต่างประเทศสูงสุด 30% ซึ่งโดนใจคนในวงการอุตสาหกรรมภาพยนตร์นานาชาติให้ความสนใจต่อเนื่องมาตลอด

 

ปัจจุบันกองถ่ายภาพยนตร์ต่างประเทศนิยมเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทาง โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา สถิติช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม 2568 มีกองถ่ายอันดับ 1 จากสหรัฐอเมริกาเข้ามาลงทุนถ่ายทำในไทยมากที่สุด  ทิศทางโดยภาพรวมยังคงเติบโตต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงทั่วโลกมีความเชื่อมั่นต่อไทยในฐานะประเทศที่พร้อมรองรับการถ่ายทำภาพยนตร์จากฮอลลีวูดได้เป็นอย่างดี

 

ทางกรมการท่องเที่ยวเชื่อมั่นเมื่อเข้าร่วมงาน AFM 2025 จะเป็นอีกก้าวสำคัญช่วยต่อยอดศักยภาพอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทย สร้างรายได้หมุนเวียนสู่เศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง ตลอดจนยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการถ่ายทำภาพยนตร์ในระดับโลกได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

 

 ข่าวที่สอง ดุสิตธานี!!สร้างชื่อติดอันดับ 60 โรงแรมดีที่สุดของโลก

 

โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ โรงแรมเรือธงโฉมใหม่ของกลุ่มดุสิต โฮเทลส์ แอนด์ รีสอร์ท ธุรกิจในเครือดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล หนึ่งในบริษัทผู้นำด้านโรงแรมและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ได้รับการยอมรับในระดับโลกอีกครั้ง ติดอันดับที่ 60 ในรายชื่อโรงแรมที่ดีที่สุดในโลกประจำปี 2568 โดย The World’s 50 Best Hotels 2025 ประกาศให้เป็นโรงแรมที่มอบประสบการณ์การบริการดีที่สุดในโลกให้กับลูกค้า

 

            เป็นตัวอย่างของโรงแรมใน 6 ทวีป ที่ได้รับการคัดเลือกโดยแสดงให้เห็นถึง “นวัตกรรม ความเป็นเลิศด้านการบริการ และความพึงพอใจของผู้เข้าพัก” จากเสียงโหวตของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวอิสระกว่า 800 คน รวมถึง ผู้ประกอบการโรงแรม นักข่าว และนักเดินทางระดับหรูผู้มากประสบการณ์

 

            “โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ” เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2513 เป็นโรงแรมหรูแห่งแรกๆ ของเมืองไทย ต่อมาสร้างแบรนด์จนกลายเป็น “สัญลักษณ์” แห่งการต้อนรับแบบไทยสมัยใหม่และ “แลนด์มาร์ก” ใจกลางเมือง หลังใช้เวลา 5 ปี ปรับโฉมแล้วกลับมาเปิดใหม่ภายใต้โครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” เปิดให้บริการอีกครั้ง 27 กันยายน 2567 ตอบโจทย์แบรนด์ดุสิตที่เน้น “การต้อนรับอย่างอบอุ่นและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจจากความเป็นไทย”

 

โดยยังคงรักษา “มรดกอันล้ำค่า” ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เดิม โรงแรมแห่งใหม่ผสานอดีตเข้ากับปัจจุบันได้ ลงทุนใหม่อย่างพิถีพิถันภายในโรงแรมที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณของสัญลักษณ์ไทยไว้ พร้อมกับเปิดศักราชใหม่แห่งความเป็นเลิศด้านการออกแบบไว้

 

ภายในตกแต่งอย่างประณีตโดย André Fu นักออกแบบชื่อดังระดับนานาชาติ ที่รักษากลิ่นอายอดีตอันยาวนานของโรงแรมอย่างมีระดับด้วยดีไซน์ร่วมสมัยอันหรูหรา ตั้งแต่ “ห้องพัก” และ “ห้องสวีท” โอ่โถงกว้างขวาง “ทุกห้อง” มองเห็นวิวสวนลุมพินีแบบพาโนรามา ไปจนถึง “ห้องอาหาร” ก็ได้คัดสรรมาอย่างดี รวมทั้งมีศูนย์สุขภาพ “เทวารัณย์ เวลเนส เซ็นเตอร์” เป็นเอกลักษณ์ ทุกพื้นที่ล้วนสะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างลึกซึ้งในงานฝีมือ วัฒนธรรม และความใส่ใจ

 

จิลส์ เครทัลลาซ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่าการได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 100 โรงแรมที่ดีที่สุดของโลก หลังจากกลับมาเปิดบริการใหม่ได้เพียง 1 ปี จึงถือเป็นก้าวสำคัญอันน่าเหลือเชื่อที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านความเป็นเลิศ นวัตกรรม และความเป็นเอกลักษณ์ และ “ความสำเร็จ” ครั้งนี้ ไม่เพียงจะยกย่องผลงานอันยอดเยี่ยมของทีมงานของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมุ่งมั่นร่วมกันผลักดันให้โรงแรมดุสิตทุกแห่งทั่วโลก มอบประสบการณ์หยั่งรากลึกในวัฒนธรรมท้องถิ่น ยกระดับด้วยการออกแบบ และเติมเต็มชีวิตชีวาด้วยการบริการที่จริงใจ นับเป็นการสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนสำหรับความปรารถนาของดุสิตมุ่งให้บรรลุในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดแบรนด์ควบคู่กันไปด้วย

           

“โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ” ได้รับการยกย่องอย่างเป็นทางการร่วมกับโรงแรมอื่นๆ ที่ได้รับรางวัลในงานประกาศรางวัล The World's 50 Best Hotels 2025 จัดขึ้นที่ Old Billingsgate กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568

           

เมื่อเดือนตุลาคม 2568 โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ยังเป็น 1 ใน 3 แห่ง ของกลุ่มดุสิตที่ได้รับรางวัล “มิชลินคีย์”  ร่วมกับ ดุสิตธานี มัคตัน เซบู ในฟิลิปปินส์ และดุสิตธานี เกียวโต ในญี่ปุ่น ได้รับเครื่องหมายระดับนานาชาติด้านความเป็นเลิศด้านการบริการ

 

ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

“Carbon Markets Club-MEX”ผนึกตลาดคาร์บอนมาเก๊า-ไทย ลุยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

  “ Carbon Markets Club - MEX ”ผนึกตลาดคาร์บอนมาเก๊า-ไทย เพิ่มศักยภาพตลาดคาร์บอนเอเชีย-ดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ   เรื่องโดย... # เพ็ญรุ่ง...