ผ่าทางรอดท่องเที่ยวหลังอุทกภัย“หาดใหญ่-9จว.ภาคใต้ตอนล่าง”
จับตา“รัฐ-ททท.-ธุรกิจ”ผนึกฟื้นเศรษฐกิจภาคใต้กว่า 1 ล้านล้าน
สงขลาท่องเที่ยวเด่น2จุดขายเมือง“ศักยภาพสูง+สร้างสรรค์ยูเนสโก”
“คิงเพาเวอร์ออนไลน์”ลดใหญ่จัดเต็ม“BEAUTY BONUS”ลด30%
ซื้อแคชการ์ด“คิงเพาเวอร์”พ.ย.นี้ช้อปคุ้มกว่าสินค้าบิวตี้/น้ำหอม
สมาชิกPOWER
PASSเฮแลกไมล์ROPสะดวกสบายบิน&เดินทาง
ททท.หนุนมิชลินไกด์ปี’69“ดันจุดขายไทยสู่World’s
Gastronomy
“บางจาก”ชวนบริจาคน้ำดื่ม-กรีนไมล์ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมใต้
บางจากสร้างเชื่อมั่นอนุมัติซื้อหุ้นคืน 3,800ล้าน เริ่ม16 ธ.ค.68
เที่ยวเมือง(ต้อง)รอง-กินช้อปเที่ยวที่เมืองทองธานี 29-30พ.ย.นี้
3เรื่องหลังน้ำท่วมทุกบ้านต้องรีบหันมาดูแลสุขภาพกันโดยด่วน
11เดือนจีนทัวร์ไทยทะลุ4ล้านคน-ต่างชาติใช้เงิน1.34 ล้านล้าน
AOTปีงบ68โกย6.85หมื่นล้าน/กำไร1.81หมื่นล้าน/โบนัส6เดือน
วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2568 ต้อนเข้าสู่รายการ “รวยด้วยข่าวเสาร์-อาทิตย์” เวลา 11.00-12.00 น.พบกับ “เพ็ญรุ่ง ใยสามเสน” ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย FM 97MHz. ฟังทางfacebookLiveFM97.0 อ่านในwww.facebook.com/penroongyaisamsen #gurutourza #รวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #เพ็ญรุ่งใยสามเสน #เที่ยวกับกู๋ #KingPower #TAT #บางจาก #เที่ยวเทศกาลเมืองต้องรอง
ฟัง Live สดจากลิงค์นี้... https://www.facebook.com/share/v/14U3MuB3LuF/
ช่วงที่
1 ผ่าทางรอดอุตสาหกรรมท่องเที่ยว “หาดใหญ่ สงขลา-9 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง” พ้นกับดัก “มหาอุกทัย” ฉับพลันในพื้นที่ขุมทรัพย์หลัก
“ทำรายได้” ให้ประเทศอันดับต้น ๆ “สงขลา” ปีละกว่า 50,000 ล้านบาท
“ภาคใต้” ปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท 9 เดือนแรกสดใสต่อเนื่อง
เข้าโค้งสุดท้ายปลายปีฤดูทำเงิน “ไฮซีซั่น” พ.ย.-ธ.ค.68
เผชิญน้ำท่วมใหญ่ “กลายเป็น “จุดเปลี่ยนสร้างโจทย์ท้าทายใหม่” ทันที
ภาคธุรกิจท่องเที่ยวคาดความเสียหายเกิน 15,000 ล้านบาท
กับบทพิสูจน์ศักยภาพ ฝีมือ “รัฐบาล-ททท.-ภาคธุรกิจ”
จะผนึกใช้พลังความสามารถทุกมิติพลิกวิกฤตเป็นโอกาสกลับมาผงาดอีกครั้งได้หรือไม่
ด้วยจุดแข็งและจุดขายอันทรงพลังของ “เมืองท่องเที่ยวศักยภาพสูง”เชื่อมโยงเศรษฐกิจสู่เมืองน่าเที่ยวอื่น
ๆ และ”เมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก” ดาวรุ่งดวงใหม่ในตลาดโลก
มหันตภัยน้ำท่วมรุนแรงเป็น “มหาอุกทัยขั้นวิกฤต” ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง 9 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สตูล และสุราษฎร์ธานี หนักสุดอยู่ใน “อำเภอหาดใหญ่” จังหวัดสงขลา เมื่อ 17-27 พฤศจิกายน 2568 กลายเป็นจุดเปลี่ยนทำให้พื้นที่ “การท่องเที่ยวศักยภาพสูง”และ “เมืองสร้างสรรค์ด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหารยูเนสโก” เมืองดาวรุ่งที่พร้อมสร้างรายได้อันดับต้น ๆ ของประเทศ ต้องเผชิญความท้าทายอย่างหนักในจังหวะเริ่มเข้าสู่ “เทศกาลทำเงิน” ฤดูท่องเที่ยวไฮซีซั่นปลายปี 2568
ก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” (ททท.) ตั้งเป้าหมายตลอดปี 2568 หาดใหญ่ และสงขลาจะสามารถผลักดัน “รายได้และจำนวน” นักท่องเที่ยวเติบโตได้ถึง “สองหลัก” โดยเฉพาะ “จำนวน” นักท่องเที่ยวจะขยายตัว 8-10 % ส่วน “รายได้” ช่วงปลายปีจะมีอีเวนต์เที่ยวเทศกาลช่วงพฤศจิกายน ต่อเนื่องธันวาคม ไฮไลต์งานเคาน์ดาวน์ เคยสร้างเศรษฐกิจในพื้นที่คึกคักมูลค่ารวมหลายพันล้านบาท
ตลอด 9 เดือนแรก ปี 2568 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รายงานสถานการณ์ท่องเที่ยว “หาดใหญ่” และสงขลา มีสัญญาณดีต่อเนื่องมาตลอด การท่องเที่ยวภาพรวมในอำเภอหาดใหญ่ และจังหวัดสงขลา ปี 2568 ตลอด 9 เดือนแรก ทำเงินได้แล้ว 39,480 ล้านบาท รอลุ้นการเข้าโค้งสุดท้ายไตรมาส 4 ระหว่างตุลาคม-ธันวาคม 2568 ยังขาดอีกแค่เพียง 10,800 ล้านบาท ก็จะเข้าใกล้ตัวเลขตลอดปี 2567 ที่ทำไว้ทั้งสิ้น 50,286.40 ล้านบาท รายได้ปี 2568 เติบโตดีทุกไตรมาสดังนี้
“ช่วงครึ่งปีแรก”
ระหว่างมกราคม -มิถุนายน 2568 นำการท่องเที่ยวสร้างรายได้ตุนไว้ถึง 24,629
ล้านบาท จากจำนวนผู้เยี่ยมเยือนคนไทยและต่างชาติสูงสุด 3,650,608
คน ติดอันดับ 10 ของประเทศ และอันดับ 3
ของภาคใต้
“ช่วง
9 เดือนแรก” ระหว่างมกราคม-กันยายน
2568 ทำรายได้รวมทั้งสิ้น 39,480 ล้านบาท
จาก “คนไทย” 16,886 ล้านบาท ติดอันดับ 4 ของภาคใต้ และ “ต่างชาติ” 22,593 ล้านบาท
ติดอันดับ 5 ของภาคใต้
“การท่องเที่ยวในสงขลา” เปรียบเทียบกับตลอดปี 2567
สร้างพื้นฐานการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั้งรายได้และจำนวนผู้เยี่ยมเยือนคือ
“สร้างรายได้” รวมทั้งสิ้นถึง 50,286.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 มากถึง 15.81 % การใช้จ่ายเงินมาจาก คนไทย 21,838.32 ล้านบาท และต่างชาติ 28,448.08 ล้านบาท “ทำอัตรการเข้าพักเฉลี่ย” 75.81 %
“มีจำนวนนักท่องเที่ยว” รวมทั้งสิ้น 6,998,664 คน-ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี 2566 มากถึง 24.53 % ประกอบด้วย คนไทย 3,135,386 คน-ครั้ง และต่างชาติ 3,863,278 คน-ครั้ง สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ สปป.ลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน
“ธุรกิจโรงแรมห้องพัก” ภาพรวมในจังหวัดสงขลามีโรงแรม 353 แห่ง จำนวนกว่า 22,158 ห้อง แล้วยังมีสถานประกอบการซึ่งไม่ใช่โรงแรมรวมอยู่ด้วย จึงทำให้ทั้งจังหวัดมีบริการห้องพักราว 40,000 ห้อง ทำ“ราคา” รองรับนักท่องเที่ยวได้หลากหลาย ตั้งแต่ที่พักแบบประหยัด (budget) ไปจนถึงหรูหรา (luxury)
ผนวกกับเมื่อช่วงต้นปี 2568 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร มีมติให้ “สงขลา” ยกระดับเป็น “เมืองท่องเที่ยวศักยภาพสูง เชื่อมโยงสู่เมืองน่าเที่ยว” จังหวัดอื่น ๆ ทำหน้าที่เป็นเสาหลักและฐานพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ ด้วยศักยภาพอันโดดเด่นของ “สงขลา” ซึ่งเป็นศูนย์กลางภาคใต้ตอนล่างมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางเข้าไปใช้จ่ายเงินมากที่สุด
ด้วย “จุดขาย” เรื่องต้นทุนทางวัฒนธรรม และเอกลักษณ์วิถีชีวิตท้องถิ่น เป็นเสน่ห์เชิญชวนทั่วโลกจาก 2 ไฮไลต์ใหม่ ได้แก่
ไฮไลต์แรก “เมืองเก่าสงขลา” ได้รับการประกาศเป็น “แหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน 100 แห่งของโลก” จากโครงการ Green Destinations Top 100 Stories ประจำปี 2024 โดยได้ฟื้นฟูเมืองกลับมามีชีวิตชีวาผสมผสานระหว่างการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม หลอมรวมเข้ากับการสร้างสรรค์กิจกรรม และชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมต่อเนื่องเป็นอย่างดี
ไฮไลต์ที่ 2 “เมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก” สาขาอาหาร (City of Gastronomy) เพิ่งได้รับการประกาศล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2568 ให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ยูเนสโก จากความโดดเด่นสะท้อนเอกลักษณ์อาหารท้องถิ่นเลือกใช้วัตถุดิบอันหลากหลายจาก “สองทะเล สามน้ำ” คือ ทะเลสาบสงขลากับทะเลอ่าวไทยรังสรรค์เมนูเชิงวัฒนธรรมอาหารทำสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน จะเป็นแสงส่องสว่างช่วยเพิ่มโอกาสให้เมืองพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว พร้อมจะผงาดขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลกในอนาคต
ทั้ง “หาดใหญ่ และสงขลา” เป็นพื้นที่ศักยภาพสูงและจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ เป็นแม่เหล็กดึงดูดการเดินทางต่อเนื่องได้ตลอดทั้งปี ด้วยจุดขายสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งธรรมชาติ ภูเขา ทะเล วัฒนธรรม อาหารการกิน แหล่งช้อปปิ้ง “ชาวมาเลเซีย” นิยมมาพักผ่อนช่วงวันหยุดเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี
อีกทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีรายงานสรุปสถานการณ์ท่องเที่ยวรวมใน “ภาคใต้” ตลอด 8 เดือนแรก ระหว่างมกราคม -30 สิงหาคม 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้รวมกว่า 6.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเกือบ 1 % แบ่งเป็น “คนไทย” 20.8 ล้านคน สร้างรายได้ 1.3 แสนล้านบาท และต่างชาติ 18.2 ล้านคน สร้างรายได้ 5 แสนล้านบาท
“มหาอุกทัย” ที่เกิดขึ้นฉับพลันภายในเวลาต่อเนื่องเริ่มตั้งแต่ 17 พฤศจิกายน 2568 จนถึงขณะนี้ ได้พลิก “โอกาส” เป็นจุดเปลี่ยนการท่องเที่ยวใน “หาดใหญ่ สงขลา และภาคใต้” ทันที เนื่องจากเป็นช่วงทำเงินไฮซีซั่นพอดี พฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 แต่กลับต้องหยุดการค้าขายหันมาปรับปรุงฟื้นฟูพื้นที่อย่างน้อย 1 เดือน สร้างความเสียหายส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกี่ยวกับวิถีชีวิตและเศรษฐกิจ 2 ส่วนหลัก
ส่วนที่ 1 สมาคมโรงแรมไทยหาดใหญ่ สงขลา ประเมินเบื้องต้นรายได้จากนักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติ ยกเลิกการจองเดินทางเข้าพักและท่องเที่ยวซึ่งจะส่งผลให้เม็ดเงินหายไปไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท
ส่วนที่ 2 ต้องใช้เงินลงทุนปรับปรุงที่พัก อาคาร โรงแรม สถานประกอบการ สำนักงาน โครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค ระบบไฟฟ้า ปะปา เครื่องมือสื่อสาร อุปกรณ์ประกอบอาชีพ มูลค่ารวมทั้งหมดแล้วอาจจะเป็นหลักหมื่นล้านบาทก็เป็นได้
ฉุดรั้งอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้ง “ภูมิภาคภาคใต้” ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กับ ททท.ประมวลผลไว้ค่อนข้างสดใส 8 เดือนแรก ระหว่างมกราคม-สิงหาคม 2568 สร้างรายได้เข้าประเทศแล้วกว่า 6.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 % จาก “นักท่องเที่ยวต่างชาติ” 18.2 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5 แสนล้านบาท และ “คนไทย” 20.8 ล้านคน สร้างรายได้ราว 1.3 แสนล้านบาท
ขณะนี้รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีระกุล มีมติประกาศใช้ “พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งจังหวัดสงขลา” เริ่ม 25 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป ส่วน “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)” เปิดศูนย์ติดตามสถานการณ์ท่องเที่ยวในภาวะวิกฤต :ศตท.” ที่ สำนักงานใหญ่ ททท.เริ่ม 26 พฤศจิกาน 2568 เป็นต้นไป มุ่งทำภารกิจประสานช่วยเหลือการท่องเที่ยวเร่งด่วน 4 เรื่อง ได้แก่ 1.เป็นสื่อกลางช่วยเหลือประสานกับนักท่องเที่ยว 2.เกาะติดสถานการณ์ 3.สื่อสารมาตรการเชิงรุก 4.อัพเดทส่งต่อข้อมูลถึงทั่วโลกอย่างถูกต้อง ควบคู่กับการเดินหน้าทำ 3 มาตรการ “ช่วยคนติดค้างตามโรงแรมที่พัก มอนิเตอร์ข่าวสารอย่างถูกต้องพร้อมส่งให้คู่ค้าในและต่างประเทศทั่วโลก เตรียมแผนล่วงหน้าช่วยฟื้นเศรษฐกิจเร่งด่วนในพื้นที่ภาคใต้ทั้งหมด
ทางรอดของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวใน หาดใหญ่ สงขลา และพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างอีก 8 จังหวัด ต้องพึ่งพาพลังจากทุกภาคส่วนสร้าง “โอกาสใหม่” ขึ้นมาอีกครั้ง ในฐานะภูมิภาคที่เป็นทำเลทองของไทย ซึ่งมีศักยภาพทำรายได้เข้าประเทศรวม ๆ แล้วปีละกว่า 1 ล้านล้านบาท
ฟังข่าวต้นชั่วโมง
ข่าวที่ 1-คิงเพาเวอร์ออนไลน์ลดใหญ่จัดเต็ม“BEAUTY BONUS”ลด30 %
“คิง เพาเวอร์ ออนไลน์” นำเสนอแบรนด์ดัง ลดจัดเต็มกับ “BEAUTY BONUS” ลดครั้งใหม่ 30 % เฉพาะ 29-30 พฤศจิกายน 2568 เท่านั้นเพราะความงามไม่มีที่สิ้นสุดพิเศษโบนัสความงามที่ไม่มีวันจบกับบิ๊กแบรนด์ SK_II, DECORTE, SHISEIDO และ SHU UEMURA เติมเต็มความงามอย่างต่อเนื่อง ให้ทุกวันของคุณเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
เลือกกดสินค้าที่ชอบลงตะกร้าช้อปได้เลย
ทั้ง “สกินแคร์” บำรุงผิว “เมคอัพ” เครื่องสำอางแต่งเติใบหน้า “น้ำหอม”
เสริมเสน่ห์ภาพลักษณ์ให้ลุคดีอยู่ตลอด หรือผลิตภัณฑ์ดูแลความงามอื่น ๆ
ต่อยอดความสวย ให้คุณมั่นใจในทุกมิติ กดด่วนๆ หมดแล้วหมดเลยไม่รู้นะ แค่มีไฟลต์บิน
พร้อมรอรับของที่สนามบินขาออกประเทศ
1.ลดรัว ๆ สูงสุด 30% โดยไม่ต้องมียอดซื้อขั้นต่ำ เพียงกดรับรหัสส่วนลด BBNNOV25 ได้ตั้งแต่วันนี้ -30 พฤศจิกายน 2568
ข่าวที่ 2-ซื้อแคชการ์ดคิงเพาเวอร์ช้อปคุ้มกว่าสินค้าบิวตี้/น้ำหอม
คิง เพาเวอร์จัดมหกรรมช้อปในแต่ละ
“โซนสินค้า” จัดโปรหลากหลายมาให้เลือกช้อปคุ้มค่าอย่างเพลิดเพลินได้ดังนี้
1.แผนกบิวตี้/ความสวยความงาม น้ำหอม แว่นตา ลดรัว ๆ จากราคาปกติ 20+5 % เมื่อช้อปครบ 1,500 บาท/ใบเสร็จรับเงิน ลดสูงสุด 20% พิเศษ! สมาชิก POWER PASS รับออนท็อปเพิ่มอีก 5 %
2.แผนกแฟชั่น นาฬิกา และเครื่องประดับ ก่อนช้อป แนะนำให้ซื้อ “CASH CARD” หรือบัตรช้อปเงินสด
3.ซื้อ แคช การ์ด มูลค่า 10,000 บาท รับฟรี กิฟท์ การ์ด 4,000 บาท แล้วนำไปใช้ได้ในแผนกที่เข้าร่วมรายการทั้ง แฟชั่น นาฬิกาเครื่องประดับ รวมทั้ง “ลักชัวรี่ แบรนด์” ด้วย
4.ซื้อแคช การ์ด หรือช้อปผ่านบัตรเครดิต ที่ร่วมรายการได้มากกว่า! นั่นคือรับเครดิตเงินคืนสูงสุดอีก 10,000 บาท
5.“ช้อปสินค้าป้ายฟ้า” สะดวกขึ้นอีกขั้น คิง เพาเวอร์
แนะนำช้อปอย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องมีไฟลต์บินต่างประเทศ เพียงแค่เลือกหยิบ
“สินค้าป้ายฟ้า” ลงตะกร้าของเมื่อซื้อแล้วรับกลับได้ทันที ทั้ง “ช็อกโกแลต”นำเข้าจากทั่วโลก “ขนมไทย”
ภูมิปัญญาท้องถิ่นเกรดพรีเมี่ยม หรือจะเป็น “ตุ๊กตา” อาร์ตทอยสวย ๆ เทรนด์ยอดนิยม
ของเล่น และสินค้าไทยอีกมากมาย
ข่าวที่ 3-สมาชิกPOWER PASSเฮแลกไมล์ROPสะดวกสบายบิน&เดินทาง
POWER PASS” คิง เพาเวอร์ ร่วมกับพันธมิตร แจกไม่ยั้ง ทั้งการแลกคะแนนเป็นไมล์สะสม ประกันการเดินทาง และสิทธิพิเศษอื่น ๆ ดังนี้
● ขยายเวลาโอนคะแนน “CARAT” แลกไมล์สะสม “Royal Orchid Plus :ROP” การบินไทย ได้เรทพิเศษถึงสิ้นปี! สมาชิกที่มี CARAT เต็มบัญชี แลกง่าย แลกได้ แลกเลย วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568 แลกทาง https://powerpass.kingpower.com/th
● สมัครฟรี! สมาชิก POWER PASS เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พร้อมสิทธิ์แลก CARAT REWARDS ทันที สมัครทางเว็บไซต์คิง เพาเวอร์ หรือ LINE Official Account @KINGPOWER
“ยังไม่เป็นสมาชิก” POWER
PASS รีบสมัครด่วน! พร้อมเริ่มสะสม CARAT ได้ทันที
เลือกโปรโมชั่นพร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษอีกมากมายจาก POWER PASS อย่างเต็มที่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ข่าวที่ 4-ททท.หนุนมิชลินไกด์ปี’69“ดันจุดขายไทยสู่World’s
Gastronomy
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า เข้าร่วมการประกาศผลรางวัลดาวมิชลินประเทศไทย ประจำปี 2569 เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2568 ที่ห้องแกรนด์บอลรูม ชั้น 4 โรงแรมเดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ ในฐานะที่ ททท. ให้การสนับสนุน (Destination Partner) โครงการ The MICHELIN Guide Thailand ต่อเนื่อง ก้าวสู่ปีที่ 8 ตั้งแต่ปี 2561-2568
ผลการประกาศปี 2568
มี “ร้านอาหาร” ที่ได้รับคัดเลือกอยู่ในคู่มือเล่มที่ 9 แล้ว สำหรับ Michelin Guide Thailand 2026 ประจำปี 2569 ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 468 ร้าน เพิ่มจากปี
2568 อีก 6 ร้าน เดิมมี 462 ร้าน ประกอบด้วย
● ร้าน 3 ดาว จำนวน 2 ร้าน ได้แก่ ร้านศรณ์ และร้านใหม่ “ซูหริง” (Sűhring) ติดสามดาวครั้งแรก
● ร้าน 2 ดาว จำนวน 8 ร้าน เพิ่มขึ้น 1 ร้านจากปี
2568 เดิมมี 7 ร้าน
● ร้าน 1 ดาว จำนวน 33 ร้าน เพิ่มขึ้น 5 ร้านจากปี
2568 เดิมมี 28 ร้าน
● “ร้านบิ๊บกูร์มองด์” 137
ร้าน ติดอันดับใหม่เป็นครั้งแรก 13 ร้าน
● ร้านอาหาร MICHELIN
Selected รวม 288 ร้าน
ผู้ว่าการ ททท.ใช้โอกาสเดียวกันนี้มอบรางวัลพิเศษให้เชฟร้านดังต่าง
ๆ อีกรวม 4 รางวัล ได้แก่
1.รางวัล MICHELIN
THAILAND Service Award Presented by TAT เป็นของ “เชฟ Arsen
Brahaj” จากร้าน Aulis จ.พังงา
2.รางวัล MICHELIN
Guide Thailand Young Chef Award Presented by BLANCPAIN เป็นของ “เชฟม่อน
-สุวิจักขณ์ กังแฮ” จากร้าน Royd (หรอย) จ.ภูเก็ต
3.รางวัล MICHELIN
Guide Thailand Opening of the Year Award by UOB เป็นของ “เชฟ Wilfrid
Hocquet” จากร้าน Margo
4.รางวัล Mentor
Chef BY MICHELIN Guide Thailand เป็นรางวัลใหม่ปี 2568 เป็นของ “เชฟ Dawid Thompson” ผู้ชื่นชอบทุ่มเทด้านอาหารไทยต่อเนื่องจนคว้ารางวัลดังกล่าวไปครองได้
● รางวัล MICHELIN
Green Star มอบให้แก่ร้านรักษ์โลก ใส่ใจเรื่องความยั่งยืนทั้งหมด 5
ร้าน ได้แก่
1.ร้าน GOAT ปีนี้รับเป็นปีแรก 2.ร้านบ้านเพทา 3.ร้าน Haoma กรุงเทพฯ
4.ร้านพรุ 5.ร้านจำปา จ.ภูเก็ต
ผู้ว่าฯ ฐาปนีย์ กล่าวว่า ททท.เชื่อมั่นการมอบรางวัลและการจัดทำคู่มือดังกล่าว
จะเป็นเครื่องมือสำคัญส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยก้าวสู่ “World’s
Leading Culinary Destination” กระตุ้นนักท่องเที่ยวทั่วโลกตัดสินใจเดินทางมาสัมผัสประสบการณ์
“เสน่ห์ไทย” ด้านการท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy Tourism) ปลุกกระแสการเดินทางตามรอยร้านอาหารแนะนำในคู่มือมิชลิน ส่งผลเชิงบวก ด้านการจ้างงานและสร้างรายได้สู่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม
ข่าวที่ 5-“บางจาก”ชวนบริจาคน้ำดื่ม-กรีนไมล์ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมใต้
กลุ่มบริษัทบางจาก
เชิญชวนลูกค้าและประชาชน “ร่วมปันน้ำใจ ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม” ในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา และพื้นที่ภาคใต้ โดยได้จัดทำ 2 โครงการ ประกอบด้วย
โครงการที่
1 เปิดให้ลูกค้าที่ได้รับแจกน้ำดื่ม 1.5 ลิตร จากการเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมันบางจากทั่วประเทศที่ร่วมรายการ
ร่วมบริจาคน้ำดื่มให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ยังอยู่ในภาวะวิกฤต ตั้งแต่วันนี้- 31 ธันวาคม 2568 โดยแจ้งความประสงค์กับพนักงานหน้าลานในสถานีบริการ
แล้วทางบางจากฯ จะประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่ เพื่อกระจายน้ำดื่มไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างมีประสิทธิภาพ
โครงการที่
2 เชิญชวน “สมาชิกบางจาก กรีนไมลส์”
ร่วมบริจาคคะแนนเป็นเงินบริจาคผ่านแอปพลิเคชันบางจาก มอบให้ “มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่งพา
(ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย”
ส่งต่อความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบมหาอุทกภัยดังกล่าว
กลุ่มบางจาก
ได้ทำกิจกรรมระยะเร่งด่วน ช่วยบรรเทาทุกช่วงสถานการณ์น้ำท่วมปี 2568 ด้วยวิธีทยอยส่งมอบความช่วยเหลือผู้ประสบภัยหลายจังหวัดตามรูปแบบต่าง ๆ ผ่านบัตรเติมน้ำมัน
ถุงยังชีพ น้ำดื่ม ข้าวสาร และอุปกรณ์ของใช้จำเป็น ทำต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตร
ทีมงานจิตอาสา พนักงานของกลุ่มบริษัทบางจากที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในพื้นที่
สำหรับ
“วิกฤตน้ำท่วมภาคใต้” ล่าสุด กลุ่มบางจากร่วมสนับสนุนภารกิจผ่านองค์กร หน่วยงานต่าง
ๆ เช่น สภากาชาดไทย กาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช กาชาดจังหวัดสงขลา มณฑลทหารบกที่ 42
ทีมใจถึงใจคนไทยไม่ทิ้งกัน มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย ศูนย์พักพิงและโรงครัวต่าง ๆ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์
เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) มูลนิธิองค์กรทำดี มูลนิธิกระจกเงา ทีมอาสาดุสิต และอื่น
ๆ
ขณะนี้กลุ่มบริษัทบางจากยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
และพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนการช่วยเหลือเพิ่มเติมตามความจำเป็น
เพื่อแบ่งเบาความเดือดร้อนของประชาชน ส่งต่อกำลังใจให้พี่น้องผู้ประสบภัยทุกพื้นที่ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน
หวังให้สถานการณ์จะกลับคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็ว
ข่าวที่ 6-บางจากสร้างเชื่อมั่นอนุมัติซื้อหุ้นคืนวงเงิน3,800ล้านเริ่ม16ธ.ค.68
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก
คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 15/2568 เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 มีมติอนุมัติการนำเสนอโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทฯ เพื่อบริหารทางการเงิน
(Treasury Stocks) ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 3,800 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 -ปี 2571 โดยบริษัทฯ
ดำเนินการซื้อหุ้นคืนครั้งแรกปี 2568 ใช้วงเงินไม่เกิน 1,100 ล้านบาท จำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 29.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 2.14 % ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
“ซื้อด้วยวิธี” จับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ซึ่งจะมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืน 6 เดือน
นับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2568-15 มิถุนายน 2569
นายชัยวัฒน์
กล่าวว่า การซื้อหุ้นคืนดังกล่าวนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนในศักยภาพของธุรกิจ
และความสามารถทำกำไร พร้อมกับสร้างรายได้ของบริษัทฯ ในอนาคต รวมทั้งยังช่วยเพิ่มผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
(ROE) กับกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เพื่อให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นโดยรวม
เป็นวิธีบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทฯ ให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพจากปัจจุบันสถานะการเงินมีความแข็งแกร่งภายใต้ภาพรวมธุรกิจเติบโตได้ต่อเนื่อง
ส่วนการดำเนินการซื้อหุ้นคืนปีที่ 2 และ 3 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ในขณะนั้น
รวมถึงจะไม่จำกัดเพียงสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทฯ จำนวนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันจะเริ่มซื้อหุ้นคืนในปีนั้นๆ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริษัทจะพิจารณารายละเอียดการซื้อหุ้นคืนแต่ละครั้งต่อไป
ช่วงที่ 2 เที่ยวใกล้กรุง “เทศกาลเมือง(ต้อง) รอง” 29-30 พฤศจิกายน
นี้ ที่ฮอลล์ 11-12 เมืองทองธานี เช็คอินได้ 55 เมืองน่าเที่ยว แปลงโฉมพื้นที่ 11,000 ตรม.ชวนมากินช้อปเที่ยวได้ทั่วไทยใน
6 โซน แล้วฟัง “3เรื่องหลังน้ำท่วม”
ทุกบ้านต้องรีบทำด่วน เกาะติดข่าวฮ็อต ๆ ข่าวแรก “11เดือนจีนเที่ยวไทยทะลุ
4 ล้านคนแล้ว” และต่างชาติใช้เงินทั่วไทย 1.34 ล้านล้านบาท ข่าวที่สอง “AOTปี68โชว์กำไร 1.8 หมื่นล้านบาท” แจกโบนัส 6 เดือน
ท่องเที่ยว –เที่ยวเมือง(ต้อง)รอง-กินช้อปเที่ยวที่เมืองทองธานี29-30พ.ย.นี้
ชวนไปเที่ยวใกล้กรุงงาน “เทศกาลเมือง
(ต้อง) รอง” จัดครั้งแรกในเมืองไทย มหกรรม กิน–ช้อป–เที่ยว ปังสุด ๆ 28-30 พ.ย.68 ยกเมืองน่าเที่ยวหรือเมืองรอง ทั่วประเทศบูมเที่ยวยั่งยืน
มาให้ไว้ในฮอลล์ 11-12 เมืองทองธานี กว่า 11,000 ตารางเมตร เช็คอินด่วน 6 โซน
ใช้สิทธิ์ทุกการช้อปลุ้นรับรางวัลวันละ 2 แสนบาท
พบกับ
“เทศกาลเมือง (ต้อง) รอง” มหกรรมท่องเที่ยวเมืองรองสุดยิ่งใหญ่
ครั้งแรกในเมืองไทย จัดขึ้นภายใต้แนวคิด“เมืองรอง เมืองที่ทุกคน ต้องลอง” วันที่ 28-30 พฤศจิกายน 2568
เปิดพื้นที่กว่า 11,000 ตารางเมตร บริเวณฮอลล์ 11-12
ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี รวมของเด็ด 5
ภูมิภาค 55 จังหวัด มาไว้ในที่เดียว ร่วมค้นหาประสบการณ์ความสนุกกับกิจกรรม
“ต้องลอง – ต้องชิม – ต้องซื้อ – ต้องชม – ต้องค้นหา” และไฮไลต์พิเศษมากมาย ทั้ง VR
Virtual Tour พาเที่ยวเมืองสุดอันซีน นิทรรศการมีชีวิต เวิร์กชอปทำมือ ตลาดของดีเมืองรอง
และอีกมากมาย
มาร่วมปลูกฝังการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ
“Sustainable
Tourism” จัดกิจกรรมส่งเสริมและให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ
แนวทางการท่องเที่ยว “รักษ์โลก” และ “รักษ์ท้องถิ่น” ผ่านการชม
● นิทรรศการมีชีวิต แบบมีปฏิสัมพันธ์สองทาง (Interactive) เรื่องราว “การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ” ด้วยการนำเสนอผ่าน 3 ตัวละคร ในมิติ “สิ่งแวดล้อม-วัฒนธรรม-สังคม”
ทำให้ผู้เข้าชมเข้าใจแนวคิดการเดินทางที่เป็นมิตรต่อชุมชนมากยิ่งขึ้น
● นิทรรศการสำคัญ “เที่ยวเมืองรอง…รักษ์โลก” โดยเน้นวัสดุจัดแสดงแบบลดการสร้างขยะพร้อมกิจกรรมเชิงให้ความรู้
อย่าง Carbon
Explorer Game และ Waste Sorting Game มุ่งสร้างจิตสำนึกลงมือทำเรื่องสิ่งแวดล้อม
@เพลิดเพลินกับกิจกรรมท่องเที่ยวทุกภูมิภาค 6 โซน
● โซนที่ 1 ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย พิษณุโลก ตาก
เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ สุโขทัย ลำพูน อุตรดิตถ์ ลำปาง แม่ฮ่องสอน พิจิตร แพร่ น่าน
กำแพงเพชร อุทัยธานี และพะเยา
-สัมผัสเสน่ห์ชนเผ่า
ม้ง อาข่า ปกาเกอะญอ ผ่าน Standee ถ่ายรูป ชุดชนเผ่าจริง และ “ฟอร์มูล่าม้ง” สุดโด่งดัง ชมผลผลิตขึ้นชื่อ ใบชา
กาแฟ เครื่องดริปไม้ไผ่ กลิ่นอายแคมป์ปิ้งแบบเหนือแท้ ๆ และกิจกรรมเวิร์กชอปทำเครื่องประดับอาข่า และเพ้นท์ลูกสะบ้า
● โซนที่ 2 ภาคกลาง จังหวัดลพบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี
สมุทรสงคราม ชัยนาท อ่างทอง และสิงห์บุรีตลอดจนกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (นนทบุรี
นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร)
-พบวิถีเรียบง่าย
แต่สดใสด้วยทุ่งดอกทานตะวัน งานผ้าขาวม้าทอมือ และของดีจากหลายจังหวัด นำเสนอเวิร์กชอปทำตุ๊กตาชาววัง
จากอ่างทอง และพวงกุญแจผ้า จากสิงห์บุรี
● โซนที่ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดกาฬสินธุ์, ชัยภูมิ, นครพนม, บุรีรัมย์, บึงกาฬ, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ยโสธร, ร้อยเอ็ด, ศรีสะเกษ, สกลนคร, สุรินทร์, หนองคาย, หนองบัวลำภู, อำนาจเจริญ, อุดรธานี, อุบลราชธานี และเลย
-พาเข้าสู่อารยธรรมอีสาน
ผ่านโต๊ะหมอนขิดสีสด งานทอพื้นถิ่น ความงดงามของผ้าย้อมคราม กิจกรรมเวิร์กช็อป Eco Print ผ้าเช็ดหน้า
ธงใยแมงมุม & งานประดิษฐ์จากผ้าย้อมคราม จ.สกลนคร
● โซนที่ 4 ภาคตะวันออก จังหวัดจันทบุรี, นครนายก, ตราด, ปราจีนบุรี และสระแก้ว
-ดินแดนแห่งผลไม้
โดยเฉพาะ “ทุเรียน” King
of Fruit และโซนพักผ่อนด้วยผ้าขาวม้า เบาะนั่งลายภาคตะวันออก
สนุกกับกิจกรรมเวิร์กชอป ทำพวงมาลัยผ้าขาวม้า จากสระแก้ว ทำพวงกุญแจ
ที่รองสบู่จากกะลามะพร้าว จากตราด
● โซนที่ 5 ภาคใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง
สตูล ชุมพร ระนอง นราธิวาส ยะลา และปัตตานี
-ชวนสัมผัสบรรยากาศทะเลสีคราม
ผ้าบาติก และกิจกรรมสายลุยที่ดังทั่วโลก ร่วมเวิร์กชอป ประดิษฐ์สิ่งของจากขยะทะเล
จากนครศรีธรรมราช ทำที่คั่นหนังสือจากหนังตะลุง จากพัทลุง
● โซนที่ 6 ภาคีเครือข่าย –
จุดเช็กอินสุดอลัง! : เปิดประตูสู่ 5 Hidden Gems ทั้ง 5 ภูมิภาค
-ถ่ายทอดผ่านดิจิทัล
อาร์ต สุดตระการตา เช่น ไร่ชาฉุยฟง จ.เชียงราย เขางู จ.ราชบุรี ทะเลบัวแดง จ.อุดรธานี เกาะยักษ์เล็ก จ.ตราด ภูเรือ จ.เลย แกรนด์แคนยอน จ.จันทบุรี
-ชม VR Virtual Tour 10 เส้นทาง Hidden Gems เมืองรองให้ทดลองเที่ยวจริงแบบ Immersive หลากหลายอารมณ์ตามอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวดอย่าง พะเยา อุทัยธานี หนองคาย
บึงกาฬ สระแก้ว พัทลุง และอื่น ๆ
-กิจกรรมเสวนาพิเศษ “เที่ยวให้ยั่งยืน อยู่ให้ยั่งยืน : Green Lifestyle x Local
Living”
-กิจกรรมความบันเทิง พบกับศิลปินชื่อดังที่จะสร้างความสุขเติมความสนุกให้ทุกคนตลอด
2 วันเต็ม!
วันที่ 29 พฤศจิกายน พบกับ บาส–หัสณัฐ
พินิวัตร์ และ ปอ–อรรณพ ทองบริสุทธิ์
วันที่ 30 พฤศจิกายน พบกับ
กันต์–นภัทร อินทร์ใจเอื้อ และ ซานิ–นิภาภรณ์ ฐิติธนการ
●
ช้อปสนุก ลุ้นสนั่น !! ส่งท้ายความสนุกด้วยกิจกรรม “ลุ้นรางวัล” เพียงช้อปสินค้าภายในงานรับสิทธิ์ลุ้นของรางวัล
รวมมูลค่าสูงถึง 200,000 บาท/วัน รวมทั้งเปิดให้ใช้สิทธิ์
“คนละครึ่ง” และลดหย่อนภาษีผ่านโครงการ “เที่ยวดีมีคืน 2568” ได้อีกด้วย
สุขภาพ –3เรื่องหลังน้ำท่วมทุกบ้านต้องรีบหันมาดูแลสุขภาพกันโดยด่วน
การดูแลสุขภาพ
ในสถานการณ์น้ำท่วม แต่ละคน หรือครอบครัวต่าง ๆ ควรจะตื่นตัว เตรียมความพร้อม 3 เรื่องหลัก ดังนี้
1.ดูแลความสะอาดของร่างกาย เป็นสิ่งที่สำคัญมาก
เพื่อป้องกันการติดเชื้อและโรคต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
เช่น
-มือและเล็บควรล้างมือบ่อย
ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดก่อนรับประทานอาหาร หลังจากเข้าห้องน้ำ
และหลังการสัมผัสน้ำหรือตะกอนดิน
-เท้าและขาจะมีโอกาสสัมผัสน้ำสกปรกมากที่สุด
อาจทำให้เกิด โรคน้ำกัดเท้า และการติดเชื้อรา
ผิวหนังบริเวณที่เกิดบาดแผลหรือรอยขีดข่วน
-ใบหน้าและดวงตา
หากมีการสัมผัสน้ำสกปรกโดยไม่ตั้งใจ ควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดทันที
-ช่องปากและฟัน
ควรรักษาความสะอาดให้ดี ช่น แปรงฟันสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรีย
2.ความสะอาดของเครื่องใช้ต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรคและรักษาสุขภาพของคนในบ้าน
มีเครื่องใช้ที่ควรให้ความสำคัญในการทำความสะอาดเป็นพิเศษ เช่น
-ภาชนะและเครื่องใช้ในการรับประทานอาหาร อุปกรณ์การดื่มน้ำและที่กักเก็บน้ำ
-เสื้อผ้าและผ้าขนหนู อุปกรณ์ทำครัว อุปกรณ์สุขภัณฑ์และห้องน้ำ
-ของเล่นเด็กและสิ่งของที่เด็กใช้ รองเท้าและเครื่องนุ่งห่ม
3.เลือกรับประทานอาหารปลอดภัย เป็นสิ่งสำคัญมากป้องกันเกิดโรคจากอาหารหรือน้ำปนเปื้อน
-จัดเตรียมอาหารปรุงถูกสุขลักษณะ การเลือกและจัดเก็บอาหารปรุงสุกใหม่ๆ เก็บในภาชนะปิดสนิท
ใช้อาหารสำเร็จรูป เช่น อาหารกระป๋อง ขนมปังแห้ง
หรืออาหารที่ไม่ต้องการการแช่เย็น
-การดื่มน้ำและเครื่องดื่ม ให้ดื่มน้ำต้มสุกหรือกรองแล้วหรือใช้น้ำดื่มบรรจุขวด
หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่อาจปนเปื้อน
ฟังข่าวท้ายชั่วโมง
ข่าวแรก
–11เดือนจีนทัวร์ไทยทะลุ4ล้านคน-ต่างชาติใช้เงิน1.34ล้านล้าน
นางสาวนัทรียา
ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า
ขณะนี้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยสะสมแล้วกว่า 4
ล้านคน โดยภาพรวมตั้งแต่ 1 มกราคม – 23 พฤศจิกายน 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเนทางมาไทยสะสมรวมทั้งสิ้น
28,968,664 คน สร้างรายได้ประมาณ 1,341,220 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1
มาเลเซีย 4,134,618 คน อันดับ 2 สาธารณรัฐประชาชนจีน 4,021,994 คน อันดับ 3 อินเดีย 2,165,053 คน อันดับ 4 รัสเซีย 1,580,645 คน อันดับ 5 เกาหลีใต้ 1,372,774 คน
ภาพรวมช่วงสัปดาห์
ระหว่างวันที่ 17-23 พฤศจิกายน 2568 มีนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้
(Short haul) ฟื้นตัวตามแนวโน้มเข้าสู่ฤดูเดินทางหรือไฮซีซั่น
เช่น อินเดีย และเกาหลีใต้ ยกเว้น
“มาเลเซีย”ชะลอตัวจากเหตุอุทกภัยรุนแรงในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยทั้งสิ้น
691,388 คน เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 1,957 คน หรือ 0.28 % เฉลี่ยวันละ 98,770 คน ประกอบด้วย 5 อันดับแรก ได้แก่ มาเลเซีย 76,449 คน ลดลง 11.50 %สาธารณรัฐประชาชนจีน
75,769 คน ลดลง 0.5 % อินเดีย 54,584 คน รัสเซีย 52,845 คน เพิ่ม 6.47 % เกาหลีใต้ 33,170 คน เพิ่ม 6.68 % ส่วนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก
3 ตลาด ได้แก่ เกาหลีใต้ รัสเซีย และอินเดีย 1.96%
“สัปดาห์ถัดไป”
ระหว่าง 24-30 พฤศจิกายน 2568 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
คาดจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มมากขึ้นด้วย 3 ปัจจัยเดิม ๆ ได้แก่ ปัจจัยที่ 1
เข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวหรือไฮซีซั่น ของนักท่องเที่ยวยุโรปและอเมริกา
ปัจจัยที่ 2มาตรการ Ease of traveling ช่วยเพิ่มการอํานวยความสะดวกการเดินทางสู่ไทย
ปัจจัยที่ 3 การยกเว้นบัตรตม.6
รวมถึงการกระตุ้น และส่งเสริมให้สายการบินเพิ่มจํานวนเที่ยวบินมากยิ่งขึ้น
ข่าวที่สอง –AOTปีงบ68โกย6.85หมื่นล้าน/กำไร1.81หมื่นล้าน/โบนัส6เดือน
นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท
ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) “AOT” เปิดเผยว่า ปีงบประมาณ 2568 (ระหว่าง 1 ตุลาคม 2567- 30
กันยายน 2568) มี “รายได้”จากกิจการการบินรวม 33,047.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,046.83 ล้านบาท
หรือ 6.6 % ส่วน “รายได้รวมทั้งหมด”
ทำได้ 68,586.38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.12 % มี “กำไรสุทธิรวม” ทั้งสิ้น 18,125.20 ล้านบาท จากการดำเนินกิจการในท่าอากาศยานของ AOT
ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ 1.สุวรรณภูมิ
(ทสภ.) 2.ดอนเมือง 3.เชียงใหม่ 4.แม่ฟ้าหลวง เชียงราย 5.ภูเก็ต และ 6.หาดใหญ่ รวมทั้งประกาศจ่ายโบนัสพนักงาน 6 เดือน
ส่วนรายละเอียดกการดำเนินธุรกิจสนามบินมีดังนี้
“มีปริมาณการจราจรทางอากาศ”
จำนวนเที่ยวบินรวม 788,095 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.56 % แบ่งเป็น “เที่ยวบินระหว่างประเทศW 444,944 เที่ยว และเที่ยวบินภายในประเทศ 343,151เที่ยว
“มีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการรวม” ทั้งสิ้น
125,989,505 ล้านคน เพิ่มขึ้น5.61 % แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 76,636,387 ล้านคน
ผู้โดยสารภายในประเทศ 49,353,118 ล้านคน ผู้โดยสารเติบโตสอดคล้องกับการดำเนินงานของ
AOT ได้เร่งพัฒนาขีดความสามารถทุกมิติใน 6 แห่ง มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและยกระดับการรองรับจำนวนผู้โดยสารและเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
โดยเฉพาะสุวรรณภูมิปัจจุบันรองรับผู้โดยสารกว่า 62 ล้านคน
AOT ตั้งเป้าจะยกระดับทุกท่าอากาศยานเป็น “World Class
Hospitality” เน้นส่งมอบประสบการณ์การเดินทางดีที่สุดให้ผู้โดยสาร
ไฮไลต์
“สุวรรณภูมิ” เป็นท่าอากาศยานที่ได้การยอมรับในระดับสากลต่อเนื่อง ล่าสุดติดอันดับที่
7 สนามบินที่เป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อทางอากาศ
และอันดับ 9 สนามบินที่มีการเชื่อมต่อทางอากาศสูงสุดของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง
จากสภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลาง (ACI
APAC&MID) อันดับที่ 12 ของโลก ในกลุ่ม Global
Airport Megahubs 2025 จาก Official Airline Guide (OAG) ติดอันดับท็อป 10 ท่าอากาศยานที่ดีที่สุดของโลกจาก
Condé Nast Traveler แล้วยังได้การรับรองมาตรฐานท่าอากาศยานระดับ
4 ดาว จาก Skytrax อีกด้วย
อันดับที่ได้รับดังกล่าวสะท้อนถึง
“คุณภาพการบริการ” และ “ความสามารถในการบริหารจัดการ” ท่าอากาศยานเพื่อรองรับผู้โดยสารจำนวนมาก
และรักษามาตรฐานระดับโลกนี้ไว้ โดย AOT ได้ยกระดับการบริหารจัดการพื้นที่ภายในสุวรรณภูมิ ทำให้กระบวนการเข้า-ออกผู้โดยสารคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
เช่น
-เพิ่มจุดลงทะเบียนใบหน้าผ่านระบบไบโอเมตริก
กับผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการยืนยันตัวตน
ช่วยลดขั้นตอนการแสดงเอกสาร
-ขยายจุดติดตั้งช่องทางตรวจระบบอัตโนมัติ
(Auto Channel) บริเวณจุดตรวจคนเข้าเมืองทั้งขาเข้าและขาออก
เพื่อให้กระบวนการตรวจผ่านเป็นไปอย่างราบรื่น รวดเร็ว ปลอดภัย สะดวกสบายยิ่งขึ้น
นางสาวปวีณา
กล่าวว่า ปีงบประมาณ 2568 AOT สร้างความสำเร็จตอกย้ำองค์กรมีความมุ่งมั่นพัฒนาและยกระดับท่าอากาศยานของไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก
ทั้งด้านศักยภาพการให้บริการและการบริหารจัดการต่อเนื่อง แล้วยังคงเดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบทุกมิติ
ทั้งด้านบริการ เทคโนโลยี ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “World Class Hospitality”
เน้นส่งมอบประสบการณ์การเดินทางดีที่สุดให้ผู้โดยสาร
ติดตามฟังรายการได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-12.00 น.ทาง สวท.FM 97.0 MHz.











ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น