IATAจับมือ AtkinsRéalisan เปิดผลศึกษาโปรเจกต์ DIPIP
แนะสนามบินทั่วโลกหันใช้ไบโอเมตริกซ์เพิ่ม5ประโยชน์
IATA และบริษัท AtkinsRéalisanเปิดผลศึกษาDIPIP สนามบินทั่วโลกใช้“ไบโอเมตริกซ์”เกิดประโยชน์5 เรื่อง
เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT #เที่ยวกับกู๋ #IATA #ไบโอเมตริกซ์
IATA จับมือบริษัท AtkinsRéalisan เปิดผลศึกษาโปรเจกต์ DIPIP แนะสนามบินทั่วโลกหันใช้ระบบ
“ไบโอเมตริกซ์” ชี้มีประโยชน์ชัดเจน 5 เรื่อง “ลดเวลาผู้โดยสารเชื่อมต่อ20%+ลดค่าใช้จ่ายพนักงานแอร์พอร์ตลง11%+รับผู้โดยสารได้มากขึ้นในพื้นที่เทอร์มินัลเท่าเดิม+ลดมลพิษและคาร์บอน+ยืดหยุ่นการทำงานร่วมกันดีขึ้น”
สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ
(International Air Transport Association : IATA) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเทคโนโลยีระบุตัวตนดิจิทัลแบบ
“ไบโอเมตริกซ์” ที่นำมาใช้ในสนามบินนานาชาติ สามารถประหยัดต้นทุนได้มาก
เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน สร้างประสบการณ์ของผู้โดยสาร เพิ่มพูนความยั่งยืนได้
โดยการใช้เทคโนโลยีระบุตัวตนจัดการ “แยกผู้โดยสาร” ขาออกระหว่างประเทศและภายในประเทศแต่ละสนามบินได้เป็นอย่างดี
ตามรายงาน
โครงการ “บูรณาการผู้โดยสารในประเทศและระหว่างประเทศ” (DIPIP) ที่ไออาต้าร่วมกับ AtkinsRéalisan บริษัทด้านบริการวิศวกรรมและการจัดการโครงการ “ข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและข้อจำกัดทางเทคโนโลยี”
ทำให้ผู้โดยสารขาออกทั้งภายในและระหว่างประเทศ จำเป็นต้องแยกออกจากกันทางกายภาพในสนามบินหลายแห่ง
เมื่อมีระบบไบโอเมตริกซ์” ระบุตัวตนดิจิทัลโดยขับเคลื่อนด้วยข้อมูลชีวภาพสามารถแบ่งแยกข้อมูลที่จำเป็นได้
โดยไม่ต้องสร้าง “การแยกทางกายภาพ” ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ซ้ำซ้อน แถมไม่มีประสิทธิภาพ
และมีค่าใช้จ่ายสูง
“นิค
แคร์รีน” รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ ความปลอดภัย และความมั่นคงของ IATA
กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นเรื่อง “วิธีแยกผู้โดยสาร” ด้วยการระบุตัวตนดิจิทัลมีผลดีคือ
1.นักเดินทางได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ดีขึ้น 2.สนามบินและสายการบินลดต้นทุนลง
3.การตรวจคนเข้าออกเมืองสามารถรักษาข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการควบคุมได้
เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเรื่องการปรับปรุงให้ทันสมัยที่จำเป็นอย่างยิ่ง
“แกเร็ธ
เวสต์” ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดการบิน UK&I ของ AtkinsRéalis
กล่าวว่า การตีพิมพ์รายงานฉบับนี้เป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจแนวคิดเรื่อง
“อัตลักษณ์ดิจิทัลและการใช้ข้อมูลชีวภาพ” มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประสบการณ์ผู้โดยสารและช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก
จะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของภาคการบิน ทางบริษัทมีความสัมพันธ์อันดีกับ IATA
และยินดีได้ร่วมทำการศึกษานี้ โดยอาศัยประสบการณ์อันกว้างขวางผสานรวมข้อมูลชีวภาพเข้ากับการเดินทางของผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี
“ประโยชน์หลัก” จากผลการศึกษาครั้งนี้วัดผลประโยชน์ที่เกิดจากการ
“แยกผู้โดยสารขาออก” โดยใช้ ID ดิจิทัลที่รองรับไบโอเมตริกซ์
ถึง 5 เรื่อง ดังนี้
● ประสบการณ์ผู้โดยสารที่ดีขึ้น
: กำจัดอุปสรรคทางกายภาพระหว่าง “เที่ยวบิน” ภายในประเทศและระหว่างประเทศ
จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้ผู้โดยสารเดินทางได้ง่ายขึ้น และระยะเวลาดำเนินการสั้นลง
มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เช่น เวลาในการเชื่อมต่อขั้นต่ำอาจลดลงเกือบ 20%
● การประหยัดต้นทุน : การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกันช่วยลดความซ้ำซ้อนในโครงสร้างพื้นฐาน
สาธารณูปโภค และการจัดหาพนักงาน ลดต้นทุนการบำรุงรักษา การดำเนินงาน การก่อสร้างสนามบิน
สายการบิน และผู้ให้บริการภาคพื้นดิน กรณีศึกษาที่สนามบินนานาชาติหลัก ๆ พบว่า “ค่าใช้จ่าย”
ด้านพนักงานสนามบินลดลงสูงสุด 11% ส่วนบริษัทผู้ให้บริการภาคพื้นดินในสนามบินชั้นนำแห่งหนึ่งประเมินผลสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ปีละ
5.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
● การใช้โครงสร้างพื้นฐานของสนามบินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น : การให้ผู้โดยสารขาออกใช้พื้นที่ทางกายภาพเดียวกันภายในพื้นที่มีอยู่เท่าเดิมทำให้สนามบินรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น
และใช้พื้นที่กับบริการภายในอาคารมีประสิทธิภาพสูงสุด
● ประโยชน์ด้านความยั่งยืน : การรวมศูนย์ช่วยลดการใช้พลังงาน
ลดการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ
● ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน : สิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ร่วมกันช่วยให้สนามบิน
สายการบิน และผู้ให้บริการภาคพื้นดิน สามารถบริหารจัดการปริมาณผู้โดยสารที่ผันผวนได้ดีขึ้น
และจัดสรรทรัพยากรได้ตามความจำเป็น สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง
เนื่องจากเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศในแต่ละวันมักกระจุกตัวกันตามเวลาต่างกัน
“นิค
แคร์รีน” กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายประหยัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในสนามบินขนาดกลางที่รองรับผู้โดยสาร
10 ล้านคน/ปี รวมทั้งประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายในอนาคตได้ถึง
80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อปีมากขึ้นด้วย
ผ่านการกำจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ซ้ำซ้อนและปรับปรุงโดยยืดหยุ่นการดำเนินงาน พร้อมท้งลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนลงได้
18,000 ตัน/ปี เทียบเท่ากับการนำรถยนต์ออกจากท้องถนนปีละ 4,000
คัน เป็นเหตุผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจน เรื่อง “การจัดการผู้โดยสารขาออก”
ด้วยวิธีระบบดิจิทัลหรือไบโอเมตริกซ์แทนการใช้สิ่งกีดขวางทางกายภาพ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
ลดการปล่อยมลพิษ และมอบประสบการณ์ให้ผู้โดยสารเดินทางได้ราบรื่นยิ่งขึ้นด้วย
“การนำ
DIPIP ไปปฏิบัติใช้งานจิง” ไม่ต้องแก้กฎระเบียบ
เพียงใช้กรอบการกำกับดูแลที่แต่ละสนามบินมีอยู่ “ระยะเริ่มต้น” เช่น
การใช้พื้นที่อาคารผู้โดยสารร่วมกันกับการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ ทำได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบสำคัญใด
ๆ แต่จะต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกันระหว่างสนามบิน สายการบิน และหน่วยงานตรวจคนเข้าออกเมือง
“DIPIP” มีการดำเนินงาน 3 ขั้นตอน ได้แก่ Baseline,
Integrated และ End-State ซึ่งเป็นแผนงานปฏิบัติจริงเพื่อนำไปใช้งาน
End-State มุ่งหวังจะนำเสนอกระบวนการดิจิทัลเต็มรูปแบบให้ผู้เดินทางสามารถตรวจสอบตัวตนและการเดินทางระยะไกล
เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางอย่างราบรื่นปลอดภัยตั้งแต่บ้านถึงประตูขึ้นเครื่องบิน




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น