วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

IATA-AtkinsRéalisanเปิดผลศึกษาสนามบินหันใช้ไบโอเมตริกซ์เพิ่ม5ประโยชน์

IATAจับมือ AtkinsRéalisan เปิดผลศึกษาโปรเจกต์ DIPIP

แนะสนามบินทั่วโลกหันใช้ไบโอเมตริกซ์เพิ่ม5ประโยชน์


IATA และบริษัท 
AtkinsRéalisanเปิดผลศึกษาDIPIP สนามบินทั่วโลกใช้“ไบโอเมตริกซ์”เกิดประโยชน์เรื่อง 

เรื่องโดย...#เพ็ญรุ่งใยสามเสน #gurutourza #รายการรวยด้วยข่าวเสาร์อาทิตย์FM97 #TAT  #เที่ยวกับกู๋ #IATA #ไบโอเมตริกซ์

IATA จับมือบริษัท AtkinsRéalisan เปิดผลศึกษาโปรเจกต์ DIPIP แนะสนามบินทั่วโลกหันใช้ระบบ “ไบโอเมตริกซ์” ชี้มีประโยชน์ชัดเจน 5 เรื่อง “ลดเวลาผู้โดยสารเชื่อมต่อ20%+ลดค่าใช้จ่ายพนักงานแอร์พอร์ตลง11%+รับผู้โดยสารได้มากขึ้นในพื้นที่เทอร์มินัลเท่าเดิม+ลดมลพิษและคาร์บอน+ยืดหยุ่นการทำงานร่วมกันดีขึ้น”

สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association : IATA) ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเทคโนโลยีระบุตัวตนดิจิทัลแบบ “ไบโอเมตริกซ์” ที่นำมาใช้ในสนามบินนานาชาติ สามารถประหยัดต้นทุนได้มาก เพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน สร้างประสบการณ์ของผู้โดยสาร เพิ่มพูนความยั่งยืนได้ โดยการใช้เทคโนโลยีระบุตัวตนจัดการ “แยกผู้โดยสาร” ขาออกระหว่างประเทศและภายในประเทศแต่ละสนามบินได้เป็นอย่างดี

ตามรายงาน โครงการ “บูรณาการผู้โดยสารในประเทศและระหว่างประเทศ” (DIPIP) ที่ไออาต้าร่วมกับ AtkinsRéalisan บริษัทด้านบริการวิศวกรรมและการจัดการโครงการ ข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและข้อจำกัดทางเทคโนโลยี” ทำให้ผู้โดยสารขาออกทั้งภายในและระหว่างประเทศ จำเป็นต้องแยกออกจากกันทางกายภาพในสนามบินหลายแห่ง เมื่อมีระบบไบโอเมตริกซ์” ระบุตัวตนดิจิทัลโดยขับเคลื่อนด้วยข้อมูลชีวภาพสามารถแบ่งแยกข้อมูลที่จำเป็นได้ โดยไม่ต้องสร้าง “การแยกทางกายภาพ” ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ซ้ำซ้อน แถมไม่มีประสิทธิภาพ และมีค่าใช้จ่ายสูง


“นิค แคร์รีน” รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ ความปลอดภัย และความมั่นคงของ IATA กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นเรื่อง “วิธีแยกผู้โดยสาร” ด้วยการระบุตัวตนดิจิทัลมีผลดีคือ 1.นักเดินทางได้รับประสบการณ์การเดินทางที่ดีขึ้น  2.สนามบินและสายการบินลดต้นทุนลง 3.การตรวจคนเข้าออกเมืองสามารถรักษาข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการควบคุมได้ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเรื่องการปรับปรุงให้ทันสมัยที่จำเป็นอย่างยิ่ง

“แกเร็ธ เวสต์” ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดการบิน UK&I ของ AtkinsRéalis กล่าวว่า การตีพิมพ์รายงานฉบับนี้เป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจแนวคิดเรื่อง “อัตลักษณ์ดิจิทัลและการใช้ข้อมูลชีวภาพ” มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประสบการณ์ผู้โดยสารและช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก จะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของภาคการบิน ทางบริษัทมีความสัมพันธ์อันดีกับ IATA และยินดีได้ร่วมทำการศึกษานี้ โดยอาศัยประสบการณ์อันกว้างขวางผสานรวมข้อมูลชีวภาพเข้ากับการเดินทางของผู้โดยสารได้เป็นอย่างดี

“ประโยชน์หลัก” จากผลการศึกษาครั้งนี้วัดผลประโยชน์ที่เกิดจากการ “แยกผู้โดยสารขาออก” โดยใช้ ID ดิจิทัลที่รองรับไบโอเมตริกซ์ ถึง 5 เรื่อง ดังนี้

ประสบการณ์ผู้โดยสารที่ดีขึ้น : กำจัดอุปสรรคทางกายภาพระหว่าง “เที่ยวบิน” ภายในประเทศและระหว่างประเทศ จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้ผู้โดยสารเดินทางได้ง่ายขึ้น และระยะเวลาดำเนินการสั้นลง มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เช่น เวลาในการเชื่อมต่อขั้นต่ำอาจลดลงเกือบ 20%

การประหยัดต้นทุน : การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกร่วมกันช่วยลดความซ้ำซ้อนในโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค และการจัดหาพนักงาน ลดต้นทุนการบำรุงรักษา การดำเนินงาน การก่อสร้างสนามบิน สายการบิน และผู้ให้บริการภาคพื้นดิน กรณีศึกษาที่สนามบินนานาชาติหลัก ๆ พบว่า “ค่าใช้จ่าย” ด้านพนักงานสนามบินลดลงสูงสุด 11% ส่วนบริษัทผู้ให้บริการภาคพื้นดินในสนามบินชั้นนำแห่งหนึ่งประเมินผลสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ปีละ 5.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การใช้โครงสร้างพื้นฐานของสนามบินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น : การให้ผู้โดยสารขาออกใช้พื้นที่ทางกายภาพเดียวกันภายในพื้นที่มีอยู่เท่าเดิมทำให้สนามบินรองรับผู้โดยสารได้มากขึ้น และใช้พื้นที่กับบริการภายในอาคารมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประโยชน์ด้านความยั่งยืน : การรวมศูนย์ช่วยลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยมลพิษที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอุปกรณ์ต่าง ๆ

ความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน : สิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ร่วมกันช่วยให้สนามบิน สายการบิน และผู้ให้บริการภาคพื้นดิน สามารถบริหารจัดการปริมาณผู้โดยสารที่ผันผวนได้ดีขึ้น และจัดสรรทรัพยากรได้ตามความจำเป็น สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเที่ยวบินระหว่างประเทศและภายในประเทศในแต่ละวันมักกระจุกตัวกันตามเวลาต่างกัน



“นิค แคร์รีน” กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายประหยัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในสนามบินขนาดกลางที่รองรับผู้โดยสาร 10 ล้านคน/ปี รวมทั้งประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่ายในอนาคตได้ถึง 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อปีมากขึ้นด้วย ผ่านการกำจัดสิ่งอำนวยความสะดวกที่ซ้ำซ้อนและปรับปรุงโดยยืดหยุ่นการดำเนินงาน พร้อมท้งลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนลงได้ 18,000 ตัน/ปี เทียบเท่ากับการนำรถยนต์ออกจากท้องถนนปีละ 4,000 คัน เป็นเหตุผลการเปลี่ยนแปลงชัดเจน เรื่อง “การจัดการผู้โดยสารขาออก” ด้วยวิธีระบบดิจิทัลหรือไบโอเมตริกซ์แทนการใช้สิ่งกีดขวางทางกายภาพ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการปล่อยมลพิษ และมอบประสบการณ์ให้ผู้โดยสารเดินทางได้ราบรื่นยิ่งขึ้นด้วย

“การนำ DIPIP ไปปฏิบัติใช้งานจิง” ไม่ต้องแก้กฎระเบียบ เพียงใช้กรอบการกำกับดูแลที่แต่ละสนามบินมีอยู่ “ระยะเริ่มต้น” เช่น การใช้พื้นที่อาคารผู้โดยสารร่วมกันกับการยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลชีวภาพ ทำได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบสำคัญใด ๆ แต่จะต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกันระหว่างสนามบิน สายการบิน และหน่วยงานตรวจคนเข้าออกเมือง

DIPIP” มีการดำเนินงาน 3 ขั้นตอน ได้แก่ Baseline, Integrated และ End-State ซึ่งเป็นแผนงานปฏิบัติจริงเพื่อนำไปใช้งาน End-State มุ่งหวังจะนำเสนอกระบวนการดิจิทัลเต็มรูปแบบให้ผู้เดินทางสามารถตรวจสอบตัวตนและการเดินทางระยะไกล เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางอย่างราบรื่นปลอดภัยตั้งแต่บ้านถึงประตูขึ้นเครื่องบิน

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

“Carbon Markets Club-MEX”ผนึกตลาดคาร์บอนมาเก๊า-ไทย ลุยเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

  “ Carbon Markets Club - MEX ”ผนึกตลาดคาร์บอนมาเก๊า-ไทย เพิ่มศักยภาพตลาดคาร์บอนเอเชีย-ดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ   เรื่องโดย... # เพ็ญรุ่ง...